++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากชายวัย 67

โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล 23 กันยายน 2552 17:25 น.
ผมรู้จัก "ลุงแดง-ป้าแดง" เมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้ง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
เดินทางไปเปิดปราศรัย ณ นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงปลายปี
2549

ลุงแดง-ป้าแดง เป็นคนไทยแท้ๆ ที่ย้ายไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้ 30
กว่าปีแล้ว ทำให้ลูก หลานและตัวเอง
ได้สัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกันไปโดยปริยาย
โดยบุตรชายคนหนึ่งนั้นมีอาชีพเป็นทหารนาวิกโยธินของกองทัพสหรัฐฯ
ที่ถูกส่งไปรบในอิรักเสียด้วยซ้ำ

แม้จะย้ายสำมะโนครัวไปดำรงชีวิตอยู่เมืองนอกเมืองนานเกินกว่าครึ่ง
ชีวิต ทว่า ลุงแดง-ป้าแดง
กลับยังมีความผูกพันกับแผ่นดินเกิดอย่างสุดซึ้งและอดรนทนไม่ไหวต่อการ
คอร์รัปชัน รวมถึงการล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงของระบอบทักษิณ
จนต้องออกมาเคลื่อนไหวรักษาผลประโยชน์ของคนไทย ประเทศไทย
ปกป้องในหลวงและสถาบันกษัตริย์
ร่วมกับคุณสนธิและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

แม้เราจะไม่ได้เป็นญาติกันทางสายเลือด แต่ลุงแดง-ป้าแดง
ก็รักและเอ็นดูผมเหมือนกับลูกหลานคนหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์อะไรขึ้นในบ้านเมืองท่านทั้งสองก็มักจะโทรศัพท์
หรืออีเมลมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่เสมอ
หรือถ้าหากเกิดสถานการณ์สำคัญจริงๆ
บางครั้งทั้งสองท่านถึงกับทุ่มทุนควักเงินในกระเป๋านับพันๆ
เหรียญเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน เดินทางกลับมาเมืองไทยเลยทีเดียว

ผมเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่า เหตุใดคนไทยในต่างประเทศจำนวนมาก
โดยเฉพาะคนที่มีอายุถึงติดตามสถานการณ์และเป็นห่วงเป็นใยความเป็นไปของบ้าน
เมืองมากถึงเพียงนี้ ทั้งๆ
ที่พวกท่านทั้งหลายต่างก็มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายกับชีวิตในต่างประเทศ
กันเกือบทุกคน แถมยังที่มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บ
จนมีฐานะที่เรียกได้ว่าเป็นน้องๆ เศรษฐี?

ในทางกลับกันคนไทยส่วนใหญ่
รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจำนวนมาก ที่ทั้งตัวเอง ทั้งลูก ทั้งหลาน
ทั้งครอบครัว จำเป็นต้องพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
ต้องใช้ประโยชน์จากผืนแผ่นดินนี้ในการทำมาหากิน
ต้องอาศัยสังคมนี้ในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป แต่กลับมิได้แยแสต่ออดีต
ปัจจุบัน และความเป็นไปในอนาคตของสังคมไทยเท่าไหร่เลย

ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ลุงแดงเพิ่งส่งจดหมายมาให้ผมฉบับหนึ่งครับ ในจดหมายฉบับดังกล่าว
นอกจากคุณลุงจะไถ่ถามถึงสารทุกข์สุกดิบ
และเขียนถ่ายทอดความรักและห่วงใยมาถึงผมและครอบครัวแล้ว
ลุงแดงยังเขียนเล่าเรื่องราวในอดีต ตามสไตล์ "ผู้อาวุโส" มาสั่งสอน
"คนหนุ่ม" อย่างผมด้วย

เรื่องเล่าจากคุณลุงมีดังนี้ครับ

"ผมอายุปีนี้ 66 เต็มย่าง 67 เป็นคนบ้านนอก อยู่อำเภอผักไห่
จังหวัดอยุธยา เป็นคนไทยโดยกำเนิด

สมัยผมเป็นเด็กพ่อผมรับราชการ
ผมจึงเกิดที่บ้านหลวงซึ่งก็อยู่หลังอำเภอ ติดกับสถานีอนามัยได้เห็นคนเกิด
คนแก่ คนเจ็บ และคนตายมากมาย

คนเกิดผมเห็นมาตั้งแต่เกิด มาบัดนี้เด็กเหล่านั้นก็อายุไล่ๆ
กับผมมาติดๆ บางคนยังทำงาน บางคนก็เกษียณ บางคนยังจน บางคนร่ำรวย
บางคนยังอยู่เมืองไทย บางคนมาอยู่เมืองนอกสบายบ้างลำบากบ้าง
ซึ่งก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของชีวิตของแต่ละบุคคล

คนแก่ที่ผมเห็นชัดเจนคือ "ข้าราชการ"
คนพวกนี้เมื่อยังรับราชการอยู่บนอำเภอก็ใหญ่โต ส่วนใหญ่คือปลัดอำเภอ
และนายอำเภอ ส่วนข้าราชการตำรวจไม่ต้องกล่าวถึง "เ...ย"
มาตั้งแต่ผมยังเด็กพูดจาใหญ่โตยโสโอหัง
พูดกับคนแก่ชาวบ้านไม่รู้หัวหงอกหัวดำ ใช้คำแทนตัวเองว่า "อั๊ว"
ใช้คำแทนตัวผู้ที่ตนเองพูดด้วยว่า "ลื้อ"
ดีอย่างที่ไม่พูดกับคนแก่ผู้หญิงว่า "ลื้อ-อั๊ว" ใช้แค่คำว่า
"แก-ชั้น"ออกท้องที่

อาหารการกินไม่ต้องพูดถึง ไก่ เป็ด
บางครั้งหมูชาวบ้านเชือดเอามาทำอาหารให้ข้าราชการเหล่านี้กินอิ่มหนำ
ร้ายไปกว่านั้นบ้านไหนมีลูกสาวสวย บางคนดวงดีได้แต่งงานไปกับข้าราชการ
รุ่งเรืองไปเป็นถึงคุณนายผู้ว่าฯ-คุณนายผู้กำกับ (ผมหมายถึงบางคน
ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เมียน้อย เมียเก็บ และเมียถูกทิ้ง ถูกฟันฟรี)

คนพวกนี้เมื่อเกษียณจากที่เคยใหญ่โตก็แปรสภาพเป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง
เช้าขึ้นมาก็ไปนั่งร้านกาแฟ คอยให้คนเดินไปมาในตลาดกราบไหว้
เพราะคนยังจำได้ว่าเคยรับราชการมา ปีหนึ่งผ่านไป
เมื่อคนไม่กราบไหว้เหมือนเดิมก็กลายสภาพเป็นแค่คนแก่ทั่วๆ ไป

ส่วนคนเจ็บ คนตาย คงไม่ต้องพูดถึง วันแล้ววันเล่าเห็นตายไปทุกวัน
ร้องไห้กันระงมสุขศาลา บางคนด่าทอหมอหาว่าไม่ช่วย ทำให้ลูก ให้เมีย
ให้ญาติตาย ก็ว่ากันไป

อยู่บ้านนอกสมัยเด็กๆ ชีวิตลำเค็ญมาก น้ำประปาไม่มีใช้
ไฟฟ้าไม่มีใช้ ถนนหนทางไม่มี ต้องอาศัยทางเรืออย่างเดียว หนังขายยา ยี่เก
(ลิเก) ถ้าไม่มาปิดวิกก็ต้องมีงานแต่งงาน งานบวช หรืองานศพถึงจะได้ดู
อยู่อย่างผมอยู่ติดอำเภอ อยู่ติดโรงพัก (สถานีตำรวจ)
มีเรื่องตื่นเต้นให้หัวใจเต้นอยู่บ่อยๆ ที่ตื่นเต้นคือเรื่องจะมี ไอ้เสือ
(ผู้ร้าย) จะมาปล้นบ้านคนรวยบ้านนั้นบ้านนี้ จะมาปล้นตลาด
จะมาปล้นร้านทอง ตำรวจก็จะรีบเตรียมพร้อม และก็บอกต่อๆ
กับเพื่อนข้าราชการด้วยกัน ทำให้ผมรับรู้ไปด้วยเพราะพ่อจะมาเล่าให้แม่ฟัง
แม่ก็จะมาคอยดูแลไม่ให้ลูกๆ ออกไปนอกบ้าน
เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะถูกลูกหลงไปด้วย

พูดถึงโจรผู้ร้ายสมัยก่อน เวลาเขาจะปล้นบ้านไหนเขาจะตั้งศาลเล็กๆ
แล้วบูชาด้วย หมู เห็ด เป็ด ไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง เพื่อบวงสรวง
ผมไม่ทราบว่าพวกโจรจะบวงสรวงใคร เทวดาหรือเปล่า
คงไม่ใช่เพราะเทวดาเป็นเทพที่ดี หรือเทวดาก็มีเทวดาไม่ดีปะปนอยู่
แบบเดียวกับคนดีคนเลว ข้าราชการดีข้าราชการเลว ตำรวจดีตำรวจเลว
ทหารดีทหารเลว ผู้พิพากษาดีผู้พิพากษาเลว หรือเปล่าผมไม่ทราบได้
แต่ที่รู้มาจากที่เขาเล่ากันมาคือพวกโจรเขาตั้งศาลเซ่นไหว้
เขาเรียกว่าตั้ง "ศาลเพียงตา" เพื่อไหว้เพื่อจะไปปล้นไปฆ่าเขา
คือเซ่นไหว้เพื่อไปทำความชั่ว

หลายๆ ครั้ง "ศาลเพียงตา" ก็ช่วยโจรผู้ร้ายให้ประสบความสำเร็จ
สามารถปล้นสำเร็จ ฆ่าสำเร็จ ฉุดลูกสาวชาวบ้านผู้บริสุทธิ์มาข่มขืนทำเมีย
มาข่มขืนกระทำชำเรา สร้างความเดือดร้อนให้กับคนดี
คนบริสุทธิ์ไปทุกหย่อมหญ้าได้สำเร็จ

ผมจึงเข้าใจว่า "ศาลเพียงตา" นั้นคือศาลของคนชั่ว ช่วยคนชั่ว
ให้ทำร้ายคนดี ช่วยให้คนชั่วอยู่ดีมีความสุข คนดีมีแต่ความทุกข์
มีแต่ความเดือดร้อน ตกลงจะให้ผมโทษว่าโจรเป็นคนชั่ว หรือ "ศาลเพียงตา"
ชั่วเพราะช่วยคนชั่วพ้นผิด พ้นภัย และถ้าคนดีหันไปไหว้ "ศาลเพียงตา"
กันบ้าง ไม่ทราบว่าจะประสบผลแบบโจรหรือเปล่า หรือ "ศาลเพียงตา"
จะช่วยเพียงพวกโจรเท่านั้น เพราะ "ศาลเพียงตา" คือ "ศาลโจร"
จึงช่วยเฉพาะโจรให้พ้นภัยพ้นผิด ......"

"ลุง แดง" จบเรื่องเล่าในจดหมายมาเท่านี้ครับ
ส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนุก น่าสนใจ และแฝงไว้ด้วยเกร็ดความรู้ดี
จึงขออนุญาตนำมาเล่าต่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000111622

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น