++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

เป็นมนุษย์สุดดีก็ที่ปาก (๑)

"ศุภลักษณ์"

ท่านกวีเอกสุนทรภู่ ผู้ฝากฝีปากฝากคำเป็นกลอนแสนเสนาะ และแฝงความหมายลึกซึ้ง ได้รจนากลอนบทหนึ่งเอาไว้ว่า

"อันบางผู้พูดดีมีศรีศักดิ์
คนก็รักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา"

ความหมายของกลอนบทนี้เป็นสัจธรรมที่เห็นกันอยู่ทั่วไปในสัมคงปัจจุบัน ตัวอย่างของคนที่ได้ดีเพราะปากก็มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย สมดังที่ท่านกวีเอกของไทยเราได้ฝากคำเตือนใจเอาไว้อีกแห่งหนึ่งว่า

"เป็นมนุษย์สุดดีก็ที่ปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา"

วันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะแย่งอาจารย์ ประจักษ์ ประภาพิทยากร ผู้มีความถนัดเป็นพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับ ภาษาและวรรณคดีจนเป็นที่เลื่องลือในยุทธจักรนักวิชาการนักเขียน เขียนถึงท่านกวีเอกสุนทรภู่หรอก ที่ยกคำกลอนของท่านสุนทรภู่มากล่าวอ้าง ก็เพราะว่า ความหมายลึกซึ้งของคำกลอนนี้ ชวนให้นึกถึงรัฐบุรุษคนสำคัญคนหนึ่งของออสเตรเลียขึ้นมาได้ ชีวิตของท่านผู้นี้อะไรหลายอย่าง ที่น่ารู้น่าศึกษาไม่น้อยเลย จึงขอนำเกร็ดประวัติชีวิตของท่านมาเล่าสู่กันฟัง

คิง โอ มอลลี่ เกิดที่แคนาดา เมื่อปี ค.ศ.๑๘๕๔ เรียนหนังสือได้แค่อายุสิบสี่เท่านั้นก็เลิกเรียน เพราะลุงของเขาซึ่งเป็นนายธนาคารอยู่ที่นิวยอร์ค ชวนไปทำงานธนาคาร เขาทำงานธนาคารอยู่กับลุงอยู่ได้พักหนึ่ง ความช่างพูดช่างเจรจาของคิง ทำให้เขาอยู่นิ่งๆไม่ได้ คิงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของธนาคาร เพราะเขาคิดว่า เขารู้เรื่องของธนาคารดีกว่าลุงของเขาเสียอีก ลุงเห็นว่าไอ้หลานชายคนนี้ ชักกำแหงและพูดมากไปแล้ว ก็เลยตัดสินใจเขี่ยเขาออกไปจากวงการธนาคารเสียเลย พ่อหนุ่มช่างพูดจากแคนาดาก็ต้องเปลี่ยนงานจาก หนุ่มธนาคารไปเป้นนายหน้าขายประกันชีวิตแทน ซึ่งก็เหมาะกับอุปนิสัยและคุณสมบัติสาริกาลิ้นทองของเขา การทำงานประกันชีวิตเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ

ต่อมาด้วยความฉลาดเฉลียว อันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด คิง โอ มอลลี่ เริ่มมองเห็นว่า ธุรกิจการขายที่ดิน เป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ดีทีเดียว เขาจึงทิ้งงานขายประกันชีวิต จัดตั้งสำนักงานซื้อขายที่ดินขึ้นที่แคนซัส เริ่มธุรกิจการซื้อขายที่ดิน ด้วยการขึ้นป้ายตัวโตๆที่หน้าสำนักงานว่า

"ขายทุกอย่างในโลกนี้"

ธุรกิจการขายที่ดินของ คิง โอ มอลลี่ ทำเงินให้เขามากโขอยู่ แต่คนอย่างเขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้หรอก ดังนั้น พอได้ข่าวว่า รัฐเท็กซัสประกาศจะยกที่ดินให้กับองค์กรทางศาสนาหนึ่งศาสนาใดฟรีๆ เขาก็รีบจัดตั้ง "วอเตอร์ลิลลี่ ร็อคบาวด์ เชิร์ช" ขึ้นมาทันที โดยที่โบสถ์นี้มีตัวเขาเองเป็นบิชอป คิง โอ มอลลี่ ต้องเทศน์ให้ชาวคริสเตียนฟัง ต้องทำการกุศลต่างๆและครองชีวิตบริสุทธิ์ โดยไม่แตะต้องสุราและยาสูบโดยเด็ดขาด คิง โอ มอลลี่ ปฏิบัติตนในฐานะพระผู้นำทางศาสนาได้ดีเยี่ยม จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเริ่มรู้สึกว่า เขากำลังเป็นโรคปอดเข้าแล้ว ในสมัยนั้น วัณโรคเป็นโรคที่ร้ายกาจน่ากลัวที่สุดที่ยากจะรักษาหาย คิง โอ มอลลี่ เข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล และที่นั่นเขาเจอกลาสีเรือคนหนึ่ง ผู้เคยเดินทางไปถึงเมือง ร็อคแฮมพ์ตัน ในรัฐควีนสแลนด์ของออสเตรเลีย กลาสีเรือคนนั้นคุยว่า เมืองร็อคแฮมพ์ตัน เป็นเมืองที่มีอากาศดีที่สุดในโลก สำหรับคนที่เป็นวัณโรค ไม่รู้ว่ากลาสีเรือคนนั้นพูดจริงหรือโกหก แต่ คิง โอ มอลลี่ ก็เชื่อและสนใจที่จะหาทางไปออสเตรเลียให้ได้ ซึ่งก็คงเป็นทำนองเดียวกับคนที่จะจมน้ำตายแล้ว คว้าได้ฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้นั่นแหละ คิง โอ มอลลี่ ก็เช่นกัน เขาตัดสินใจเดินทางไกลข้ามโลกไปออสเตรเลีย แต่พอวันเดินทางใกล้เข้ามา คิง โอ มอลลี่ ก็เกิดความกลัวว่า เขาอาจจะไปตายในเรือระหว่างการเดินทาง เขาจึงเตรียมโลงศพทำด้วยตะกั่วไปด้วย เผื่อว่าถ้าเขาตายไป ศพของเขาก็จะถูกบรรจุลงโลงก่อนที่จะถูกทิ้งลงทะเล ไม่เช่นนั้นซากศพของเขาก็จะถูกทิ้งลงไปในทะเล โดยไม่มีโลง เขากลัวปลาฉลามจะมารุมทึ้งฉีกกินเนื้อหนังมังสาของเขา

กัปตันเรือไม่ชอบใจนักที่มีคนโดยสารอย่าง คิง โอ มอลลี่ เตรียมเอาโลงศพลงเรือไปด้วย ราวกับรู้ตัวว่าจะไปตายให้เป็นราคีกับเรือของเขา คิง โอ มอลลี ต้องอ้อนวอนและหว่านล้อมกัปตันเรืออยู่นานกว่า กัปตันจะยอมให้เขาเอาโลงศพไปด้วย คิง โอ มอลลี่ สัญญากับกัปตันเรือว่า ถ้าเขาตายบนเรือ เขาก็ขอยกสมบัติต่างๆที่ติดตัวมาให้กัปตันทั้งหมด เช่น เสื้อผ้า แหวนเพชร กับเข็มเสียบเน็คไท กัปตันเห็นแก่สินบนก็เลยยอม การเดินทางไกลรอนแรมไปในทะเลกว้างกินเวลานานหลายเดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับ คิง โอ มอลลี่ เขาไม่ตาย และเขาเดินทางไปถึงร็อคแฮมพ์ตันโดยปลอดภัย

(อ่านต่อตอนที่ ๒)


ที่มา ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น