++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ฝัน (เปียก) โคตรโคตร!!!/อภินันท์

โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

หลังจากที่หนังผีเรื่องแล้วเรื่องเล่าทำให้ผมนึกสงสัยอยู่ว่าความกลัวของ
ตัวเองตายด้านไปแล้วหรือเปล่า ถึงดูหนังผีหลายๆ เรื่อง อย่าง "แฟนเก่า"
หรืออะไรก็ตาม แล้วไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอะไรเลย..."หลาวชะโอน"
ซึ่งเป็นหนังสั้นตอนหนึ่งในเรื่อง 5 แพร่ง ก็ช่วยเรียกคืนความมั่นใจ
(ว่าความกลัวของผมยังไม่ได้หายไปไหน) กลับมาให้ผมอีกครั้งหนึ่ง
พร้อมบทสรุปว่า ถ้าหนังผีทำได้ "ดี" และ "ถึง" จริงๆ
ความกลัวในใจผมก็พร้อมจะลุกขึ้นมาทำงานอยู่ตลอดเวลา...

และถ้าเป็นเช่นนั้น...หนังอย่าง "ฝันโคตรโคตร"
ก็คงเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งซึ่งทำให้ผมต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอีก
ครั้งว่า เป็นเพราะหัวใจของผมมันตายด้านกับเรื่องความรักไปแล้วหรือเปล่า
หรือเป็นเพราะคุณภาพของมันกันแน่ ผมจึงไม่รู้สึกว่า "อิน" หรือ "ซึ้ง"
อะไรเลยกับหนังเรื่องนี้ (อย่าเพิ่งทักท้วงว่าหนังไม่ได้พูดเรื่องความรัก
เพียงเพราะเจตนารมณ์ของคนทำบอกว่าเป็นเรื่องความฝัน
เพราะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเลย
บรรยากาศของหนังทั้งเรื่องถูกห่มคลุมด้วยมวลแห่งความรักแบบชัดเจนและจงใจ)

คงเหมือนกับหลายๆ คน...พูดกันแบบซื่อๆ เลยครับว่า คนที่ชื่อ "พิง
ลำพระเพลิง" เคยทำให้ผมประทับใจมาแล้วด้วย "โคตรรักเอ็งเลย"
ซึ่งแม้จะเป็นแค่เพียงก้าวแรกบนเส้นทางการกำกับหนัง
แต่รัศมีแห่งการเป็นคนทำหนังคุณภาพของเขาก็ส่องสว่างเหลือเกินจากงานชิ้น
นั้น และถึงแม้คุณภาพของหนังเรื่องต่อมาอย่าง "คนหิ้วหัว"
ดูจะดร็อปลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น
มันก็ไม่ถึงกับทำให้ใครต่อใครรู้สึกสิ้นหวังกับคนทำหนังคนนี้
และเมื่อชีวิตการทำหนังของพิง ลำพระเพลิง เดินทางมาถึง "ฝันโคตรโคตร"
เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเกิดความรู้สึกแบบเดียวกันกับชื่อหนัง
คือฝันโคตรโคตร ว่ามันคงจะออกมา "ดีโคตรโคตร" แน่นอนโคตรโคตร

...หลังจากมอบบทแสดงนำให้กับ "โน้ส-อุดม แต้พานิช"
ในโคตรรักเอ็งเลย และรับบทรองๆ ในหนังเรื่องที่สองอย่าง "คนหิ้วหัว"
มาคราวนี้ พิง ลำพระเพลิง เรียกใช้บริการตัวเองอย่างเต็มพิกัด
เพราะนอกจากเขียนบทและกำกับ
เขายังขอรับเป็นพระเอกด้วยตัวเองอย่างไม่เกรงใครผู้ใดจะกล่าวหา ว่า
"หน้าตาไม่ให้"

และไม่ว่ามันจะเกิดจากแรงจูงใจใด...อยากเป็นพระเอก
หรือต้องการฉีกกฎหนังทั่วไปที่ชอบใช้ดาราหน้าตาดีๆ...แต่พิง ลำพระเพลิง
ในหนัง ก็คือ "ด่าง"
ชายวัยกลางคน-นักแสดงข้างถนนผู้ดูเหมือนว่าจะหมดสิ้นศรัทธาในเรื่องความรัก
ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และด่างก็คงอยู่แบบนั้นไปจนตาย
ถ้าเพียงแต่หญิงสาวอย่าง "เปิ้ล" (ภาวิณี วิริยะชัยกิจ)
จะไม่เดินเข้ามาในชีวิตของเขาพร้อมกับความคิดความเชื่อที่ไม่เพียงจะขัดแย้ง
กับความเชื่อของด่างอย่างสิ้นเชิง
แต่ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่ง "ดูป่วยๆ"
เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเองด้วย...

ครับ, ฟังเผินๆ จากพล็อตเรื่อง "ฝันโคตรโคตร" ดูคล้ายๆ
จะเป็นนิยายของผู้ชายสูงวัยที่บังเอิญไปมีรักกับหญิงสาวคนละรุ่น
ซึ่งถ้าจะพูดเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน เพียงแต่พิง ลำพระเพลิง
อาศัยลูกเล่นด้านการผูกพล็อตเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อน
และทำให้หนังพ้นไปจากเรื่องรักพื้นๆ ดาษๆ ประเภท "โคแก่ตัณหากลับ"
ที่อยากจะรับประทาน "หญ้าอ่อนๆ"

แน่นอน จุดเด่นๆ ที่คุณและผมเคยเห็นใน "โคตรรักเอ็งเลย"
ก็ยังคงมีอยู่ในงานชิ้นนี้ของพิง ลำพระเพลิง
ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบเพราะๆ ที่ชิงทำคะแนนไปก่อนตั้งแต่เปิดเรื่อง
รวมไปจนถึงพวกถ้อยคำสวยๆ หรือ Magic Words
(อย่างที่พูดถึงความแตกต่างระหว่างเวลากับนาฬิกา)
ที่แม้บางคนจะบอกว่ามันดู "เยอะ" และ "ยัดเยียด" จนเกินไป แต่ถึงยังไง
ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่า ผู้กำกับคนนี้คือ "นักคิด" และ
"นักประดิษฐ์ถ้อยคำ" ได้ดูดีที่สุดคนหนึ่ง
และถ้าไม่นับรวมความสดใสน่ารักของนักแสดงหญิง ผมก็คิดว่า
พวกเมจิกเวิร์ดซึ่งเป็นลายเซ็นของพิง ลำพระเพลิง
เหล่านี้นี่เองที่เป็นสิ่งที่ดีสุดอย่างหนึ่งของหนัง

แต่พูดก็พูดเถอะ ความรู้สึกดีๆ
แบบที่ผมเคยมีให้กับหนังเรื่องแรกของคุณพิง ดูจะเจือจางลงไปเยอะมาก
(หลังจากเริ่มจืดๆ มาแล้วกับ "คนหิ้วหัว") คือก็ยอมรับแหละครับว่า
ผู้กำกับเขา "คิดเยอะ" พอประมาณกับวิธีการผูกปมเล่าเรื่อง
แต่มันก็กลายเป็นกับดักที่ทำให้หนังไปไม่ถึงดวงดาวซะอย่างงั้น

ความพยายามซับซ้อนของหนังที่เล่นกับ "ความจริง" และ "ความฝัน"
สลับไขว้กันไปมา แทนที่จะเป็นตัวเสริมให้หนังดู "แพรวพราว" มีลูกเล่น
แต่กลับเป็น "เรื่องชวนงง" มากกว่าว่า อะไรคือส่วนไหนยังไง และสุดท้าย
หนังก็ทำให้คนดูสับสนไปเองว่า ตรงไหนคือความฝันของเปิ้ลหรือของด่าง
(ผมว่า มันจะเวิร์กกว่านี้
ถ้าหนังจะใช้เทคนิคเข้ามาช่วยเป็นตัวแบ่งเพื่อให้คนดูแยกได้ระหว่างสองฝัน
ของสองคน เช่น อาจจะใช้เทคนิคด้านสีของภาพเข้ามาช่วย
คือเมื่อเป็นฝันของด่าง อาจใช้สีเทาๆ เข้ากับคาแรกเตอร์หม่นๆ ของเขา
ขณะที่เปิ้ลอาจใช้สีสดใสๆ
หน่อยเพื่อให้แมทช์กับวันวัยและสายตาในการมองโลกของเธอ)

อย่างไรก็ดี ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไรนัก
สำหรับคนดูหนังซึ่งเคยผ่านงานที่เล่าเรื่องซับซ้อนหนักๆ อย่าง Eternal
Sunshine of the Spotless Mind หรือแม้แต่ Memento มาแล้ว
แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาของฝันโคตรโคตรมากที่สุดเลยก็คือ
หนังไม่สามารถทำให้ผม "รู้สึกเชื่อ"
ได้อย่างสนิทใจในสิ่งที่หนังกำลังเล่า

คือ หนังไม่สามารถสร้าง "เหตุผล" และ "ความชอบธรรม"
ให้กับความเป็นไปของตัวละครได้อย่างหนักแน่นเพียงพอ ตัวอย่างเช่น
การที่ด่างหมดหวังสิ้นศรัทธากับความรัก ผมว่า เหตุผลมันดู "อ่อน" และ
"เบา" เกินไป คือผมสงสัยไงครับว่า การที่คนรักตายจากไป
มันทำให้ผู้ชายคนหนึ่งถึงกับเลิกศรัทธาในความรักได้ยังไง

โอเค...ถ้าเมียหนีไปมีชู้กับชายอื่นล่ะก็ ว่าไปอย่าง จริงไหม?
(หรือถ้าจะพูดกันแบบมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ ไปเลยก็คือ
การที่ด่างเลิกศรัทธาในความรักเพราะเมียตายจากไป จริงๆ แล้ว
มันเป็นเพียงเหตุผลข้างๆ คูๆ ของคนคนหนึ่งซึ่งหวังจะ Fun
หญิงสาวโดยไม่ต้องมีความรู้สึกรักหรือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
เท่านั้นเอง ใช่ไหม?)

และเมื่อมองไปที่เนื้อหาในส่วนของเปิ้ล เราก็จะเห็นแต่ "คำถาม"
เต็มไปหมด โอเคล่ะ ต่อให้เราแกล้งลืมๆ ไปก่อนก็ได้ว่า จากเด็กตาดำๆ
คนหนึ่ง เปิ้ลกลายมาเป็นดาราดังได้อย่างไร...มันก็ยังมีความน่าสงสัยที่ไม่ชวนเชื่อ
ถืออยู่ในตัวละครตัวนี้เยอะแยะไปหมด เช่น
เธอหลงรักอะไรนักหนาในตัวของด่าง หรือเพราะอะไร
เธอถึงติดตามไปบ้านของด่างง่ายจังเลย ทั้งๆ
ที่เจอกันเพียงครั้งแรกในร้านขายของเก่า (และไม่ใช่แค่นั้น
เธอยังดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบอะไรด้วยซ้ำ เมื่อรู้ว่าด่างนั้นคิดจะ
"เผด็จศึก" เธอแบบไม่ปิดบังซ่อนเร้นโอเคล่ะ
ถึงแม้เปิ้ลจะแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจบ้าง แต่พอออกมาหน้าบ้าน
เธอกลับยิ้มย่องราวกับว่า
การที่ผู้ชายอยากมีเซ็กซ์ด้วยตั้งแต่วันแรกที่พบกันน่ะ
เป็นเรื่องน่าภูมิใจโคตรโคตร โอ้โฮ ให้ตายเถอะ พิง ลำพระเพลิง!!
คุณคิดอะไรของคุณอยู่??)

ขณะที่รายละเอียดของหนังไม่น่าเชื่อถือ
ผมคิดว่าการเข้าซีนอารมณ์แต่ละครั้งก็ดูแกนๆ แข็งๆ นั่นหมายความว่า หลายๆ
จังหวะ ผมว่าอารมณ์ของหนังมันยังไม่สุกงอมเพียงพอที่จะให้ตัวละครปลดปล่อยอารมณ์
ฟูมฟายหรือร่ำไห้อะไรออกมา และอย่างน้อยๆ อย่าลืมว่า
การที่คนคนหนึ่งจะเกิดอารมณ์โศกซึ้งถึงขั้นหลั่งน้ำตา มันต้องมี
"แรงผลัก" ที่หนักหนาเอาการเหมือนกันนะครับ
ไม่ใช่ว่าคนเราจะร้องไห้ได้พร่ำเพรื่ออะไรแบบนั้น

เรื่องแบบนี้ โทษอะไรไม่ได้เลยครับ นอกจากบทหนัง
อย่างเรื่องซีนอารมณ์ที่มันเป็นปัญหา
ก็เนื่องจากว่าบทมันยังไม่ส่งถึงขั้นให้ต้องฟูมฟายร่ำไห้อะไรออกมา
ถ้าคุณพิง ลำพระเพลิง จะย้อนกลับไปดูหนังเรื่องแรกของตัวเองอีกครั้ง
จะพบว่า วิธีการพัฒนาอารมณ์และความลึกของเรื่องราวและตัวละครนั้น
"โคตรรักเอ็งเลย" มีความเหนือชั้นกว่า "ฝันโคตรโคตร"
ราวกับเป็นผลงานของผู้กำกับคนละคนเลยทีเดียว

แน่นอนล่ะ ขณะที่รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนักกับหลายๆ ฉากที่ "ด่าง"
แสดงความหื่นกระหายอย่างออกนอกหน้าซึ่งผมเข้าใจไม่ได้เลยว่าหนังใส่เข้ามา
เพื่ออะไร (โลมเลียหญิงสาวบนรถ ดำน้ำลงไปในสระว่ายน้ำดูก้นสาวๆ ฯลฯ)
มองไปที่คอนเซ็ปต์ของหนังซึ่งถูกวางไว้ให้เป็นเรื่องของความฝัน
ก็ไม่รู้ว่าจะฝันไปเพื่ออะไรกัน
คือหนังจะบอกอะไรด้วยการให้คนคนหนึ่งไปอยู่ในฝันของอีกคน
ถ้าจะบอกว่ามันเป็นเหมือนการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของแต่ละคน
คำถามที่จะตามมาก็คือว่า เขาและเธอกำลัง "ขาด" และ "โหยหา"
อะไรกันอยู่หรือ?

ยิ่งในส่วนของด่างยิ่งน่าสงสัยมาก เพราะบางขณะ
ดูเหมือนเขาต้องการจะมีคนรัก แต่เอาเข้าจริงๆ
มันก็ดูขัดแย้งกันเองอยู่ในที เพราะหนังก็บอกเองไม่ใช่หรือว่า
ด่างนั้นหมดศรัทธาในความรักไปแล้ว ให้ตายเถอะ พับผ่าสิ!!! ตกลง
คุณจะเอายังไงกับตัวเองกันแน่ล่ะเนี่ย?

ก็ไม่ผิดหรอกครับ
ที่คนคนหนึ่งซึ่งเคยหมดศรัทธาในความรักจะลุกขึ้นมาจริงจังกับความรัก
แต่มันต้องมี "จุดเปลี่ยน" ครับ และถ้าจะบอกว่า
ก็เปิ้ลไงล่ะคือจุดเปลี่ยน ผมก็ไม่คิดว่า เปิ้ลจะมีบทบาทอะไรมากมายเลย
นอกเหนือไปจากการตกเป็น "ฝันเปียกแฉะเลอะชุดนอน" ของผู้ชายคนหนึ่ง
และพูดก็พูดเถอะ จนกระทั่งหนังจบ
ผมก็ยังมองไม่พบประกายความรักเปิ้ลในแววตาของด่างเลยแม้แต่น้อย

อันที่จริง ผมว่า คนแบบ "ด่าง"
น่าจะต้องได้ผ่านบทเรียนหรือบทลงโทษอะไรมากกว่านี้อีกนิด
เพื่อจะเปลี่ยนผ่านตัวเองไปสู่ความคิดความเชื่อแบบใหม่ และตั้งแต่ต้นจนจบ
เราก็ไม่มีวันรู้เลยว่า คนแบบด่าง จะเปลี่ยนความคิดที่ว่า
ถ้าผู้หญิงมาเล่นที่บ้าน ต้อง funๆๆ อย่างเดียว...แล้วหรือยัง?
ขณะที่เปิ้ลเองก็น่าจะมีแรงจูงใจและความชัดเจนมากกว่านี้ที่จะไปรักผู้ชาย
ที่ตัวเองบอกว่าเห็นแก่ตัว

และสุดท้าย ฝันโคตรโคตรทำให้ผมรู้สึกว่า
มันเหมือนกับมีเรื่องหลายๆ แง่มุมซ้อนทับกันอยู่
ทั้งเรื่องความภักดีที่ด่างมีต่อเมียรักผู้จากไป
หนังก็อยากจะบอก...เรื่องความฝันจะได้ทำหนังของชายวัยกลางคน
หนังก็นำเสนอ...เรื่องของความรักต่างรุ่น หนังก็พยายามจะสื่อสาร
แต่ไม่มีสักจุดเลยที่จะสามารถสร้าง Impact (ผลกระทบ) แรงๆ
ให้เกิดกับความรู้สึกของคนดูได้ เปรียบเทียบง่ายๆ
ถ้าด่างจะรู้สึกดีบ้างกับการ "ฝันเปียก" ที่สุขเสียวในยามหลับใหล
แต่ตื่นมาก็ลืมเลือน หนังเรื่องนี้ก็คงไม่ต่างกัน คือฟุ้งฝันไปเรื่อยๆ
และขาดแกนหลักที่แข็งแรงซึ่งจะสร้างอารมณ์สะเทือนใจให้คนดู
ไม่มีอะไรน่าจดจำประทับใจ...

ครับ, เมื่อมองดูที่สเกลของหนังซึ่งเล็กๆ
และใช้สอยตัวละครตัวสองตัว ทำให้ผมคิดไปถึงหนังอีกเรื่องอย่าง Happy
Birthday (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ที่ใช้ประโยชน์จากการมีตัวละครน้อยๆ
ค่อยๆ "บิวท์" และ "บี้" รวมถึง "ขยี้"
ความรู้สึกและลึกของตัวละครแบบสุดๆ เรียกว่า "รีดเค้น" มันออกมาจนได้
"ความปวดร้าวที่รุนแรง" มาชุดหนึ่ง แต่ฝันโคตรโคตรดูจะละเลยในแง่นี้
ดังนั้น พอถึงจังหวะที่จำเป็นจะต้องเข้าสู่ "ซีนอารมณ์" ที
ก็เลยต้องเข้าแบบแกนๆ อย่างที่เห็น

เหนือสิ่งอื่นใดที่พูดมาทั้งหมด ขณะที่หลายๆ คนอาจจะนึกสงสัยว่า
มันเป็นกำไรของคนดูผู้ชมหรือไม่ที่ได้เห็นเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของพิง
ลำพระเพลิง หรือคนดูจะรู้สึกบ้างหรือเปล่าว่าเขากำลังถูกยัดเยียดผลงานเก่าๆ
ของผู้กำกับคนนี้ที่หนังพาดพิงถึงอย่างโจ่งแจ้งและจงใจ ฯลฯ "ฝันโคตรโคตร"
ก็ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า
หัวใจของผมมันตายด้านจนถึงขั้นไม่สามารถจะ Appreciate (ซึมซับซาบซึ้ง)
สิ่งที่หนังนำเสนอ หรือมันเป็นเพราะอะไร
ผมถึงไม่รู้สึกซึ้งหรืออินกับหนังเรื่องนี้เลย (ผมไม่เคยอคติเลยนะครับว่า
คุณพิง ลำพระเพลิง
จะหยิบเอาเรื่องราวของตัวเองหรือของสัตว์ประหลาดที่ไหนมาเล่า
เพราะถ้ามันทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนังได้
ผมว่านั่นก็ประสบความสำเร็จแล้ว)

เพราะคำถามและความสงสัยนั้น...ภายหลังกลับมาจากการไปดู
"ฝันโคตรโคตร" ผมหยิบหนังแผ่นเก่าๆ มาดูติดต่อกัน 4 เรื่องรวด ไล่ตั้งแต่
Betty Blue, The Road Home ต่อด้วย Almost Famous และ One Fine Spring
Day แล้วผมก็ได้คำตอบ...

หัวใจของผมยังไม่ตายด้านครับ
เช่นเดียวกับที่ความรู้สึกนึกคิดที่จะซึมซับกับเรื่องซึ้งๆ
ก็ยังสบายดีอยู่โคตรโคตร...


http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000111850

1. ผมไปดูมาแล้ว เสียดายเงินและเวลา โคตรๆ

2. ผมเห็นด้วยกับคุณอภินันท์ 80 % ว่าห่วย

3. คุณพิงนี่ เอา อัตตา ของตัวเองมายัดเยียดให้คนดูสุดๆ เซ็ง

4. ผมดูหนังโรงมาอย่างจริงๆจังๆตั้งแต่ ปี1990 ไม่เกี่ยงว่าไทย หรือ เทศ

5. เรื่องไหนที่ดูหน้าหนัง ว่าไม่หนุก ก็ไม่เข้าไปแต่แรกแล้ว

แต่เรื่องนี้คิดแล้วว่าน่าจะดีนะ กลับกลายเป็นหนังน่านอนในโรงหนัง
1ใน5-6เรื่องที่ผมเซ็ง

อายุตั้งปูนนี้แล้ว ทำอะไรออกมาเนี่ย

ใครไปบีบคอพี่พิงแกให้รีบออกหนังแบบนี้ออกมาหรือ เฮ้อ...

ผมมันพวกขี้ขลาด วิจารณ์พี่พิง แต่ใส่แค่ชื่อ ไม่ใส่นามสกุล

ขอคารวะ คุณอภินันท์ ที่ใส่ทั้งชื่อและสกุล
สมเจตน์

1 ความคิดเห็น:

  1. ผมว่า คนดูการดำเนินเรื่องไม่ออกแบบนี้เป็นคนโง่นะครับ
    คนฉลาดเท่านั้นที่จะเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง

    ผมว่าคุณโง่และใจแคบไปหน่อย

    หรือไม่คุณคงมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากพิงออกไป แล้วรับมุมมองของพิงไม่ได้ เปิดใจกว้างๆ รับในสิ่งที่คนอื่นเป็นหน่อยนะครับ

    ตอบลบ