++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรักชาติ ในระบอบเผด็จการ

โดย ดร.ป. เพชรอริยะ 21 กันยายน 2552 15:21 น.
ก่อนอื่นต้องขอยกย่องให้กำลังใจ คุณวีระ สมความคิด และมวลพันธมิตรฯ
ผู้มีใจรักชาติเข้มข้นทุกๆ ท่าน ในความเสียสละอุทิศตนทั้งกำลังปัญญา
กำลังใจ กำลังกาย และกำลังทรัพย์ ในการแสดงจุดยืน
ประกาศก้องไม่ให้เขมรเข้ามาอาศัยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
นั่นเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้วครับ

การปลุกใจให้คนรักชาติ ทวงสิทธิอันชอบธรรมจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง
ด้วยเหตุ ด้วยผล ถือว่าเป็นความรักชาติที่ควรยกย่อง ให้เกียรติ
ให้กำลังใจ การกระทำใดที่เป็นไปเพื่อชาติ
นั่นเป็นการกระทำเพื่อปวงชนไทยทั้งแผ่นดิน
จึงเป็นการกระทำที่น่ายกย่องและให้กำลังใจอย่างยิ่ง

การต่อสู้เพื่อแสดงสิทธิอันชอบธรรม เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ
รัฐบาลก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นธรรม แต่รัฐบาลใดๆ
ก็ตามภายใต้ระบอบเผด็จการนั้น ประชาชนต้องผิดหวัง
ย่อมเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ เพราะเป็นรัฐบาลของชนส่วนน้อย
อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย จึงเป็นรัฐบาทที่อ่อนแอ
และทำให้ประเทศชาติอ่อนแอตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ก็ทั้งในอดีต
และปัจจุบัน เมื่อไทยเรามีกรณีพิพาทดินแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
ไทยเราตกเป็นเบี้ยล่าง เสียเปรียบมาตลอด หรือใครว่าไม่จริง
ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า มาเลเซีย มาคราวนี้เขมร ไทยเราเสียเปรียบมาตลอด
เป็นความเจ็บใจของประชาชนผู้รักชาติโดยแท้

การปลุกใจให้รักชาติภายใต้ระบอบเผด็จการ ทำไม่ขึ้น
น่าเห็นใจอย่างเช่น พลังมวลชนผู้รักชาตินำโดย คุณวีระ สมความคิด
กลับถูกชาวบ้านในพื้นที่ต่อต้านและเล่นงาน หากสภาพการณ์ปกติ
ชาวบ้านในพื้นที่ต้องปีติยินดี ต้อนรับขับสู้ เพราะมีเพื่อนมาช่วยแล้ว
แต่กลับตรงกันข้าม ผู้เขียนชี้แสดงให้เห็นว่า
อย่าหลงงมงายเห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย ระบอบชนิดนี้
ผู้ปกครองเห็นผิด คิดผิด ทำผิด เห็นแก่ตัว ประชาชนแตกความสามัคคี
ตัวใครตัวมัน แล้วจะมีใจรักชาติได้อย่างไร
ต่างก็เห็นแก่ตัวตามแบบอย่างจากผู้ปกครองนี่เอง

การต่อสู้อีกอย่างหนึ่ง สู้แล้วรวย เคลื่อนไหวทางการเมืองรับจ้าง
เพื่อบุคคลใดๆ ที่ศาลได้ตัดสินคดีความแล้วว่าเป็นความผิด
ย่อมเป็นแนวทางการต่อสู้ที่สกปรกโสมมที่สุด

ความเห็นผิดทางการเมืองของนักการเมือง เป็นการพูดเพื่อทำลายชาติ
เพราะพูดแล้ว ทำแล้วผู้คนจำนวนมากจะเชื่อตาม เช่น
พรรคเพื่อไทยจัดสัมมาเรื่อง "3 ปี ปฏิวัติ 19 กันยา ประชาชนเสียอะไร"
ทักษิณ และพวกแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน เห็นผิด จึงพูดผิด และทำผิด
พวกเขายังไม่รู้ ไม่เข้าใจความแตกต่างรัฐประหาร (coup) หรือ (coup
d'etat) ในภาษาฝรั่งเศสกับการปฏิวัติ (Revolution)
และหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง ก็เช่นเดียวกัน มักจะใช้คำว่า
"ปฏิวัติ" ซึ่งผิดมาก เป็นการทำลายจินตภาพของคำที่ถูกต้องให้เป็นผิด
ใช้คำผิดให้เป็นถูกหรือดูดี
แท้จริงการยึดอำนาจในไทยทุกครั้งเป็นเพียงรัฐประหาร พวกเขาใช้ศัพท์ ตามๆ
กันมาว่า "ปฏิวัติ" โดยขาดการวิจัย วิเคราะห์ที่มาแห่งรากศัพท์
ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยเถิด จะก่อเกิดบุญ
และเป็นประโยชน์ต่อปวงชนไทย

ผู้ปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการย่อมอ่อนแอ
ไม่ได้ใส่ใจกับความรักชาติ ไม่ได้ใส่ใจกับอธิปไตยของชาติ
ไม่ได้ใส่ใจกับเกียรติศักดิ์ศรีของชาติ ทำการเมืองเพื่อถอนทุน
พวกเขามองว่าประชาชนโง่เขลา ทำการเมืองเพื่อหวังกำไร
และถูกประณามว่าขายชาติ ในท้ายที่สุด

การปฏิวัติทางการเมืองในประเทศไทยยังไม่เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียว
แต่สักวันคงเกิดขึ้น
การปฏิวัติย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์โดยธรรมของการวิวัฒนาการทางสังคมและการเมือง
ส่วนรัฐประหารนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว 14 ครั้ง แล้วก็จะเกิดขึ้นต่อไป
เกิดขึ้นได้เสมอในระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ

ความต่างระหว่างปฏิวัติกับรัฐประหาร การปฏิวัติ
ดุจดังสวรรค์หรือนิพพาน เกิดเพราะผู้นำมีปัญญา รู้แจ้ง
เข้าใจสภาพที่เป็นไปของสังคมที่หนักหนาสาหัสเกินที่จะแก้ไข
ส่วนรัฐประหารดุจดังนรก เกิดขึ้นเพราะความกลัว ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ของทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายถูกยึดอำนาจเป็นเหตุ
หรือฝ่ายเผด็จการจากการเลือกตั้ง
รัฐประหารจะเกิดขึ้นได้เสมอในระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้ง
เพราะมันเป็นระบอบของคนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว ปกครองแล้วก็โกงกินชาติ
มันก็ต้องถูกรัฐประหาร
แต่รัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย เช่น
อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อินเดีย มาเลเซีย ฯลฯ

ประเทศไทยเราตกอยู่ภายใต้แนวคิดลัทธิรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการอย่างหนึ่ง ที่แก้ไขยากที่สุด
และหลอกอย่างแนบเนียนที่สุด เพราะมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของการปกครอง
ในขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมืองแบบทำลายล้าง
มีรูปการปกครอง (Form of Government) คือระบบรัฐสภา (Parliamentary
System) มีการเลือกตั้ง มีการสรรหา เพื่อขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง
แล้วผู้ปกครองก็สอนประชาชนว่า นี่แหละคือระบอบประชาธิปไตย
นี่คือการหลอกลวงอย่างร้ายการที่สุด
หรือเป็นความเห็นผิดที่ทำลายชาติของตนเองอย่างแรงที่สุด

ก็แสดงให้เห็นชัดๆ ในทุกๆ รัฐบาลล้วนแล้วแต่บริหารประเทศล้มเหลว
เมื่อบริหารประเทศล้มเหลว ประชาชนทนไม่ได้
ผู้นำทหารในกองทัพก็จะออกมาทำรัฐประหาร ประชาชนก็ได้เฮ
ชื่นอกชื่นใจกันสักพัก
ส่วนพรรคการเมืองที่เสียประโยชน์สูญสิ้นอำนาจในการคอร์รัปชันโกงกิน
ก็จะออกมาหลอก มาจ้างประชาชนให้ต่อต้านการทำรัฐประหาร
กล่าวโจมตีสารพัดว่าเป็นเผด็จการ การทำรัฐประหารนั้น แน่นอนเป็นเผด็จการ
เป็นเผด็จการอย่างโจ่งแจ้ง เห็นกันง่ายๆ ประชาชนทั่วไปก็เข้าใจ
แต่เผด็จการแบบรัฐบาลทักษิณ น่ากลัวที่สุด

หลังจากทำรัฐประหารแล้ว
คณะรัฐประหารก็จะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวขึ้น
มาใช้ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรตามลำดับ แต่ไม่เคยถาวรซักที
ทั้งนี้เพราะปม เงื่อนอันสำคัญที่สุด
ที่ผู้ครองทั้งที่มาจากการทำรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจ
และมาจากเลือกตั้งขึ้นสู่อำนาจ นั่นก็คือ มีแนวความคิด
หลงผิดอย่างร้ายแรง ยึดมั่นถือมั่นในลัทธิรัฐธรรมนูญ
เพราะลัทธิรัฐธรรมนูญ เป็นลัทธิทางกฎหมาย เป็นลัทธิของฝ่ายผู้ปกครอง
ผู้ปกครองจึงได้ต่อสู้กันแบบทำลายล้าง ซึ่งกันและกัน
เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง หาเงิน คอร์รัปชัน
ไม่ได้เกินเลยไปกว่านี่เลย ลัทธิรัฐธรรมนูญ เป็นลัทธิของชนชั้นผู้ปกครอง
ชนชั้นนายทุนเพียงหยิบมือเดียว ไม่ใช่ลัทธิแนวคิดเพื่อปวงชนในชาติ
แต่ผู้ปกครองอาศัยอำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ
อาศัยนักวิชาการที่ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งอะไรในทางการเมือง พูดง่ายๆ
ไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้กฎธรรมชาติ ไม่รู้สัจธรรม
รู้แต่วิชาการที่ร่ำเรียนมาแค่เปลือกนอกเท่านั้น แล้วก็อวดเก่ง

แต่ในท้ายที่สุดทั้งฝ่ายผู้ปกครอง และฝ่ายที่รับใช้ ต่างก็ล้มเหลว
ล้มเหลวอยู่อย่างซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย
ก็น่าจะได้ฉุกคิดกันบ้างว่า ลัทธิเผด็จการโดยมีรัฐธรรมนูญบังหน้า
เป็นลัทธิที่ทำลายผู้ปกครองที่กำลังปกครองอยู่ และร้ายกาจที่สุดคือ
ทำลายประชาชนและประเทศชาติอันเป็นที่รักสูงสุดของปวงชนไทยให้ย่อยยับ

การ รักชาติที่ต้องอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ
คือการสถาปนาระบอบที่ถูกต้อง โดยพระมหากษัตริย์ พระประมุขของชาติ
ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หากมีรัฐบาลที่เข้าใจจริง มีปัญญาจริง
พอได้เป็นรัฐบาล ก็จะมีนโยบายสำคัญของชาติ เป็นนโยบายโดยปวงชนไทย
ของปวงชนไทย เพื่อปวงชนไทยอย่างแท้จริง นั่นก็คือ
การให้ความรู้อย่างถูกต้องต่อประชาชน บอกให้ทราบความจริงว่า
การแก้ไขเหตุวิกฤตชาตินั้น พวกเราปวงชนในชาติจะต้องร่วมมือกันผลักดัน
ส่งเสริม การสถาปนา

ระบอบการเมืองที่ถูกต้องที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น
ต้องเริ่มด้วยการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม
เพื่อความเป็นธรรมแก่ปวงชนไทยทุกคน
หลักการปกครองโดยธรรมเป็นศูนย์กลางในทางการเมือง
หากมีความขัดแย้งทางการเมือง ก็จะเป็นการขัดแย้งเพื่อสร้างสรรค์
ขัดแย้งต่อสู้กันในเชิงคุณธรรม และเป็นการพัฒนาคุณธรรม
พัฒนาความถูกต้องเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด

หลักการปกครองโดยธรรม คือรากฐาน หรือที่มาของความเป็นชาติไทย
ได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และธรรม
อันเป็นความยุติธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม
เป็นของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป เมื่อประชาชนเข้าหลักการปกครองแล้ว
ประชาชนทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ในทุกหนทุกแห่งของสังคม เช่น ในครอบครัว
ในโรงเรียน ในที่ทำงาน ในโรงงาน ในหน่วยงานราชการทุกระดับ
ครอบคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน ในส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด

หลักการปกครองโดยธรรม ต้องมาจากแก่นแท้ของชาติ
ย่อมเป็นหลักที่จะก่อให้เกิดความมั่นคงต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
สูงสุด ประชาชนเกิดปัญญาสำคัญในการเชิดชูแก่นแท้ของชาติ
(อ่านหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ได้จากบทความที่ผ่านๆ มา)

หลักการปกครองโดยธรรม เมื่อมาจากแก่นแท้ของกฎธรรมชาติ
ย่อมเป็นหลักนิติธรรม ที่สำคัญของชาติ การพัฒนาการทางด้านตุลาการ
กฎหมายต่างๆ ก็จะก่อให้ความเป็นธรรมมากขึ้นๆ

หลักการปกครองโดยธรรม หรือธรรมาธิปไตย 9 มีเพียง 9 ข้อ
ง่ายต่อการเข้าใจ จดจำ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งการเมือง
สังคม เศรษฐกิจ และการอยู่ร่วมกันอย่างมีปัญญาโดยธรรมในสังคม
เป็นการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก เมตตาและเป็นปัญญาวุธ
เป็นไม้บรรทัดทองคำของประชาชนในการล้างพรรคและนักการเมืองชั่ว
จากนั้นจึงแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม
หรือระบอบการเมืองโดยธรรม นั่นเอง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000110292

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น