เนื่องจากปัจจุบันมีข่าวการปาหินใส่รถยนต์ตามถนนหลวงในหลายจังหวัด และดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของเพื่อนพนักงาน จึงขอเสนอวิธีการป้องกันดังนี้ 1.หากท่านมีกำลังทรัพย์ อาจติดฟิลม์กรองแสงชนิดใสที่กระจกหน้าทั้งบาน ประโยชน์นอกจากกันความร้อนแล้ว ฟิลม์ยังช่วยดูดซับแรงกระแทกจากก้อนหินที่มากระทบได้ดี
2.ส่วนใหญ่การปาหินมักเกิดขึ้นตอนกลางคืนบนถนนสายเปลี่ยวและมืด หากท่านขับรถผ่านถนนที่มีลักษณะดังกล่าว ควรเปิดไฟสูง (เมื่อมีโอกาส) เพื่อสอดส่องดูว่ามีรถจักรยานยนต์กำลังขับขี่สวนทางมาหรือไม่ เนื่องจากคนร้ายมักซ้อนท้ายรถ จยย. ที่ไม่เปิดไฟหน้า หากท่านเปิดไฟสูงนอกจากจะช่วยให้ท่านมองเห็นคนร้ายแล้วยังจะช่วยบดบังสายตาของคนร้ายได้ด้วย (ทำให้คนร้ายตาพร่าจากแสงไฟของท่าน) นอกจากนั้นท่านไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูงบนถนนที่มีลักษณะนี้ ให้ระวังทางโค้งมากเป็นพิเศษ เพราะคนร้ายมักใช้ทางโค้งเป็นจุดดักซุ่มรอ
3.หากท่านสังเกตุเห็นว่ามีรถ จยย. กำลังขับขี่สวนทางมายังท่าน ท่านควรรีบชลอความเร็วและเปลี่ยนช่องการจราจรให้ออกห่างจากรถ จยย. ดังกล่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร) ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนช่องจราจรได้ ให้ลดความเร็วให้เหลือเพียง 40 —60 พร้อมกับเปิดสัญญาณไฟกระพริบเพื่อเตือนรถที่ตามหลังท่านมาว่าท่านกำลังจะชลอตัว ความเร็วยิ่งช้าเท่าไร ความแรงของก้อนหินที่มากระทบรถของท่านก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
4.หากรถของท่านถูกปาหินใส่ได้รับความเสียหายแล้ว อย่าจอดรถในบริเวณนั้นทันที เพราะคนร้ายอาจตามมาปล้นทรัพย์สินของท่าน พยายามประคองรถช้าๆไปจนกว่าจะพบผู้คนและเข้าขอความช่วยเหลือ At present, there is news of gangs throwing stones into cars on highways in Thailand with an increasing rate almost every day. As we care for your safety, please take our advice when you drive.
1.If you can afford, have a transparent type car film placed on your car’s wind shield. Besides reducing heat, it will help absorb the impact of any flying object.
2.Most of the cases occurred at night on dark highways. If you have to use such roads, pop up your car’s high beam (when appropriate) to scan out for any bike coming to you from the front. Because the gangs often use bikes coming to you from the opposite direction and don’t show up their lights. Your high beam will help you spot the bikes and also will blur their eyes. And you should not be driving at high speed in this circumstance. Beware every curve you take, the gangs often pop up from road curves and hit you with a surprise attack.
3.If you spot an incoming bike, reduce your speed to 40 — 60 km (also give cars behind you a signal that you’re slowing down), the lower speed the lower velocity of the rock when it hits you. Depending on the traffic condition, change to a far side lane away from the bike.
4.If you get hit, do not panic, do not pull over or do not stop at the spot, the gangs may come to rob you at the scene. You must try to control your car and drive slowly to a safe place and ask for help.
ด้วยความห่วงใยจาก แผนกรักษาความปลอดภัย โรงแรม พุลแมน กรุงเทพ คิงเพาเวอร์
...+
▼
วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554
สำหรับผู้มีปัญหาคลอเรสเตอรอล
สำหรับผู้มีปัญหาคลอเรสเตอรอล ลองหันมาใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ปรุงอาหารดูนะคะ เพราะจะช่วยขนถ่ายและป้องกันการเกาะตัวของคลอเรสเตอรอลได้ดีค่ะ
จาก SMS Farmer Info -24 ก.ย.2554-11.22 น.
จาก SMS Farmer Info -24 ก.ย.2554-11.22 น.
การแก้ปัญหาลูกชิ้นปลาแช่ตู้เย็น
การแก้ปัญหาลูกชิ้นปลาแช่ตู้เย็นเก็บไว้นานๆ แล้วมีกลิ่นคาว ให้ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำต้มจนเดือด จึงลวกลูกชิ้นปลาก่อนที่จะนำไปปรุงอาหาร
จาก SMS Farmer Info -18 ก.ย. 2554 - 13.07 น.
จาก SMS Farmer Info -18 ก.ย. 2554 - 13.07 น.
สารพันคุณค่า “กล้วยน้ำว้า” ของดีใกล้ตัว
ผลไม้ที่หากินกันง่ายๆ ในบ้านเรา อย่างหนึ่งก็คือ “กล้วย” โดยเฉพาะ “กล้วยน้ำว้า” ที่ก็นับได้ว่าเป็นอาหารชนิดแรกในชีวิตของคนเรา รองลงมาน้ำนม และกล้วยน้ำว้านี้ นอกจากจะกินผลสุกเป็นอาหารแล้ว ก็ยังสามารถนำไปทำขนมต่างๆ หรือจะใช้ลำต้นและใบมาใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ด้วย
กล้วยน้ำว้า เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในเขตร้อน คนไทยในสมัยก่อน (และในสมัยนี้เป็นบางส่วน) ปลูกไว้เป็นไม้ประจำบ้านและใช้ประโยชน์ได้สารพัด ปกติแล้วเราก็จะกินกล้วยน้ำว้าสุกกัน ซึ่งก็จะช่วยในเรื่องการขับถ่าย มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา แก้ท้องผูก บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง และรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ส่วนผลดิบของกล้วยน้ำว้าก็มีสรรพคุณมากเช่นกัน คือ ช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาท้องเสียเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย โดยการหั่นผลดิบทั้งเปลือกเป็นแว่นแล้วตากให้แห้ง บดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดหรือใช้ชงน้ำร้อนดื่ม ใช้ครั้งละประมาณเท่ากับกล้วยครึ่งถึงหนึ่งผล หรือนำผงมาใช้โรยรักษาแผลเน่าเปื่อย แผลติดเชื้อ แผลเรื้อรัง
นอกจากนี้ ส่วนอื่นๆ ของกล้วยน้ำว้าก็ยังมีคุณประโยชน์มากมาย อาทิ หัวปลี ใช้แก้โรคลำไส้ โลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงน้ำนม บำรุงโลหิต ยางกล้วย ช่วยสมานแผล ห้ามเลือด ใบกล้วย ใช้ต้มอาบแก้เม็ดผดผื่นคัน ใช้ใบไปปิ้งนำมาปิดแผลไฟไหม้ ราก ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ผื่นคัน
เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว “108 เคล็ดกิน” คงต้องกลับไปหากล้วยน้ำว้ามาปลูกที่บ้านสักสองสามต้นแล้วกระมัง
กล้วยน้ำว้า เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในเขตร้อน คนไทยในสมัยก่อน (และในสมัยนี้เป็นบางส่วน) ปลูกไว้เป็นไม้ประจำบ้านและใช้ประโยชน์ได้สารพัด ปกติแล้วเราก็จะกินกล้วยน้ำว้าสุกกัน ซึ่งก็จะช่วยในเรื่องการขับถ่าย มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา แก้ท้องผูก บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง และรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ส่วนผลดิบของกล้วยน้ำว้าก็มีสรรพคุณมากเช่นกัน คือ ช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาท้องเสียเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย โดยการหั่นผลดิบทั้งเปลือกเป็นแว่นแล้วตากให้แห้ง บดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดหรือใช้ชงน้ำร้อนดื่ม ใช้ครั้งละประมาณเท่ากับกล้วยครึ่งถึงหนึ่งผล หรือนำผงมาใช้โรยรักษาแผลเน่าเปื่อย แผลติดเชื้อ แผลเรื้อรัง
นอกจากนี้ ส่วนอื่นๆ ของกล้วยน้ำว้าก็ยังมีคุณประโยชน์มากมาย อาทิ หัวปลี ใช้แก้โรคลำไส้ โลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงน้ำนม บำรุงโลหิต ยางกล้วย ช่วยสมานแผล ห้ามเลือด ใบกล้วย ใช้ต้มอาบแก้เม็ดผดผื่นคัน ใช้ใบไปปิ้งนำมาปิดแผลไฟไหม้ ราก ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ผื่นคัน
เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว “108 เคล็ดกิน” คงต้องกลับไปหากล้วยน้ำว้ามาปลูกที่บ้านสักสองสามต้นแล้วกระมัง
วิธีดับกลิ่นกระเทียมที่ฉุนติดมือนั้
วิธีดับกลิ่นกระเทียมที่ฉุนติดมือนั้น ทำได้ไม่ยาก บีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วขัดถูทำความสะอาดเล็บ แค่นี้กลิ่นกระเทียมก็จะหายไปจากมือคุณแล้วค่ะ
จาก SMS Farmer Info -25 ก.ย.2554 - 11.13 น.
จาก SMS Farmer Info -25 ก.ย.2554 - 11.13 น.
ประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง
ประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในเกาะเกร็ดมานานเช่นกัน ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 โดยจะเริ่มในตอนเช้า พระสงฆ์จะออกบิณฑบาตตามปรกติ คนมอญจะนำข้าว น้ำผี้ง และข้าวต้มลูกโยนมาใส่บาตร
ประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง มีความเป็นมาจากพุทธประวัติ คือสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงเลิกบำเพ็ญทุกขกิริยาแล้ว กลับมาเสวยกระยาหารตามปกติ แต่ความสมบูรณ์แห่งพระวรกายก็ยังไม่ฟื้นคืนดังเดิม จนนางสุชาดาได้กวนข้าวมธุปายาส ( ข้าวที่หุงด้วยนำนมเจือน้ำผึ้ง ) นำมาถวาย เมื่อได้เสวยข้าวมธุปายาสแล้ว ทำให้พระวรกายกลับสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว พระปรีชาญาณก็เกิด จนสามารถตรัสรู้สำเร็จพระโพธิญาณ มีอยู่คราวหนึ่งในช่วงเดือน 10 พระภิกษุทั้งหลายกายถูกฝนจนชุ่มด้วยน้ำฝน เกิดอาพาธจังหันอาเจียน ร่างกายซูบผอมเศร้าหมองลง เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบได้ทรงพุทธานุญาตให้ภิกษุรับและฉันน้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส และน้ำมันพืชได้ในยามวิกาล เพื่อระงับโรคและบำรุงร่างกาย เพราะถือว่าทั้ง 5 ชนิดเป็นเภสัชด้วย ด้วยเหตุนี้การตักบาตรนำผึ้ง จึงเป็นการถวายเภสัชทาน ได้ปฏิบัติสืบต่อมาจนเป็นประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง ตั้งแต่นั้นมา
ประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง มีความเป็นมาจากพุทธประวัติ คือสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงเลิกบำเพ็ญทุกขกิริยาแล้ว กลับมาเสวยกระยาหารตามปกติ แต่ความสมบูรณ์แห่งพระวรกายก็ยังไม่ฟื้นคืนดังเดิม จนนางสุชาดาได้กวนข้าวมธุปายาส ( ข้าวที่หุงด้วยนำนมเจือน้ำผึ้ง ) นำมาถวาย เมื่อได้เสวยข้าวมธุปายาสแล้ว ทำให้พระวรกายกลับสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว พระปรีชาญาณก็เกิด จนสามารถตรัสรู้สำเร็จพระโพธิญาณ มีอยู่คราวหนึ่งในช่วงเดือน 10 พระภิกษุทั้งหลายกายถูกฝนจนชุ่มด้วยน้ำฝน เกิดอาพาธจังหันอาเจียน ร่างกายซูบผอมเศร้าหมองลง เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบได้ทรงพุทธานุญาตให้ภิกษุรับและฉันน้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส และน้ำมันพืชได้ในยามวิกาล เพื่อระงับโรคและบำรุงร่างกาย เพราะถือว่าทั้ง 5 ชนิดเป็นเภสัชด้วย ด้วยเหตุนี้การตักบาตรนำผึ้ง จึงเป็นการถวายเภสัชทาน ได้ปฏิบัติสืบต่อมาจนเป็นประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง ตั้งแต่นั้นมา
"ประเพณีอุ้มพระดำน้ำและเทศกาลอาหารอร่อย " : 25 - 29 กย. 54 ณ ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ วัดไตรภูมิ วัดโบสถ์ชนะมาร
"ประเพณีอุ้มพระดำน้ำและเทศกาลอาหารอร่อย " : 25 - 29 กย. 54 ณ ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ วัดไตรภูมิ วัดโบสถ์ชนะมาร จ.เพชรบูรณ์ กิจกรรมในงาน อาทิ ขบวนแห่พระพุทธมหาธรรมราชาทางบกและทางน้ำ พิธีอุ้มพระดำน้ำ การแสดงแสงเสียง เทศกาลอาหารอร่อยและแข่งขันพายเรือทวนน้ำ สอบถามได้ที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดโทร. 0-5674-8980, 0-5672-1733, 0-5671-1365 หรือที่สำนักงานเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ โทร.0-5671-1475, 0-5671-1007
“เทศกาลงานเจ เยาวราชประจำปี 2554” : 26 ก.ย. - 5 ต.ค. 54 ณ บริเวณ ถ.เยาวราช
“เทศกาลงานเจ เยาวราชประจำปี 2554” : 26 ก.ย. - 5 ต.ค. 54 ณ บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา หรือวงเวียนโอเดียน ถ.เยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กิจกรรมในงาน อาทิ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การสวดมนต์ถวายกิวอ๋องอุกโจ้ว และขอพรจากพระเจ้า 9 พระองค์ทุกคืน พิธีรัวกลองปลุกมังกร ขบวนแห่รถบุปผชาติ การจำหน่ายอาหารเจจากผู้ประกอบการย่านเยาวราช การผัดหมี่มังกรมงคล 9 อย่าง มีทองคำเป็นส่วนผสม การห่อเปาะเปี๊ยะทองคำที่ยาวที่สุดในโลก
"ไหว้เจ้า 9 ศาล เทศกาลกินเจสมุทรสาคร" : 26 ก.ย. - 5 ต.ค. 54 ณ ริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร
"ไหว้เจ้า 9 ศาล เทศกาลกินเจสมุทรสาคร" : 26 ก.ย. - 5 ต.ค. 54 ณ ริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร และศาลเจ้า 9 แห่ง จ.สมุทรสาคร นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้ออาหารเจที่อร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัย จากชมรมร้านอาหารเจกว่า 50 ร้าน การผัดหมี่มหามงคล 9 มังกร แจกฟรี และการไหว้เจ้า 9 ศาล สอบถามที่เทศบาลนครสมุทรสาคร โทร. 0-3441-1011, 0-3441-1208 หรือที่ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0-3475-2847 - 8
"ประเพณีถือศีลกินผัก จังหวัดภูเก็ต" : 27 ก.ย. - 5 ต.ค. 54 ณ ศาลเจ้าต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต
"ประเพณีถือศีลกินผัก จังหวัดภูเก็ต" : 27 ก.ย. - 5 ต.ค. 54 ณ ศาลเจ้าต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต พิธีกรรมต่าง ๆ ของศาลเจ้าในจังหวัดภูเก็ต รับประทานอาหารเจ ถือศีลกินผัก ขบวนแห่พระที่ยิ่งใหญ่ สอบถามได้ที่ททท. สำนักงานภูเก็ต โทร. 0-7621-7138, 0-7621-1036
ศัตรูที่แท้จริง
คนในโลกทั้งหมดล้วนเกิดมาจากความรัก และเติบโตมาด้วยความรัก ไม่ว่าจะเป็น การทะนุถนอมเลี้ยงดูกันมาเช่นไรก็ตาม แต่ทุกคนจะสัมผัสได้ในสิ่งเหล่านั้น และยังคงดำเนินเส้นทางที่จะแสวงหาความรักจากคนใกล้ตัวและคนไกลตัว
มีหลายๆคนที่บ่นให้ฟังว่าไม่เคยพบรักแท้เลยในชีวิตมาก่อนเลย เจอใครเข้าก็รักไม่จริง หลอกลวง จะเพื่ออะไรก็แล้วแต่
บ้างก็บอกว่ารักเขาข้างเดียวแล้วเหี่ยวเฉา บ้างก็บอกว่าเจอคนรักแบบฉาบฉวย บ้างก็บอกว่าหาคนดีให้รักไม่ยักจะเจอหรือว่าเจอแล้วมักถูกแบ่งปัน
บ้างก็บอกว่าอยู่คนเดียวสบายกายสบายใจเฉิบ( แต่บ่นว่าเหงาให้ฟังอยู่บ่อยๆ ) และอย่างที่เราเห็กันนตามข่าวว่าหนังสือพิมพ์ที่ว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิด หรือรักแท้แพ้กิ๊กอะไรทำนองนั้น จนถึงขนาดตามฆ่าแกงกันก็มีมาก เพราะรักเป็นพิษถึงตายได้เชียว
แต่อย่างที่ผู้เขียนโปรยนำเรื่องบทความนี้ว่าทุกผู้คนเกิดจากความรัก ความรักที่มีต่อตัวเอง ความรักที่มีต่อคนที่เรารัก และอยากจะถ่ายทอดพันธุกรรมโดยธรรมชาติไปสู่รุ่นต่อรุ่นเปรียบ เสมือนสืบทอดความเป็นตัวตนของตนต่อไป เพื่อดำรงไว้ในอัตตาที่เรียกว่าเราหรือกู ซึ่งเป็นธรรม ชาติวิสัยหรือสัญชาตญาณในการเกิดมา
ความรักเป็นสิ่งเริ่มต้นในหลายๆอย่าง เพราะมันเป็นอารมณ์แห่งความสุขที่คนบนโลกชอบและอยากได้มันมาครอบครองเรือนใจ
การแสวงหาความรักจึงตามมาด้วยการแสวงหาอารมณ์อื่นๆมากมาย เพราะสิ่งที่แสวงหามันไม่ได้ราบรื่นดิลิฟเวอรี่หรือจัดส่งให้ถึงบ้านง่ายๆเสียอย่างนั้น
บางคนกว่าจะได้หรือสมหวังในความรัก อาจจะต้องเหนื่อยอย่างแสนสาหัส หรือแลกกับอะไรๆในชีวิตมากมาย ตั้งแต่ทรัพย์ เกียรติ หน้าที่การงาน ถ้าดูจากนิยายหรือเรื่องราวของคนบางคน ที่ถึงกับแลกมาความรักมาด้วยชีวิตที่เสี่ยงภัยก็มี
ความรักเป็นฐานให้เกิดความอิ่มใจ ว้าวุ่นใจ เหงา เบิกบานใจ เซื่องซึม ทุรนทุราย โกรธ เกลียด เสน่หา หึงหวง อื่นๆอีกมากมาย เพราะมันแผ่ความเป็นเจ้าของตามไปด้วย ที่เรียกว่าของกู
หากพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่งของความรัก จะเห็นว่าตวามรักเป็นจุดเกิดแห่งภพชาติหรือกิเลสสำคัญที่เป็นตัวร้ายสำหรับผู้แสวงหาความหลุดพ้นต้องการที่จะมุ่งออกจากวงกลมของวัฎสงสาร
ออกจะเป็นการยากที่เราจะสลัดละทิ้งความรัก เพราะมันอยู่กับเรามานานแสนนาน แม้กระทั่งหลายภพหลายชาติ หรือแม้กระทั่งกับชาติปัจจุบันที่ห่อหุ้มด้วยความรักมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
ความรักเป็นธรรมะระดับศีลธรรมที่ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ในการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ในสังคมระดับครอบครัวจนถึงระดับกว้างขวาง แต่จะต้องมีความปรารถนาดีและความเื้กื้อกูล ดีใจกับผู้อื่นและรู้จักวางที่เรียกันกว่าพรหมวิหารธรรมประกอบเข้าไปด้วย
ความรักเป็นของแนบเนียน ติดแน่น ทนนาน ดึงดูด ผิดกับความเกลียดชังแตกแยก ผลักไส วูบวาบ ดังนั้นการจะลืมความรักนั้นรู้สึกเหมือนจะยากกว่าจะลืมความเกลียดชัง เพราะมันโหยหารัญจวนใจ เหมือนสิ่งเสพติดทั้งหลาย ยากที่จะเลิกจะรัก เหมือนคำโฆษณาหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่า"หากจะรักต้องลืมคำว่าเสียใจ"
ความรักจึงเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจคน ที่ผู้คนทั้งโลกแทบจะถวิลหามาบูชา ใฝ่ฝัน ละเมอเพ้อพก และหลง
ตัวหลงนี้ ครูบาอาจารย์ท่านสอนนักสอนหนาว่าเป็นกิเลสตัวร้ายที่สุดในบรรดา โลภ โกรธ หลงที่เรียกว่าเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวงหรืออกุศลมูล เพราะมันแก้ไขได้ยากที่สุด จึงต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาตินี่แหละ
คำว่าโอฆะแปลว่าห้วงน้ำลึกและกว้าง ผู้ใดตกลงไปแล้ว ยากจะเป็นตัวของตัวเอง ยากจะขึ้นฝั่ง ยากที่จะทำอะไรได้ อันตรายจากห้วงน้ำนั้นเหลือจะกล่าว ใจคนที่ตกลงไปในวังวนของโอฆะหรือกิเลสพลัดพาไปก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกันนั้น
โอฆะนั้นมีสี่ประเภทคือ
กาม ( รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โผฎฐัพพะ ธรรมมารมณ์ )อันผูกใจน่าใคร่ น่ารัก น่าปารถนา
ภพหรือความใคร่ในความอยากมีอยากเป็นในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
มิจฉาทิฎฐิหรือความหลงผิดดังที่ทราบกันอยู่แล้ว หากหลงผิดจะเป็นเช่นไร
อวิชชาหรือความไม่รู้จริงความมืดบอดที่ทำให้หลง มัวเมา งมงาย ไร้เหตุผล ไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงของชีวิต ของโลก ของวัฎสงสาร คนที่ถูกอวิชชาพัดพาไปเหมือนกับเต่าตาบอดที่ตกในกระแสน้ำเชี่ยว ไม่ทราบดีร้ายแต่อย่างไร
เมื่อใจตกหลุมรักนั้น ย่อมเข้าสู่ห้วงน้ำลึกหรือโอฆะดังกล่าวข้างต้น ชีวิตก็เลยต้องเป็นเช่นนั้น
แล้วอะไรล่ะเป็นคนทำให้เราตกหลุมรัก ก็ตัวเราเองนั้นแหละ ที่ก่อสิ่งทั้งหมดที่เป็นผลของกรรม เพราะเราเป็นผู้เริ่มแห่งกรรมเพราะเจตนา จนทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น
อย่าไปมัวโทษใครเลยอยู่เลยที่ทำให้เราเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ศัตรูตัวร้ายหรือศัตรูที่แท้จริงอยู่ใกล้ๆกับตัวเรา จนเราแยกไม่ออก เพราะมันอยู่กับลมหายใจของตัวเรานั่นเอง เอวัง
ธรรมะสวัสดี
แสงหิ่งห้อย
คำว่าโอฆะเป็นกิเลสที่ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเหมือนห้วงน้ำลึกบ้าง ทะเลใหญ่ที่ตกไปแล้วรอดยากมีแต่ตายกับตายหรือจมตายในวัฎสงสาร ไม่ว่าจะเป็นกาม ภพที่แปลว่าการทำงานของจิตที่เกิดจากตัณหาหรือความอยาก มิจฉาทิฎฐิที่หลงผิดซับซ้อน และอวิชชา ความโง่บ้าใบ้
ท่านอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต ท่านเทศน์สอนว่าทุกข์ มันเป็นวิบากกรรมหรือผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่ต้องมัวหาทุกข์หรือเงาของเราเองหรอก หาเหตุที่มาแห่งทุกข์ถูกต้องกว่าที่เรียกว่าสมุทัยนั้นแหละโดยทำให้จิตสงบและมีกำลังหลังจากนั้นมันจะทำงานของมันเอง
ยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ยังร้ายมิสู้ใจคน แล้วเราเป็นคนๆนั้นหรือเปล่าที่กรอกยาพิษใส่ปากตนเอง น่าพิจารณาว่าอะไรคือมิตรอะไรคือศัตรู
จิตที่ฝึกดีแล้ว ท่านอาจารย์สยามดออู โชติกะ พระชาวพม่าผู้ฝึกฝนตนท่านเรียกว่า เพื่อนสนิทจิตของฉัน ( หาอ่านได้จากหนังสือชื่อนี้ครับ )
สะมะชัยโย
ใบโพธิ์แก่นธรรม ท่านอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เราบอกทุกข์ๆ แล้วทุกข์มันคืออะไรล่ะ.. นี่ทุกข์มันคืออะไร ไอ้ที่ว่าหนีทุกข์ ทุกข์นี้มันทุกข์เพราะเราเสียใจ เราเป็นอะไรต่างๆ นี่ มันเป็นทุกข์ประจำธาตุขันธ์ แต่ไอ้สังโยชน์ที่ร้อยรัดอยู่ในจิตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ที่มันร้อยรัดอยู่ในจิตนี้เราจะเข้าไปดูมันอย่างไร เราจะแก้ไขมันอย่างไร จิตใต้สำนึกนี่.. ถ้าจิตมันไม่สงบมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาไม่ได้
ฉะนั้นเขาบอกว่า ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอริยสัจ ๔ เขาบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เห็นไหม ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้สุขก็ได้แต่ทำไมไม่สอน แต่สอนให้รู้จักทุกข์
มันเป็นความจริง ทุกข์มันเป็นจริง สุขนี่นะมันเป็นแค่ความพอใจเท่านั้นแหละ มันก็เป็นสมุทัยอันหนึ่งนั่นแหละ.. สุขเวทนา ทุกขเวทนา มันก็เป็นสมุทัยทั้งนั้นแหละ มันเป็นตัณหาทั้งนั้นแหละ มันเป็นแต่ความพอใจหรือไม่พอใจ สุขทุกข์ของคนมันไม่เหมือนกันหรอก สุขทุกข์ของคนนี่รู้แต่ว่าบ้า ๕๐๐ จำพวกไง ใครบ้าชนิดไหน ได้สมบัติชนิดนั้นมันก็มีความสุขของมัน
แล้วความสุขของคนนี่ คนหนึ่งได้ชนิดนี้เป็นความสุข อีกคนหนึ่งได้เหมือนกัน ไม่เห็นเป็นความสุขเหมือนกันเลย เพราะความพอใจ เห็นไหม ความพอใจ ความรัก ความสุขใจของเขา เขาก็มีความสุขของเขา แล้วความสุขมันมีไหมล่ะ ความสุขมันมี มันมีเพราะมันพอใจไง มันพอใจมันก็มีความสุขใจ มันมีความสุขใจมันก็สุขเวทนา มันก็เวทนาอีก มันก็ไม่เข้าถึงทุกข์หรอก ไม่เข้าถึงสัจจะความจริง ไม่เข้าถึงอริยสัจ
แต่ถ้ามันทำความสงบเข้ามา.. เขาว่า “ขณะนี้ผมกำลังหนีทุกข์หรือเปล่า” นี่ถ้าเขานั่งสมาธิได้ ฉะนั้น “ถ้าต้องให้ผมพบกับเวทนา ให้ผมสู้กับเวทนา ให้ยอมรับว่าทุกข์”
ไม่ใช่ว่ายอมรับนะ ถ้ายอมรับว่าทุกข์นี่เราไม่มีปัญญาอะไรเลยเหรอ พอเราจิตสงบแล้วเราออกรู้ออกหา.. สักกายทิฏฐิ เห็นไหม มันต้องเป็นระดับไง สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิด จิตใจมันเห็นผิด เห็นผิดมันยึดว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา ถ้าเราพิจารณาตรงนั้นไป ถ้าทิฐิมันถูกนี่สัมมาทิฏฐิ
สักกายทิฏฐิ ! สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส.. สักกายทิฏฐิ เห็นไหม เราใช้ปัญญาแก้ไขจนมันเห็นเป็นความจริงขึ้นมา เห็นเป็นอริยสัจขึ้นมา
“สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”
ถ้าดับเป็นธรรมดา ก็นี่เวทนาเกิดดับๆ มันธรรมดาๆ.. มันธรรมดาอย่างไรล่ะ อะไรมันเป็นธรรมดา แล้วมันเกิดที่ไหนล่ะ ถ้ามันเห็นจริงขึ้นมานะ นี่สังโยชน์มันขาดตรงนั้น ถ้าสังโยชน์ขาดตรงนั้น นี่ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์.. ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕.. ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕
เราไปหาทุกข์ๆ นี่หาไม่เจอทุกข์หรอก เราหาทุกข์ไม่เจอนะ หาทุกข์คือตะครุบเงา ร้องไห้.. เจ็บปวดแสบร้อนเราก็ร้องไห้ ทุกข์ๆๆ อยากจะแก้ แก้ตรงไหน เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ดีใจเสียใจเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว พอผ่านไปแล้วก็ค่อยมาร้องไห้ พอร้องไห้ก็ไม่อยากจะทุกข์ไม่อยากจะร้องไห้แต่มันสัมผัสมาแล้ว มันสัมผัสมาแล้ว แต่ถ้ามันแก้ไขที่ใจแล้ว ถ้าใจมันจบ
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”
หมายเหตุแก่นธรรม
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลทางเมล์หรือเว็บต่างๆที่ไม่สามารถระบุชื่อได้ในแก่นธรรมตอนนี้ครับ
ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
มีหลายๆคนที่บ่นให้ฟังว่าไม่เคยพบรักแท้เลยในชีวิตมาก่อนเลย เจอใครเข้าก็รักไม่จริง หลอกลวง จะเพื่ออะไรก็แล้วแต่
บ้างก็บอกว่ารักเขาข้างเดียวแล้วเหี่ยวเฉา บ้างก็บอกว่าเจอคนรักแบบฉาบฉวย บ้างก็บอกว่าหาคนดีให้รักไม่ยักจะเจอหรือว่าเจอแล้วมักถูกแบ่งปัน
บ้างก็บอกว่าอยู่คนเดียวสบายกายสบายใจเฉิบ( แต่บ่นว่าเหงาให้ฟังอยู่บ่อยๆ ) และอย่างที่เราเห็กันนตามข่าวว่าหนังสือพิมพ์ที่ว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิด หรือรักแท้แพ้กิ๊กอะไรทำนองนั้น จนถึงขนาดตามฆ่าแกงกันก็มีมาก เพราะรักเป็นพิษถึงตายได้เชียว
แต่อย่างที่ผู้เขียนโปรยนำเรื่องบทความนี้ว่าทุกผู้คนเกิดจากความรัก ความรักที่มีต่อตัวเอง ความรักที่มีต่อคนที่เรารัก และอยากจะถ่ายทอดพันธุกรรมโดยธรรมชาติไปสู่รุ่นต่อรุ่นเปรียบ เสมือนสืบทอดความเป็นตัวตนของตนต่อไป เพื่อดำรงไว้ในอัตตาที่เรียกว่าเราหรือกู ซึ่งเป็นธรรม ชาติวิสัยหรือสัญชาตญาณในการเกิดมา
ความรักเป็นสิ่งเริ่มต้นในหลายๆอย่าง เพราะมันเป็นอารมณ์แห่งความสุขที่คนบนโลกชอบและอยากได้มันมาครอบครองเรือนใจ
การแสวงหาความรักจึงตามมาด้วยการแสวงหาอารมณ์อื่นๆมากมาย เพราะสิ่งที่แสวงหามันไม่ได้ราบรื่นดิลิฟเวอรี่หรือจัดส่งให้ถึงบ้านง่ายๆเสียอย่างนั้น
บางคนกว่าจะได้หรือสมหวังในความรัก อาจจะต้องเหนื่อยอย่างแสนสาหัส หรือแลกกับอะไรๆในชีวิตมากมาย ตั้งแต่ทรัพย์ เกียรติ หน้าที่การงาน ถ้าดูจากนิยายหรือเรื่องราวของคนบางคน ที่ถึงกับแลกมาความรักมาด้วยชีวิตที่เสี่ยงภัยก็มี
ความรักเป็นฐานให้เกิดความอิ่มใจ ว้าวุ่นใจ เหงา เบิกบานใจ เซื่องซึม ทุรนทุราย โกรธ เกลียด เสน่หา หึงหวง อื่นๆอีกมากมาย เพราะมันแผ่ความเป็นเจ้าของตามไปด้วย ที่เรียกว่าของกู
หากพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่งของความรัก จะเห็นว่าตวามรักเป็นจุดเกิดแห่งภพชาติหรือกิเลสสำคัญที่เป็นตัวร้ายสำหรับผู้แสวงหาความหลุดพ้นต้องการที่จะมุ่งออกจากวงกลมของวัฎสงสาร
ออกจะเป็นการยากที่เราจะสลัดละทิ้งความรัก เพราะมันอยู่กับเรามานานแสนนาน แม้กระทั่งหลายภพหลายชาติ หรือแม้กระทั่งกับชาติปัจจุบันที่ห่อหุ้มด้วยความรักมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
ความรักเป็นธรรมะระดับศีลธรรมที่ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ในการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ในสังคมระดับครอบครัวจนถึงระดับกว้างขวาง แต่จะต้องมีความปรารถนาดีและความเื้กื้อกูล ดีใจกับผู้อื่นและรู้จักวางที่เรียกันกว่าพรหมวิหารธรรมประกอบเข้าไปด้วย
ความรักเป็นของแนบเนียน ติดแน่น ทนนาน ดึงดูด ผิดกับความเกลียดชังแตกแยก ผลักไส วูบวาบ ดังนั้นการจะลืมความรักนั้นรู้สึกเหมือนจะยากกว่าจะลืมความเกลียดชัง เพราะมันโหยหารัญจวนใจ เหมือนสิ่งเสพติดทั้งหลาย ยากที่จะเลิกจะรัก เหมือนคำโฆษณาหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่า"หากจะรักต้องลืมคำว่าเสียใจ"
ความรักจึงเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจคน ที่ผู้คนทั้งโลกแทบจะถวิลหามาบูชา ใฝ่ฝัน ละเมอเพ้อพก และหลง
ตัวหลงนี้ ครูบาอาจารย์ท่านสอนนักสอนหนาว่าเป็นกิเลสตัวร้ายที่สุดในบรรดา โลภ โกรธ หลงที่เรียกว่าเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวงหรืออกุศลมูล เพราะมันแก้ไขได้ยากที่สุด จึงต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาตินี่แหละ
คำว่าโอฆะแปลว่าห้วงน้ำลึกและกว้าง ผู้ใดตกลงไปแล้ว ยากจะเป็นตัวของตัวเอง ยากจะขึ้นฝั่ง ยากที่จะทำอะไรได้ อันตรายจากห้วงน้ำนั้นเหลือจะกล่าว ใจคนที่ตกลงไปในวังวนของโอฆะหรือกิเลสพลัดพาไปก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกันนั้น
โอฆะนั้นมีสี่ประเภทคือ
กาม ( รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โผฎฐัพพะ ธรรมมารมณ์ )อันผูกใจน่าใคร่ น่ารัก น่าปารถนา
ภพหรือความใคร่ในความอยากมีอยากเป็นในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
มิจฉาทิฎฐิหรือความหลงผิดดังที่ทราบกันอยู่แล้ว หากหลงผิดจะเป็นเช่นไร
อวิชชาหรือความไม่รู้จริงความมืดบอดที่ทำให้หลง มัวเมา งมงาย ไร้เหตุผล ไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงของชีวิต ของโลก ของวัฎสงสาร คนที่ถูกอวิชชาพัดพาไปเหมือนกับเต่าตาบอดที่ตกในกระแสน้ำเชี่ยว ไม่ทราบดีร้ายแต่อย่างไร
เมื่อใจตกหลุมรักนั้น ย่อมเข้าสู่ห้วงน้ำลึกหรือโอฆะดังกล่าวข้างต้น ชีวิตก็เลยต้องเป็นเช่นนั้น
แล้วอะไรล่ะเป็นคนทำให้เราตกหลุมรัก ก็ตัวเราเองนั้นแหละ ที่ก่อสิ่งทั้งหมดที่เป็นผลของกรรม เพราะเราเป็นผู้เริ่มแห่งกรรมเพราะเจตนา จนทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น
อย่าไปมัวโทษใครเลยอยู่เลยที่ทำให้เราเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ศัตรูตัวร้ายหรือศัตรูที่แท้จริงอยู่ใกล้ๆกับตัวเรา จนเราแยกไม่ออก เพราะมันอยู่กับลมหายใจของตัวเรานั่นเอง เอวัง
ธรรมะสวัสดี
แสงหิ่งห้อย
คำว่าโอฆะเป็นกิเลสที่ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเหมือนห้วงน้ำลึกบ้าง ทะเลใหญ่ที่ตกไปแล้วรอดยากมีแต่ตายกับตายหรือจมตายในวัฎสงสาร ไม่ว่าจะเป็นกาม ภพที่แปลว่าการทำงานของจิตที่เกิดจากตัณหาหรือความอยาก มิจฉาทิฎฐิที่หลงผิดซับซ้อน และอวิชชา ความโง่บ้าใบ้
ท่านอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต ท่านเทศน์สอนว่าทุกข์ มันเป็นวิบากกรรมหรือผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่ต้องมัวหาทุกข์หรือเงาของเราเองหรอก หาเหตุที่มาแห่งทุกข์ถูกต้องกว่าที่เรียกว่าสมุทัยนั้นแหละโดยทำให้จิตสงบและมีกำลังหลังจากนั้นมันจะทำงานของมันเอง
ยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ยังร้ายมิสู้ใจคน แล้วเราเป็นคนๆนั้นหรือเปล่าที่กรอกยาพิษใส่ปากตนเอง น่าพิจารณาว่าอะไรคือมิตรอะไรคือศัตรู
จิตที่ฝึกดีแล้ว ท่านอาจารย์สยามดออู โชติกะ พระชาวพม่าผู้ฝึกฝนตนท่านเรียกว่า เพื่อนสนิทจิตของฉัน ( หาอ่านได้จากหนังสือชื่อนี้ครับ )
สะมะชัยโย
ใบโพธิ์แก่นธรรม ท่านอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เราบอกทุกข์ๆ แล้วทุกข์มันคืออะไรล่ะ.. นี่ทุกข์มันคืออะไร ไอ้ที่ว่าหนีทุกข์ ทุกข์นี้มันทุกข์เพราะเราเสียใจ เราเป็นอะไรต่างๆ นี่ มันเป็นทุกข์ประจำธาตุขันธ์ แต่ไอ้สังโยชน์ที่ร้อยรัดอยู่ในจิตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ที่มันร้อยรัดอยู่ในจิตนี้เราจะเข้าไปดูมันอย่างไร เราจะแก้ไขมันอย่างไร จิตใต้สำนึกนี่.. ถ้าจิตมันไม่สงบมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาไม่ได้
ฉะนั้นเขาบอกว่า ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอริยสัจ ๔ เขาบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เห็นไหม ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้สุขก็ได้แต่ทำไมไม่สอน แต่สอนให้รู้จักทุกข์
มันเป็นความจริง ทุกข์มันเป็นจริง สุขนี่นะมันเป็นแค่ความพอใจเท่านั้นแหละ มันก็เป็นสมุทัยอันหนึ่งนั่นแหละ.. สุขเวทนา ทุกขเวทนา มันก็เป็นสมุทัยทั้งนั้นแหละ มันเป็นตัณหาทั้งนั้นแหละ มันเป็นแต่ความพอใจหรือไม่พอใจ สุขทุกข์ของคนมันไม่เหมือนกันหรอก สุขทุกข์ของคนนี่รู้แต่ว่าบ้า ๕๐๐ จำพวกไง ใครบ้าชนิดไหน ได้สมบัติชนิดนั้นมันก็มีความสุขของมัน
แล้วความสุขของคนนี่ คนหนึ่งได้ชนิดนี้เป็นความสุข อีกคนหนึ่งได้เหมือนกัน ไม่เห็นเป็นความสุขเหมือนกันเลย เพราะความพอใจ เห็นไหม ความพอใจ ความรัก ความสุขใจของเขา เขาก็มีความสุขของเขา แล้วความสุขมันมีไหมล่ะ ความสุขมันมี มันมีเพราะมันพอใจไง มันพอใจมันก็มีความสุขใจ มันมีความสุขใจมันก็สุขเวทนา มันก็เวทนาอีก มันก็ไม่เข้าถึงทุกข์หรอก ไม่เข้าถึงสัจจะความจริง ไม่เข้าถึงอริยสัจ
แต่ถ้ามันทำความสงบเข้ามา.. เขาว่า “ขณะนี้ผมกำลังหนีทุกข์หรือเปล่า” นี่ถ้าเขานั่งสมาธิได้ ฉะนั้น “ถ้าต้องให้ผมพบกับเวทนา ให้ผมสู้กับเวทนา ให้ยอมรับว่าทุกข์”
ไม่ใช่ว่ายอมรับนะ ถ้ายอมรับว่าทุกข์นี่เราไม่มีปัญญาอะไรเลยเหรอ พอเราจิตสงบแล้วเราออกรู้ออกหา.. สักกายทิฏฐิ เห็นไหม มันต้องเป็นระดับไง สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิด จิตใจมันเห็นผิด เห็นผิดมันยึดว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา ถ้าเราพิจารณาตรงนั้นไป ถ้าทิฐิมันถูกนี่สัมมาทิฏฐิ
สักกายทิฏฐิ ! สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส.. สักกายทิฏฐิ เห็นไหม เราใช้ปัญญาแก้ไขจนมันเห็นเป็นความจริงขึ้นมา เห็นเป็นอริยสัจขึ้นมา
“สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”
ถ้าดับเป็นธรรมดา ก็นี่เวทนาเกิดดับๆ มันธรรมดาๆ.. มันธรรมดาอย่างไรล่ะ อะไรมันเป็นธรรมดา แล้วมันเกิดที่ไหนล่ะ ถ้ามันเห็นจริงขึ้นมานะ นี่สังโยชน์มันขาดตรงนั้น ถ้าสังโยชน์ขาดตรงนั้น นี่ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์.. ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕.. ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕
เราไปหาทุกข์ๆ นี่หาไม่เจอทุกข์หรอก เราหาทุกข์ไม่เจอนะ หาทุกข์คือตะครุบเงา ร้องไห้.. เจ็บปวดแสบร้อนเราก็ร้องไห้ ทุกข์ๆๆ อยากจะแก้ แก้ตรงไหน เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ดีใจเสียใจเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว พอผ่านไปแล้วก็ค่อยมาร้องไห้ พอร้องไห้ก็ไม่อยากจะทุกข์ไม่อยากจะร้องไห้แต่มันสัมผัสมาแล้ว มันสัมผัสมาแล้ว แต่ถ้ามันแก้ไขที่ใจแล้ว ถ้าใจมันจบ
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”
หมายเหตุแก่นธรรม
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลทางเมล์หรือเว็บต่างๆที่ไม่สามารถระบุชื่อได้ในแก่นธรรมตอนนี้ครับ
ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
อิฏฐารมณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในชั้นดาวดึงส์
เทพยดาทั้งหลายที่ได้มาบังเกิดในชั้นดาวดึงส์นี้ ล้วนแต่เป็นผู้ไดเสวยทิพยสมบัติ อันเป็นผลที่ได้รับมาจากกุสลกรรมในอดีตภพ ฉะนั้น อารมณ์ต่างๆ ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์นี้ จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดีงามทั้งนั้น เทวดาผู้ชายนั้นมีรูปร่างลักษณะอยู่ในวัยที่มีอายุราว ๒๐ ปี ส่วนเทวดาผู้หญิงก็มีรูปร่างอยู่ในวัยที่มีอายุราว ๑๖ ปีเหมือนกันทุกๆ องค์ ความชราคือ ผมหงอก ฟันหัก ตามัว หูตึง เนื้อหนังเหี่ยวย่น เหล่านี้ไม่มี มีแต่ความสวยงามเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดไป
พยาธิ คือความเจ็บไข้ก็ไม่มี อาหารที่เป็นเครื่องอุปโภคก็เป็นชนิดละเอียดเป็นสุธาโภชน์ ด้วยเหตุนี้ภายในร่างกายจึงไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ เทวดาผู้หญิงก็ไม่มีประจำเดือนและไม่ต้องมีครรภ์ ส่วนภุมมัฏฐเทพธิดาบางองค์นั้น มีประจำเดือนและมีครรภ์ เหมือนกับมนุษย์หญิงธรรมดา
ธรรมดาบุตรและธิดาทั้งหลายในเทวโลกนั้น จะได้บังเกิดเหมือนมนุษย์นั้นหามิได้ แต่บุตรธิดาเหล่านั้น ย่อมบังเกิดในตักแห่งเทวดาทั้งหลาย ถ้าแลนางฟ้าทั้งหลายจะบังเกิดเป็นบาทบริจาริกา ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในที่นอน เทวดาที่เป็น
(หน้าที่ 114)
พนักงานตกแต่งประดับอาภรณ์ วิภูษิต เครื่องทรงเป็นต้นนั้น ย่อมบังเกิดล้อมรอบที่นอน ถ้าจะเป็นไวยาวัจจกรนั้นย่อมบังเกิดขึ้นภายในวิมาน ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในลักกปัญหสุตตันตอรรถกถา และมูลปัณณาสอรรถกถาว่า เทวานํ ธีตา จ ปุตฺตา จ องฺเก นิพฺพตฺตนฺติ ปาทปริจาริกา อิตฺถิโย สยเน นิพฺพตฺตนฺติ ตาสํ มณฺฑนปสาธน การิกา เทวตา สยนํ ปริวาเรตฺวา นิพฺพตฺตนฺติ เวยฺยาวจฺจกรา อนฺโตวิมาเน นิพฺพตฺตนฺติ.
เมื่อเทวดาทั้งหลาย ไปบังเกิดขึ้นภายในวิมานของเทวดาองค์หนึ่งองค์ใดแล้ว ย่อมเป็นอันว่าเทวดาหรือนางฟ้าก็ตามที่บังเกิดขึ้นใหม่นั้น ต้องเป็นบริวารของเทวดาผู้เป็นเจ้าของวิมานนั้นๆ โดยที่เทวดาองค์อื่นๆ จะมาวิวาทแย่งชิงเอาไปไม่ได้เลย ถ้าเทพบุตรก็ดีหรือเทพธิดาก็ดี บังเกิดขึ้นภายนอกระหว่างกลางเขตแดนวิมานต่อวิมานแล้วเทวดาที่เป็นเจ้าของ วิมานนั้น ก็บังเกิดการวิวาทแก่กัน เพื่อแย่งชิงเอาเทวดาทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นใหม่นั้นมาเป็นกรรมสิทธิของตน ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถจะตัดสินใจได้ว่าเทวดาที่บังเกิดขึ้นใหม่นั้นจะ เป็นของใครได้แล้วก็พากันไปสู่สำนักแห่งท้าวสักกเทวราชผู้เป็นอธิบดีใหญ่ กว่าเทวดาทั้งปวง ถ้าวิมานของเทวดาองค์ใดอยู่ใกล้กว่ากัน ท้าวสักกะเทวราชก็พิพากษาให้เป็นของเทวดาองค์นั้น ถ้าเทวดาผู้บังเกิดใหม่ปรากฏขึ้นในที่ท่ามกลางเสมอกันแห่งวิมานของเทวดา ๒ องค์ เทวดาที่บังเกิดใหม่นั้น เล็งแลดูวิมานของเทวดาองค์ใด ท้าวสักกะก็พิพากษาให้เป็นของเทวดาองค์นั้น ถ้าเทวดาผู้บังเกิดใหม่ มิได้ดูแลซึ่งวิมานหนึ่งวิมานใด แล้วท้าวสักกะก็พิพากษาให้เป็นของพระองค์เสียเอง เพื่อตัดความวิวาทแห่งเทวดาทั้งหลายเสีย เทวดาบางองค์ก็มีนางฟ้าเป็นบาทบริจากา ๕๐๐ บ้าง ๗๐๐ บ้าง ๑๐๐๐ บ้าง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า เทวดาที่ไม่มีวิมานอยู่โดยเฉพาะของตนก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก และในเทวโลกนี้ก็เป็นไปคล้ายๆกับในมนุษยโลกคือมีการทะเลาะวิวาทกัน และมีผู้พิพากษาตัดสินความเช่นกัน
เทพบุตรและเทพธิดาที่อยู่ในเทวโลกนี้ ก็มีการไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับมนุษยโลก จะพึงรู้ได้จากเรื่องเทพบุตรที่เป็นนักเล่นดนตรีองค์หนึ่งชื่อว่าปัญจสิขะ เทพบุตรองค์นี้ ชำนาญในการดีดพิณที่มีชื่อว่าเพลุวะ และชำนาญในการ
(หน้าที่ 115)
ขับร้องมีความรักใคร่ในสูริยวัจฉสาเทพธิดา ซึ่งเป็นธิดาของเทวดาผู้ใหญ่องค์หนึ่งชื่อว่าติมพรุเทพบุตร
วันหนึ่ง ปัญจสิขะเทพบุตรได้ไปหาสูริยวัจฉสาเทพธิดา และได้ติดพิณขับร้องมีใจความว่า
ยํ เม อตฺถิ กตํ ปุญฺญํ อรหนฺเตสุ ตาทิสุ
ตํ เม สพฺพงฺคกลฺยาณิ ตยา สทฺธึ วิปจฺจตํ.
แปลความว่า แน่ะ นางที่มีเรือนร่างที่งดงาม กุศลใดๆ
ที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างสมมาแล้วต่อพระอรหันต์ที่มีคุณต่างๆ
ขอกุศลนั้นๆ จงเป็นผลสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และแม่นางทุก
ประการเทอญ
แต่เทพธิดาสุรนวัจฉสานั้น ได้รักใคร่กันกับสิขันติเทพบุตร ซึ่งเป็นบุตรของมาตุลีเทพบุตร เมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายมีความรักไม่ตรงกันเช่นนี้ ท้าวโลกีย์เทวราชทรงพิจารณาเห็นว่า ปัญจสิขเทพบุตรเป็นผู้มีความดีความชอบ และทำคุณประโยชน์ ให้แก่พระองค์มาก จึงตัดสินพระทัยยกสูริยวัจฉสาเทพให้แก่ปัญจสิขเทพบุตร
เทพธิดาบางองค์มีวิมานอยู่โดยเฉพาะๆ ของตนแล้วแต่ยังขาดคู่ครอง ก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตน ไม่มีความเบิกบานและร่าเริงเหมือนกับเทพธิดาที่มีคู่ครองทั้งหลาย ส่วนเทพธิดาที่มีคู่ครอง ต่างก็ชวนกันไปแสวงหาความสุขสำราญในสถานทั้ง ๔ แห่ง พร้อมด้วยบริวารของตน
อนึ่ง บริวาร วิมาน และรูปารมณ์ต่างๆ อันเป็นสมบัติของเทพยดาทั้งหลายนั้น มีความสวยงามยิ่งหย่อนกว่ากันและกัน แล้วแต่กุศลกรรมที่ตนได้สร้างสมไว้ ฉะนั้น รัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายและอาภรณ์ภูษาที่เป็นเครื่องประดับเครื่องทรงของ เทพบุตรเละเทพธิดาทั้งหลาย พร้อมทั้งวิมานอันเป็นที่อยู่ของตนๆนั้น บางองค์ก็มีรัศมีสว่าง ๑๒ โยชน์ ถ้าองค์ใดมีบุญมาก ก็มีรัศมีสว่างถึง ๑๐๐ โยชน์ ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในอรรถกถาแห่งทีฆนิกายมหาวรรคว่า
ที่มา ปรมัตถโชติกะ
พยาธิ คือความเจ็บไข้ก็ไม่มี อาหารที่เป็นเครื่องอุปโภคก็เป็นชนิดละเอียดเป็นสุธาโภชน์ ด้วยเหตุนี้ภายในร่างกายจึงไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ เทวดาผู้หญิงก็ไม่มีประจำเดือนและไม่ต้องมีครรภ์ ส่วนภุมมัฏฐเทพธิดาบางองค์นั้น มีประจำเดือนและมีครรภ์ เหมือนกับมนุษย์หญิงธรรมดา
ธรรมดาบุตรและธิดาทั้งหลายในเทวโลกนั้น จะได้บังเกิดเหมือนมนุษย์นั้นหามิได้ แต่บุตรธิดาเหล่านั้น ย่อมบังเกิดในตักแห่งเทวดาทั้งหลาย ถ้าแลนางฟ้าทั้งหลายจะบังเกิดเป็นบาทบริจาริกา ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในที่นอน เทวดาที่เป็น
(หน้าที่ 114)
พนักงานตกแต่งประดับอาภรณ์ วิภูษิต เครื่องทรงเป็นต้นนั้น ย่อมบังเกิดล้อมรอบที่นอน ถ้าจะเป็นไวยาวัจจกรนั้นย่อมบังเกิดขึ้นภายในวิมาน ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในลักกปัญหสุตตันตอรรถกถา และมูลปัณณาสอรรถกถาว่า เทวานํ ธีตา จ ปุตฺตา จ องฺเก นิพฺพตฺตนฺติ ปาทปริจาริกา อิตฺถิโย สยเน นิพฺพตฺตนฺติ ตาสํ มณฺฑนปสาธน การิกา เทวตา สยนํ ปริวาเรตฺวา นิพฺพตฺตนฺติ เวยฺยาวจฺจกรา อนฺโตวิมาเน นิพฺพตฺตนฺติ.
เมื่อเทวดาทั้งหลาย ไปบังเกิดขึ้นภายในวิมานของเทวดาองค์หนึ่งองค์ใดแล้ว ย่อมเป็นอันว่าเทวดาหรือนางฟ้าก็ตามที่บังเกิดขึ้นใหม่นั้น ต้องเป็นบริวารของเทวดาผู้เป็นเจ้าของวิมานนั้นๆ โดยที่เทวดาองค์อื่นๆ จะมาวิวาทแย่งชิงเอาไปไม่ได้เลย ถ้าเทพบุตรก็ดีหรือเทพธิดาก็ดี บังเกิดขึ้นภายนอกระหว่างกลางเขตแดนวิมานต่อวิมานแล้วเทวดาที่เป็นเจ้าของ วิมานนั้น ก็บังเกิดการวิวาทแก่กัน เพื่อแย่งชิงเอาเทวดาทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นใหม่นั้นมาเป็นกรรมสิทธิของตน ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถจะตัดสินใจได้ว่าเทวดาที่บังเกิดขึ้นใหม่นั้นจะ เป็นของใครได้แล้วก็พากันไปสู่สำนักแห่งท้าวสักกเทวราชผู้เป็นอธิบดีใหญ่ กว่าเทวดาทั้งปวง ถ้าวิมานของเทวดาองค์ใดอยู่ใกล้กว่ากัน ท้าวสักกะเทวราชก็พิพากษาให้เป็นของเทวดาองค์นั้น ถ้าเทวดาผู้บังเกิดใหม่ปรากฏขึ้นในที่ท่ามกลางเสมอกันแห่งวิมานของเทวดา ๒ องค์ เทวดาที่บังเกิดใหม่นั้น เล็งแลดูวิมานของเทวดาองค์ใด ท้าวสักกะก็พิพากษาให้เป็นของเทวดาองค์นั้น ถ้าเทวดาผู้บังเกิดใหม่ มิได้ดูแลซึ่งวิมานหนึ่งวิมานใด แล้วท้าวสักกะก็พิพากษาให้เป็นของพระองค์เสียเอง เพื่อตัดความวิวาทแห่งเทวดาทั้งหลายเสีย เทวดาบางองค์ก็มีนางฟ้าเป็นบาทบริจากา ๕๐๐ บ้าง ๗๐๐ บ้าง ๑๐๐๐ บ้าง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า เทวดาที่ไม่มีวิมานอยู่โดยเฉพาะของตนก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก และในเทวโลกนี้ก็เป็นไปคล้ายๆกับในมนุษยโลกคือมีการทะเลาะวิวาทกัน และมีผู้พิพากษาตัดสินความเช่นกัน
เทพบุตรและเทพธิดาที่อยู่ในเทวโลกนี้ ก็มีการไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับมนุษยโลก จะพึงรู้ได้จากเรื่องเทพบุตรที่เป็นนักเล่นดนตรีองค์หนึ่งชื่อว่าปัญจสิขะ เทพบุตรองค์นี้ ชำนาญในการดีดพิณที่มีชื่อว่าเพลุวะ และชำนาญในการ
(หน้าที่ 115)
ขับร้องมีความรักใคร่ในสูริยวัจฉสาเทพธิดา ซึ่งเป็นธิดาของเทวดาผู้ใหญ่องค์หนึ่งชื่อว่าติมพรุเทพบุตร
วันหนึ่ง ปัญจสิขะเทพบุตรได้ไปหาสูริยวัจฉสาเทพธิดา และได้ติดพิณขับร้องมีใจความว่า
ยํ เม อตฺถิ กตํ ปุญฺญํ อรหนฺเตสุ ตาทิสุ
ตํ เม สพฺพงฺคกลฺยาณิ ตยา สทฺธึ วิปจฺจตํ.
แปลความว่า แน่ะ นางที่มีเรือนร่างที่งดงาม กุศลใดๆ
ที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างสมมาแล้วต่อพระอรหันต์ที่มีคุณต่างๆ
ขอกุศลนั้นๆ จงเป็นผลสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และแม่นางทุก
ประการเทอญ
แต่เทพธิดาสุรนวัจฉสานั้น ได้รักใคร่กันกับสิขันติเทพบุตร ซึ่งเป็นบุตรของมาตุลีเทพบุตร เมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายมีความรักไม่ตรงกันเช่นนี้ ท้าวโลกีย์เทวราชทรงพิจารณาเห็นว่า ปัญจสิขเทพบุตรเป็นผู้มีความดีความชอบ และทำคุณประโยชน์ ให้แก่พระองค์มาก จึงตัดสินพระทัยยกสูริยวัจฉสาเทพให้แก่ปัญจสิขเทพบุตร
เทพธิดาบางองค์มีวิมานอยู่โดยเฉพาะๆ ของตนแล้วแต่ยังขาดคู่ครอง ก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตน ไม่มีความเบิกบานและร่าเริงเหมือนกับเทพธิดาที่มีคู่ครองทั้งหลาย ส่วนเทพธิดาที่มีคู่ครอง ต่างก็ชวนกันไปแสวงหาความสุขสำราญในสถานทั้ง ๔ แห่ง พร้อมด้วยบริวารของตน
อนึ่ง บริวาร วิมาน และรูปารมณ์ต่างๆ อันเป็นสมบัติของเทพยดาทั้งหลายนั้น มีความสวยงามยิ่งหย่อนกว่ากันและกัน แล้วแต่กุศลกรรมที่ตนได้สร้างสมไว้ ฉะนั้น รัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายและอาภรณ์ภูษาที่เป็นเครื่องประดับเครื่องทรงของ เทพบุตรเละเทพธิดาทั้งหลาย พร้อมทั้งวิมานอันเป็นที่อยู่ของตนๆนั้น บางองค์ก็มีรัศมีสว่าง ๑๒ โยชน์ ถ้าองค์ใดมีบุญมาก ก็มีรัศมีสว่างถึง ๑๐๐ โยชน์ ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในอรรถกถาแห่งทีฆนิกายมหาวรรคว่า
ที่มา ปรมัตถโชติกะ
ปรัชญาพุทธกับคนรัก (ที่ไม่รักเรา)
โดยว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi) เมื่อ 17 กันยายน 2010 เวลา 15:09 น.
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิงไป
จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย
ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้า
จึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า "โยมจะทำอะไรรึ"
หญิงสาว "อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ
ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"
หญิงสาวตอบ พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"
หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า"ทำไมล่ะเจ้าคะ"
พระธุดงส์ตอบว่า"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"
หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์ตอบ"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด
แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม
ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิงไป
จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย
ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้า
จึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า "โยมจะทำอะไรรึ"
หญิงสาว "อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ
ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"
หญิงสาวตอบ พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"
หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า"ทำไมล่ะเจ้าคะ"
พระธุดงส์ตอบว่า"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"
หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์ตอบ"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด
แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม
ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"
ข่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา
ข่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา จึงใช้รักษากลากเกลื้อนได้ ถ้าตำผสมเหล้าขาวพอกทาผิว ผิวจะเกลี้ยงเกลา ลดผื่นคัน แก้ลมพิษได้ด้วย
จาก SMS Farmer Info -18 ก.ย.2554 -11.18 น
จาก SMS Farmer Info -18 ก.ย.2554 -11.18 น
หากมีอาการผิวหนังแสบร้อนจากแดดเผา
หากมีอาการผิวหนังแสบร้อนจากแดดเผาหรือฟกช้ำตามเนื้อตัว ให้นำเปลือกแตงโมแช่จนเย็น แล้วนำมาประคบผิวหนังจะช่วยลดปวดร้อน และผิวชุ่มชื้นขึ้น
จาก SMS Farmer Info -17ก.ย.2554 - 11.13 น.
จาก SMS Farmer Info -17ก.ย.2554 - 11.13 น.
การหมักเนื้อสเตกให้นุ่มอร่อย
การหมักเนื้อสเตกให้นุ่มอร่อย ให้ใส่น้ำสัปปะรดลงในน้ำหมักด้วยสัดส่วนน้ำสัปปะรด 1 ช้อนโต๊ะต่อเนื้อ 1 กก.หมักไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง
จาก SMS Farmer Info -25 ก.ย.2554 - 13.11 น.
จาก SMS Farmer Info -25 ก.ย.2554 - 13.11 น.
เกษตรกรที่เลี้ยงปลาหลังฝนตกควรเปิดเครื่องตีน้ำ
เกษตรกรที่เลี้ยงปลาหลังฝนตกควรเปิดเครื่องตีน้ำ เพื่อเพิ่มออกซิเจน/คลุกเคล้าน้ำฝนกับน้ำในบ่อให้เข้ากัน ป้องกันการแบ่งชั้นน้ำ ลดปัญหาปลาตาย
จาก SMS Farmer Info -20 ก.ย.2554-11.20 น.
จาก SMS Farmer Info -20 ก.ย.2554-11.20 น.
การอบเนื้อไม่ให้ติดก้นกะทะ
การอบเนื้อไม่ให้ติดก้นกะทะให้ใส่ขึ้นฉ่ายที่ก้นกะทะ2-3 ใบ ช่วยให้เนื้ออบไม่ติดกระทะและยังทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากขึ้นด้วย
จาก SMS Farmer Info - 24 ก.ย.2554- 13.15 น.
จาก SMS Farmer Info - 24 ก.ย.2554- 13.15 น.
โรครากเน่าโคนเน่าทุเรียน
โรครากเน่าโคนเน่าทุเรียนเป็นแล้วตายเกือบ 100 % การสังเกตต้นที่เป็นโรค - ใบจะด้านไม่มัน ต่อมาซีดเหลืองอย่างรวดเร็วแล้วร่วง ช่อดอกแห้งติดต้น
จาก SMS Farmer Info - 26 ก.ย.2554 - 11.30
จาก SMS Farmer Info - 26 ก.ย.2554 - 11.30
คีเปล เป็นไม้แปลกหายากของโลก
คีเปล เป็นไม้แปลกหายากของโลก สรรพคุณเด่น คือ เมื่อทานผลเข้าไปแล้วจะทำให้เหงื่อหรือกลิ่นตัวหอมสดชื่น เมื่อขับปัสสาวะออกมาจะมีกลิ่นหอม
จาก SMS Farmer Info - 23 ก.ย.2554 - 11.36 น.
จาก SMS Farmer Info - 23 ก.ย.2554 - 11.36 น.
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
เห็นน้ำไม่เห็นป่า : การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่สร้างวิกฤตซ้ำซาก โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ
‘ความเลวร้ายรุนแรง’ จะเป็นผลลัพธ์ของสถานการณ์จำลองอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้ (scenario of plausible futures) ของวิกฤตการณ์น้ำในประเทศไทยไม่ว่ารัฐบาลจะประกาศเดินหน้าบูรณาการปัญหาน้ำหนักแน่นเพียงใด เพราะตราบใดที่รัฐซึ่งกุมกลไกในการบริหารจัดการน้ำเชิงโครงสร้างทั้งในระดับท้องถิ่นและประเทศไม่ ‘ปฏิรูป’ กระบวนทัศน์การบริหารจัดการเสียใหม่ให้เลิกรวมศูนย์อำนาจ ตราบนั้นอุทกภัยและภัยแล้งก็จะยังคงก่อความเสียหายรุนแรงต่อประชาชน ตลอดจนสร้างความขัดแย้งเลวร้ายสู่สังคมไทย
ในการแก้ไขวิกฤตการณ์น้ำ ลำพังแค่คำประกาศนโยบายการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการที่ขาดการแปรเป็นปฏิบัติการที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนบนความสมดุลของระบบนิเวศจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งได้ ด้วยถึงที่สุดแล้วมาตรการหรือแนวนโยบายต่างๆ ที่ออกมาไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ทั้งผูกขาดและเหลื่อมล้ำ รวมทั้งยังผลิตซ้ำการเยียวยาช่วยเหลือเหยื่อน้ำท่วมรวมถึงภัยแล้งแบบปลายเหตุทุกๆ ปี
ด้วยเหตุนี้การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการจึงต้องมอง ‘ป่าทั้งป่า’ เหมือนดังข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ที่ให้รัฐกำหนดนโยบายทรัพยากรน้ำที่มีความเชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรส่วนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าต้นน้ำ ที่ดิน ระบบนิเวศ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การผังเมือง และวิถีชีวิตประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ อย่างสมดุลทั้งทางนิเวศ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพราะการรวมศูนย์อำนาจและการตัดสินใจไว้ส่วนกลาง (centralization) ดังที่แล้วมาได้ทำให้โครงสร้างระบบราชการที่แยกการบริหารออกเป็นส่วนๆ ตามหน้าที่ไม่สามารถจัดการวิกฤตน้ำโดยเชื่อมโยงองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ ไม่เท่านั้นยังไปลดทอนพลังของท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าส่วนกลางในการจัดการน้ำที่สอดรับกับความเร่งด่วนของสถานการณ์และความจำเป็นของคนในพื้นที่
ที่สำคัญการจัดการน้ำแบบแยกส่วนของภาครัฐยังเป็นฐานที่มั่นหลักในการอ้างอิงความชอบธรรมของการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างเขื่อนหรือการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำของหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่มักไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านนิเวศหรือความสอดคล้องกับวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของคนท้องถิ่น รวมถึงการกำหนดแผนการใช้น้ำที่มากเกินความเป็นไปได้ทั้งในด้านความคุ้มทุนและระบบนิเวศ
วิกฤตน้ำทั่วประเทศที่ทวีจำนวนขึ้นทั้งด้านความรุนแรงและระยะเวลาที่ทอดยาวนานในแต่ละครั้งจึงเป็นดั่งรูปธรรมความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการน้ำของรัฐ เพราะไม่เพียงบรรเทาวิกฤตชีวิตผู้คนที่ทุกข์ทรมานกับน้ำท่วมรวมถึงภัยแล้งไม่ได้เท่านั้น ทว่ายังสะท้อนแนวทางการพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมาด้วยว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเขื่อนขนาดใหญ่ 45 เขื่อน เขื่อนขนาดกลางและเล็กราว 14,000 เขื่อน และโครงการสูบนํ้าด้วยไฟฟ้า 2,500 แห่ง นอกจากจะคลี่คลายความรุนแรงของพิบัติภัยไม่ได้ ยังไปปิดกั้นทางเลือกในการพัฒนาแหล่งน้ำที่สอดคล้องกับสภาพภูมินิเวศและวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ อีกด้วย
สถานการณ์นํ้าท่วมใหญ่ในลุ่มนํ้าชี มูล เจ้าพระยา ปลายปีที่แล้วจึงสะท้อนการบริหารจัดการน้ำของรัฐว่ามีความผิดพลาดแม้จะมีเขื่อนขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือ อีกทั้งยังใช้กลไกป้องกันแก้ไขและเยียวยาผลกระทบที่ไม่ทันการ ซึ่งสถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้นอาจหวนคืนมาอีกปลายปีนี้ถ้ายังไม่ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับโครงสร้างควบคู่กับแก้ไขวิกฤตเฉพาะหน้าที่มากกว่าการให้เงินช่วยเหลือ
ด้วยแนวทางการบริหารจัดการน้ำดังนี้ การมองสาเหตุปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งของรัฐจึงมักไม่รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า การก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ หรือการวางผังเมืองที่ไปกีดขวางทางเดินน้ำ ดังปรากฏการณ์แผ้วถางป่าต้นน้ำสร้างรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศ และการรุกป่าปลูกสวนยางหลายร้อยไร่ในภูเขาที่เป็นป่าต้นน้ำที่ไม่เคยถูกอธิบายอย่างเชื่อมโยงกับการเกิดอุทกภัยและภัยแล้งอย่างมีน้ำหนักมากเท่ากับการเสนอมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบเหตุภัยพิบัติ ที่ถึงที่สุดก็ไปไม่ไกลกว่า ‘จำนวนเงิน’
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘การเห็นน้ำแต่ไม่เห็นป่า’ ทำให้การกำหนดนโยบายทั้งภายในสถานการณ์ปกติและฉุกเฉินจากอุทกภัยและภัยแล้งใช้เงินเป็นตัวตั้งแก้ไขปัญหาที่จะออกมาในรูปของกองทุนเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัย ซึ่งในที่สุดแล้วไม่สามารถตอบโจทย์ความเลวร้ายรุนแรงของวิกฤตการณ์น้ำในอนาคตได้
ทั้งนี้ สิ่งที่อยู่นอกเหนือจำนวนเงินเยียวยาช่วยเหลือจึงเป็น ‘สิ่งที่คิดไม่ได้-นำเสนอไม่ได้’ ของรัฐในการที่จะนำมาบูรณาการเพื่อสร้างเสริมประสิทธิภาพการป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง แม้แท้จริงแล้วมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับวิกฤตการณ์น้ำที่นำความสูญเสียมหาศาลสู่สังคมไทยไม่ได้ต้องการสิ่งใดไปกว่าการกระจายอำนาจ (decentralization) และการเชื่อมร้อยการจัดการทรัพยากรน้ำเข้ากับทรัพยากรอื่นๆ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เนื่องจากปฏิบัติการด้านนี้เท่านั้นจะพังทลายโครงการพัฒนาแหล่งนํ้าเพื่อให้ประโยชน์คนกลุ่มหนึ่งแต่สร้างความสูญเสียสู่คนอีกกลุ่มหนึ่ง ดังกรณีเขื่อนสิรินธร เขื่อนนํ้าอูน เขื่อนภูมิพล เขื่อนปากมูล และเขื่อนในโครงการโขงชีมูล ที่ทำผู้คนสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่นกันกับวิถีชีวิตสงบสุขก็มลายไปกับสายเหมือนยายไฮ ขันจันทา
รวมทั้งยังปลดเปลื้องเสื้อคลุม ‘ผู้เสียสละ’ ของเกษตรกรภาคกลางจากการที่รัฐเบนนํ้าให้ท่วมนาข้าวเพื่อป้องกันพื้นที่เมืองและอุตสาหกรรม ขณะที่เมื่อขาดแคลนน้ำเกษตรกรก็ต้องงดเพาะปลูกเพื่อนำนํ้าไปรักษาความอยู่รอดของเมืองและอุตสาหกรรม กระทั่งก่อตัวเป็นความแตกแยกขัดแย้งหลายพื้นที่ ที่ส่วนหนึ่งรู้ซึ้งถึงความรวดร้าวจากการถูกเลือกปฏิบัติ ขณะที่อีกส่วนก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับทุกข์ยากผู้อื่น คนเมืองไม่เห็นคนชนบท คนต้นน้ำไม่เห็นคนปลายน้ำ คนเหนือเขื่อนไม่เห็นคนใต้เขื่อน รัฐไม่เห็นประชาชน
กล่าวถึงที่สุดการ ‘เห็นน้ำแต่ไม่เห็นป่า’ เป็นมากกว่าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ผิดพลาดล้มเหลวซ้ำซาก ด้วยนอกจากจะคลี่คลายวิกฤตพิบัติภัยน้ำท่วมและภัยแล้งไม่ได้ในระยะเฉพาะหน้าและยั่งยืนระยะยาวเพราะขาดกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว ยังพังทลายสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่มีเพียงเขื่อนกั้นกลางและมนุษย์กับธรรมชาติ เพราะการ ‘เห็นน้ำแต่ไม่เห็นคน’ เท่ากับเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนจากการที่บ้าน โรงงาน หรือร้านไม่ถูกน้ำท่วมโดยละเลยผู้เสียสละที่แบกรับความสูญเสียจากน้ำท่วมเรือกสวนไร่นาบ้านช่องจากการทำลายป่าต้นน้ำสร้างบ้านพักตากอากาศหรือรีสอร์ตหรูที่คนชั้นกลางวางแผนจะไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว!
ในการแก้ไขวิกฤตการณ์น้ำ ลำพังแค่คำประกาศนโยบายการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการที่ขาดการแปรเป็นปฏิบัติการที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนบนความสมดุลของระบบนิเวศจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งได้ ด้วยถึงที่สุดแล้วมาตรการหรือแนวนโยบายต่างๆ ที่ออกมาไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ทั้งผูกขาดและเหลื่อมล้ำ รวมทั้งยังผลิตซ้ำการเยียวยาช่วยเหลือเหยื่อน้ำท่วมรวมถึงภัยแล้งแบบปลายเหตุทุกๆ ปี
ด้วยเหตุนี้การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการจึงต้องมอง ‘ป่าทั้งป่า’ เหมือนดังข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ที่ให้รัฐกำหนดนโยบายทรัพยากรน้ำที่มีความเชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรส่วนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าต้นน้ำ ที่ดิน ระบบนิเวศ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การผังเมือง และวิถีชีวิตประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ อย่างสมดุลทั้งทางนิเวศ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพราะการรวมศูนย์อำนาจและการตัดสินใจไว้ส่วนกลาง (centralization) ดังที่แล้วมาได้ทำให้โครงสร้างระบบราชการที่แยกการบริหารออกเป็นส่วนๆ ตามหน้าที่ไม่สามารถจัดการวิกฤตน้ำโดยเชื่อมโยงองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ ไม่เท่านั้นยังไปลดทอนพลังของท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าส่วนกลางในการจัดการน้ำที่สอดรับกับความเร่งด่วนของสถานการณ์และความจำเป็นของคนในพื้นที่
ที่สำคัญการจัดการน้ำแบบแยกส่วนของภาครัฐยังเป็นฐานที่มั่นหลักในการอ้างอิงความชอบธรรมของการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างเขื่อนหรือการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำของหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่มักไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านนิเวศหรือความสอดคล้องกับวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของคนท้องถิ่น รวมถึงการกำหนดแผนการใช้น้ำที่มากเกินความเป็นไปได้ทั้งในด้านความคุ้มทุนและระบบนิเวศ
วิกฤตน้ำทั่วประเทศที่ทวีจำนวนขึ้นทั้งด้านความรุนแรงและระยะเวลาที่ทอดยาวนานในแต่ละครั้งจึงเป็นดั่งรูปธรรมความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการน้ำของรัฐ เพราะไม่เพียงบรรเทาวิกฤตชีวิตผู้คนที่ทุกข์ทรมานกับน้ำท่วมรวมถึงภัยแล้งไม่ได้เท่านั้น ทว่ายังสะท้อนแนวทางการพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมาด้วยว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเขื่อนขนาดใหญ่ 45 เขื่อน เขื่อนขนาดกลางและเล็กราว 14,000 เขื่อน และโครงการสูบนํ้าด้วยไฟฟ้า 2,500 แห่ง นอกจากจะคลี่คลายความรุนแรงของพิบัติภัยไม่ได้ ยังไปปิดกั้นทางเลือกในการพัฒนาแหล่งน้ำที่สอดคล้องกับสภาพภูมินิเวศและวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ อีกด้วย
สถานการณ์นํ้าท่วมใหญ่ในลุ่มนํ้าชี มูล เจ้าพระยา ปลายปีที่แล้วจึงสะท้อนการบริหารจัดการน้ำของรัฐว่ามีความผิดพลาดแม้จะมีเขื่อนขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือ อีกทั้งยังใช้กลไกป้องกันแก้ไขและเยียวยาผลกระทบที่ไม่ทันการ ซึ่งสถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้นอาจหวนคืนมาอีกปลายปีนี้ถ้ายังไม่ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับโครงสร้างควบคู่กับแก้ไขวิกฤตเฉพาะหน้าที่มากกว่าการให้เงินช่วยเหลือ
ด้วยแนวทางการบริหารจัดการน้ำดังนี้ การมองสาเหตุปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งของรัฐจึงมักไม่รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า การก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ หรือการวางผังเมืองที่ไปกีดขวางทางเดินน้ำ ดังปรากฏการณ์แผ้วถางป่าต้นน้ำสร้างรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศ และการรุกป่าปลูกสวนยางหลายร้อยไร่ในภูเขาที่เป็นป่าต้นน้ำที่ไม่เคยถูกอธิบายอย่างเชื่อมโยงกับการเกิดอุทกภัยและภัยแล้งอย่างมีน้ำหนักมากเท่ากับการเสนอมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบเหตุภัยพิบัติ ที่ถึงที่สุดก็ไปไม่ไกลกว่า ‘จำนวนเงิน’
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘การเห็นน้ำแต่ไม่เห็นป่า’ ทำให้การกำหนดนโยบายทั้งภายในสถานการณ์ปกติและฉุกเฉินจากอุทกภัยและภัยแล้งใช้เงินเป็นตัวตั้งแก้ไขปัญหาที่จะออกมาในรูปของกองทุนเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัย ซึ่งในที่สุดแล้วไม่สามารถตอบโจทย์ความเลวร้ายรุนแรงของวิกฤตการณ์น้ำในอนาคตได้
ทั้งนี้ สิ่งที่อยู่นอกเหนือจำนวนเงินเยียวยาช่วยเหลือจึงเป็น ‘สิ่งที่คิดไม่ได้-นำเสนอไม่ได้’ ของรัฐในการที่จะนำมาบูรณาการเพื่อสร้างเสริมประสิทธิภาพการป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง แม้แท้จริงแล้วมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับวิกฤตการณ์น้ำที่นำความสูญเสียมหาศาลสู่สังคมไทยไม่ได้ต้องการสิ่งใดไปกว่าการกระจายอำนาจ (decentralization) และการเชื่อมร้อยการจัดการทรัพยากรน้ำเข้ากับทรัพยากรอื่นๆ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เนื่องจากปฏิบัติการด้านนี้เท่านั้นจะพังทลายโครงการพัฒนาแหล่งนํ้าเพื่อให้ประโยชน์คนกลุ่มหนึ่งแต่สร้างความสูญเสียสู่คนอีกกลุ่มหนึ่ง ดังกรณีเขื่อนสิรินธร เขื่อนนํ้าอูน เขื่อนภูมิพล เขื่อนปากมูล และเขื่อนในโครงการโขงชีมูล ที่ทำผู้คนสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่นกันกับวิถีชีวิตสงบสุขก็มลายไปกับสายเหมือนยายไฮ ขันจันทา
รวมทั้งยังปลดเปลื้องเสื้อคลุม ‘ผู้เสียสละ’ ของเกษตรกรภาคกลางจากการที่รัฐเบนนํ้าให้ท่วมนาข้าวเพื่อป้องกันพื้นที่เมืองและอุตสาหกรรม ขณะที่เมื่อขาดแคลนน้ำเกษตรกรก็ต้องงดเพาะปลูกเพื่อนำนํ้าไปรักษาความอยู่รอดของเมืองและอุตสาหกรรม กระทั่งก่อตัวเป็นความแตกแยกขัดแย้งหลายพื้นที่ ที่ส่วนหนึ่งรู้ซึ้งถึงความรวดร้าวจากการถูกเลือกปฏิบัติ ขณะที่อีกส่วนก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับทุกข์ยากผู้อื่น คนเมืองไม่เห็นคนชนบท คนต้นน้ำไม่เห็นคนปลายน้ำ คนเหนือเขื่อนไม่เห็นคนใต้เขื่อน รัฐไม่เห็นประชาชน
กล่าวถึงที่สุดการ ‘เห็นน้ำแต่ไม่เห็นป่า’ เป็นมากกว่าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ผิดพลาดล้มเหลวซ้ำซาก ด้วยนอกจากจะคลี่คลายวิกฤตพิบัติภัยน้ำท่วมและภัยแล้งไม่ได้ในระยะเฉพาะหน้าและยั่งยืนระยะยาวเพราะขาดกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว ยังพังทลายสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่มีเพียงเขื่อนกั้นกลางและมนุษย์กับธรรมชาติ เพราะการ ‘เห็นน้ำแต่ไม่เห็นคน’ เท่ากับเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนจากการที่บ้าน โรงงาน หรือร้านไม่ถูกน้ำท่วมโดยละเลยผู้เสียสละที่แบกรับความสูญเสียจากน้ำท่วมเรือกสวนไร่นาบ้านช่องจากการทำลายป่าต้นน้ำสร้างบ้านพักตากอากาศหรือรีสอร์ตหรูที่คนชั้นกลางวางแผนจะไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว!
"งานประเพณีเทศกาลสารทเดือนสิบ" : 21 – 30 ก.ย. 54 ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรร
"งานประเพณีเทศกาลสารทเดือนสิบ" : 21 – 30 ก.ย. 54 ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด) วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สวนศรีธรรมาโศกราช จ.นครศรีธรรมราช กิจกรรมในงาน เช่น ขบวนแห่หฺมฺรับจากสนามหน้าเมืองไปยังวัดพระมหาธาตุ พิธียกหฺมฺรับเพื่ออุทิศส่วนบุญแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน นิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐ การออกร้าน OTOP การประกวดร้านค้าย้อนยุค การประกวดแข่งขันหัตถกรรมพื้นบ้าน มหรสพทางวิญญาณ การแสดงรำวงเวียนครก สอบถามที่จ.นครศรีธรรมราช โทร. 0-7535-6133 หรือที่ ททท.สำนักงานนครศรีธรรมราช โทร. 0-7534-6515-6, 0-7535-8392
"สรรพ์สารศิลป์ : เยือนวัง ยลศาสนสถาน เลียบย่านบางขุนพรหม-บางลำพู" : 27 ก.ย. 54
"สรรพ์สารศิลป์ : เยือนวัง ยลศาสนสถาน เลียบย่านบางขุนพรหม-บางลำพู" : 27 ก.ย. 54 ภายในงาน คุณจุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา(นัท) มัคคุเทศก์ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรม จะนำชมสถานที่ต่างๆ เช่น วัดอินทรวิหาร หรือวัดหลวงพ่อโต วังบางขุนพรหม วังเทวะเวศม์ วัดสามพระยาวรวิหาร มัสยิดจักรพงษ์ และวัดชนะสงคราม อัตราค่าร่วมกิจกรรม 400 บาท/คน สอบถามโทร.08-1343-4261
บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย สภากาชาดไทย ได้ใบเสร็จลดหย่อนภาษี
บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย สภากาชาดไทย ได้ใบเสร็จลดหย่อนภาษีด้วยค่ะ
http://www.redcross.or.th/home
โอนเงินเข้าบัญชีสภากาชาดไทย
บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ
ชื่อบัญชี : สภากาชาดไทยช่วยผู้ประสบอุทกภัย
เลขที่ : 045-3-04190-6
ประเภท : กระแสรายวัน
ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
----------------------------
ชื่อบัญชี : สภากาชาดไทย เพื่อการรับ
บริจาคเงินต่าง ๆ
เลข ที่ : 045-2-88000-6
ประเภท : ออมทรัพย์
ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
สาขา : สภากาชาดไทย
หมายเหตุ :แฟกซ์ใบนำฝากพร้อมชื่อ-ที่อยู่
ที่หมายเลข 0-2256-4064
สอบถามโทร 0-2256-4068
หรือแฟ็กซ์ที่หมายเลข 0-2256-4069
สอบถามโทร. 02-256-4000
ต่อ 3293 และ 3299
E-mail finance@redcross.or.th
http://www.redcross.or.th/home
โอนเงินเข้าบัญชีสภากาชาดไทย
บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ
ชื่อบัญชี : สภากาชาดไทยช่วยผู้ประสบอุทกภัย
เลขที่ : 045-3-04190-6
ประเภท : กระแสรายวัน
ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
----------------------------
ชื่อบัญชี : สภากาชาดไทย เพื่อการรับ
บริจาคเงินต่าง ๆ
เลข ที่ : 045-2-88000-6
ประเภท : ออมทรัพย์
ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
สาขา : สภากาชาดไทย
หมายเหตุ :แฟกซ์ใบนำฝากพร้อมชื่อ-ที่อยู่
ที่หมายเลข 0-2256-4064
สอบถามโทร 0-2256-4068
หรือแฟ็กซ์ที่หมายเลข 0-2256-4069
สอบถามโทร. 02-256-4000
ต่อ 3293 และ 3299
E-mail finance@redcross.or.th
เพชรบุรีชวนเที่ยวงาน “กินหอย ดูนก ตกหมึก”
จังหวัดเพชรบุรีชวนเที่ยวงานเทศกาล“กินหอย ดูนก ตกหมึก” ที่จะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 24 ก.ย.-2 ต.ค. 54 นี้ ณ ลานจุดชมวิวชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในงานประกอบด้วยกิจกรรมน่าสนใจมากมาย
นางสาวนงนิตย์ เต็งมณีวรรณ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี เปิดเผยว่า ททท.สำนักงานเพชรบุรี ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรี และเทศบาลเมืองชะอำ กำหนดจัดงานเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ขึ้น ระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 2 ตุลาคม 2554 ณ ลานจุดชมวิวชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
เทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ประจำปี เป็นงานประจำปีของจังหวัดเพชรบุรี โดยมีการจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนกันยายน - เดือนสิงหาคม เนื่องจากในช่วงดังกล่าวหมึกจะอยู่ใกล้บริเวณชายฝั่งมากที่สุด และช่วงปลายฝนต้นหนาว จะมีนกอพยพจากตอนเหนือของทวีปเข้ามาหาที่อบอุ่นอยู่อาศัยในพื้นที่ อ.ชะอำ ทำให้สามารถพบเห็นนกได้หลายชนิด
สำหรับเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ปี 2554 ประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น กิจกรรมการนั่งเรือออกทะเลเพื่อตกหมึกด้วยเบ็ดโยทะกา บริเวณชายฝั่งทะเลชะอำ กิจกรรมดูนกในเส้นทางสายธรรมชาติ ทุ่งตะกาดพลี และวนอุทยานเขานางพันธุรัต ส่วนบริเวณจุดชมวิวชายหาดชะอำในช่วงเย็น มีการออกร้านจำหน่ายอาหารทะเลสดๆ จากร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังใน อ.ชะอำ การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นแบบถนนคนเดิน การแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้าน การแสดงดนตรีและมหรสพที่สนุกสนานตลอดช่วงการจัดงาน
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวผู้สนใจสามารถร่วมประสบการณ์การตกหมึกชายฝั่ง ดูนกหลากหลายชนิด และลองชิมอาหารทะเลสดๆ รสชาติอร่อย จากทะเลชะอำ ได้ภายในงานเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ประจำปี 2554 ณ บริเวณชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 2 ตุลาคม 2554 สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทร 0 3247 1005-6 และเทศบาลเมืองชะอำ โทร. 0 3247 2550 , 0 3247 1665
นางสาวนงนิตย์ เต็งมณีวรรณ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี เปิดเผยว่า ททท.สำนักงานเพชรบุรี ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรี และเทศบาลเมืองชะอำ กำหนดจัดงานเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ขึ้น ระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 2 ตุลาคม 2554 ณ ลานจุดชมวิวชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
เทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ประจำปี เป็นงานประจำปีของจังหวัดเพชรบุรี โดยมีการจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนกันยายน - เดือนสิงหาคม เนื่องจากในช่วงดังกล่าวหมึกจะอยู่ใกล้บริเวณชายฝั่งมากที่สุด และช่วงปลายฝนต้นหนาว จะมีนกอพยพจากตอนเหนือของทวีปเข้ามาหาที่อบอุ่นอยู่อาศัยในพื้นที่ อ.ชะอำ ทำให้สามารถพบเห็นนกได้หลายชนิด
สำหรับเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ปี 2554 ประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น กิจกรรมการนั่งเรือออกทะเลเพื่อตกหมึกด้วยเบ็ดโยทะกา บริเวณชายฝั่งทะเลชะอำ กิจกรรมดูนกในเส้นทางสายธรรมชาติ ทุ่งตะกาดพลี และวนอุทยานเขานางพันธุรัต ส่วนบริเวณจุดชมวิวชายหาดชะอำในช่วงเย็น มีการออกร้านจำหน่ายอาหารทะเลสดๆ จากร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังใน อ.ชะอำ การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นแบบถนนคนเดิน การแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้าน การแสดงดนตรีและมหรสพที่สนุกสนานตลอดช่วงการจัดงาน
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวผู้สนใจสามารถร่วมประสบการณ์การตกหมึกชายฝั่ง ดูนกหลากหลายชนิด และลองชิมอาหารทะเลสดๆ รสชาติอร่อย จากทะเลชะอำ ได้ภายในงานเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ประจำปี 2554 ณ บริเวณชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 2 ตุลาคม 2554 สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทร 0 3247 1005-6 และเทศบาลเมืองชะอำ โทร. 0 3247 2550 , 0 3247 1665
ตื่นตาตื่นใจในงาน “โลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา”
ททท. สำนักงานแพร่ ชวนเที่ยวงาน“เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขาประจำปี 2554” ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอปัว จังหวัดน่าน ภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงนิทรรศการโลกของกว่าง ซึ่งแสดงวงจรชีวิตของกว่าง สายพันธุ์ด้วงกว่างทั้งในและต่างประเทศ การแสดงนิทรรศการภูมิปัญญาพื้นบ้านอำเภอปัว ขบวนแห่หุ่นกว่างขนาดใหญ่ชนิดต่างๆ
อำเภอปัว กำหนดจัดงาน “เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา ประจำปี 2554” ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน 2554 ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอปัว จังหวัดน่าน เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการประลองกว่างอันเก่าแก่ของภาคเหนือให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา และดำรงรักษาให้คงอยู่ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอปัว จังหวัดน่าน
นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ กล่าวว่า “เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา ประจำปี 2554” กำหนดจัดวันที่ 21-27 กันยายน 2554 ภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงนิทรรศการโลกของกว่าง ซึ่ง แสดงวงจรชีวิตของกว่าง สายพันธุ์ด้วงกว่างทั้งในและต่างประเทศ การแสดงนิทรรศการภูมิปัญญาพื้นบ้านอำเภอปัว ขบวนแห่หุ่นกว่างขนาดใหญ่ชนิดต่างๆ การประกวดกว่างสวยงาม การแข่งขันประลองกำลังกว่าง การประกวดธิดากว่าง การประกวดร้องเพลง การจัดแสดงและจัดจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น และสินค้าราคาถูก รวมทั้งการแสดงของศิลปิน นักร้องมากมาย
ททท.สำนักงานแพร่ จึงขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการประลองกว่างอันเก่าแก่ในงาน “เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา ประจำปี 2554” ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน 2554 ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ที่ว่าการอำเภอปัว งานสำนักงานอำเภอ โทร 0-5479-1495 สอบถามข้อมูลการเดินทาง และการท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ โทรศัพท์ 0-5452-1118, 0-5452-1127
อำเภอปัว กำหนดจัดงาน “เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา ประจำปี 2554” ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน 2554 ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอปัว จังหวัดน่าน เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการประลองกว่างอันเก่าแก่ของภาคเหนือให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา และดำรงรักษาให้คงอยู่ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอปัว จังหวัดน่าน
นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ กล่าวว่า “เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา ประจำปี 2554” กำหนดจัดวันที่ 21-27 กันยายน 2554 ภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงนิทรรศการโลกของกว่าง ซึ่ง แสดงวงจรชีวิตของกว่าง สายพันธุ์ด้วงกว่างทั้งในและต่างประเทศ การแสดงนิทรรศการภูมิปัญญาพื้นบ้านอำเภอปัว ขบวนแห่หุ่นกว่างขนาดใหญ่ชนิดต่างๆ การประกวดกว่างสวยงาม การแข่งขันประลองกำลังกว่าง การประกวดธิดากว่าง การประกวดร้องเพลง การจัดแสดงและจัดจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น และสินค้าราคาถูก รวมทั้งการแสดงของศิลปิน นักร้องมากมาย
ททท.สำนักงานแพร่ จึงขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการประลองกว่างอันเก่าแก่ในงาน “เทศกาลโลกของกว่าง นักสู้แห่งขุนเขา ประจำปี 2554” ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน 2554 ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ที่ว่าการอำเภอปัว งานสำนักงานอำเภอ โทร 0-5479-1495 สอบถามข้อมูลการเดินทาง และการท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ โทรศัพท์ 0-5452-1118, 0-5452-1127
30 กันยายน : วันแห่งทุกข์ของผู้ยึดติด โดย สามารถ มังสัง
ในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี จะมีข้าราชการและลูกจ้างของรัฐผู้มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จะต้องพ้นไปจากความเป็นข้าราชการและลูกจ้าง หรือที่เรียกว่า เกษียณอายุราชการ
ถึงแม้ว่าผู้ที่เข้ามาเป็นข้าราชการ และลูกจ้างของรัฐทุกคน จะรู้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อพวกเขามีอายุครบ 60 ปี ก็จะต้องเกษียณ แต่ถึงกระนั้นในจำนวนผู้ที่เกษียณอายุในแต่ละปี ก็จะมีอยู่จำนวนหนึ่งทำใจให้ยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุที่ยังยึดติดในตำแหน่ง และอำนาจอันเกิดจากตำแหน่งอันเป็นบ่อเกิดแห่งผลประโยชน์นานัปการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และคนกลุ่มนี้เองที่เป็นทุกข์เมื่อวันที่ 30 กันยายนมาถึง
แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ทำใจได้ ด้วยรู้เท่าทันความเป็นจริงซึ่งมาพร้อมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่งอนิจจตาในพุทธศาสนา จึงทำให้คนกลุ่มนี้ไม่มีความทุกข์ ความเดือดร้อนใดๆ คงใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยความสุขตามอัตภาพของแต่ละคนตามที่พึงมีพึงเป็น
ยิ่งกว่านี้ คนที่ทำใจได้ และไม่เดือดร้อนในบางรายที่ยังมีร่างกายแข็งแรง และสมองยังคงใช้งานได้ดี ก็จะยังคงทำงานหลังเกษียณสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่ตนเองและสังคมโดยรวมก็มีอยู่ไม่น้อย และที่เป็นเช่นนี้ได้ก็ด้วยไม่ยึดติดในความมีความเป็น เมื่อครั้งที่ตนเองเป็นข้าราชการ และพนักงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความรู้ มีความเข้าใจในหลักแห่งโลกธรรม 8 ประการ และสามารถปล่อยวางได้
โลกธรรมคืออะไร และช่วยให้คนที่เกษียณอายุพ้นทุกข์ได้อย่างไร?
โลกธรรม 8 ก็คือ หลักแห่งความเป็นไปตามคติธรรมดา ซึ่งหมุนเวียนมาหาสัตวโลก และสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป ซึ่งมีอยู่ 8 ประการ และแบ่งเป็น 4 คู่ดังต่อไปนี้
1. มีลาภ หรือลาภะ 2. เสื่อมลาภ หรืออลาภะ 3. มียศ หรือยสะ 4. เสื่อมยศ หรืออยสะ 5. ติเตียน หรือนินทา 6. สรรเสริญ หรือปสังสะ 7. มีสุข หรือสุขะ 8. มีทุกข์ หรือทุกขะ
จาก 8 ประการข้างต้น จัดเป็นโดยมี 1 คู่กับ 2, 3 คู่กับ 4, 5 คู่กับ 6 และ 7 คู่กับ 8 หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โดยจัดเป็นฝ่ายที่คนปรารถนาจะมี หรือที่เรียกว่า อิฏฐารมณ์ และฝ่ายที่คนไม่พึงปรารถนาจะมี หรือที่เรียกว่า อนิฏฐารมณ์
โลกธรรม 8 ประการนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ประจำโลก และครอบงำมนุษย์ทุกรูปทุกนามที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่บนโลกนี้ โดยไม่มีข้อยกเว้นให้ผู้ใดอาศัยเป็นช่องว่างหลุดรอดไปจากการถูกครอบงำได้ จะมีข้อแตกต่างก็เพียงว่า ประการไหนจะเกิดขึ้นกับใครก่อน และมากน้อยแค่ไหน ทั้งเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้ผู้ที่ถูกครอบงำเปลี่ยนแปลงหรือหมุนตามมันมากน้อยเท่าใด เช่น เมื่อยศเกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่มียศเปลี่ยนแปลงไปจากคนไม่มียศมากน้อยเพียงใด จะเห็นได้จากพฤติกรรมบ้าอำนาจ และมองคนไม่มียศเป็นคนที่ต่ำต้อยด้อยค่า เป็นต้น
และในทางกลับกัน เมื่อยศเสื่อมหรือเสื่อมจากยศ เช่นต้องโทษมีอันให้ถูกถอดยศ หรือลดตำแหน่งเป็นทุกข์เป็นร้อนมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น
ใน 6 ประการที่เหลือก็ทำนองเดียวกัน กล่าวคือ โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์เกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจฟูขึ้นมากน้อยแค่ไหน และในทางกลับกัน เมื่อฝ่ายอนิฏฐารมณ์เกิดขึ้นทำใจยอมรับได้แค่ไหน นี่คือความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ถูกโลกธรรม 8 ครอบงำ
ดังนั้น ข้าราชการ และลูกจ้างของรัฐเมื่อครั้งยังเป็นข้าราชการและลูกจ้างโดยได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนาตามนัยแห่งโลกธรรม 8 อันมีลาภเป็นต้นแล้ว ถ้าไม่รู้เท่าทัน ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนว่าเป็นของตนหรือเกี่ยวเนื่องด้วยตนชนิดใครมาแตะต้องไม่ได้แล้ว เมื่อวันที่ 30 กันยายนมาถึง และตนเองมีอันต้องพ้นไปด้วยมีอายุครบ 60 ปี ก็คงเป็นทุกข์ด้วยยอมรับในความสูญเสียไม่ได้
ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นโลกธรรมที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยไม่มีเหตุอื่นมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนเวลา
แต่ในความเป็นจริง โลกธรรมของข้าราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการในตำแหน่งระดับสูงมิได้มีเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงจากกาลเวลาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเหตุอื่นเป็นตัวแปรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเหตุอื่นที่สำคัญ และข้าราชการในยุคนี้สมัยนี้กลัว เห็นจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการเข้ามาก้าวก่ายของข้าราชการการเมือง ดังที่ได้เกิดขึ้นในกรณีของนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. เป็นต้น ซึ่งได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาการเปลี่ยนแปลงตามกระแสแห่งโลกธรรมของข้าราชการอันเนื่องมาจากการเมืองกรณีของนายถวิล เปลี่ยนศรี ถือได้ว่าน่าสนใจที่สุด ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. นายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นข้าราชการระดับสูงคนแรกที่รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มุ่งเป้าเปลี่ยนแปลงในวัยที่ยังไม่ถึงเวลาเกษียณ และไม่มีความผิดอันเป็นเหตุให้ถูกโยกย้าย
2. การย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ในครั้งนี้มิได้มีเหตุมาจากนายถวิลโดยตรง แต่มีผลกระทบมาถึงก็เนื่องจากรัฐบาลโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการจะย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.เพื่อจะแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ และย้ายเจ้าของตำแหน่งเดิมไปลงที่เลขาธิการ สมช. จึงถือได้ว่าโลกธรรม 8 ฝ่ายอนิฏฐารมณ์ได้เกิดแก่นายถวิล เปลี่ยนศรี โดยไม่เป็นธรรมและก่อนกาลเวลาอันควร และนี่เองน่าจะเป็นเหตุให้นายถวิลลุกขึ้นต่อสู้ด้วยการฟ้องร้องเพื่อขอความเป็นธรรม ดังที่เป็นข่าวไปแล้ว
ด้วยเหตุที่ข้าราชการประจำต้องทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง และถ้าฝ่ายการเมืองไม่ยึดระบบคุณธรรมเป็นหลักในการโยกย้าย เชื่อได้เลยว่านายถวิลคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะถูกโยกย้ายในลักษณะนี้ ตรงกันข้ามคงจะมีรายอื่นๆ ต่อไป และทุกครั้งที่ย้ายถ้าหาเหตุอ้างอื่นที่ชัดเจนไม่ได้ ก็คงหนีไม่พ้นเพื่อความเหมาะสม และนี่คือความทุกข์ของข้าราชการประจำที่ต้องได้รับผลจากการเมืองที่ขาดจริยธรรม
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่ของโลกธรรม ไม่ว่าเป็นความเสื่อมยศเพราะปลดเกษียณ หรือเสื่อมยศเพราะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลใดๆ ล้วนแล้วแต่ถือได้ว่าเป็นไปตามกฎแห่งโลกธรรม 8 ประการทั้งสิ้น
ส่วนว่าจะเป็นโลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ เกิดขึ้นกับใครก่อนหลังอย่างไรนั้น ถือได้ว่าเป็นไปตามกฎแห่งกรรมเป็นตัวจำแนกสัตว์ให้แตกต่างกันไป โดยที่ไม่มีใครต่อต้านหรือป้องกันกฎแห่งกรรมได้ หรือแม้กระทั่งอำนาจแห่งเงินตราที่ซื้อได้ทุกอย่าง สุดท้ายก็ซื้อให้กฎแห่งกรรมบิดเบือนไม่ให้ผลตามที่ผู้กระทำได้ทำไว้ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อให้รอดูว่าคนทำกรรมใดไว้ จะได้รับผลกรรมนั้นตามพุทธพจน์ที่ว่า หว่านพืชชนิดใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งพืชนั้น
ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง
ถึงแม้ว่าผู้ที่เข้ามาเป็นข้าราชการ และลูกจ้างของรัฐทุกคน จะรู้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อพวกเขามีอายุครบ 60 ปี ก็จะต้องเกษียณ แต่ถึงกระนั้นในจำนวนผู้ที่เกษียณอายุในแต่ละปี ก็จะมีอยู่จำนวนหนึ่งทำใจให้ยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุที่ยังยึดติดในตำแหน่ง และอำนาจอันเกิดจากตำแหน่งอันเป็นบ่อเกิดแห่งผลประโยชน์นานัปการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และคนกลุ่มนี้เองที่เป็นทุกข์เมื่อวันที่ 30 กันยายนมาถึง
แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ทำใจได้ ด้วยรู้เท่าทันความเป็นจริงซึ่งมาพร้อมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่งอนิจจตาในพุทธศาสนา จึงทำให้คนกลุ่มนี้ไม่มีความทุกข์ ความเดือดร้อนใดๆ คงใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยความสุขตามอัตภาพของแต่ละคนตามที่พึงมีพึงเป็น
ยิ่งกว่านี้ คนที่ทำใจได้ และไม่เดือดร้อนในบางรายที่ยังมีร่างกายแข็งแรง และสมองยังคงใช้งานได้ดี ก็จะยังคงทำงานหลังเกษียณสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่ตนเองและสังคมโดยรวมก็มีอยู่ไม่น้อย และที่เป็นเช่นนี้ได้ก็ด้วยไม่ยึดติดในความมีความเป็น เมื่อครั้งที่ตนเองเป็นข้าราชการ และพนักงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความรู้ มีความเข้าใจในหลักแห่งโลกธรรม 8 ประการ และสามารถปล่อยวางได้
โลกธรรมคืออะไร และช่วยให้คนที่เกษียณอายุพ้นทุกข์ได้อย่างไร?
โลกธรรม 8 ก็คือ หลักแห่งความเป็นไปตามคติธรรมดา ซึ่งหมุนเวียนมาหาสัตวโลก และสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป ซึ่งมีอยู่ 8 ประการ และแบ่งเป็น 4 คู่ดังต่อไปนี้
1. มีลาภ หรือลาภะ 2. เสื่อมลาภ หรืออลาภะ 3. มียศ หรือยสะ 4. เสื่อมยศ หรืออยสะ 5. ติเตียน หรือนินทา 6. สรรเสริญ หรือปสังสะ 7. มีสุข หรือสุขะ 8. มีทุกข์ หรือทุกขะ
จาก 8 ประการข้างต้น จัดเป็นโดยมี 1 คู่กับ 2, 3 คู่กับ 4, 5 คู่กับ 6 และ 7 คู่กับ 8 หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โดยจัดเป็นฝ่ายที่คนปรารถนาจะมี หรือที่เรียกว่า อิฏฐารมณ์ และฝ่ายที่คนไม่พึงปรารถนาจะมี หรือที่เรียกว่า อนิฏฐารมณ์
โลกธรรม 8 ประการนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ประจำโลก และครอบงำมนุษย์ทุกรูปทุกนามที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่บนโลกนี้ โดยไม่มีข้อยกเว้นให้ผู้ใดอาศัยเป็นช่องว่างหลุดรอดไปจากการถูกครอบงำได้ จะมีข้อแตกต่างก็เพียงว่า ประการไหนจะเกิดขึ้นกับใครก่อน และมากน้อยแค่ไหน ทั้งเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้ผู้ที่ถูกครอบงำเปลี่ยนแปลงหรือหมุนตามมันมากน้อยเท่าใด เช่น เมื่อยศเกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่มียศเปลี่ยนแปลงไปจากคนไม่มียศมากน้อยเพียงใด จะเห็นได้จากพฤติกรรมบ้าอำนาจ และมองคนไม่มียศเป็นคนที่ต่ำต้อยด้อยค่า เป็นต้น
และในทางกลับกัน เมื่อยศเสื่อมหรือเสื่อมจากยศ เช่นต้องโทษมีอันให้ถูกถอดยศ หรือลดตำแหน่งเป็นทุกข์เป็นร้อนมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น
ใน 6 ประการที่เหลือก็ทำนองเดียวกัน กล่าวคือ โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์เกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจฟูขึ้นมากน้อยแค่ไหน และในทางกลับกัน เมื่อฝ่ายอนิฏฐารมณ์เกิดขึ้นทำใจยอมรับได้แค่ไหน นี่คือความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ถูกโลกธรรม 8 ครอบงำ
ดังนั้น ข้าราชการ และลูกจ้างของรัฐเมื่อครั้งยังเป็นข้าราชการและลูกจ้างโดยได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนาตามนัยแห่งโลกธรรม 8 อันมีลาภเป็นต้นแล้ว ถ้าไม่รู้เท่าทัน ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนว่าเป็นของตนหรือเกี่ยวเนื่องด้วยตนชนิดใครมาแตะต้องไม่ได้แล้ว เมื่อวันที่ 30 กันยายนมาถึง และตนเองมีอันต้องพ้นไปด้วยมีอายุครบ 60 ปี ก็คงเป็นทุกข์ด้วยยอมรับในความสูญเสียไม่ได้
ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นโลกธรรมที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยไม่มีเหตุอื่นมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนเวลา
แต่ในความเป็นจริง โลกธรรมของข้าราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการในตำแหน่งระดับสูงมิได้มีเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงจากกาลเวลาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเหตุอื่นเป็นตัวแปรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเหตุอื่นที่สำคัญ และข้าราชการในยุคนี้สมัยนี้กลัว เห็นจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการเข้ามาก้าวก่ายของข้าราชการการเมือง ดังที่ได้เกิดขึ้นในกรณีของนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. เป็นต้น ซึ่งได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาการเปลี่ยนแปลงตามกระแสแห่งโลกธรรมของข้าราชการอันเนื่องมาจากการเมืองกรณีของนายถวิล เปลี่ยนศรี ถือได้ว่าน่าสนใจที่สุด ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. นายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นข้าราชการระดับสูงคนแรกที่รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มุ่งเป้าเปลี่ยนแปลงในวัยที่ยังไม่ถึงเวลาเกษียณ และไม่มีความผิดอันเป็นเหตุให้ถูกโยกย้าย
2. การย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ในครั้งนี้มิได้มีเหตุมาจากนายถวิลโดยตรง แต่มีผลกระทบมาถึงก็เนื่องจากรัฐบาลโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการจะย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.เพื่อจะแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ และย้ายเจ้าของตำแหน่งเดิมไปลงที่เลขาธิการ สมช. จึงถือได้ว่าโลกธรรม 8 ฝ่ายอนิฏฐารมณ์ได้เกิดแก่นายถวิล เปลี่ยนศรี โดยไม่เป็นธรรมและก่อนกาลเวลาอันควร และนี่เองน่าจะเป็นเหตุให้นายถวิลลุกขึ้นต่อสู้ด้วยการฟ้องร้องเพื่อขอความเป็นธรรม ดังที่เป็นข่าวไปแล้ว
ด้วยเหตุที่ข้าราชการประจำต้องทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง และถ้าฝ่ายการเมืองไม่ยึดระบบคุณธรรมเป็นหลักในการโยกย้าย เชื่อได้เลยว่านายถวิลคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะถูกโยกย้ายในลักษณะนี้ ตรงกันข้ามคงจะมีรายอื่นๆ ต่อไป และทุกครั้งที่ย้ายถ้าหาเหตุอ้างอื่นที่ชัดเจนไม่ได้ ก็คงหนีไม่พ้นเพื่อความเหมาะสม และนี่คือความทุกข์ของข้าราชการประจำที่ต้องได้รับผลจากการเมืองที่ขาดจริยธรรม
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่ของโลกธรรม ไม่ว่าเป็นความเสื่อมยศเพราะปลดเกษียณ หรือเสื่อมยศเพราะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลใดๆ ล้วนแล้วแต่ถือได้ว่าเป็นไปตามกฎแห่งโลกธรรม 8 ประการทั้งสิ้น
ส่วนว่าจะเป็นโลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ เกิดขึ้นกับใครก่อนหลังอย่างไรนั้น ถือได้ว่าเป็นไปตามกฎแห่งกรรมเป็นตัวจำแนกสัตว์ให้แตกต่างกันไป โดยที่ไม่มีใครต่อต้านหรือป้องกันกฎแห่งกรรมได้ หรือแม้กระทั่งอำนาจแห่งเงินตราที่ซื้อได้ทุกอย่าง สุดท้ายก็ซื้อให้กฎแห่งกรรมบิดเบือนไม่ให้ผลตามที่ผู้กระทำได้ทำไว้ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อให้รอดูว่าคนทำกรรมใดไว้ จะได้รับผลกรรมนั้นตามพุทธพจน์ที่ว่า หว่านพืชชนิดใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งพืชนั้น
ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง
สรุปเรื่องสมการความสุข 7 ตอนมาให้อ่านกันค่ะ
สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาดู "สมการความสุข" 7 ตอน ในยูทูบสรุปมาให้อ่านตามด้านล่างค่ะ
คุณวรัตตา ภัทโรดม หรือเหมียว ทำงานประสบความสำเร็จมาก เริ่มงานไดเร็ค มาร์เก็ตติ้ง ตั้งแต่อายุ 21 ที่ลีโอเบอร์เน็ต เอเยนซี่ชื่อดัง เริ่มเงินเดือน 12000 บาท แต่ 5 ปีให้หลัง (สมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน) ได้เงินเดือนมากกว่า 5 หมื่นบาท อายุ 29 ปี เข้าร่วมกับหุ้นส่วนตั้งบริษัท ถือหุ้นประมาณ 25% ได้เงินเดือนสูงสุดถึง 3 แสนห้าหมื่นบาท มีลูกน้องกว่า 200 คน ชอบช็อปปิ้ง เคยช็อป 2 วันเป็นล้าน มีความสุขกับการกินเหล้าโดยเฉพาะทุกวันศุกร์ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากจนเกินเหตุ ใคร ๆ ก็ชมว่าดีจนอัตตามากเกินเหตุ ทำให้โมโหร้าย เกรี้ยวกราดขาดสติ ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ
พ่อแม่บ่นว่าทำไมขี้บ่น ขี้หงุดหงิดจัง พอรถติดมาก บางครั้งแกล้งปาดหน้ารถคันอื่นเพื่อหาเรื่อง แล้วเอากรวยส้มข้างถนนปารถคันอื่น ผู้ชายมันลงมาบอกว่าถ้าเป็นผู้ชายชกหน้าไปแล้ว ก็ถามไปว่า แล้วเป็นผู้หญิงแล้วเป็นยังไง
มีอยู่ครั้งหนึ่งไปดูหนังกับเพื่อน แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งมากับผู้ชายนั่งอยู่แถวหลังไม่ยืนตอนเพลงสรรเสริญขึ้น แต่ผู้ชายยืน ก็ชะโงกไปดูว่าผู้หญิงพิการหรือว่ายังไงทำไมถึงไม่ยืน (กลัวด่าคนผิดเลยต้องดูให้แน่ใจก่อน) พอจบเพลงสรรเสริญก็เดินออกจากแถวตัวเองเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นเลย ไปตะโกนถามว่า ทำไมไม่ยืนเพลงสรรเสริญ ผู้หญิงก็พูดว่า ถ้าไม่ปวดท้องก็จะยืน (ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ท้อง) ก็เลยพูดว่า ถ้าไม่ยืนเพลงสรรเสริญ ก็ไม่ต้องอยู่ประเทศนี้ เพื่อนกลัวมีเรื่องก็เลยลากไปนั่งแถวอื่นที่ไกลหน่อย แต่ตลอด 3 ชั่วโมงที่ดูหนังเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย มีอารมณ์โกรธมือไม้สั่นอยู่ตลอดเวลา คอยหันไปดูผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา กะว่าถ้าลุกเมื่อไหร่ก็จะตามไปเอาเรื่องเต็มที่ จนหนังจบก็ยังโมโหอยู่ แต่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็ตามหาผู้หญิงคนนั้นจนทั่วทั้งในห้องน้ำและข้างนอกวิ่งไปวิ่งมาก็ไม่เจอ จนกระทั่งลงบันไดเลื่อนลงมา ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างบน ก็วิ่งขึ้นไปจะหาผู้หญิงคนนั้นแต่ผู้ชายคนที่มากับผู้หญิงก็รีบพาผู้หญิงคนนั้นวิ่งหนีไปไหนไม่รู้
จุดเปลี่ยน คือ วันหนึ่งไปเดินในห้าง ถูกใจนาฬิกาพลาสติกอันหนึ่ง ก็เลยพูดกับคนขายว่า ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ (ปกติจะเป็นคนพูดเพราะกับทุกคน) แต่คนขายก็ยังคุยกัน ไม่สนใจ ขอดูหนที่สองก็ยังไม่สนใจ พอหนที่สามจึงจะหยิบให้แต่หยิบสีเขียวให้ ก็โมโหมากด่าออกไปเลยว่าตาบอดสีหรือไง ด่าไปเยอะมากแต่จำไม่ได้แล้ว แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่ได้ยินเสียงตัวเองที่ด่าออกไป พอรู้สึกตัวก็เลยขอโทษ แล้วลงมานั่งร้องไห้ในรถ ตอนนั้นเสียงทุกเสียงที่เคยมีคนบ่นว่าตัวเองเป็นคนหงุดหงิดง่าย ขึ้บ่น ก็แว่วเข้ามาในหู กลับถึงบ้านก็เลยเอาแผ่นชาร์ตใหญ่ ๆ ออกมาเขียนเลยว่า เหมียวคนเดิมเป็นคนนิสัยยังไง คนใหม่นิสัยเลวยังไง เพราะตำแหน่งหน้าที่ การงาน ที่ทำให้นิสัยเปลี่ยนไป ร้องไห้จนตาบวม วันรุ่งขึ้นก็เอาสิ่งที่เขียนบนชาร์ตไปให้หุ้นส่วนดูว่า เหมียวคนเดิมเป็นยังไง เหมียวคนใหม่เลวยังไง มี 3 ทางเลือก คือ 1. หาคนมาแทนฉัน 2. ขายบริษัท 3. ปิดบริษัท เพราะตัวแปรที่ทำให้มีนิสัยเลว ๆ แบบนี้ไม่เอาแล้ว เงินเท่าไรก็ไม่เอา ถ้าทำให้นิสัยเลวแบบนี้ แต่จะปิดบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีลูกน้อง 200 กว่าคน ลูกค้าก็ยังมีอยู่ ก็ใช้เวลาประมาณ 1ปี กับ 3 เดือนก็ปิดและย้ายระบบ ในช่วงนั้นไม่เคยเปลี่ยนใจเลย เพราะคิดได้ว่าเกิดมาทำไม ตายไป เส้นผมเส้นหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ ก็ไปดำน้ำ ถ้าไม่ได้คำตอบในการแก้ปัญหาก็กะว่าจะไม่กลับมา สักพักหนึ่งเพื่อนๆ ก็บอกว่านิสัยดีขึ้น แต่เริ่มรู้สึกว่าแล้วยังไงอ่ะ กลัวเงินหมด เพราะต้องผ่อนคอนโด และรถอีก 2 คัน พ่อแม่ก็เอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน แต่มันเหมือนเรียนว่ายน้ำจากหนังสือ ก็เลยโทรหาเพื่อนรับงานฟรีแลนซ์ ตอนนั้นนิสัยก็ดีขึ้น
จนเมิ่อ 7 ปีก่อนน้องสาวไปดูหมอ ก็เลยไปได้คำตอบว่าชีวิตเกิดมาทำไม เพราะหมอดูถามว่าคุณเคยไปทำวิปัสสนาไหม หมอสั่งให้ไปทำวิปัสสนาทางพุทธ แต่ไม่ได้สนใจ 7 เดือนต่อมาไปดูหมอให้พ่อ หมอพอผูกดวงเราเสร็จทักว่าคุณเคยมาดูแล้วนี่ ผมสั่งให้คุณไปวิปัสสนา คุณไปรึยัง คุณไปวิปัสสนา แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก พอดีมีพี่ที่ดำน้ำทักเรื่องให้ไปวิปัสสนาอีก ก็กลัว พี่เค้าก็เลยสมัครให้ที่หนึ่งก่อนที่จะไปของโคเอ็งก้าซึ่งยากกว่า ที่นี่ต้องมีชุดขาว 10 ชุด ตัวเองมีเสื้อขาวเยอะ แต่กางเกงขาวไม่ค่อยมี ก็เลยโทรไปถาม ป้าคนหนึ่งรับสายสงสัยกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก็ถามป้าเค้าว่า เสื้อขาวมีเยอะ แต่กางเกงขาวไม่ค่อยมี ขอใส่กางเกงสีดำ น้ำตาล ได้ไหม เลยโดนด่ากลับมาประมาณว่าจะไปปฏิบัติธรรมแล้วยังเรื่องมากอีก ก็เลยด่ากลับไปว่าถ้าใส่กางเกงขาวแล้วจะสำเร็จ สีอื่นไม่สำเร็จรึยังไง ก็เลยไม่ได้ไปที่นี่ พี่เค้าก็เลยให้ไปอันยากเลยของโคเอ็งก้า เพราะไม่ได้บังคับว่าต้อง 10 ชุด ท่านเป็นคนอินเดียที่เกิดในพม่า เป็นนักธุรกิจที่รวยมาก เป็นไมเกรนอย่างหนัก เมื่อตอนอายุ 25 หาหมอทั่วโลก 1 ปีไม่มีคนรักษาได้ ต้องฉีดมอร์ฟีนแต่ไม่อยากติดมอร์ฟีน ก็มีคนแนะนำให้ไปรักษาทางจิต ลองไปนั่งดู ท่านเป็นผู้นำทางศาสนาฮินดูในพม่าด้วย ก็ลองไปนั่งดูจนตอนนี้อายุ 80 กว่าปีแล้ว
ตัวเองเป็นคนชอบพิสูจน์ ไปที่นั่น 10 วัน เขาบอกให้นั่งขวาทับซ้าย ก็นั่งซ้ายทับขวา มนุษย์มีท่านั่งท่าไหนได้บ้าง ก็ลองนั่งมันหมดทุกท่า ใส่กางเกงหมดทุกสี เหงื่อหยดเยอะมาก ตลอด 10 วันและเหม็นมาก เปลี่ยนชุดที 3-4 ชุดต่อวัน พอไป 10 วันแล้วคิดว่ามันช่วยได้ เค้าให้ทำอะไรก็เลยทำ
ที่นั่นไม่ให้พูดกันเลย 3 วันแรกให้เฝ้าดูลมหายใจ ดูแค่ไม่กี่ทีก็ไปแล้วคิดเรื่องอื่น พอวันที่ 4 ก็เข้าวิปัสสนา ปกติตัวเองจะเป็นคนที่มุ่งมั่นทำงานมาก ถ้างานไม่เสร็จก็ต้องอยู่จนดึกดื่นเพื่อทำงานให้เสร็จ แต่อันนี้มันไม่เหมือนกันยิ่งมุ่งมั่นทำมากจะยิ่งถอย ก็เริ่มคิดว่าตายละ ลมหายใจยังไปไม่ถึงไหนเลย จะเข้าวิปัสสนาแล้ว ตอนนั้นอยากกลับบ้านแล้ว เริ่มคิดว่ากูมาทำอะไรที่นี่วะ วันที่ 4 เก็บของกลับบ้าน ปกติเค้าเริ่มกันตอนตีสี่ครึ่ง ตีห้าถือของออกมาเลย เห็นเลข 5 ก็คิดได้ว่าเท่ากับมาครึ่งทางแล้ว ไม่งั้นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ กำลังสอนเรื่องอุเบกขา การปล่อยวาง ก็ถามว่าปล่อยอะไร วางอะไร ให้พูดชัด ๆ ถ้าพูดไม่เข้าใจไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น ท่านก็เมตตาสูงมาก แต่ตอนนั้นก็วางเท้าขวาทับซ้ายแล้ว ขาเป็นเหน็บ ก็บอกหลวงพ่อขอเปลี่ยนท่าได้มั้ย หลวงพ่อก็ให้ดูเหน็บ ให้แยกจิตออกจากกาย เป็นเหน็บก็อนิจจังมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น น้อยลง แล้วก็หมดไป แต่พวกเราชอบเปลี่ยนท่าไม่รอให้เหน็บหายเอง วันที่ 6 หลวงพ่อบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรจะกระทืบเราให้ตายไม่ให้ปฏิบัติได้ ก็เลยสู้ตาย ยอมยิ้มรับความเจ็บปวดจากการนั่ง วันนั้นเป็นวันที่เข้าใจว่าอุเบกขาคืออะไร ตอนนี้ก็อธิบายไม่ได้ ต้องลองเอง รู้เอง เค้าสอนให้ดูเฉย ๆ ไม่ต้องอินกับมัน คือแยกกายออกจากจิต ถ้ายิ่งอินกับมันก็จะยิ่งเจ็บ พอวันที่ 10 ก่อนที่จะให้พูดได้ ต้องแผ่เมตตาก่อนก็มีน้ำตาปิติไหลพราก เกิดใหม่แล้ว ชีวิตเปลี่ยนใหม่ คนเราเกิด 2 ครั้ง เกิดตอนท้องแม่และเกิดตอนพบธรรมะ
พบว่านิสัยเลวลงเพราะอัตตาสูง ตัวกูของกู ฟังน้อยพูดมาก เลยไม่เข้าใจคนอื่น พอไปวิปัสสนาแล้วทำให้มีเมตตาสูงขึ้น ไม่โกรธตอนที่มีคนขับรถปาดหน้า ก็มีมุมมองใหม่ว่าเค้าคงรีบเหมือนเรา พอไม่เครียดก็ไม่กินเหล้า ความเปลี่ยนแปลงค่อย ๆ เกิด ไปทุกปีปีละ 1- 2 ครั้ง เพื่ออาบน้ำให้ใจที่สกปรกที่รับขยะเข้ามาทุกวัน เหมือนกับการอาบน้ำให้ร่างกาย ความโกรธค่อย ๆ ลด ระงับความโกรธได้ทัน เวลาคนทำอะไรไม่ถูกใจ วันหนึ่งซื้อรถใหม่ป้ายแดงมาจอดแล้วขับรถคันเก่าไปทำงาน เด็กที่บ้านโทรมาบอกให้กลับบ้านด่วน เพราะขับรถคันใหม่ลงจากคอนโดไปเบียดเสา ก็ถามว่าเรียกประกันรึยัง เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ ก็เลยไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาเด็กก็ยังร้องไห้อยู่บอกรถคันใหม่ชนรู้รึยัง บอกว่ารู้แล้ว เรียกประกันรึยัง เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ เพราะเค้าคงคิดว่า ขนาดสีตกใส่เสื้อยังอาละวาดบ้านแตก คิดว่ารถเบียดเสายังไงต้องตายแน่ ๆ ตอนนั้นปฏบัติได้ 3 ปีแล้ว
เคยมีครั้งหนึ่งโดนลูกค้าลองของ เขียนโน้ตมาตอนประชุมกันว่า วางเอกสารบนโต๊ะแล้วมาชกกันเลยดีกว่า ก็ไม่โกรธ แค่นึกในใจว่า “โถ” เบา ๆ ไม่กล้าพูดดัง พอประชุมเสร็จลูกค้าก็เดินมาถามว่าน้องไม่โกรธเหรอ ไปฝึกที่ไหนมา เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นกัลยาณมิตรกัน เพราะเราเข้าใจว่าเวลาโกรธ ความโกรธมันเผาเราก่อนที่จะไปเผาคนอื่น เราจะรู้สึกหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น หน้าแดง
มีคนเคยถามว่าปฏิบัติแล้วต้องเลิกทำงานหรือไม่ ไม่ต้องเลิกทำงาน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการหาเงินที่ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่น มีสัมมาชีพ เก็บ 1/3 ใช้ 1/3 ให้พ่อแม่หรือใครก็ได้ 1/3 ไม่ต้องใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะต้องยังอยู่ในโลกของวัตถุ แต่ทำงานอย่างมีสติมากขึ้น การพูดจาก็เปลี่ยน ความสุขมีแล้ว แต่ทุกข์ยังมีบ้างนิดหน่อย เกิดมาเพื่อฝึกตนเองให้เกิดปัญญาเพื่อไม่ต้องเกิดอีก ระหว่างเกิดกับตายก็ยังต้องหาเงินอยู่ แต่เอาไปไม่ได้ ก็ต้องสะสมแต้มพวกขันติบารมี อุเบกขาบารมี สัจจะบารมี (บารมี 10 อย่าง) เพราะแต้มพวกนี้เอาไปได้ตอนตาย ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริงนะ ถือว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดไม่ได้สะสมเลย เกิดชาติหน้ามีจริง เกิดมากลายเป็นม้าลาย อะมีบาทำยังไง ตายเลยไม่ได้สะสมแต้มไปเลย
คุณเหมียวเขียนหนังสื่อชื่อว่า “คนที่เคยร้ายกาจ” สำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูรายการนี
คุณวรัตตา ภัทโรดม หรือเหมียว ทำงานประสบความสำเร็จมาก เริ่มงานไดเร็ค มาร์เก็ตติ้ง ตั้งแต่อายุ 21 ที่ลีโอเบอร์เน็ต เอเยนซี่ชื่อดัง เริ่มเงินเดือน 12000 บาท แต่ 5 ปีให้หลัง (สมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน) ได้เงินเดือนมากกว่า 5 หมื่นบาท อายุ 29 ปี เข้าร่วมกับหุ้นส่วนตั้งบริษัท ถือหุ้นประมาณ 25% ได้เงินเดือนสูงสุดถึง 3 แสนห้าหมื่นบาท มีลูกน้องกว่า 200 คน ชอบช็อปปิ้ง เคยช็อป 2 วันเป็นล้าน มีความสุขกับการกินเหล้าโดยเฉพาะทุกวันศุกร์ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากจนเกินเหตุ ใคร ๆ ก็ชมว่าดีจนอัตตามากเกินเหตุ ทำให้โมโหร้าย เกรี้ยวกราดขาดสติ ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ
พ่อแม่บ่นว่าทำไมขี้บ่น ขี้หงุดหงิดจัง พอรถติดมาก บางครั้งแกล้งปาดหน้ารถคันอื่นเพื่อหาเรื่อง แล้วเอากรวยส้มข้างถนนปารถคันอื่น ผู้ชายมันลงมาบอกว่าถ้าเป็นผู้ชายชกหน้าไปแล้ว ก็ถามไปว่า แล้วเป็นผู้หญิงแล้วเป็นยังไง
มีอยู่ครั้งหนึ่งไปดูหนังกับเพื่อน แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งมากับผู้ชายนั่งอยู่แถวหลังไม่ยืนตอนเพลงสรรเสริญขึ้น แต่ผู้ชายยืน ก็ชะโงกไปดูว่าผู้หญิงพิการหรือว่ายังไงทำไมถึงไม่ยืน (กลัวด่าคนผิดเลยต้องดูให้แน่ใจก่อน) พอจบเพลงสรรเสริญก็เดินออกจากแถวตัวเองเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นเลย ไปตะโกนถามว่า ทำไมไม่ยืนเพลงสรรเสริญ ผู้หญิงก็พูดว่า ถ้าไม่ปวดท้องก็จะยืน (ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ท้อง) ก็เลยพูดว่า ถ้าไม่ยืนเพลงสรรเสริญ ก็ไม่ต้องอยู่ประเทศนี้ เพื่อนกลัวมีเรื่องก็เลยลากไปนั่งแถวอื่นที่ไกลหน่อย แต่ตลอด 3 ชั่วโมงที่ดูหนังเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย มีอารมณ์โกรธมือไม้สั่นอยู่ตลอดเวลา คอยหันไปดูผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา กะว่าถ้าลุกเมื่อไหร่ก็จะตามไปเอาเรื่องเต็มที่ จนหนังจบก็ยังโมโหอยู่ แต่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็ตามหาผู้หญิงคนนั้นจนทั่วทั้งในห้องน้ำและข้างนอกวิ่งไปวิ่งมาก็ไม่เจอ จนกระทั่งลงบันไดเลื่อนลงมา ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างบน ก็วิ่งขึ้นไปจะหาผู้หญิงคนนั้นแต่ผู้ชายคนที่มากับผู้หญิงก็รีบพาผู้หญิงคนนั้นวิ่งหนีไปไหนไม่รู้
จุดเปลี่ยน คือ วันหนึ่งไปเดินในห้าง ถูกใจนาฬิกาพลาสติกอันหนึ่ง ก็เลยพูดกับคนขายว่า ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ (ปกติจะเป็นคนพูดเพราะกับทุกคน) แต่คนขายก็ยังคุยกัน ไม่สนใจ ขอดูหนที่สองก็ยังไม่สนใจ พอหนที่สามจึงจะหยิบให้แต่หยิบสีเขียวให้ ก็โมโหมากด่าออกไปเลยว่าตาบอดสีหรือไง ด่าไปเยอะมากแต่จำไม่ได้แล้ว แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่ได้ยินเสียงตัวเองที่ด่าออกไป พอรู้สึกตัวก็เลยขอโทษ แล้วลงมานั่งร้องไห้ในรถ ตอนนั้นเสียงทุกเสียงที่เคยมีคนบ่นว่าตัวเองเป็นคนหงุดหงิดง่าย ขึ้บ่น ก็แว่วเข้ามาในหู กลับถึงบ้านก็เลยเอาแผ่นชาร์ตใหญ่ ๆ ออกมาเขียนเลยว่า เหมียวคนเดิมเป็นคนนิสัยยังไง คนใหม่นิสัยเลวยังไง เพราะตำแหน่งหน้าที่ การงาน ที่ทำให้นิสัยเปลี่ยนไป ร้องไห้จนตาบวม วันรุ่งขึ้นก็เอาสิ่งที่เขียนบนชาร์ตไปให้หุ้นส่วนดูว่า เหมียวคนเดิมเป็นยังไง เหมียวคนใหม่เลวยังไง มี 3 ทางเลือก คือ 1. หาคนมาแทนฉัน 2. ขายบริษัท 3. ปิดบริษัท เพราะตัวแปรที่ทำให้มีนิสัยเลว ๆ แบบนี้ไม่เอาแล้ว เงินเท่าไรก็ไม่เอา ถ้าทำให้นิสัยเลวแบบนี้ แต่จะปิดบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีลูกน้อง 200 กว่าคน ลูกค้าก็ยังมีอยู่ ก็ใช้เวลาประมาณ 1ปี กับ 3 เดือนก็ปิดและย้ายระบบ ในช่วงนั้นไม่เคยเปลี่ยนใจเลย เพราะคิดได้ว่าเกิดมาทำไม ตายไป เส้นผมเส้นหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ ก็ไปดำน้ำ ถ้าไม่ได้คำตอบในการแก้ปัญหาก็กะว่าจะไม่กลับมา สักพักหนึ่งเพื่อนๆ ก็บอกว่านิสัยดีขึ้น แต่เริ่มรู้สึกว่าแล้วยังไงอ่ะ กลัวเงินหมด เพราะต้องผ่อนคอนโด และรถอีก 2 คัน พ่อแม่ก็เอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน แต่มันเหมือนเรียนว่ายน้ำจากหนังสือ ก็เลยโทรหาเพื่อนรับงานฟรีแลนซ์ ตอนนั้นนิสัยก็ดีขึ้น
จนเมิ่อ 7 ปีก่อนน้องสาวไปดูหมอ ก็เลยไปได้คำตอบว่าชีวิตเกิดมาทำไม เพราะหมอดูถามว่าคุณเคยไปทำวิปัสสนาไหม หมอสั่งให้ไปทำวิปัสสนาทางพุทธ แต่ไม่ได้สนใจ 7 เดือนต่อมาไปดูหมอให้พ่อ หมอพอผูกดวงเราเสร็จทักว่าคุณเคยมาดูแล้วนี่ ผมสั่งให้คุณไปวิปัสสนา คุณไปรึยัง คุณไปวิปัสสนา แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก พอดีมีพี่ที่ดำน้ำทักเรื่องให้ไปวิปัสสนาอีก ก็กลัว พี่เค้าก็เลยสมัครให้ที่หนึ่งก่อนที่จะไปของโคเอ็งก้าซึ่งยากกว่า ที่นี่ต้องมีชุดขาว 10 ชุด ตัวเองมีเสื้อขาวเยอะ แต่กางเกงขาวไม่ค่อยมี ก็เลยโทรไปถาม ป้าคนหนึ่งรับสายสงสัยกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก็ถามป้าเค้าว่า เสื้อขาวมีเยอะ แต่กางเกงขาวไม่ค่อยมี ขอใส่กางเกงสีดำ น้ำตาล ได้ไหม เลยโดนด่ากลับมาประมาณว่าจะไปปฏิบัติธรรมแล้วยังเรื่องมากอีก ก็เลยด่ากลับไปว่าถ้าใส่กางเกงขาวแล้วจะสำเร็จ สีอื่นไม่สำเร็จรึยังไง ก็เลยไม่ได้ไปที่นี่ พี่เค้าก็เลยให้ไปอันยากเลยของโคเอ็งก้า เพราะไม่ได้บังคับว่าต้อง 10 ชุด ท่านเป็นคนอินเดียที่เกิดในพม่า เป็นนักธุรกิจที่รวยมาก เป็นไมเกรนอย่างหนัก เมื่อตอนอายุ 25 หาหมอทั่วโลก 1 ปีไม่มีคนรักษาได้ ต้องฉีดมอร์ฟีนแต่ไม่อยากติดมอร์ฟีน ก็มีคนแนะนำให้ไปรักษาทางจิต ลองไปนั่งดู ท่านเป็นผู้นำทางศาสนาฮินดูในพม่าด้วย ก็ลองไปนั่งดูจนตอนนี้อายุ 80 กว่าปีแล้ว
ตัวเองเป็นคนชอบพิสูจน์ ไปที่นั่น 10 วัน เขาบอกให้นั่งขวาทับซ้าย ก็นั่งซ้ายทับขวา มนุษย์มีท่านั่งท่าไหนได้บ้าง ก็ลองนั่งมันหมดทุกท่า ใส่กางเกงหมดทุกสี เหงื่อหยดเยอะมาก ตลอด 10 วันและเหม็นมาก เปลี่ยนชุดที 3-4 ชุดต่อวัน พอไป 10 วันแล้วคิดว่ามันช่วยได้ เค้าให้ทำอะไรก็เลยทำ
ที่นั่นไม่ให้พูดกันเลย 3 วันแรกให้เฝ้าดูลมหายใจ ดูแค่ไม่กี่ทีก็ไปแล้วคิดเรื่องอื่น พอวันที่ 4 ก็เข้าวิปัสสนา ปกติตัวเองจะเป็นคนที่มุ่งมั่นทำงานมาก ถ้างานไม่เสร็จก็ต้องอยู่จนดึกดื่นเพื่อทำงานให้เสร็จ แต่อันนี้มันไม่เหมือนกันยิ่งมุ่งมั่นทำมากจะยิ่งถอย ก็เริ่มคิดว่าตายละ ลมหายใจยังไปไม่ถึงไหนเลย จะเข้าวิปัสสนาแล้ว ตอนนั้นอยากกลับบ้านแล้ว เริ่มคิดว่ากูมาทำอะไรที่นี่วะ วันที่ 4 เก็บของกลับบ้าน ปกติเค้าเริ่มกันตอนตีสี่ครึ่ง ตีห้าถือของออกมาเลย เห็นเลข 5 ก็คิดได้ว่าเท่ากับมาครึ่งทางแล้ว ไม่งั้นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ กำลังสอนเรื่องอุเบกขา การปล่อยวาง ก็ถามว่าปล่อยอะไร วางอะไร ให้พูดชัด ๆ ถ้าพูดไม่เข้าใจไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น ท่านก็เมตตาสูงมาก แต่ตอนนั้นก็วางเท้าขวาทับซ้ายแล้ว ขาเป็นเหน็บ ก็บอกหลวงพ่อขอเปลี่ยนท่าได้มั้ย หลวงพ่อก็ให้ดูเหน็บ ให้แยกจิตออกจากกาย เป็นเหน็บก็อนิจจังมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น น้อยลง แล้วก็หมดไป แต่พวกเราชอบเปลี่ยนท่าไม่รอให้เหน็บหายเอง วันที่ 6 หลวงพ่อบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรจะกระทืบเราให้ตายไม่ให้ปฏิบัติได้ ก็เลยสู้ตาย ยอมยิ้มรับความเจ็บปวดจากการนั่ง วันนั้นเป็นวันที่เข้าใจว่าอุเบกขาคืออะไร ตอนนี้ก็อธิบายไม่ได้ ต้องลองเอง รู้เอง เค้าสอนให้ดูเฉย ๆ ไม่ต้องอินกับมัน คือแยกกายออกจากจิต ถ้ายิ่งอินกับมันก็จะยิ่งเจ็บ พอวันที่ 10 ก่อนที่จะให้พูดได้ ต้องแผ่เมตตาก่อนก็มีน้ำตาปิติไหลพราก เกิดใหม่แล้ว ชีวิตเปลี่ยนใหม่ คนเราเกิด 2 ครั้ง เกิดตอนท้องแม่และเกิดตอนพบธรรมะ
พบว่านิสัยเลวลงเพราะอัตตาสูง ตัวกูของกู ฟังน้อยพูดมาก เลยไม่เข้าใจคนอื่น พอไปวิปัสสนาแล้วทำให้มีเมตตาสูงขึ้น ไม่โกรธตอนที่มีคนขับรถปาดหน้า ก็มีมุมมองใหม่ว่าเค้าคงรีบเหมือนเรา พอไม่เครียดก็ไม่กินเหล้า ความเปลี่ยนแปลงค่อย ๆ เกิด ไปทุกปีปีละ 1- 2 ครั้ง เพื่ออาบน้ำให้ใจที่สกปรกที่รับขยะเข้ามาทุกวัน เหมือนกับการอาบน้ำให้ร่างกาย ความโกรธค่อย ๆ ลด ระงับความโกรธได้ทัน เวลาคนทำอะไรไม่ถูกใจ วันหนึ่งซื้อรถใหม่ป้ายแดงมาจอดแล้วขับรถคันเก่าไปทำงาน เด็กที่บ้านโทรมาบอกให้กลับบ้านด่วน เพราะขับรถคันใหม่ลงจากคอนโดไปเบียดเสา ก็ถามว่าเรียกประกันรึยัง เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ ก็เลยไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาเด็กก็ยังร้องไห้อยู่บอกรถคันใหม่ชนรู้รึยัง บอกว่ารู้แล้ว เรียกประกันรึยัง เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ เพราะเค้าคงคิดว่า ขนาดสีตกใส่เสื้อยังอาละวาดบ้านแตก คิดว่ารถเบียดเสายังไงต้องตายแน่ ๆ ตอนนั้นปฏบัติได้ 3 ปีแล้ว
เคยมีครั้งหนึ่งโดนลูกค้าลองของ เขียนโน้ตมาตอนประชุมกันว่า วางเอกสารบนโต๊ะแล้วมาชกกันเลยดีกว่า ก็ไม่โกรธ แค่นึกในใจว่า “โถ” เบา ๆ ไม่กล้าพูดดัง พอประชุมเสร็จลูกค้าก็เดินมาถามว่าน้องไม่โกรธเหรอ ไปฝึกที่ไหนมา เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นกัลยาณมิตรกัน เพราะเราเข้าใจว่าเวลาโกรธ ความโกรธมันเผาเราก่อนที่จะไปเผาคนอื่น เราจะรู้สึกหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น หน้าแดง
มีคนเคยถามว่าปฏิบัติแล้วต้องเลิกทำงานหรือไม่ ไม่ต้องเลิกทำงาน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการหาเงินที่ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่น มีสัมมาชีพ เก็บ 1/3 ใช้ 1/3 ให้พ่อแม่หรือใครก็ได้ 1/3 ไม่ต้องใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะต้องยังอยู่ในโลกของวัตถุ แต่ทำงานอย่างมีสติมากขึ้น การพูดจาก็เปลี่ยน ความสุขมีแล้ว แต่ทุกข์ยังมีบ้างนิดหน่อย เกิดมาเพื่อฝึกตนเองให้เกิดปัญญาเพื่อไม่ต้องเกิดอีก ระหว่างเกิดกับตายก็ยังต้องหาเงินอยู่ แต่เอาไปไม่ได้ ก็ต้องสะสมแต้มพวกขันติบารมี อุเบกขาบารมี สัจจะบารมี (บารมี 10 อย่าง) เพราะแต้มพวกนี้เอาไปได้ตอนตาย ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริงนะ ถือว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดไม่ได้สะสมเลย เกิดชาติหน้ามีจริง เกิดมากลายเป็นม้าลาย อะมีบาทำยังไง ตายเลยไม่ได้สะสมแต้มไปเลย
คุณเหมียวเขียนหนังสื่อชื่อว่า “คนที่เคยร้ายกาจ” สำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูรายการนี
ความเหลื่อมล้ำ : ปัญหาที่คนทั่วไปมองไม่เห็น!
คำ ถามที่หลายท่านสงสัยก็คือ ทำไมประเทศที่ร่ำรวยแล้วจึงมีปัญหาสังคมมาก ทั้งๆ ที่ควรจะน้อยกว่าประเทศยากจน เช่น จู่ๆ นักเรียนก็ยิงเพื่อนในโรงเรียนของตนเองตายนับสิบซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในสหรัฐ อเมริกา ล่าสุดที่เป็นข่าวสะเทือนใจคนทั่วโลกก็คือ หนุ่มวัย 32 ปีสังหารโหด 76 คนในประเทศนอร์เวย์ เป็นต้น ตารางข้างล่างนี้คือ การเปรียบเทียบข้อมูลบางส่วนระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศร่ำรวย โดยเริ่มต้นจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุด (3.4 เท่า) ไปจนถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งสูงที่สุดทั้งรายได้ต่อหัวและความเหลื่อมล้ำ (8.5 เท่า ซึ่งวัดจากจำนวนเท่าของรายได้กลุ่มคนรวยสุด 20% กับกลุ่มคนจนสุด 20% ของประเทศของตน ประเทศไทยเรามีความเหลื่อมล้ำอยู่ระหว่าง 13-15 เท่า ในขณะที่สิงคโปร์อยู่ 9.5 เท่า) ข้อมูลทั้งหมดผมได้มาจากหนังสือ The Spirit Level : Why Greater Equality Makes Societies Stronger เขียน โดย Richard Wilkinson and Kate Pickett (2552) แต่ตัวเลขเกี่ยวกับรายได้ไปจนถึงความไว้วางใจผมประมาณการอย่างคร่าวๆ จากกราฟในหนังสือดังกล่าว หมายเหตุ : ข้อมูลจาก http://www.indexmundi.com เมื่อ ก.ค.54 รายได้ต่อหัวของคนไทยประมาณ $8,700 (หรือเดือนละ 21,750 บาทต่อคน ใครได้ถึงระดับนี้มั่งยกมือขึ้น อยู่ในอันดับที่ 116 ของโลก) โดยที่สหรัฐฯ $47,200, อันดับ 11 และญี่ปุ่น $34,000, อันดับ 38 ข้อมูลนี้ทันสมัยกว่าข้อมูลในตาราง | |||
ทำไม? นี่คือโจทย์หลักของบทความนี้ครับ ผมเคยถามนักศึกษาในชั้นเรียนว่า "ถ้ามีประเทศ อยู่ 2 ประเทศให้เราเลือกอยู่อาศัย ในประเทศ ก. ทุกคนมีรายได้เท่ากันหมดคือ $20,000 กับในประเทศ ข. ซึ่งรายได้ต่ำสุดเท่ากับ $40,000 คุณจะเลือกอยู่ประเทศไหน?” ปรากฏว่านักศึกษาเกือบทุกคนขอเลือกอยู่ในประเทศ ก. ทั้งๆ ที่มีรายได้น้อยกว่าอีกที่หนึ่งถึงสองเท่า นั่นแสดงว่า ตัวรายได้เพียงอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ใช้วัดความต้องการหรือสรุปรวม ไปเลยว่าไม่ใช่ตัววัดความสุขของคนเรา แล้วอะไรล่ะคือปัจจัยหลัก? ผมพยายามจะเอาความเห็นและประสบการณ์ของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มาเล่าสู่กันฟัง ช่วยคิดตามนะครับ ศาสตราจารย์ Richard Wilkinson ได้ให้สัมภาษณ์ (เมื่อ 28 สิงหาคม 54, http://tvnz.co.nz/q-and-a-news/richard-wilkinson-interview-transcript-4368806) สรุปได้ว่า "ความเหลื่อมล้ำนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกที่เหนือกว่าและด้อยกว่า ซึ่งยิ่งความแตกต่างทางวัตถุมากเท่าใด ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผู้คนจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความนับถือหรือถูกดูถูก เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญและมีผลต่อความสัมพันธ์ในวิถีชีวิตชุมชน ความเข้มแข็งของชุมชน และความไว้วางใจในชุมชน ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำมาก ความสัมพันธ์ทางสังคมจะเสื่อมสลายลง ชีวิตชุมชนจะอ่อนแอ และผู้คนจะไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต คุณจะรู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่ออยู่ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำน้อยกว่า” ผมขอยกตัวอย่างซึ่งเราทุกคนคงเคยเจอมาแล้วในเรื่องความไว้วางใจซึ่ง กันและกัน เมื่อเราซื้อสินค้าในตลาดสดกับในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เรามักจะรู้สึกว่าแม่ค้าในตลาดสด “ชั่งของให้ครบหรือเปล่าวะ” เพราะความรู้สึกของเราที่ว่า แม่ค้าในตลาดเป็นผู้ด้อยฐานะกว่า แต่เรามักจะไม่ให้ความสนใจกับเครื่องชั่งดิจิตอลในห้างเลย ยิ่งคิดถึงเรื่องเงินทอนก็ทำนองเดียวกัน เมื่อเราเจอรถยนต์เสียอยู่บนถนน เราต้องคิดแล้วคิดอีกว่าถ้าจะไปช่วยเหลือจะถูกหลอก ถูกทำร้ายหรือไม่ คงเห็นนะครับว่า ความไม่ไว้วางใจกันจะนำความเสียหายมาสู่สังคมและตัวเราเองขนาดไหน อีกตอนหนึ่งที่ ศาสตราจารย์ Richard Wilkinson ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความรุนแรงและการก่อคดี "ในกรณีการยิงกราดในโรงเรียน ผู้ลงมือทำมักจะเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งและโดดเดี่ยว ความรุนแรงมักจะเห็นได้บ่อยๆ ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ซึ่งก็อาจเป็นเพราะคนรู้สึกถูกดูถูกและไม่ได้รับความนับถือ จิตแพทย์ของนักโทษในเรือนจำชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้กล่าวว่า ตลอด 25 ปีที่ได้พูดคุยกับผู้ก่อความรุนแรง เขาไม่เคยพบความรุนแรงที่ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกละอาย ถูกเหยียดหยามและไม่ได้รับความนับถือเลย” เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามว่า "ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่า ความเชื่อมโยงระหว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้กับความไม่มีสุขภาวะของสังคม มิใช่แค่เพียงสหสัมพันธ์ (correlation) แต่มันเป็นความสัมพันธ์แบบเป็นเหตุ (cause) และเป็นผล (effect) กัน” ศาสตราจารย์ Wilkinson ตอบว่า "ใช่ มีงานวิจัยหลายร้อยชิ้นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความเหลื่อมล้ำกับความ แตกต่างอื่นๆ มี 50 ชิ้นเกี่ยวกับความรุนแรง คุณเองก็ทราบว่า สหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากกว่าแคนาดา มีคนเป็นโรคอ้วนมากกว่า มีการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมากกว่า มีนักโทษมากกว่า ประเทศในยุโรปมีน้อยกว่านี้ในทุกประเด็น สิ่งที่ประชาชนไม่เข้าใจก็คือมันไปผูกติดกับความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร จนถึงปัจจุบันนี้ ประชาชนยังไม่หยั่งรู้ว่า ความเหลื่อมล้ำคือความแตกแยกและความผุกร่อนของสังคม” นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ Wilkinson ยังกล่าวว่า "ความเหลื่อมล้ำนำไปสู่ลัทธิบริโภคนิยม การแข่งขันเอง ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน ถ้าเราปรารถนาให้สังคมยั่งยืน เราต้องลดความแตกต่างระหว่างรายได้ลงมา” ใครเห็นด้วยกับงานวิจัยในหนังสือเล่มนี้กรุณานำไปเผยแพร่และขยายผลกันต่อด้วยครับ |
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
ปฏิบัติการเพชรเกษม 41 โดย บรรจง นะแส
หลังจากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภาประกาศเดินหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งภาคใต้ โดนเฉพาะแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือเซาเทิร์น ซีบอร์ด (Southern Seaboard Development Plan) รวมทั้งการระบุไว้ในนโยบายให้มีการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจระหว่างฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทยสำหรับรองรับอุตสาหกรรมและสร้างระบบการขนส่งจากท่าเรือน้ำลึกตรงปากบารา อ.ระงู ในจังหวัดสตูล เชื่อมต่อกับท่าเรือน้ำลึกที่จะถูกสร้างขึ้นอีกจุดในฝั่งอ่าวไทย ในบริเวณชายหาดบ้านสวนกง ตำบลนาทับ อ.จะนะ จังหวัดสงขลา รวมไปถึงการผลักดันใช้พื้นที่ของ อ.ปะทิว จ.ชุมพร เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ท่าเรือน้ำลึก มีแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ อ.ท่าศาลา และอ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โรงถลุงเหล็กต้นน้ำในพื้นที่ อ.ระโนด จ.สงขลา การขยับตัวของภาคประชาชนก็เริ่มขึ้น
“เพชรเกษม 41” ถูกหยิบยกขึ้นมาให้เป็นชื่อ เพื่อสื่อสารการเคลื่อนไหวต่อสาธารณะ เพราะถนนเพชรเกษมคือเส้นทางหลักสู่ประตูของภาคใต้ แผ่นผ้าพื้นเขียว ธงสีเขียว เสื้อสีเขียว ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว เพื่อจะบอกว่าพวกเขาจะยืนหยัดปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ต้องการพิทักษ์รักษาพื้นที่ทำมาหากินประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว ชุมชน และต้องการสื่อความหมายของการพัฒนาที่เขาต้องการ การพัฒนาภายใต้บริบทกว้างๆ ที่เรียกว่า “การพัฒนาที่ยังยืน” ( Sustainable Development)
23 สิงหาคม 54 วันแถลงนโยบายของรัฐบาล บนถนนเพชรเกษมใกล้แยกเพชรเกษม 41 (สี่แยกปฐมพร) ถูกกำหนดให้เป็นจุดนัดพบ ของผู้คนทุกหมู่เหล่าทุกพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ นัดหมายกันเพื่อมาปรึกษาหารือ ว่าหากรัฐบาลนี้ยืนยันที่จะเดินหน้าดำเนินโครงการต่างๆ ที่กล่าวมา อย่างรวบรัด รวบหัวรวบหาง ไม่ฟังเสียงความรู้สึก ความคิดเห็นของคนในพื้นที่ ฯลฯ จะทำอย่างไรกันดี...
บนเวที 2 วัน 1 คืนถูกจัดให้แต่ละพื้นที่ได้นำเสนอความทุกข์ร้อน ไม่ว่ากลุ่มคนที่มาจาก อ.จะนะ จ.สงขลา ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ และพื้นที่จะถูกกำหนดให้เป็นเขื่อนของพี่น้องบ้านนาปรังในพื้นที่อำเภอนาทวี พี่น้องอาชีพประมงในคลองนาทับที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของโรงไฟฟ้าจะนะ ที่ดึงน้ำจากลำคลองไปทำระบบหล่อเย็น จนส่งผลให้พันธุ์สัตว์น้ำลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว พี่น้องในพื้นที่ อ.ท่าศาลา ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่างเชฟรอน ฯลฯ
ความไม่พอใจต่อปฏิบัติการของฝ่ายรุกเดินหน้าดำเนินโครงการในพื้นที่ต่างๆ ที่ส่งคนไปสำรวจในพื้นที่ การทำประชาสัมพันธ์ เวทีให้ข้อมูลจากนักวิชาการที่รับจ้างโครงการ กลุ่มผู้รับเหมา ผู้สนับสนุนโครงการที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็ลุกขึ้นมาปฏิบัติการ ในบางพื้นที่มีความขัดแย้งที่นับวันจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มีการข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จากกลไกรัฐที่ไม่เป็นกลาง ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในวงล้อม ถูกละเมิดสิทธิ์ ถูกล้อมกรอบให้ต้องยอมจำนน
ยุทธวิธีปฏิบัติการ “เพชรเกษม 41” จึงเป็นคำตอบ ซึ่งก็คือการผนึกกำลังกันของผู้ที่อยากมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนา ในฐานะของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย จากการดำเนินโครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่บ้านเกิดเมืองนอน เป็นการส่งสัญญาณให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐบาลทั้งที่ผ่านมาและที่เพิ่งเข้ามามีอำนาจในปัจจุบัน ว่าพวกเขาต้องการการมีส่วนร่วมในขบวนการตัดสินใจ ที่มีเหตุมีผล มีข้อมูลที่รอบด้าน เอาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นตัวตั้งและให้มองไปถึงอนาคตของลูกหลาน
ในการลุกขึ้นมาเอาใจใส่ต่อปัญหาของสังคมโดยรวม นับเป็นต้นทุนที่สำคัญของอารยประเทศ เพราะหมายถึงพลังที่จะขับเคลื่อนให้สังคมพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรอบคอบ เป็นพลังตรวจสอบและหนุนเสริมให้ขบวนการพัฒนาทั้งหลาย ไม่ทำร้ายทำลายซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการมองถึงผลอันเกิดขึ้นว่าได้รับการกระจายอย่างเป็นธรรม ชอบธรรม มากน้อยแค่ไหน หากรัฐบาลไม่มีอคติต่อการเติบโตและการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ และพร้อมที่จะหงายข้อมูลในทุกมิติอย่างตรงไปตรงมา เปิดโอกาสให้มีการถกเถียง เอาข้อมูลแต่ละฝ่ายออกมาในที่แจ้ง เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้ใช้ช่องทางในการสื่อสารกับสาธารณะ ไม่ใช่พยายามล้อมกรอบ ใส่ร้ายบิดเบือนแล้วปิดประตูตีแมว
การกระทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมจากมิติทางการเมืองที่ดำรงอยู่ ซึ่งก็ยังมองไม่เห็นว่าจะยุติลงด้วยวิธีการใด หากมีพื้นที่ความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นฐานปัจจัยในการผลิตของชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าสังคมไทยในอนาคตจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่ถมทับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็คงจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงในหลายๆ รูปแบบที่จะตามมาได้ยาก
การเติบโตของภาคประชาชนไม่ได้หมายเพียงชาวบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงเหล่าประชาคมของนักวิชาการที่มีจริยธรรม มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย และยืนข้างความถูกต้องชอบธรรมของสังคม มีคนทำงานสื่อ มีองค์กรสื่อที่ยึดมั่นในการประกอบอาชีพอย่างตรงไปตรงมา มีผู้ที่ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนที่หลากหลาย และเกาะติดกับปัญหาของสังคมมายาวนาน มีเหล่าศิลปินที่ผลิตเนื้อหารับใช้ผู้คนและสังคม ฯลฯ ปฏิบัติการเพชรเกษม 41 เป็นตัวอย่างหนึ่งความพยายามของภาคประชาชนที่หลากหลายซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ต้องการให้ภาคใต้สงบสุขและร่มเย็น ต้องการใช้ถนนเพชรเกษมให้เป็นแค่สัญลักษณ์ไม่ใช่สนามรบ ....แต่ถ้าไม่ฟังกัน กดดันกันมากๆ ก็ไม่แน่เหมือนกัน.
“เพชรเกษม 41” ถูกหยิบยกขึ้นมาให้เป็นชื่อ เพื่อสื่อสารการเคลื่อนไหวต่อสาธารณะ เพราะถนนเพชรเกษมคือเส้นทางหลักสู่ประตูของภาคใต้ แผ่นผ้าพื้นเขียว ธงสีเขียว เสื้อสีเขียว ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว เพื่อจะบอกว่าพวกเขาจะยืนหยัดปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ต้องการพิทักษ์รักษาพื้นที่ทำมาหากินประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว ชุมชน และต้องการสื่อความหมายของการพัฒนาที่เขาต้องการ การพัฒนาภายใต้บริบทกว้างๆ ที่เรียกว่า “การพัฒนาที่ยังยืน” ( Sustainable Development)
23 สิงหาคม 54 วันแถลงนโยบายของรัฐบาล บนถนนเพชรเกษมใกล้แยกเพชรเกษม 41 (สี่แยกปฐมพร) ถูกกำหนดให้เป็นจุดนัดพบ ของผู้คนทุกหมู่เหล่าทุกพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ นัดหมายกันเพื่อมาปรึกษาหารือ ว่าหากรัฐบาลนี้ยืนยันที่จะเดินหน้าดำเนินโครงการต่างๆ ที่กล่าวมา อย่างรวบรัด รวบหัวรวบหาง ไม่ฟังเสียงความรู้สึก ความคิดเห็นของคนในพื้นที่ ฯลฯ จะทำอย่างไรกันดี...
บนเวที 2 วัน 1 คืนถูกจัดให้แต่ละพื้นที่ได้นำเสนอความทุกข์ร้อน ไม่ว่ากลุ่มคนที่มาจาก อ.จะนะ จ.สงขลา ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ และพื้นที่จะถูกกำหนดให้เป็นเขื่อนของพี่น้องบ้านนาปรังในพื้นที่อำเภอนาทวี พี่น้องอาชีพประมงในคลองนาทับที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของโรงไฟฟ้าจะนะ ที่ดึงน้ำจากลำคลองไปทำระบบหล่อเย็น จนส่งผลให้พันธุ์สัตว์น้ำลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว พี่น้องในพื้นที่ อ.ท่าศาลา ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่างเชฟรอน ฯลฯ
ความไม่พอใจต่อปฏิบัติการของฝ่ายรุกเดินหน้าดำเนินโครงการในพื้นที่ต่างๆ ที่ส่งคนไปสำรวจในพื้นที่ การทำประชาสัมพันธ์ เวทีให้ข้อมูลจากนักวิชาการที่รับจ้างโครงการ กลุ่มผู้รับเหมา ผู้สนับสนุนโครงการที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็ลุกขึ้นมาปฏิบัติการ ในบางพื้นที่มีความขัดแย้งที่นับวันจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มีการข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จากกลไกรัฐที่ไม่เป็นกลาง ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในวงล้อม ถูกละเมิดสิทธิ์ ถูกล้อมกรอบให้ต้องยอมจำนน
ยุทธวิธีปฏิบัติการ “เพชรเกษม 41” จึงเป็นคำตอบ ซึ่งก็คือการผนึกกำลังกันของผู้ที่อยากมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนา ในฐานะของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย จากการดำเนินโครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่บ้านเกิดเมืองนอน เป็นการส่งสัญญาณให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐบาลทั้งที่ผ่านมาและที่เพิ่งเข้ามามีอำนาจในปัจจุบัน ว่าพวกเขาต้องการการมีส่วนร่วมในขบวนการตัดสินใจ ที่มีเหตุมีผล มีข้อมูลที่รอบด้าน เอาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นตัวตั้งและให้มองไปถึงอนาคตของลูกหลาน
ในการลุกขึ้นมาเอาใจใส่ต่อปัญหาของสังคมโดยรวม นับเป็นต้นทุนที่สำคัญของอารยประเทศ เพราะหมายถึงพลังที่จะขับเคลื่อนให้สังคมพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรอบคอบ เป็นพลังตรวจสอบและหนุนเสริมให้ขบวนการพัฒนาทั้งหลาย ไม่ทำร้ายทำลายซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการมองถึงผลอันเกิดขึ้นว่าได้รับการกระจายอย่างเป็นธรรม ชอบธรรม มากน้อยแค่ไหน หากรัฐบาลไม่มีอคติต่อการเติบโตและการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ และพร้อมที่จะหงายข้อมูลในทุกมิติอย่างตรงไปตรงมา เปิดโอกาสให้มีการถกเถียง เอาข้อมูลแต่ละฝ่ายออกมาในที่แจ้ง เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้ใช้ช่องทางในการสื่อสารกับสาธารณะ ไม่ใช่พยายามล้อมกรอบ ใส่ร้ายบิดเบือนแล้วปิดประตูตีแมว
การกระทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมจากมิติทางการเมืองที่ดำรงอยู่ ซึ่งก็ยังมองไม่เห็นว่าจะยุติลงด้วยวิธีการใด หากมีพื้นที่ความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นฐานปัจจัยในการผลิตของชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าสังคมไทยในอนาคตจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่ถมทับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็คงจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงในหลายๆ รูปแบบที่จะตามมาได้ยาก
การเติบโตของภาคประชาชนไม่ได้หมายเพียงชาวบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงเหล่าประชาคมของนักวิชาการที่มีจริยธรรม มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย และยืนข้างความถูกต้องชอบธรรมของสังคม มีคนทำงานสื่อ มีองค์กรสื่อที่ยึดมั่นในการประกอบอาชีพอย่างตรงไปตรงมา มีผู้ที่ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนที่หลากหลาย และเกาะติดกับปัญหาของสังคมมายาวนาน มีเหล่าศิลปินที่ผลิตเนื้อหารับใช้ผู้คนและสังคม ฯลฯ ปฏิบัติการเพชรเกษม 41 เป็นตัวอย่างหนึ่งความพยายามของภาคประชาชนที่หลากหลายซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ต้องการให้ภาคใต้สงบสุขและร่มเย็น ต้องการใช้ถนนเพชรเกษมให้เป็นแค่สัญลักษณ์ไม่ใช่สนามรบ ....แต่ถ้าไม่ฟังกัน กดดันกันมากๆ ก็ไม่แน่เหมือนกัน.
จุดมุ่งหมาย-ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของชาวโหวตโน โดย ดร.ป. เพชรอริยะ
บทความสัปดาห์ก่อนชาวโหวตโนสนใจอ่านกันมาก และส่วนใหญ่จะถามผู้เขียนว่า ชาวโหวตโน จะต้องมีความรู้ จุดมุ่งหมาย ภารกิจอย่างไร ผู้เขียนตอบว่า การเปรียบเทียบก่อให้เกิดปัญญาและการตัดสินใจ ชาวโหวตโนปฏิเสธพรรคการเมือง ปฏิเสธเหตุแห่งความล้มเหลวทางการเมืองก็คือแนวคิดและวิธีการของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนั่นเอง ดังนั้น การเริ่มต้นทางการเมืองเพื่อปวงชนไทยทุกคนก็คือ เริ่มต้นที่จะ เรียนรู้ ปัญญา ศรัทธา เรียกร้อง การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อย่างสันติ สู้กับลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญที่ชนเผ่านี้ (พรรคเพื่อไทย) ยกร่างใหม่หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นแนวทางที่เห็นผิด คิดผิด ทำผิด ปกครองผิด มายาวนาน 79 ปี
ชาวโหวตโนต่างก็เชื่อว่าเป็นพลังแห่งปัญญาที่ก้าวที่สุดของชาติเพราะเป็นพลังที่ปฏิเสธพรรคการเมือง นักการเมือง (สัตว์นรก) ชาวโหวตโนจึงปฏิเสธระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธแนวคิดลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายหายนะของชาติในทุกทาง สู่การเมืองใหม่ธรรมาธิปไตยคืออารยธรรมใหม่อันยิ่งใหญ่ของชาติและปวงชนอย่างแท้จริง
ชาวโหวตโนต่างก็เชื่อว่าเป็นพลังแห่งปัญญาที่ก้าวที่สุดของชาติเพราะเป็นพลังที่ปฏิเสธพรรคการเมือง นักการเมือง (สัตว์นรก) ชาวโหวตโนจึงปฏิเสธระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธแนวคิดลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายหายนะของชาติในทุกทาง สู่การเมืองใหม่ธรรมาธิปไตยคืออารยธรรมใหม่อันยิ่งใหญ่ของชาติและปวงชนอย่างแท้จริง
วิธีถลุงทุนสำรองของชาติ
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน คอลัมน์นี้พูดคร่าวๆ ถึงเรื่องราวของอาร์เจนตินาว่าใช้ทุนสำรองของชาติอย่างไรในกระบวนการใช้นโยบายประชานิยมจึงทำให้ประเทศล้มละลาย (รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือชื่อ “ประชานิยม : ทางสู่ความหายนะ” ซึ่งอยู่ในระหว่างการจัดพิมพ์) วันนี้จะพูดถึงกลวิธีที่การก่อตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติจะถูกใช้เพื่อถลุงทุนสำรองของไทยพร้อมกับทำให้นักการเมืองและพวกพ้องมั่งคั่งได้อย่างไร การที่รัฐมนตรีในรัฐบาลนี้แสดงความกระเหี้ยนกระหือรือดังกับกระสือเห็นเวจอุจจาระที่จะให้มีการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติก็เพราะพวกเขามองเห็นโอกาสทองที่จะสนองความละโมบของเจ้านายซึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์พร้อมกับของตัวเองและพวกพ้อง พวกเขาต้องรีบทำให้เร็วที่สุดเพราะไม่มั่นใจในความยืนยาวของการครองอำนาจ หากตั้งกองทุนฯ เสร็จก่อนหมดอำนาจ พวกเขาก็จะสามารถถลุงทุนสำรองของชาติสืบต่อไปได้อีกนาน
กระบวนการจะเริ่มต้นด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยคนของพวกเขาขึ้นมาศึกษาและร่างกรอบ กฎหมายและข้อบังคับของกองทุนฯ ซึ่งจะนำเงินส่วนหนึ่งจากทุนสำรองของชาติมาบริหารจัดการ ตอนนี้ทุนสำรองของชาติมีอยู่เกือบสองแสนล้านดอลลาร์ พวกเขาอาจนำมาใส่ไว้ในกองทุนฯ สักครึ่งหนึ่งก็ได้และจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างความแน่ใจว่ากฎเกณฑ์ที่จะเกิดขึ้นมีช่องโหว่พอที่พวกเขาจะนำเอาไปใช้ในการถลุงเงินของกองทุนฯ
ในขณะเดียวกันพรรคพวกของนักการเมืองก็จะก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงินขึ้นมาพร้อมๆ กับบริษัทที่จะทำกิจการทางด้านสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและทำเหมืองแร่โดยเฉพาะเหมืองทองคำ บริษัทเหล่านั้นมักจะมีสัญชาติของเกาะต่างๆ ที่มีชื่อว่าเป็นแหล่งหลบภาษีของมหาเศรษฐีขี้ฉ้อ เช่น เกาะเคย์แมนและเกาะบาฮามาสที่เจ้านายของพวกเขาใช้มาก่อน บริษัทเหล่านั้นอาจเป็นการร่วมทุนระหว่างคนไทยในต่างประเทศกับชาวต่างชาติซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นชาวตะวันออกกลางจากบางประเทศที่มีน้ำมันจำนวนมากโดยเฉพาะจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เมื่อผ่านกฎหมายก่อตั้งกองทุนได้แล้วก็จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้บริหารชั้นสูง คนพวกนี้ส่วนมากจะมาจากพรรคพวกของนักการเมืองและเจ้านายของพวกเขา แต่ละคนจะได้ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์สูงมาก หลังจากนั้นผู้บริหารชั้นสูงก็จะจ้างพนักงานของกองทุนฯ ซึ่งก็จะมาจากลูกหลานของนักการเมือง ญาติพี่น้องและพวกพ้องของพวกเขาอีกเช่นกัน
ขั้นต่อไปได้แก่การจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงินที่พรรคพวกของนักการเมืองก่อตั้งขึ้นมาด้วยค่าจ้างสูงให้เข้ามาช่วยหาทางลงทุนให้แก่กองทุนฯ ส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่สูงมากนั้นจะถูกนำมาปันกับผู้บริหารบางคนของกองทุนฯ บริษัทที่ปรึกษาจะขมีขมันค้นคว้าหาทางลงทุนจนในที่สุดจะพบบริษัทที่พลพรรคของนักการเมืองและเจ้านายตั้งขึ้นไว้ตามเกาะต่างๆ ว่าเป็นหนทางลงทุนที่จะมีกำไรสูงมาก จึงเสนอให้กองทุนฯ นำเงินก้อนใหญ่ๆ ไปซื้อหุ้นและร่วมทุนกับบริษัทเหล่านั้นเพื่อสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและทำเหมืองทองคำแล้วกองทุนฯ ก็ทำตาม
การลงทุนของกองทุนฯ จะได้รับการสนับสนุนและกล่าวขวัญถึงอย่างต่อเนื่องว่าน่าจะสร้างกำไรได้ดีมากจากสื่อพิมพ์และโทรทัศน์บางแห่งอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มมีรายงานว่ากองทุนฯ สูญเงินที่นำไปลงไว้ในกิจการต่างๆ อย่างมีเงื่อนงำ กิจการบางอย่างจะล้มละลายเนื่องจากหาทองคำและน้ำมันไม่พบในปริมาณมากพอ ในขณะเดียวกันจะมีรายงานจากสื่ออีกส่วนหนึ่งซึ่งชี้ให้เห็นความมั่งคั่งของคณะกรรมการ ผู้บริหารชั้นสูงของกองทุนฯ และพลพรรคของนักการเมืองและเจ้านายที่อยู่ในต่างประเทศโดยเฉพาะในด้านการเป็นอยู่แบบหรูหราไม่ต่างกับมหาเศรษฐี การถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเพื่อหาคนรับผิดชอบจะตามมา แต่ในที่สุดก็จะหาคนมาลงโทษไม่ได้
เนื่องจากภาพอันแสนเลวร้ายที่ฉายมานี้มีความเป็นไปได้สูงมาก สื่อจึงรายงานว่าเกิดการต่อต้านจากหลายฝ่ายรวมทั้งจากคณะกรรมการและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย หากคณะกรรมการและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่อต้านแนวคิดที่จะตั้งกองทุนฯ ชนิดหัวชนฝา เราจะเห็นว่าอีกไม่นานจะมีการเปลี่ยนตัวบุคคลในองค์กรนั้นเฉกเช่นการเปลี่ยนตัวข้าราชการผู้ใหญ่ในองค์กรอื่น เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
หากถามว่าการเขียนเช่นนี้ก็เพื่อจะชี้โพรงให้กระรอกใช่ไหม ขอตอบว่าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาย่อมแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดแล้วว่า นักการเมืองเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในด้านการใช้กลโกงและมีจุดมุ่งหมายในการเล่นการเมืองเพียงอย่างเดียว นั่นคือ จะทำอย่างไรให้ตัวเองและเพื่อนพ้องน้องพี่ร่ำรวยแม้จะด้วยการละเมิดกฎหมายและศีลธรรมจรรยาก็ตาม
กระบวนการจะเริ่มต้นด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยคนของพวกเขาขึ้นมาศึกษาและร่างกรอบ กฎหมายและข้อบังคับของกองทุนฯ ซึ่งจะนำเงินส่วนหนึ่งจากทุนสำรองของชาติมาบริหารจัดการ ตอนนี้ทุนสำรองของชาติมีอยู่เกือบสองแสนล้านดอลลาร์ พวกเขาอาจนำมาใส่ไว้ในกองทุนฯ สักครึ่งหนึ่งก็ได้และจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างความแน่ใจว่ากฎเกณฑ์ที่จะเกิดขึ้นมีช่องโหว่พอที่พวกเขาจะนำเอาไปใช้ในการถลุงเงินของกองทุนฯ
ในขณะเดียวกันพรรคพวกของนักการเมืองก็จะก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงินขึ้นมาพร้อมๆ กับบริษัทที่จะทำกิจการทางด้านสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและทำเหมืองแร่โดยเฉพาะเหมืองทองคำ บริษัทเหล่านั้นมักจะมีสัญชาติของเกาะต่างๆ ที่มีชื่อว่าเป็นแหล่งหลบภาษีของมหาเศรษฐีขี้ฉ้อ เช่น เกาะเคย์แมนและเกาะบาฮามาสที่เจ้านายของพวกเขาใช้มาก่อน บริษัทเหล่านั้นอาจเป็นการร่วมทุนระหว่างคนไทยในต่างประเทศกับชาวต่างชาติซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นชาวตะวันออกกลางจากบางประเทศที่มีน้ำมันจำนวนมากโดยเฉพาะจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เมื่อผ่านกฎหมายก่อตั้งกองทุนได้แล้วก็จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้บริหารชั้นสูง คนพวกนี้ส่วนมากจะมาจากพรรคพวกของนักการเมืองและเจ้านายของพวกเขา แต่ละคนจะได้ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์สูงมาก หลังจากนั้นผู้บริหารชั้นสูงก็จะจ้างพนักงานของกองทุนฯ ซึ่งก็จะมาจากลูกหลานของนักการเมือง ญาติพี่น้องและพวกพ้องของพวกเขาอีกเช่นกัน
ขั้นต่อไปได้แก่การจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงินที่พรรคพวกของนักการเมืองก่อตั้งขึ้นมาด้วยค่าจ้างสูงให้เข้ามาช่วยหาทางลงทุนให้แก่กองทุนฯ ส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่สูงมากนั้นจะถูกนำมาปันกับผู้บริหารบางคนของกองทุนฯ บริษัทที่ปรึกษาจะขมีขมันค้นคว้าหาทางลงทุนจนในที่สุดจะพบบริษัทที่พลพรรคของนักการเมืองและเจ้านายตั้งขึ้นไว้ตามเกาะต่างๆ ว่าเป็นหนทางลงทุนที่จะมีกำไรสูงมาก จึงเสนอให้กองทุนฯ นำเงินก้อนใหญ่ๆ ไปซื้อหุ้นและร่วมทุนกับบริษัทเหล่านั้นเพื่อสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและทำเหมืองทองคำแล้วกองทุนฯ ก็ทำตาม
การลงทุนของกองทุนฯ จะได้รับการสนับสนุนและกล่าวขวัญถึงอย่างต่อเนื่องว่าน่าจะสร้างกำไรได้ดีมากจากสื่อพิมพ์และโทรทัศน์บางแห่งอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มมีรายงานว่ากองทุนฯ สูญเงินที่นำไปลงไว้ในกิจการต่างๆ อย่างมีเงื่อนงำ กิจการบางอย่างจะล้มละลายเนื่องจากหาทองคำและน้ำมันไม่พบในปริมาณมากพอ ในขณะเดียวกันจะมีรายงานจากสื่ออีกส่วนหนึ่งซึ่งชี้ให้เห็นความมั่งคั่งของคณะกรรมการ ผู้บริหารชั้นสูงของกองทุนฯ และพลพรรคของนักการเมืองและเจ้านายที่อยู่ในต่างประเทศโดยเฉพาะในด้านการเป็นอยู่แบบหรูหราไม่ต่างกับมหาเศรษฐี การถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเพื่อหาคนรับผิดชอบจะตามมา แต่ในที่สุดก็จะหาคนมาลงโทษไม่ได้
เนื่องจากภาพอันแสนเลวร้ายที่ฉายมานี้มีความเป็นไปได้สูงมาก สื่อจึงรายงานว่าเกิดการต่อต้านจากหลายฝ่ายรวมทั้งจากคณะกรรมการและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย หากคณะกรรมการและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่อต้านแนวคิดที่จะตั้งกองทุนฯ ชนิดหัวชนฝา เราจะเห็นว่าอีกไม่นานจะมีการเปลี่ยนตัวบุคคลในองค์กรนั้นเฉกเช่นการเปลี่ยนตัวข้าราชการผู้ใหญ่ในองค์กรอื่น เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
หากถามว่าการเขียนเช่นนี้ก็เพื่อจะชี้โพรงให้กระรอกใช่ไหม ขอตอบว่าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาย่อมแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดแล้วว่า นักการเมืองเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในด้านการใช้กลโกงและมีจุดมุ่งหมายในการเล่นการเมืองเพียงอย่างเดียว นั่นคือ จะทำอย่างไรให้ตัวเองและเพื่อนพ้องน้องพี่ร่ำรวยแม้จะด้วยการละเมิดกฎหมายและศีลธรรมจรรยาก็ตาม
สถาบันกันตนา เปิดบ้าน Open House สัมผัสหลักสูตรศิลปะฯผลิตสื่อ
สถาบันกันตนา คณะศิลปกรรมการผลิตสื่อ สาจาผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชั่น เปิดบ้านจัดกิจกรรม “Have Fun & Get Ready with Kantana Institute Open House 2011” ณ สถาบันกันตนา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
กันตนาเปิดบ้าน เรียนรู้หลักสูตรศิลปกรรมการผลิตสื่อ
ชมการแสดงของรุ่นพี่
เรียนรู้อย่างใกล้ชิด
ผศ.ปนัดดา ธนสถิตย์ อธิการบดี สถาบันกันตนา กล่าวว่า สถาบันกันตนาได้จัดกิจกรรมเปิดบ้านสถาบันกันตนา ภายใต้ชื่อ “Have Fun & Get Ready with Kantana Institute Open House 2011” เพื่อเผยแพร่ แนะนำหลักสูตร และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอน แก่นักเรียนมัธยมปลายที่สนใจทางด้านการผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชั่น พร้อมได้มาเรียนรู้ สัมผัสการเรียนการสอนจริงๆ ของสถาบันกันตนา ซึ่งการเรียนการสอนของเราจะเน้นด้านการลงมือปฏิบัติจริง ใช้อุปกรณ์จริง และได้ร่วมมือกับนักวิชาการโดยตรง”
ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง
เตรียมทำภาพเคลื่อนไหว
ด้าน ผศ.เกริกเกียนติ พันธุ์พิพัฒน์ คณบดีคณะศิลปกรรมการผลิตสื่อ สถาบันกันตนา กล่าวถึงกิจกรรมเปิดบ้านในครั้งนี้ว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นจะเน้นไปที่การได้ลงมือปฏิบัติจริง เริ่มต้นด้วยการแนะนำหลักสูตรทั้ง 2 สาขา ด้านแอนิเมชั่น และภาพยนตร์
“เราได้แบ่งนักเรียนและนักศึกษาออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้ที่สนใจด้านแอนิเมชั่นจะได้รับฟังการบรรยายประสบการณ์ทำงานจากนักแอนิเมชั่นมืออาชีพ คุณวันเฉลิม ชูตระกูล Senior character Designer เจ้าของผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นก้านกล้วย 1 และ 2 ส่วนนักเรียนที่สนใจด้านการผลิตภาพยนตร์จะได้รับฟังการบรรยายจากคุณเชิดพงษ์ เหล่ายนตร์ ผู้ช่วยผู้กำกับมือหนึ่งของประเทศ เจ้าของผลงานอาทิ ภาพยนตร์ เรื่องปืนใหญ่ จอมสลัด มนต์รักทานซิสเตอร์,นางไม้ พร้อมกับแบ่งกลุ่มทำเวิร์คช็อปการผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชั่น กับอาจารย์ของสถาบันกันตนาโดยในส่วนของภาพยนตน์แต่ละกลุ่มจะได้บทภาพยนตร์ และในแต่ละกลุ่มจะได้ออกไปถ่ายทำภาพยนตร์สั้น นักเรียนจะได้ลองกำกับจริง แสดงจริงและในอาทิตย์ จะเป็นขั้นตอนของการตัดต่อภาพยนตร์
ส่วนด้านแอนิเมชั่น นักเรียนจะได้ทำแอนิเมชั่น เป็นลักษณะ Stop Motion การวาดทราย แล้วขยับรูปร่างท่าทางของทรายเหล่านั้นทีละนิดๆ แล้วใช้กล้องถ่ายไว้ทีละเฟรมๆ แล้วนำไปต่อกันเป็นภาพเคลื่อนไหว และยังมีขั้นตอนการตัดต่อภาพออกมาเป็นภาพยนตร์ แอนิเมชั่น ซึ่งนักเรียนจะได้ผลงานที่ได้ผลิตกลับไปด้วย" คณบดี กล่าวถึงกิจกรรมต่างๆ ในงานเปิดบ้านสถาบันกันตนา
**ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.kantanainstitute.ac.th และยื่นใบสมัครด้วยตัวเองที่สถาบันกันตนา หรือส่งทางไปรษณีย์ที่ สถาบันกันตนา เลขที่ 999 หมู่ 2 ถนน ศาลายา-บางภาษี ตำบล คลองโยง อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.034-240361-4,082-334-0990 หรือ www.kantanainstitute.ac.th.
กันตนาเปิดบ้าน เรียนรู้หลักสูตรศิลปกรรมการผลิตสื่อ
ชมการแสดงของรุ่นพี่
เรียนรู้อย่างใกล้ชิด
ผศ.ปนัดดา ธนสถิตย์ อธิการบดี สถาบันกันตนา กล่าวว่า สถาบันกันตนาได้จัดกิจกรรมเปิดบ้านสถาบันกันตนา ภายใต้ชื่อ “Have Fun & Get Ready with Kantana Institute Open House 2011” เพื่อเผยแพร่ แนะนำหลักสูตร และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอน แก่นักเรียนมัธยมปลายที่สนใจทางด้านการผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชั่น พร้อมได้มาเรียนรู้ สัมผัสการเรียนการสอนจริงๆ ของสถาบันกันตนา ซึ่งการเรียนการสอนของเราจะเน้นด้านการลงมือปฏิบัติจริง ใช้อุปกรณ์จริง และได้ร่วมมือกับนักวิชาการโดยตรง”
ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง
เตรียมทำภาพเคลื่อนไหว
ด้าน ผศ.เกริกเกียนติ พันธุ์พิพัฒน์ คณบดีคณะศิลปกรรมการผลิตสื่อ สถาบันกันตนา กล่าวถึงกิจกรรมเปิดบ้านในครั้งนี้ว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นจะเน้นไปที่การได้ลงมือปฏิบัติจริง เริ่มต้นด้วยการแนะนำหลักสูตรทั้ง 2 สาขา ด้านแอนิเมชั่น และภาพยนตร์
“เราได้แบ่งนักเรียนและนักศึกษาออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้ที่สนใจด้านแอนิเมชั่นจะได้รับฟังการบรรยายประสบการณ์ทำงานจากนักแอนิเมชั่นมืออาชีพ คุณวันเฉลิม ชูตระกูล Senior character Designer เจ้าของผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นก้านกล้วย 1 และ 2 ส่วนนักเรียนที่สนใจด้านการผลิตภาพยนตร์จะได้รับฟังการบรรยายจากคุณเชิดพงษ์ เหล่ายนตร์ ผู้ช่วยผู้กำกับมือหนึ่งของประเทศ เจ้าของผลงานอาทิ ภาพยนตร์ เรื่องปืนใหญ่ จอมสลัด มนต์รักทานซิสเตอร์,นางไม้ พร้อมกับแบ่งกลุ่มทำเวิร์คช็อปการผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชั่น กับอาจารย์ของสถาบันกันตนาโดยในส่วนของภาพยนตน์แต่ละกลุ่มจะได้บทภาพยนตร์ และในแต่ละกลุ่มจะได้ออกไปถ่ายทำภาพยนตร์สั้น นักเรียนจะได้ลองกำกับจริง แสดงจริงและในอาทิตย์ จะเป็นขั้นตอนของการตัดต่อภาพยนตร์
ส่วนด้านแอนิเมชั่น นักเรียนจะได้ทำแอนิเมชั่น เป็นลักษณะ Stop Motion การวาดทราย แล้วขยับรูปร่างท่าทางของทรายเหล่านั้นทีละนิดๆ แล้วใช้กล้องถ่ายไว้ทีละเฟรมๆ แล้วนำไปต่อกันเป็นภาพเคลื่อนไหว และยังมีขั้นตอนการตัดต่อภาพออกมาเป็นภาพยนตร์ แอนิเมชั่น ซึ่งนักเรียนจะได้ผลงานที่ได้ผลิตกลับไปด้วย" คณบดี กล่าวถึงกิจกรรมต่างๆ ในงานเปิดบ้านสถาบันกันตนา
**ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.kantanainstitute.ac.th และยื่นใบสมัครด้วยตัวเองที่สถาบันกันตนา หรือส่งทางไปรษณีย์ที่ สถาบันกันตนา เลขที่ 999 หมู่ 2 ถนน ศาลายา-บางภาษี ตำบล คลองโยง อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.034-240361-4,082-334-0990 หรือ www.kantanainstitute.ac.th.
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
ใช้ไฟล่อแมลงตอนกลางคืน
ใช้ไฟล่อแมลงตอนกลางคืน แล้วนำมาเป็นอาหารไก่ทำให้ไก่ได้โปรตีน และยังเป็นการช่วยทำลายแมลงศัตรูพืชอีกด้วย
SMS FarmerInfo - 8 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 8 ก.ย.2554 - 11.14 น.
เทรนิคการใส่ปุ๋ยสัปปะรด
เทรนิคการใส่ปุ๋ยสัปปะรดที่ชาวไร่ใช้คือ ใส่บริเวณกาบใบล่างขณะมีน้ำขังอยู่อย่างเพียงพอ แต่ควรระวังอย่าให้ปุ๋ยโดนส่วนยอด เพราะจะทำให้ยอดไหม้
SMS FarmerInfo - 9 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 9 ก.ย.2554 - 11.14 น.
การทานกล้วยช่วยผู้ที่มีปัญหาผมร่วง
การทานกล้วยช่วยผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางได้นะคะ ด้วยกล้วยนั้นอุดมไปด้วย วิตามินบี และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่เส้นผมเราต้องการ
SMS FarmerInfo - 11 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 11 ก.ย.2554 - 11.14 น.
ก่อนนึ่งปลk
ก่อนนึ่งปลา ให้ทาตัวปลาด้วยน้ำส้มสายชูและเกลืออย่างละ 1 ช้อนชา เมื่อนึ่งสุกปลาจะไม่มีกลิ่นคาว และช่วยให้เนื้อปลาไม่เละ
SMS FarmerInfo - 11 ก.ย.2554 - 13.14 น.
SMS FarmerInfo - 11 ก.ย.2554 - 13.14 น.
เทคนิคเร่งผมให้ยาวเร็วขึ้น
เทคนิคเร่งผมให้ยาวเร็วขึ้น + ฟื้นฟูผมเสียให้กลับสวยงามแบบไม่เปลืองสตางค์มากมาย คือ การทานอาหารประเภทโปรตีน ผักใบเขียวและผลไม้เยอะๆ นั่นเอง
SMS FarmerInfo - 10 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 10 ก.ย.2554 - 11.14 น.
การใช้ใบพลูพืชสมุนไพรพื้นบ้าน
การใช้ใบพลูพืชสมุนไพรพื้นบ้านรักษาอาการท้องเสีย ในลูกสุกรหลังหย่านม สามารถใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้งบดหรือหั่นฝอยผสมในอาหารให้ลูกสุกรกิน
SMS FarmerInfo - 6 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 6 ก.ย.2554 - 11.14 น.
การรรับประทานไข่สำหรับเด็ก
การรรับประทานไข่สำหรับเด็กอย่างมากวันละ 1-2 ฟอง ผู้สูงอายุรับประทานแค่ 1 ฟอง ก็พอ เพราะทานไข่มากๆจะทำให้อ้วนและเพิ่มคอเลสเตอรอลให้ร่างกาย
SMS FarmerInfo - 3 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 3 ก.ย.2554 - 11.14 น.
ทำบุญบริจาคหนังสือ
เ ติ ม ห นั ง สื อ ใ ห้ เ ต็ ม ชั้ น... เ ติ ม ฝั น ใ ห้ ว า วี - -
ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หว่านเมล็ดฝันทางความคิด ให้สวนอักษรบานสะพรั่งทั้งวาวี
ด้วยการส่งหนังสือ, นิตยสาร เก่าหรือใหม่ ไปเติมชั้นในห้องสมุดของโรงเรียน กรุณาจัดใส่กล่องพัสดุแล้วจ่าหน้าซองถึง...
คุณครูบุญทม วันสูง
ห้องสมุดโรงเรียนบ้านวาวี
โรงเรียนบ้านวาวี ตำบลวาวี
อำเภอแม่สรวย
จังหวัดเชียงราย (57180)
โทร. 053 – 760147
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บล็อกโดม วุฒิชัย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=porpayia&month=01-2009&date=16&group=8&gblog=39
ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หว่านเมล็ดฝันทางความคิด ให้สวนอักษรบานสะพรั่งทั้งวาวี
ด้วยการส่งหนังสือ, นิตยสาร เก่าหรือใหม่ ไปเติมชั้นในห้องสมุดของโรงเรียน กรุณาจัดใส่กล่องพัสดุแล้วจ่าหน้าซองถึง...
คุณครูบุญทม วันสูง
ห้องสมุดโรงเรียนบ้านวาวี
โรงเรียนบ้านวาวี ตำบลวาวี
อำเภอแม่สรวย
จังหวัดเชียงราย (57180)
โทร. 053 – 760147
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บล็อกโดม วุฒิชัย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=porpayia&month=01-2009&date=16&group=8&gblog=39
การทอดไข่ดาว
การทอดไข่ดาว เวลาทอดให้ไส่น้ำส้มสายชู 1-2 หยด ลงในน้ำที่ทอด ไข่จะจับตัวกันเร็วขึ้นไข่ดาวน้ำที่ได้จะนุ่มสวยน่ารับประทาน
SMS FarmerInfo - 4 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 4 ก.ย.2554 - 11.14 น.
ตะไคร้หยวก ลำต้นขาวอวบอ้วน
ตะไคร้หยวก ลำต้นขาวอวบอ้วน ตลาดต้องการ ปลูกง่าย ขายได้ราคา โดยเฉพาะหน้าแล้ง จะมีมูลค่าเพิ่มเป็นสองเท่า ศึกษาวิธีการปลูก www.rakbankerd.com
SMS FarmerInfo - 2 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 2 ก.ย.2554 - 11.14 น.
ชาวเวียดนามนิยมทานข้าวเหนียว
ชาวเวียดนามนิยมทานข้าวเหนียวหังกับเยื่อเมล็ดผลฟักข้าวสุก เพราะเชื่อว่า สีขาวเป็นสีแห่งความตาย ข้าวสีส้มแดงจึงเป็นมงคลต่องานเทศกาลต่างๆ
SMS FarmerInfo - 4 ก.ย.2554 - 11.14 น.
SMS FarmerInfo - 4 ก.ย.2554 - 11.14 น.
การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา
การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา ปุ๋ยคอกใช้ในอัตราไม่เกิน 200-250 กก./ไร่/เดือน ปุ๋ยพืชสดไม่เกิน 1200-1500 กก/ไร่ และปุ๋ยหมัก 600-700 กก./ไร่
SMS FarmerInfo - 1 ก.ย.2554 - 11.14 น
SMS FarmerInfo - 1 ก.ย.2554 - 11.14 น
วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554
ททท. ชวนเที่ยวงานประเพณีแข่งเรือจ.น่าน
จังหวัดน่านร่วมกับเทศบาลเมืองน่าน สมาคมเรือแข่งจังหวัดน่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกันจัด “งานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ชิงถ้วยพระราชทานฯ” ประจำปี2554 นัดเปิดสนามในวันที่ 17-18 กันยายน 2554 และ นัดปิดสนามในวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2554 โดยจัดขึ้นณ บริเวณเชิงสะพานพัฒนาภาคเหนือ อ.เมือง จ.น่าน ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ การแข่งเรือประเภทต่างๆ การประกวดกองเชียร์ การออกร้านอาหาร จำหน่ายสินค้าต่างๆ สินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP
จังหวัดน่าน ดินแดนแห่งขุนเขา เป็น “ชุมชนคนต้นน้ำ” ที่เปรียบเสมือนสายใยแห่งชีวิตมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนน่านมาแต่อดีต จากวิถีชีวิตที่งดงามและเรียบง่าย ความผูกพันกับสายน้ำน่านในอดีต จึงมีการแข่งเรือเพื่อเชื่อมความสามัคคีซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี เสน่ห์อย่างหนึ่งของเรือเมืองน่านที่พิเศษนอกจากรูปลักษณ์ของเรือที่มีความโดดเด่น คือ ลำตัวจะทำจากไม้ซุงทั้งท่อน มีหัวเรือทำเป็นรูปพญานาคราชแล้ว เรือทุกลำที่เข้าร่วมแข่งขันจะเป็นเรือที่เป็นสมบัติของชุมชน หรือหมู่บ้านคนเมืองน่าน กว่า 100 หมู่บ้าน และมีจำนวนเรือแข่งกว่า 200 ลำ นับได้ว่าจังหวัดน่านมีการอนุรักษ์เรือยาวได้เป็นอย่างดีและมีเรือยาวมากที่สุดในประเทศไทย
วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ ซึ่งรับผิดชอบในการส่งเสริมและประสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดแพร่ น่าน และอุตรดิตถ์ กล่าวว่า งานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2554 จัดขึ้น ณ บริเวณเชิงสะพานพัฒนาภาคเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน โดยนัดเปิดสนาม กำหนดจัดระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2554 และ นัดปิดสนาม กำหนดจัดระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2554 โดยจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ประเภท ประเภทเรือใหญ่ เรือกลาง เรือเล็ก ชิงถ้วยพระราชทานฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และประเภทเรือสวยงาม ชิงถ้วยประทานฯ ของพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาธินัดดามาตุ นอกจากนี้ยังมีการประกวดกองเชียร์ ชิงถ้วยประทานของพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาภายในงานจะมีการออกร้านอาหาร จำหน่ายสินค้าต่างๆ สินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP (ไม่มีการจำหน่ายสุรา และเครื่องดื่มของมึนเมา) อีกด้วย
การจัดงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2554 นอกจากจะเป็นการรักษาสืบทอดประเพณีการแข่งเรือของจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นให้คงอยู่แล้ว ในปัจจุบันประเพณีแข่งเรือดังกล่าวยังมีการพัฒนารูปแบบการแข่งขันให้สอดคล้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังจังหวัดน่าน เป็นจำนวนมาก
และนอกจากงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน นัดเปิดสนาม และนัดปิดสนามแล้ว ยังมีการแข่งเรือในหลายๆ อำเภอ ในจังหวัดน่าน อาทิ งานประเพณีแข่งเรือ “อำเภอท่าวังผาชิงถ้วยพระราชทานฯ” กำหนดจัดวันที่ 24-25 กันยายน 2554 งานประเพณีแข่งเรือบ้านเจดีย์ ต.ดู่ใต้ กำหนดจัดวันที่ 1-2 ตุลาคม 2554 งานประเพณีแข่งเรือ “อำเภอเวียงสา” กำหนดจัดวันที่ 11-12 ตุลาคม 2554 และงานประเพณีแข่งเรือตักบาตรเทโวโรหณะ อ.ท่าวังผา กำหนดจัดวันที่ 13 ตุลาคม 2554
ททท.สำนักงานแพร่ เชิญชวนผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีอันดีงามในงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ประจำปี 2554 ในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2554 จังหวัดน่าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลเมืองน่าน โทร. 0-5471-0234 ต่อ 138-139 หรือสอบถามข้อมูลการเดินทางและการท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ โทร. 0-5452-1118, 0-5452-1127
จังหวัดน่าน ดินแดนแห่งขุนเขา เป็น “ชุมชนคนต้นน้ำ” ที่เปรียบเสมือนสายใยแห่งชีวิตมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนน่านมาแต่อดีต จากวิถีชีวิตที่งดงามและเรียบง่าย ความผูกพันกับสายน้ำน่านในอดีต จึงมีการแข่งเรือเพื่อเชื่อมความสามัคคีซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี เสน่ห์อย่างหนึ่งของเรือเมืองน่านที่พิเศษนอกจากรูปลักษณ์ของเรือที่มีความโดดเด่น คือ ลำตัวจะทำจากไม้ซุงทั้งท่อน มีหัวเรือทำเป็นรูปพญานาคราชแล้ว เรือทุกลำที่เข้าร่วมแข่งขันจะเป็นเรือที่เป็นสมบัติของชุมชน หรือหมู่บ้านคนเมืองน่าน กว่า 100 หมู่บ้าน และมีจำนวนเรือแข่งกว่า 200 ลำ นับได้ว่าจังหวัดน่านมีการอนุรักษ์เรือยาวได้เป็นอย่างดีและมีเรือยาวมากที่สุดในประเทศไทย
วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ ซึ่งรับผิดชอบในการส่งเสริมและประสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดแพร่ น่าน และอุตรดิตถ์ กล่าวว่า งานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2554 จัดขึ้น ณ บริเวณเชิงสะพานพัฒนาภาคเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน โดยนัดเปิดสนาม กำหนดจัดระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2554 และ นัดปิดสนาม กำหนดจัดระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2554 โดยจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ประเภท ประเภทเรือใหญ่ เรือกลาง เรือเล็ก ชิงถ้วยพระราชทานฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และประเภทเรือสวยงาม ชิงถ้วยประทานฯ ของพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาธินัดดามาตุ นอกจากนี้ยังมีการประกวดกองเชียร์ ชิงถ้วยประทานของพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาภายในงานจะมีการออกร้านอาหาร จำหน่ายสินค้าต่างๆ สินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP (ไม่มีการจำหน่ายสุรา และเครื่องดื่มของมึนเมา) อีกด้วย
การจัดงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2554 นอกจากจะเป็นการรักษาสืบทอดประเพณีการแข่งเรือของจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นให้คงอยู่แล้ว ในปัจจุบันประเพณีแข่งเรือดังกล่าวยังมีการพัฒนารูปแบบการแข่งขันให้สอดคล้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังจังหวัดน่าน เป็นจำนวนมาก
และนอกจากงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน นัดเปิดสนาม และนัดปิดสนามแล้ว ยังมีการแข่งเรือในหลายๆ อำเภอ ในจังหวัดน่าน อาทิ งานประเพณีแข่งเรือ “อำเภอท่าวังผาชิงถ้วยพระราชทานฯ” กำหนดจัดวันที่ 24-25 กันยายน 2554 งานประเพณีแข่งเรือบ้านเจดีย์ ต.ดู่ใต้ กำหนดจัดวันที่ 1-2 ตุลาคม 2554 งานประเพณีแข่งเรือ “อำเภอเวียงสา” กำหนดจัดวันที่ 11-12 ตุลาคม 2554 และงานประเพณีแข่งเรือตักบาตรเทโวโรหณะ อ.ท่าวังผา กำหนดจัดวันที่ 13 ตุลาคม 2554
ททท.สำนักงานแพร่ เชิญชวนผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีอันดีงามในงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ประจำปี 2554 ในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2554 จังหวัดน่าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลเมืองน่าน โทร. 0-5471-0234 ต่อ 138-139 หรือสอบถามข้อมูลการเดินทางและการท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ โทร. 0-5452-1118, 0-5452-1127
การพนัน : แหล่งรายได้ที่ทำลายศีลธรรม โดย สามารถ มังสัง
“การพนัน เป็นความหวังของคนจน แต่เป็นกีฬาของคนรวย” นี่คือวาทะของนักเขียนผู้ใช้นามปากกา “เทียนวรรณ”
จากวาทะดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเจ้าของวาทะนี้ได้แยกการพนันออกเป็นสองแง่ คือ เป็นความหวัง และเป็นกีฬา โดยตัวผู้เล่นการพนันเป็นตัวแบ่งประเภท กล่าวคือ ถ้าเล่นการพนันเพื่อหวังชนะ และได้ผลตอบแทนจากการเป็นผู้ชนะ และมีดีใจ มีความสมหวังกับความชนะ ในทางกลับกัน ถ้าแพ้ เกิดความเสียใจและผิดหวัง ก็จัดเข้าประเภทคนจน
แต่ถ้าเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ไม่เดือดร้อน ก็จัดเข้าประเภทคนรวย
ดังนั้น การพนันตามนัยนี้ ถึงแม้รูปแบบของการพนันจะเหมือนกัน แต่ผลที่ได้จากการเล่นต่างกัน และผลที่ต่างกันนี้เองคือปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิด ถ้าจะปราบบ่อนเถื่อนให้หมดไป หรือไม่หมดไปแต่ให้ผู้คนในสังคมได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน้อยที่สุดว่าจะทำอย่างไร?
จริงอยู่ การป้องกันมิให้มีการเปิดบ่อนได้อย่างเด็ดขาด 100 เปอร์เซ็นต์ คงทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย ในทำนองเดียวกับการปราบโสเภณี แต่การป้องกันมิให้ผู้คนได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน่าจะกระทำได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
1. อนุญาตให้เปิดบ่อนโดยถูกต้องตามกฎหมายในเขตที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ และมีการตรวจสอบควบคุมมิให้ผู้เล่นประเภทคนจนที่แพ้แล้วเดือดร้อน ทั้งแก่ตัวเองและครอบครัวเข้าไปเล่นในบ่อน
2. เปิดโอกาสให้คนที่ต้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้นเข้าไปเล่นโดยได้รับความสะดวก และได้รับการคุ้มครองรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงมีระบบการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างรอบคอบและรัดกุม
ถ้าทำได้ตามแนวทางนี้ ก็คงจะแก้ปัญหาการมีบ่อนเถื่อนดังที่เป็นอยู่ และเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้
อะไรทำให้บ่อนเถื่อนเกิดขึ้นและอยู่ได้โดยที่ผู้รักษากฎหมายไม่ดำเนินการจับกุมและลงโทษ ทั้งๆ ที่บ่อนที่ว่าตั้งอยู่ในชุมชนอย่างเปิดเผย และเป็นที่รู้กันของผู้คนรอบๆ ที่ตั้งของบ่อน?
เกี่ยวกับเรื่องนี้คำตอบคงหาได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องการจะหาคำตอบหรือไม่ และรู้แล้วแก้ปัญหาได้หรือไม่เท่านั้น ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ทุกครั้งที่มีข่าวการปราบบ่อน จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องเกือบทุกครั้ง อย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจในการปล่อยให้มีการเปิดบ่อน และได้รับผลประโยชน์ตอบแทน จึงทำให้บ่อนเกิดขึ้นและดำเนินการอยู่ได้
2. ในการเล่นการพนันทำได้ไม่ยาก เพียงแต่มีการนัดหมายและรวมตัวกันก็เปิดบ่อนได้แล้ว หรือที่เรียกว่า บ่อนวิ่ง บ่อนประเภทนี้ถึงแม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ดำเนินการได้ และปราบปรามยากด้วย
3. นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีอิทธิพลอื่นใดเข้าไปเกี่ยวข้องการเล่นการพนัน
อิทธิพลทางการเมือง รวมไปถึงอิทธิพลเถื่อนในรูปของนักเลงท้องถิ่นก็เปิดบ่อนได้ โดยที่ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปจัดการแจ้งความเพราะความกลัวภัยร้ายจะมาถึงตัวก็มีอยู่
ดังนั้น การแก้ปัญหาบ่อนการพนันด้วยการคาดโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงอย่างเดียว ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินการอยู่ คงจะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปไม่ได้ และที่น่ากลัวกว่านี้ การแก้ปัญหาในทำนองนี้อาจทำให้เกิดช่องทางการหาประโยชน์จากการมีบ่อนจากรูปแบบเดิม โดยการจ่ายให้คนเดิม มาเป็นการเปิดใหม่โดยจ่ายให้คนใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย จึงควรระวังในจุดนี้ไว้ด้วย เพราะถ้าฟังข่าวการปราบปรามด้วยการเอาผิดตำรวจ และเรียกเจ้าของบ่อนมาคาดโทษ คงไม่พอที่จะเป็นหลักประกันได้ว่า ต่อจากนี้กรุงเทพมหานครจะไม่มีบ่อนอีกต่อไป
ดังนั้นจึงใคร่ขอให้ ส.ส.ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ติดตามดูต่อว่า เมื่อบ่อนรายเก่าปิดไปแล้ว จะมีบ่อนรายใหม่ภายใต้ผู้เกื้อหนุนคนใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ และถ้าพบว่าเกิดขึ้นแล้วขอให้ดำเนินการในรูปแบบเดียวกันจะได้ไม่ถูกมองว่าสองมาตรฐาน และที่เสนอแนวคิดนี้ก็ด้วยเชื่อว่าการพนันจะไม่หมดไปโดยการแก้ไขด้วยกฎหมาย ตราบเท่าที่ผู้รักษากฎหมายยังบริหารกิเลสของตนเองให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม และคุณธรรมไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดในการปราบบ่อนของรองนายกฯ เฉลิมในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการทำให้ผู้คนในสังคมรู้ว่ามีบ่อนเถื่อนในกรุงเทพฯ และมีได้เพราะผู้รักษากฎหมายบางคนเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ควรจะมีมาตรการเสริมอย่างอื่น เช่น ห้ามคนไทยออกไปเล่นบ่อนเขมรที่พูดกันว่าเป็นบ่อนที่นักการเมืองไทยมีเอี่ยวอยู่ด้วย เพราะถ้าไม่มีมาตรการนี้ การจับบ่อนเมืองไทยก็เท่ากับช่วยให้บ่อนเขมรมีลูกค้าเพิ่มขึ้นนั่นเอง
อีกประการหนึ่งที่ไม่ควรลืมก็คือว่า การออกมาปราบปรามบ่อนจะเป็นการเปิดทางให้ค่าเรียกเก็บส่วยจากบ่อนแพงขึ้นกว่าเดิม และเป็นเหตุให้เจ้าของกิจการเปลี่ยนมือจากกลุ่มเดิมเป็นกลุ่มใหม่ได้ด้วย
ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อจะบอกว่า การปราบบ่อนดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ทำตลอด ไม่ควรมีอะไรแอบแฝงและเป็นการเปิดโอกาสให้รายใหม่สวมตอรายเก่าก็จะดีมาก
จากวาทะดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเจ้าของวาทะนี้ได้แยกการพนันออกเป็นสองแง่ คือ เป็นความหวัง และเป็นกีฬา โดยตัวผู้เล่นการพนันเป็นตัวแบ่งประเภท กล่าวคือ ถ้าเล่นการพนันเพื่อหวังชนะ และได้ผลตอบแทนจากการเป็นผู้ชนะ และมีดีใจ มีความสมหวังกับความชนะ ในทางกลับกัน ถ้าแพ้ เกิดความเสียใจและผิดหวัง ก็จัดเข้าประเภทคนจน
แต่ถ้าเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ไม่เดือดร้อน ก็จัดเข้าประเภทคนรวย
ดังนั้น การพนันตามนัยนี้ ถึงแม้รูปแบบของการพนันจะเหมือนกัน แต่ผลที่ได้จากการเล่นต่างกัน และผลที่ต่างกันนี้เองคือปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิด ถ้าจะปราบบ่อนเถื่อนให้หมดไป หรือไม่หมดไปแต่ให้ผู้คนในสังคมได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน้อยที่สุดว่าจะทำอย่างไร?
จริงอยู่ การป้องกันมิให้มีการเปิดบ่อนได้อย่างเด็ดขาด 100 เปอร์เซ็นต์ คงทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย ในทำนองเดียวกับการปราบโสเภณี แต่การป้องกันมิให้ผู้คนได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน่าจะกระทำได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
1. อนุญาตให้เปิดบ่อนโดยถูกต้องตามกฎหมายในเขตที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ และมีการตรวจสอบควบคุมมิให้ผู้เล่นประเภทคนจนที่แพ้แล้วเดือดร้อน ทั้งแก่ตัวเองและครอบครัวเข้าไปเล่นในบ่อน
2. เปิดโอกาสให้คนที่ต้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้นเข้าไปเล่นโดยได้รับความสะดวก และได้รับการคุ้มครองรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงมีระบบการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างรอบคอบและรัดกุม
ถ้าทำได้ตามแนวทางนี้ ก็คงจะแก้ปัญหาการมีบ่อนเถื่อนดังที่เป็นอยู่ และเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้
อะไรทำให้บ่อนเถื่อนเกิดขึ้นและอยู่ได้โดยที่ผู้รักษากฎหมายไม่ดำเนินการจับกุมและลงโทษ ทั้งๆ ที่บ่อนที่ว่าตั้งอยู่ในชุมชนอย่างเปิดเผย และเป็นที่รู้กันของผู้คนรอบๆ ที่ตั้งของบ่อน?
เกี่ยวกับเรื่องนี้คำตอบคงหาได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องการจะหาคำตอบหรือไม่ และรู้แล้วแก้ปัญหาได้หรือไม่เท่านั้น ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ทุกครั้งที่มีข่าวการปราบบ่อน จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องเกือบทุกครั้ง อย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจในการปล่อยให้มีการเปิดบ่อน และได้รับผลประโยชน์ตอบแทน จึงทำให้บ่อนเกิดขึ้นและดำเนินการอยู่ได้
2. ในการเล่นการพนันทำได้ไม่ยาก เพียงแต่มีการนัดหมายและรวมตัวกันก็เปิดบ่อนได้แล้ว หรือที่เรียกว่า บ่อนวิ่ง บ่อนประเภทนี้ถึงแม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ดำเนินการได้ และปราบปรามยากด้วย
3. นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีอิทธิพลอื่นใดเข้าไปเกี่ยวข้องการเล่นการพนัน
อิทธิพลทางการเมือง รวมไปถึงอิทธิพลเถื่อนในรูปของนักเลงท้องถิ่นก็เปิดบ่อนได้ โดยที่ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปจัดการแจ้งความเพราะความกลัวภัยร้ายจะมาถึงตัวก็มีอยู่
ดังนั้น การแก้ปัญหาบ่อนการพนันด้วยการคาดโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงอย่างเดียว ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินการอยู่ คงจะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปไม่ได้ และที่น่ากลัวกว่านี้ การแก้ปัญหาในทำนองนี้อาจทำให้เกิดช่องทางการหาประโยชน์จากการมีบ่อนจากรูปแบบเดิม โดยการจ่ายให้คนเดิม มาเป็นการเปิดใหม่โดยจ่ายให้คนใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย จึงควรระวังในจุดนี้ไว้ด้วย เพราะถ้าฟังข่าวการปราบปรามด้วยการเอาผิดตำรวจ และเรียกเจ้าของบ่อนมาคาดโทษ คงไม่พอที่จะเป็นหลักประกันได้ว่า ต่อจากนี้กรุงเทพมหานครจะไม่มีบ่อนอีกต่อไป
ดังนั้นจึงใคร่ขอให้ ส.ส.ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ติดตามดูต่อว่า เมื่อบ่อนรายเก่าปิดไปแล้ว จะมีบ่อนรายใหม่ภายใต้ผู้เกื้อหนุนคนใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ และถ้าพบว่าเกิดขึ้นแล้วขอให้ดำเนินการในรูปแบบเดียวกันจะได้ไม่ถูกมองว่าสองมาตรฐาน และที่เสนอแนวคิดนี้ก็ด้วยเชื่อว่าการพนันจะไม่หมดไปโดยการแก้ไขด้วยกฎหมาย ตราบเท่าที่ผู้รักษากฎหมายยังบริหารกิเลสของตนเองให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม และคุณธรรมไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดในการปราบบ่อนของรองนายกฯ เฉลิมในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการทำให้ผู้คนในสังคมรู้ว่ามีบ่อนเถื่อนในกรุงเทพฯ และมีได้เพราะผู้รักษากฎหมายบางคนเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ควรจะมีมาตรการเสริมอย่างอื่น เช่น ห้ามคนไทยออกไปเล่นบ่อนเขมรที่พูดกันว่าเป็นบ่อนที่นักการเมืองไทยมีเอี่ยวอยู่ด้วย เพราะถ้าไม่มีมาตรการนี้ การจับบ่อนเมืองไทยก็เท่ากับช่วยให้บ่อนเขมรมีลูกค้าเพิ่มขึ้นนั่นเอง
อีกประการหนึ่งที่ไม่ควรลืมก็คือว่า การออกมาปราบปรามบ่อนจะเป็นการเปิดทางให้ค่าเรียกเก็บส่วยจากบ่อนแพงขึ้นกว่าเดิม และเป็นเหตุให้เจ้าของกิจการเปลี่ยนมือจากกลุ่มเดิมเป็นกลุ่มใหม่ได้ด้วย
ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อจะบอกว่า การปราบบ่อนดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ทำตลอด ไม่ควรมีอะไรแอบแฝงและเป็นการเปิดโอกาสให้รายใหม่สวมตอรายเก่าก็จะดีมาก
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554
ปฏิสัมภิทา 4
อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ
ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
ปฏิสัมภิทา 4 นั้น โดยความหมายสูงสุดแล้ว เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ประเภทสัมภิทัปปัตโตคือบรรลุปฏิสัมภิทา 4 แต่ถ้าโดยเนื้อหาแล้ว มีอยู่แก่คนในระดับที่ลดหลั่นลงมา
คำว่า อัตถปฏิสัมภิทา หมายถึง ความรอบรู้ ความแตกฉานในเนื้อหาของธรรมะย่อ ๆ โดยวิจิตรพิสดาร เข้าใจว่า ผู้มีราตรีเดียว เจริญของพระมหากัจจายนะเถระ ท่านอธิบายจากข้อความนี้เป็นสูตร หรือพระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิว่า " ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปกติอย่างนี้"
ท่านเข้าใจแตกฉานทะลุเป็นร้อยนัยพันนัย การที่บุคคลเข้าใจอรรถะคือเนื้อหาแห่งธรรมะข้อใดข้อหนึ่ง และสามารถชี้แจงอธิบายขยายข้อนั้นออกไปโดยนัยพิสดาร เช่น ท่านแสดงว่า มารดาเป็นมิตรในเรือน ด้วยประโยคเพียงเท่านี้ บุคคลผู้เข้าใจเนื้อหาแห่งภาษิต สามารถอธิบายชี้แจงให้เห็นโดยนัยหลากหลายว่า มารดาเป็นมิตรในเรือนอย่างไร
อีกนัยหนึ่งคำว่าอรรถะนั้นหมายถึงผล คือ เมื่อบุคคลประกอบเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คาดหมายผลว่า ในอนาคตจะเกิดผลอย่างนั้น ๆ ขึ้นมา ในชั้นสูงสุด เช่น พระสังคีติกาจารย์ในทุติยสังคายนา คาดหมายว่าอีก 200 ปี ข้างหน้านั้น จะมีเดียรถีย์ปลอมมาบวชในพระพุทธศาสนา จำเป็นจะต้องสร้างคนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในพระศาสนา แต่มนุษย์โลกในสมัยนั้น ถ้าปล่อยตามปกติก็ไม่มีคนที่มีขีดความสามารถเช่นนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายจึงไปอัญเชิญติสสเทพบุตรให้จุติลงมาเกิดในครรภ์ของพระนางโมคคัลีพราหมณี เพื่อเตรีอมตัวแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนาร่วมกับพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกัน การทำงานอะไรต่าง ๆ ของคนทั่วไป ที่เราใช้คำว่าประเมิน สรุปผล คือเมื่อบุคคลศึกษาหาข้อมูลได้ ประเมินได้ และสรุปผลได้ การสรุปผลนั้นเป็นการสรุปผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อาศัยการศึกษาจากข้อมูลอันเป็นเหตุในปัจจุบัน บุคคลเหล่านั้นก็สรุปผลลงไปได้ แต่จะเป็นไดมากน้อยแค่ไหนเพียงไรนั้น เป็นเรื่องของอนาคตอาจจะถูกต้องเต็มที่ก็ได้ ไม่เป็นไปตามที่ประเมินไว้ก็ได้ เพราเหตุการณ์ข้างหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นการรู้ด้วยหลักของอนาคตังสญาณจริง ๆ ก็เป็นความรู้ที่ลงตัวเช่นของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังกล่าวมาตอนต้น
ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม..... บุคคลเข้าใจถือเอาใจความแห่งอรรถาอธิบายนั้น ๆ ตั้งขึ้นเป็นกระทู้ได้ แล้วก็ชี้แจงอธิบายขยายความในเนื้อหาของธรรมะเหล่านั้นได้ หรือเราจะศึกษาธรรมะเป็นสูตร ๆ แล้วสรุปไปด้วยถ้อยคำที่ง่าย ๆ เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงศึกษาเมตตานิสังสสูตรทั้งพระสูตร แล้วสรุปเป็นข้อความสั้น ๆ ว่า โลโกปัตถัมภิกา เมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก อีกความหมายหนึ่งธัมมปฏิสัมภิทา หมายถึงเหตุ เช่น เมื่อบุคคลประสบผลอย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากผลเหล่านั้นโยงเข้าไปหาเหตุ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์นั้นต้องอาศัย อตีตังสญาณ คือญาณอันเป็นส่วนอดีต เช่นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตในพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้าก็ดี เกิดขึ้นในสมัยนั้น ๆ ก็ดี บางเรื่องมีความเกี่ยวโยงกับอดีตหรือผลที่เกิดจากเหตุในอดีตที่ไกล ๆ ข้ามภพข้ามชาติไป พระพุทธเจ้าก็ทรงอาศัยอตีตังสญาณนำเรื่องเหล่านั้นมาแสดงว่า เรื่องเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทรงจัดคำสอนแนวนี้ไว้ในหมวดหนึ่งที่เรียกว่า ชาดก คือ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นิรุตตปฏิสัมภิทา การเข้าใจภาษาความหมายของภาษา แตกฉานในภาษานั้น ๆ และรู้จักใช้ถ้อยคำให้คนเข้าใจตลอดถึงรอบรู้ในภาษาของประเทศต่าง ๆ ก็อาจให้คนยอมรับนับถือโดยการใช้โวหารในการพูดเพื่อให้เขาเกิดความเห็นคล้อยตามและสอดคล้องกับพื้นเพจริตอัธยาศัยของเขา แต่นิรุตตปฏิสัมภิทาในระดับนี้เป็นผลแห่งญาณของท่านผู้บรรลุธรรมอย่างสูงในพระพุทธศาสนา เป็นที่น่าสังเกตว่า น่าจะหมายถึงความแตกฉานในภาษาต่าง ๆ ทุกแง่ทุกมุมจะเป็นของใครก็ตาม เพราะภาษาในประเทศอินเดียในสมัยปัจจุบันก็ดีในสมัยก่อนก็ดี มีมากเหลือเกิน แต่จากหลักฐานในพระไตรปิฎก ปรากฏว่าใครมาเฝ้าพระพุทธเจ้าจากเหนือสุดใต้ จากตะวันออก หรือตะวันตกของอินเดียก็ตาม พระพุทธเจ้าไม่ทรงมีล่าม แต่ก็ทรงโต้ตอบชี้แจง อธิบายธรรมะให้เหล่านั้นเข้าใจได้ทันที ดังนั้น นิรุตตปฏิสัมภิทา ระดับญาณจึงจะน่าเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากพระญาณด้วย ในขณะเดียวกันก็อาจจะเกิดขึ้นจากที่พระองค์เคยศึกษาในสมัยเป็นพระราชกุมารด้วย
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา คำว่า ปฏิภาณ ได้แก่ไหวพริบ ฉลาดเฉลียว เข้าใจทำอะไรได้เหมาะสมทันทีทันควัน เมื่อเหตุการณ์บังเกิดขึ้นและสามารถที่จะแก้ไขเหตุการณ์เหล่านั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว เรียกว่าแก้ปัญหาเฉพาะได้ข้อนี้ในชั้นเบื้องสูงก็จะเห็นว่า คนอย่างภารชพราหมณ์โกรธพระพุทธเจ้า มาด่าพระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง พระพุทธเจ้าตรัสรับสั่งว่า เมื่อแขกมาที่บ้านของท่าน ท่านมีของต้อนรับแขก ถ้าแขกไม่ยอมรับประทานอาหารเหล่านั้น ของรับแขกเหล่านั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์บอกว่าก็เป็นของแกต่อไป พระพุทธเจ้าก็รับสั่งเป็นทำนองว่า คำด่าทั้งหมดก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน คือ พระองค์ไม่รับ ก็เป็นการแก้ปัญหาที่มีอยู่ภายในใจของท่านให้หายไป หรือ ทีฆนขอัคคิเวสสนะ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
"ข้าแต่พระสมณโคดม ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งทั้งปวงไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจทั้งหมด" พระพุทธเจ้าทรงความคิดของท่านผู้นี้ว่าแกไม่พอใจพระองค์ที่ให้ลุงของแกคือพระสารีบุตรออกบวช พระพุทธเจ้าก็รับสั่งว่า
" ทีฆนขะ ถ้าอย่างนั้น ความเห็นของเธอก็ไม่ควรกับเธอด้วย และเธอก็ไม่ชอบใจความเห็นของเธอด้วย"
ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะทีฑขนะ แกใช้คำคำว่าทั้งปวงทั้งหมด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็รวมอยู่ในคำว่าทั้งปวงทั้งหมดด้วย แม้ความเห็นของแกและแม้ของตัวเอง ทีฆขนะก็ยอมจำนนไปซึ่งไหวพริบปฏิภาณเหล่านี้ก็มีอยู่ได้ทุกระดับ ดังนั้นปฏิสัมภิทาทั้ง 4 ประการนี้ในชั้นหนึ่งคนสามัญโดยทั่วไป ที่มีพื้นฐานในเรื่องเหล่านี้ก็สามารถที่จะได้รับประโยชน์จากปฏิสัมภิทาของตน ตามคุณลักษณะของปฏิสัมภิทาของตนระดับใดระดับหนึ่ง
คุณสมบัติเหล่านี้ ความเป็นรู้จักเหตุ รู้จักผล แตกฉานในภาษาและใช้ภาษาเป็นประกอบกับมีไหวพริบปฏิภาณดี ใครจะมีในระดับใดก็ตาม ย่อมช่วยให้การทำงานของคนนั้น ๆ ในทุกด้าน ประสบความเจริญก้าวหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งอาจสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าตนอยู่ ให้ลดความรุนแรงลง ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หายไปได้ พึงดูตัวอย่างการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในท่ามกลางข้าศึก ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในสงครามยุทธหัตถี สมบูรณ์ด้วยเหตุ ผล ภาษา และปฏิภาณ จนทำเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี เป็นต้น
ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
ปฏิสัมภิทา 4 นั้น โดยความหมายสูงสุดแล้ว เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ประเภทสัมภิทัปปัตโตคือบรรลุปฏิสัมภิทา 4 แต่ถ้าโดยเนื้อหาแล้ว มีอยู่แก่คนในระดับที่ลดหลั่นลงมา
คำว่า อัตถปฏิสัมภิทา หมายถึง ความรอบรู้ ความแตกฉานในเนื้อหาของธรรมะย่อ ๆ โดยวิจิตรพิสดาร เข้าใจว่า ผู้มีราตรีเดียว เจริญของพระมหากัจจายนะเถระ ท่านอธิบายจากข้อความนี้เป็นสูตร หรือพระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิว่า " ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปกติอย่างนี้"
ท่านเข้าใจแตกฉานทะลุเป็นร้อยนัยพันนัย การที่บุคคลเข้าใจอรรถะคือเนื้อหาแห่งธรรมะข้อใดข้อหนึ่ง และสามารถชี้แจงอธิบายขยายข้อนั้นออกไปโดยนัยพิสดาร เช่น ท่านแสดงว่า มารดาเป็นมิตรในเรือน ด้วยประโยคเพียงเท่านี้ บุคคลผู้เข้าใจเนื้อหาแห่งภาษิต สามารถอธิบายชี้แจงให้เห็นโดยนัยหลากหลายว่า มารดาเป็นมิตรในเรือนอย่างไร
อีกนัยหนึ่งคำว่าอรรถะนั้นหมายถึงผล คือ เมื่อบุคคลประกอบเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คาดหมายผลว่า ในอนาคตจะเกิดผลอย่างนั้น ๆ ขึ้นมา ในชั้นสูงสุด เช่น พระสังคีติกาจารย์ในทุติยสังคายนา คาดหมายว่าอีก 200 ปี ข้างหน้านั้น จะมีเดียรถีย์ปลอมมาบวชในพระพุทธศาสนา จำเป็นจะต้องสร้างคนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในพระศาสนา แต่มนุษย์โลกในสมัยนั้น ถ้าปล่อยตามปกติก็ไม่มีคนที่มีขีดความสามารถเช่นนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายจึงไปอัญเชิญติสสเทพบุตรให้จุติลงมาเกิดในครรภ์ของพระนางโมคคัลีพราหมณี เพื่อเตรีอมตัวแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนาร่วมกับพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกัน การทำงานอะไรต่าง ๆ ของคนทั่วไป ที่เราใช้คำว่าประเมิน สรุปผล คือเมื่อบุคคลศึกษาหาข้อมูลได้ ประเมินได้ และสรุปผลได้ การสรุปผลนั้นเป็นการสรุปผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อาศัยการศึกษาจากข้อมูลอันเป็นเหตุในปัจจุบัน บุคคลเหล่านั้นก็สรุปผลลงไปได้ แต่จะเป็นไดมากน้อยแค่ไหนเพียงไรนั้น เป็นเรื่องของอนาคตอาจจะถูกต้องเต็มที่ก็ได้ ไม่เป็นไปตามที่ประเมินไว้ก็ได้ เพราเหตุการณ์ข้างหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นการรู้ด้วยหลักของอนาคตังสญาณจริง ๆ ก็เป็นความรู้ที่ลงตัวเช่นของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังกล่าวมาตอนต้น
ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม..... บุคคลเข้าใจถือเอาใจความแห่งอรรถาอธิบายนั้น ๆ ตั้งขึ้นเป็นกระทู้ได้ แล้วก็ชี้แจงอธิบายขยายความในเนื้อหาของธรรมะเหล่านั้นได้ หรือเราจะศึกษาธรรมะเป็นสูตร ๆ แล้วสรุปไปด้วยถ้อยคำที่ง่าย ๆ เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงศึกษาเมตตานิสังสสูตรทั้งพระสูตร แล้วสรุปเป็นข้อความสั้น ๆ ว่า โลโกปัตถัมภิกา เมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก อีกความหมายหนึ่งธัมมปฏิสัมภิทา หมายถึงเหตุ เช่น เมื่อบุคคลประสบผลอย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากผลเหล่านั้นโยงเข้าไปหาเหตุ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์นั้นต้องอาศัย อตีตังสญาณ คือญาณอันเป็นส่วนอดีต เช่นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตในพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้าก็ดี เกิดขึ้นในสมัยนั้น ๆ ก็ดี บางเรื่องมีความเกี่ยวโยงกับอดีตหรือผลที่เกิดจากเหตุในอดีตที่ไกล ๆ ข้ามภพข้ามชาติไป พระพุทธเจ้าก็ทรงอาศัยอตีตังสญาณนำเรื่องเหล่านั้นมาแสดงว่า เรื่องเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทรงจัดคำสอนแนวนี้ไว้ในหมวดหนึ่งที่เรียกว่า ชาดก คือ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นิรุตตปฏิสัมภิทา การเข้าใจภาษาความหมายของภาษา แตกฉานในภาษานั้น ๆ และรู้จักใช้ถ้อยคำให้คนเข้าใจตลอดถึงรอบรู้ในภาษาของประเทศต่าง ๆ ก็อาจให้คนยอมรับนับถือโดยการใช้โวหารในการพูดเพื่อให้เขาเกิดความเห็นคล้อยตามและสอดคล้องกับพื้นเพจริตอัธยาศัยของเขา แต่นิรุตตปฏิสัมภิทาในระดับนี้เป็นผลแห่งญาณของท่านผู้บรรลุธรรมอย่างสูงในพระพุทธศาสนา เป็นที่น่าสังเกตว่า น่าจะหมายถึงความแตกฉานในภาษาต่าง ๆ ทุกแง่ทุกมุมจะเป็นของใครก็ตาม เพราะภาษาในประเทศอินเดียในสมัยปัจจุบันก็ดีในสมัยก่อนก็ดี มีมากเหลือเกิน แต่จากหลักฐานในพระไตรปิฎก ปรากฏว่าใครมาเฝ้าพระพุทธเจ้าจากเหนือสุดใต้ จากตะวันออก หรือตะวันตกของอินเดียก็ตาม พระพุทธเจ้าไม่ทรงมีล่าม แต่ก็ทรงโต้ตอบชี้แจง อธิบายธรรมะให้เหล่านั้นเข้าใจได้ทันที ดังนั้น นิรุตตปฏิสัมภิทา ระดับญาณจึงจะน่าเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากพระญาณด้วย ในขณะเดียวกันก็อาจจะเกิดขึ้นจากที่พระองค์เคยศึกษาในสมัยเป็นพระราชกุมารด้วย
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา คำว่า ปฏิภาณ ได้แก่ไหวพริบ ฉลาดเฉลียว เข้าใจทำอะไรได้เหมาะสมทันทีทันควัน เมื่อเหตุการณ์บังเกิดขึ้นและสามารถที่จะแก้ไขเหตุการณ์เหล่านั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว เรียกว่าแก้ปัญหาเฉพาะได้ข้อนี้ในชั้นเบื้องสูงก็จะเห็นว่า คนอย่างภารชพราหมณ์โกรธพระพุทธเจ้า มาด่าพระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง พระพุทธเจ้าตรัสรับสั่งว่า เมื่อแขกมาที่บ้านของท่าน ท่านมีของต้อนรับแขก ถ้าแขกไม่ยอมรับประทานอาหารเหล่านั้น ของรับแขกเหล่านั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์บอกว่าก็เป็นของแกต่อไป พระพุทธเจ้าก็รับสั่งเป็นทำนองว่า คำด่าทั้งหมดก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน คือ พระองค์ไม่รับ ก็เป็นการแก้ปัญหาที่มีอยู่ภายในใจของท่านให้หายไป หรือ ทีฆนขอัคคิเวสสนะ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
"ข้าแต่พระสมณโคดม ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งทั้งปวงไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจทั้งหมด" พระพุทธเจ้าทรงความคิดของท่านผู้นี้ว่าแกไม่พอใจพระองค์ที่ให้ลุงของแกคือพระสารีบุตรออกบวช พระพุทธเจ้าก็รับสั่งว่า
" ทีฆนขะ ถ้าอย่างนั้น ความเห็นของเธอก็ไม่ควรกับเธอด้วย และเธอก็ไม่ชอบใจความเห็นของเธอด้วย"
ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะทีฑขนะ แกใช้คำคำว่าทั้งปวงทั้งหมด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็รวมอยู่ในคำว่าทั้งปวงทั้งหมดด้วย แม้ความเห็นของแกและแม้ของตัวเอง ทีฆขนะก็ยอมจำนนไปซึ่งไหวพริบปฏิภาณเหล่านี้ก็มีอยู่ได้ทุกระดับ ดังนั้นปฏิสัมภิทาทั้ง 4 ประการนี้ในชั้นหนึ่งคนสามัญโดยทั่วไป ที่มีพื้นฐานในเรื่องเหล่านี้ก็สามารถที่จะได้รับประโยชน์จากปฏิสัมภิทาของตน ตามคุณลักษณะของปฏิสัมภิทาของตนระดับใดระดับหนึ่ง
คุณสมบัติเหล่านี้ ความเป็นรู้จักเหตุ รู้จักผล แตกฉานในภาษาและใช้ภาษาเป็นประกอบกับมีไหวพริบปฏิภาณดี ใครจะมีในระดับใดก็ตาม ย่อมช่วยให้การทำงานของคนนั้น ๆ ในทุกด้าน ประสบความเจริญก้าวหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งอาจสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าตนอยู่ ให้ลดความรุนแรงลง ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หายไปได้ พึงดูตัวอย่างการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในท่ามกลางข้าศึก ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในสงครามยุทธหัตถี สมบูรณ์ด้วยเหตุ ผล ภาษา และปฏิภาณ จนทำเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี เป็นต้น
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554
พบสมุนไพรแห่งแผ่นดินที่งาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ”
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่8” ขึ้น ในวันที่ 31 ส.ค. - 4 ก.ย. 54 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7-8 โดยภายในงานจะมีงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมทางสมุนไพรไทย งานประชุมวิชาการการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกนานาชาติ
จอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น นิทรรศการยาไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ การฝึกอบรมระยะสั้น การแสดง วัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถิ่น ด้านสุขภาพ ชมสวนสมุนไพร ไม้หายาก และไม้ที่ควรปลูกประจำบ้าน ประกาศผล Herbs of the Year การสาธิต ยาสำหรับเด็ก ยาบำรุงสุขภาพ ยาสำหรับสตรี หมอพื้นบ้าน 4 ภาค ร้านยาโบราณ และตำรับยากลางบ้าน
สัมผัสนวด 4 ภาค 4 สไตล์ ตรวจสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์ แผนไทย จีน การแพทย์ทางเลือก ชิม ข้าว พืชผักพื้นบ้านของไทย ชมสวนผักคนเมือง ปลูกเองกินเอง ทำได้เลย แนะนำนวัตกรรมสมุนไพร และผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ๆ นอกจากนี้ผู้เข้าชมงานยังสามารถรับฟรี สมุนไพร 300 ต้น/วัน หนังสือสมุนไพรบันทึกของแผ่นดิน 200 เล่ม/วัน อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โทร: 082-290-2208, 02-591-8567
จอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น นิทรรศการยาไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ การฝึกอบรมระยะสั้น การแสดง วัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถิ่น ด้านสุขภาพ ชมสวนสมุนไพร ไม้หายาก และไม้ที่ควรปลูกประจำบ้าน ประกาศผล Herbs of the Year การสาธิต ยาสำหรับเด็ก ยาบำรุงสุขภาพ ยาสำหรับสตรี หมอพื้นบ้าน 4 ภาค ร้านยาโบราณ และตำรับยากลางบ้าน
สัมผัสนวด 4 ภาค 4 สไตล์ ตรวจสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์ แผนไทย จีน การแพทย์ทางเลือก ชิม ข้าว พืชผักพื้นบ้านของไทย ชมสวนผักคนเมือง ปลูกเองกินเอง ทำได้เลย แนะนำนวัตกรรมสมุนไพร และผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ๆ นอกจากนี้ผู้เข้าชมงานยังสามารถรับฟรี สมุนไพร 300 ต้น/วัน หนังสือสมุนไพรบันทึกของแผ่นดิน 200 เล่ม/วัน อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โทร: 082-290-2208, 02-591-8567
"วันส้มโอมณฑลนครชัยศรี" : 2-10 ก.ย. 54 ณ บริเวณวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม
"วันส้มโอมณฑลนครชัยศรี" : 2-10 ก.ย. 54 ณ บริเวณวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม ภายในงานมีส้มโอ ให้เลือกชิมเลือกซื้อ การประกวดส้มโอ เลือกซื้อไม้ดอกไม้ประดับ ผลไม้รสดีจากชาวสวน เลือกซื้อพันธุ์ไม้ กล้วยไม้นานาชนิด สินค้าพื้นเมืองของฝากของที่ระลึก รวมถึงการแสดงวงดนตรีลูกทุ่ง ภาพยนตร์และการแสดงรถยนต์ สอบถามได้ที่หอการค้าจังหวัดนครปฐม โทร. 0-3425-4647, 0-3425-4231 หรือ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0-3475-2847-8
"งานของดีศรีสัชนาลัย" : 1-30 ก.ย. 54 ณ หน้าที่ทำการปกครองอำเภอศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย
"งานของดีศรีสัชนาลัย" : 1-30 ก.ย. 54 ณ หน้าที่ทำการปกครองอำเภอศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย กิจกรรมในงาน อาทิ เดินขบวนของดีแต่ละตำบล การประกวดสินค้าทางการเกษตร การประกวดนักร้องและแดนซ์เซอร์ การแข่งขันตระกร้อ การจำหน่ายสินค้า OTOP การจำหน่ายอาหารจากร้านค้าต่างๆในจังหวัดสุโขทัย การออกร้านของส่วนราชการและท้องถิ่นต่างๆ สอบถามได้ที่ททท.สำนักงานสุโขทัย โทร: 0-5561-6228 - 9
“เทศกาลกินขนม...ชมแม่น้ำเมืองวิเศษชัยชาญ” : วันนี้ -25 ก.ย. 54 ณ ตลาดศาลเจ้าโรงทอง จ.อ่างทอง
“เทศกาลกินขนม...ชมแม่น้ำเมืองวิเศษชัยชาญ” : 27 ส.ค. -25 ก.ย. 54 เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ณ ตลาดศาลเจ้าโรงทอง ตลาดจีน-ไทย สายใยร้อยปี วิถีวัฒนธรรม อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง กิจกรรมในงาน ลิ้มรสของขนมไทยสูตรดั้งเดิม ชมการสาธิตการทำขนมของดีเมืองวิเศษชัยชาญ ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่ง การแข่งขันกีฬาเปตอง ชิงถ้วยและเงินรางวัล การแข่งขันเรือยาวพื้นบ้าน นั่งเรือสัมผัสวิถีชีวิตริมสองฝั่งแม่น้ำน้อยด้วยเรือท่องเที่ยววิเศษไชยชาญ สอบถามได้ที่เทศบาลตำบลวิเศษไชยชาญ โทร. 0-4563-1405, 0-3563-1413
"งานประเพณีแข่งโพน ลากพระ จ.พัทลุง" : 1-30 ก.ย. 54 ณ หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองพัทลุง จ.พัทลุง
"งานประเพณีแข่งโพน ลากพระ จ.พัทลุง" : 1-30 ก.ย. 54 ณ หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองพัทลุง จ.พัทลุง ภายในงานมีกิจกรรมประเพณีลากพระหรือชักพระทั้งทางบกและทางน้ำ การตีโพนลากพระ การแข่งขันตีโพนชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ พิธีตักบาตรเทโว การแสดงพื้นบ้าน ขบวนแห่เรือพระ การประกวดธิดาโพน สอบถามได้ที่เทศบาลเมืองพัทลุงโทร. 0-7461-3291, ททท.สำนักงานหาดใหญ่โทร.0-7423-1055, 0-7423-8518
สสส. ให้ทุนสนับสนุนการทำสวนผักสำหรับคนเมือง
วันนี้ – 15 กันยายน 2554 มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดให้กลุ่มบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ เสนอโครงการเพื่อขอรับทุนสนับสนุนในวงเงินไม่เกิน 35,000 บาท ในการพัฒนาพื้นที่ที่ตนมีอยู่ให้กลายเป็นสวนผักกินได้ไร้สารพิษ เกิดเป็นรูปธรรมและร่วมสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้านต่างๆของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ในนาม “สวนผักคนเมือง”
ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าโครงการที่ส่งเข้ามาจะต้องมีสมาชิกร่วมดำเนินงานอย่างน้อย 5 คน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และชุมชนเมืองจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง และมีการปลูกผักอย่างน้อย 10 ชนิดขึ้นไป และเป็นการปลูกแบบไม่ใช้สารเคมีใดๆ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียด ดาวน์โหลดแบบฟอร์มเสนอโครงการ และส่งโครงการได้ที่ มูลนิธิ เกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) โทร 0 2591 1195-6, 0 2952 7871 หรืออีเมล cityfarm2010@hotmail.com และเว็บไซต์ www.sathai.org
ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าโครงการที่ส่งเข้ามาจะต้องมีสมาชิกร่วมดำเนินงานอย่างน้อย 5 คน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และชุมชนเมืองจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง และมีการปลูกผักอย่างน้อย 10 ชนิดขึ้นไป และเป็นการปลูกแบบไม่ใช้สารเคมีใดๆ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียด ดาวน์โหลดแบบฟอร์มเสนอโครงการ และส่งโครงการได้ที่ มูลนิธิ เกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) โทร 0 2591 1195-6, 0 2952 7871 หรืออีเมล cityfarm2010@hotmail.com และเว็บไซต์ www.sathai.org
เตรียมเปิด“หอพระราชพระบิดา"เผยเกียรติภูมิ-กระตุ้นแรงใจชาวมหิดล
ม.มหิดล เตรียมเปิดตัว “หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท” เพื่อเผยแพร่เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย อันมีคุณค่า ทั้งยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในหมู่ชาวมหิดล คนรุ่นใหม่ และบุคคลทั่วไป เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 1 ก.ย.นี้
รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี รองอธิการบดีฝ่ายระบบกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล (ม.มหิดล) กล่าวว่า “หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหิดล” มีการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนงานด้านจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นศูนย์กลางการประสานข้อมูลระหว่างเครือข่ายและสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อเผยแพร่เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย อันมีคุณค่า ทั้งยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในหมู่ชาวมหิดล คนรุ่นใหม่ และบุคคลทั่วไป โดยสถานที่หลักในการดำเนินกิจกรรม คือ หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จฯ เปิดอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2554 นี้
“วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง “หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล” อันเนื่องมาจากประวัติอันยาวนานกว่า 120 ปี ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลเต็มเปี่ยมไปด้วยเกียรติประวัติและความทรงจำอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏในรูปของเอกสาร ภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ และสิ่งของจากการปฏิบัติงาน ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว มหาวิทยาลัยมหิดล จึงจัดตั้ง “หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหิดล” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมด็จพระบรมราชชนก และเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติพัฒนาการของมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเป็นแหล่งอ้างอิงและศึกษาค้นคว้าด้านแผนที่ แผนผังอาคาร และพัฒนาการด้านกายภาพของมหาวิทยาลัย”
สำหรับแนวคิดหลักในการออกแบบ ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศและประวัติมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท มีแนวคิดหลักในการออกแบบร่วมกัน คือ “ฟ้า - รุ้ง - ดิน - ธาตุ” เพื่อสื่อความหมายของห้องต่างๆ และสร้างความต่อเนื่องของเรื่องราว
หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 7 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่ 1ปัญญาของแผ่นดิน นำเสนอการเป็นต้นแบบปัญญาของแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชชนก โดยสะท้อนจากพระราชดำรัสของพระองค์ รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ
พื้นที่ 2 เจ้าฟ้าของแผ่นดิน แสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระบรมราชชนกโดยสังเขป ตั้งแต่ประสูติจนถึงสิ้นพระชนม์ รวมทั้งแสดงบริบททางสังคมไทยและสังคมโลกในช่วงพ.ศ. 2435-2472ทั้งการรับความเจริญจากตะวันตก ยุคล่าอาณานิคม และแนวคิดมนุษยนิยม ซึ่งส่งผลต่อ “ตัวตน” ของพระองค์
พื้นที่ 3 เจ้าฟ้านักเดินทางแสดงการเสด็จฯ ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศของสมเด็จพระบรมราชชนก ทำให้ทอดพระเนตรเห็นสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของผู้คน และทรงถ่ายทอดพระประสบการณ์ของพระองค์ผ่านงานศิลปะ รวมทั้งพระราโชวาทที่พระราชทานแก่นักเรียนไทย
พื้นที่ 4 ประทีปแห่งปัญญาแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกด้านการศึกษาที่ทรงมุ่งมั่นในการสร้างคน ทรงสนับสนุนด้านการเรียนการสอนและพระราชทานทุนการศึกษา
พื้นที่ 5 รักษ์คนไข้ด้วยความรักแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งการรักษาคนไข้แบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทรงมุ่งเน้นการรักษาด้านจิตใจควบคู่ไปกับร่างกาย อีกทั้งการที่มิได้ถือพระองค์ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชน
พื้นที่ 6 กันภัยมหิดลแสดงผลจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกที่ทรงสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่สังคมไทยในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา และวิทยาการต่างๆ
พื้นที่ 7 หยั่งรากในแผ่นดินแสดงการสืบสานงานที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงริเริ่มไว้
ส่วน หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 3พื้นที่
พื้นที่ 1“มหิดลวันนี้” แสดงภาพปัจจุบันของมหาวิทยาลัยที่เป็นเลิศทั้งการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการ รวมทั้งคุณภาพชีวิตของนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรทุกส่วนงาน
พื้นที่ 2 เมื่อแรกสถาปนาในชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” แสดงประวัติความเป็นมาและพัฒนาการในยุคแรกของมหาวิทยาลัย นับตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ การขยายขอบเขตการเรียนการสอน ชีวิตนักศึกษาและการเรียนการสอนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งจุดตั้งต้นของมหาวิทยาลัย ที่สืบเนื่องมาจากการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช
พื้นที่ 3 “มหิดล” มุ่งสู่ความเป็นเลิศแสดงพัฒนาการของมหาวิทยาลัยที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชา ตั้งแต่การขอพระราชทานนาม “มหิดล” เป็นชื่อมหาวิทยาลัย การจัดหาที่ดินและสร้างวิทยาเขตศาลายา และบทบาททางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 และ6 ต.ค. 2519 รวมถึงการพัฒนาด้านวิชาการซึ่งมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” พร้อมทั้งแสดงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบัน และวิสัยทัศน์ในอนาคตของมหาวิทยาลัย
ปิดท้ายที่ ห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บทแบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 5พื้นที่
พื้นที่ 1 พัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งแสดงภาพรวมของการขยายตัวทางกายภาพที่ไม่หยุดนิ่งของมหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตต่างๆ พื้นที่ 2 สองวิทยาเขตรุ่นบุกเบิกมหิดล แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตบางกอกน้อย และวิทยาเขตพญาไท ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พื้นที่ 3 “วิทยาเขตศาลายา” ศูนย์รวมประชาคมมหิดล แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของวิทยาเขตศาลายา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสถาบันและเป็นศูนย์รวมของชาวมหิดลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
พื้นที่ 4 มุ่งขยายการศึกษาสู่ภูมิภาคแสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของวิทยาเขตในส่วนภูมิภาค 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาเขตกาญจนบุรี วิทยาเขตนครสวรรค์ และวิทยาเขตอำนาจเจริญ
พื้นที่ 5 ความสัมพันธ์ของวิทยาเขตต่างๆ กับสภาพแวดล้อมและชุมชนโดยรอบแสดงความสัมพันธ์ทางกายภาพระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับชุมชนโดยรอบ ทั้งการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบด้านกายภาพที่มีต่อพื้นที่โดยรอบของวิทยาเขตต่างๆ
สำหรับแนวคิด เรื่อง “ฟ้า” สื่อถึง “เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช” หอเกียรติยศและประวัติมหาวิทยาลัยมหิดลว่า ใช้แนวคิดเรื่อง “รุ้ง” ซึ่งมี 7 สีสื่อถึงวัฒนธรรมองค์กรในมหาวิทยาลัย “รุ้ง 7 สีประกอบด้วยที่ประกอบด้วย 7 ตัวอักษร ( M-A-H-I-D-O-L) และ “ดิน” สื่อถึงเกียรติประวัติของสถาบันที่สั่งสมมาและเป็นแหล่งกำเนิดพืชพันธุ์ซึ่งก็คือคนรุ่นใหม่ และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บทใช้แนวคิดเรื่อง “ธาตุ” สื่อถึงองค์ประกอบหลักที่จะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็คือหลักฐานของความเป็นมาในการเกิดขึ้นทางกายเตรียมพบกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1ก.ย.นี้ ได้ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี รองอธิการบดีฝ่ายระบบกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล (ม.มหิดล) กล่าวว่า “หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหิดล” มีการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนงานด้านจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นศูนย์กลางการประสานข้อมูลระหว่างเครือข่ายและสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อเผยแพร่เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย อันมีคุณค่า ทั้งยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในหมู่ชาวมหิดล คนรุ่นใหม่ และบุคคลทั่วไป โดยสถานที่หลักในการดำเนินกิจกรรม คือ หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จฯ เปิดอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2554 นี้
“วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง “หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล” อันเนื่องมาจากประวัติอันยาวนานกว่า 120 ปี ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลเต็มเปี่ยมไปด้วยเกียรติประวัติและความทรงจำอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏในรูปของเอกสาร ภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ และสิ่งของจากการปฏิบัติงาน ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว มหาวิทยาลัยมหิดล จึงจัดตั้ง “หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหิดล” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมด็จพระบรมราชชนก และเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติพัฒนาการของมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเป็นแหล่งอ้างอิงและศึกษาค้นคว้าด้านแผนที่ แผนผังอาคาร และพัฒนาการด้านกายภาพของมหาวิทยาลัย”
สำหรับแนวคิดหลักในการออกแบบ ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศและประวัติมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท มีแนวคิดหลักในการออกแบบร่วมกัน คือ “ฟ้า - รุ้ง - ดิน - ธาตุ” เพื่อสื่อความหมายของห้องต่างๆ และสร้างความต่อเนื่องของเรื่องราว
หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 7 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่ 1ปัญญาของแผ่นดิน นำเสนอการเป็นต้นแบบปัญญาของแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชชนก โดยสะท้อนจากพระราชดำรัสของพระองค์ รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ
พื้นที่ 2 เจ้าฟ้าของแผ่นดิน แสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระบรมราชชนกโดยสังเขป ตั้งแต่ประสูติจนถึงสิ้นพระชนม์ รวมทั้งแสดงบริบททางสังคมไทยและสังคมโลกในช่วงพ.ศ. 2435-2472ทั้งการรับความเจริญจากตะวันตก ยุคล่าอาณานิคม และแนวคิดมนุษยนิยม ซึ่งส่งผลต่อ “ตัวตน” ของพระองค์
พื้นที่ 3 เจ้าฟ้านักเดินทางแสดงการเสด็จฯ ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศของสมเด็จพระบรมราชชนก ทำให้ทอดพระเนตรเห็นสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของผู้คน และทรงถ่ายทอดพระประสบการณ์ของพระองค์ผ่านงานศิลปะ รวมทั้งพระราโชวาทที่พระราชทานแก่นักเรียนไทย
พื้นที่ 4 ประทีปแห่งปัญญาแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกด้านการศึกษาที่ทรงมุ่งมั่นในการสร้างคน ทรงสนับสนุนด้านการเรียนการสอนและพระราชทานทุนการศึกษา
พื้นที่ 5 รักษ์คนไข้ด้วยความรักแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งการรักษาคนไข้แบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทรงมุ่งเน้นการรักษาด้านจิตใจควบคู่ไปกับร่างกาย อีกทั้งการที่มิได้ถือพระองค์ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชน
พื้นที่ 6 กันภัยมหิดลแสดงผลจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกที่ทรงสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่สังคมไทยในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา และวิทยาการต่างๆ
พื้นที่ 7 หยั่งรากในแผ่นดินแสดงการสืบสานงานที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงริเริ่มไว้
ส่วน หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 3พื้นที่
พื้นที่ 1“มหิดลวันนี้” แสดงภาพปัจจุบันของมหาวิทยาลัยที่เป็นเลิศทั้งการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการ รวมทั้งคุณภาพชีวิตของนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรทุกส่วนงาน
พื้นที่ 2 เมื่อแรกสถาปนาในชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” แสดงประวัติความเป็นมาและพัฒนาการในยุคแรกของมหาวิทยาลัย นับตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ การขยายขอบเขตการเรียนการสอน ชีวิตนักศึกษาและการเรียนการสอนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งจุดตั้งต้นของมหาวิทยาลัย ที่สืบเนื่องมาจากการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช
พื้นที่ 3 “มหิดล” มุ่งสู่ความเป็นเลิศแสดงพัฒนาการของมหาวิทยาลัยที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชา ตั้งแต่การขอพระราชทานนาม “มหิดล” เป็นชื่อมหาวิทยาลัย การจัดหาที่ดินและสร้างวิทยาเขตศาลายา และบทบาททางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 และ6 ต.ค. 2519 รวมถึงการพัฒนาด้านวิชาการซึ่งมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” พร้อมทั้งแสดงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบัน และวิสัยทัศน์ในอนาคตของมหาวิทยาลัย
ปิดท้ายที่ ห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บทแบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 5พื้นที่
พื้นที่ 1 พัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งแสดงภาพรวมของการขยายตัวทางกายภาพที่ไม่หยุดนิ่งของมหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตต่างๆ พื้นที่ 2 สองวิทยาเขตรุ่นบุกเบิกมหิดล แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตบางกอกน้อย และวิทยาเขตพญาไท ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พื้นที่ 3 “วิทยาเขตศาลายา” ศูนย์รวมประชาคมมหิดล แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของวิทยาเขตศาลายา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสถาบันและเป็นศูนย์รวมของชาวมหิดลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
พื้นที่ 4 มุ่งขยายการศึกษาสู่ภูมิภาคแสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของวิทยาเขตในส่วนภูมิภาค 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาเขตกาญจนบุรี วิทยาเขตนครสวรรค์ และวิทยาเขตอำนาจเจริญ
พื้นที่ 5 ความสัมพันธ์ของวิทยาเขตต่างๆ กับสภาพแวดล้อมและชุมชนโดยรอบแสดงความสัมพันธ์ทางกายภาพระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับชุมชนโดยรอบ ทั้งการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบด้านกายภาพที่มีต่อพื้นที่โดยรอบของวิทยาเขตต่างๆ
สำหรับแนวคิด เรื่อง “ฟ้า” สื่อถึง “เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช” หอเกียรติยศและประวัติมหาวิทยาลัยมหิดลว่า ใช้แนวคิดเรื่อง “รุ้ง” ซึ่งมี 7 สีสื่อถึงวัฒนธรรมองค์กรในมหาวิทยาลัย “รุ้ง 7 สีประกอบด้วยที่ประกอบด้วย 7 ตัวอักษร ( M-A-H-I-D-O-L) และ “ดิน” สื่อถึงเกียรติประวัติของสถาบันที่สั่งสมมาและเป็นแหล่งกำเนิดพืชพันธุ์ซึ่งก็คือคนรุ่นใหม่ และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บทใช้แนวคิดเรื่อง “ธาตุ” สื่อถึงองค์ประกอบหลักที่จะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็คือหลักฐานของความเป็นมาในการเกิดขึ้นทางกายเตรียมพบกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1ก.ย.นี้ ได้ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
มศว ปิ๊งไอเดียให้นิสิตชมภาพยนตร์ สร้างแรงบันดาลใจตลอดเทอม
มศว ปิ๊งไอเดียให้นิสิตชมภาพยนตร์ สร้างแรงบันดาลใจ ชม 20 เรื่องตลอดทั้งเทอม หวังเข้าถึงใจนิสิตคนรุ่นใหม่ อยากเห็นการเปลี่ยนตัวเอง รักเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อม เข้าใจตัวเอง-คนอื่น
ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า มศว เชื่อว่าการสร้างแรงบันดาลใจด้านต่างๆ ให้นิสิต ซึ่งอยู่ในวัยเยาวชนเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง “การสร้างแรงบันดาลใจทำได้หลายวิธีและวิธีที่ตนคิดว่าเหมาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างนิสิต น่าจะเป็นเรื่องที่เขาสนใจและเป็นเรื่องบันเทิง หากแต่ความบันเทิงต้องมีสาระแฝงไว้ด้วย จึงได้ทำโครงการดูภาพยนตร์ดีๆ เพื่อสร้างแรงบันดานใจขึ้น ผมได้คัดเลือกหนังดีๆ ทั้ง สิ้น 20 เรื่องและจะให้นิสิตได้มาดูตลอดทั้งเทอม โดยจะเน้นนิสิตทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มที่ควรจะดูก็คือกลุ่มที่ทำงานด้านองค์การนิสิต สโมสรนิสิตและนิสิตทั่วๆ ไปก็ควรจะดู นิสิตที่ดูภาพยนตร์จบลงจะต้องคิดได้ในเรื่องหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อสังคม ความรักระหว่างเพื่อน ครู และเพื่อนมนุษย์ ความสุขที่ได้รับจากธรรมชาติ คนที่เรียนเก่งระดับได้รับรางวัลโนเบล
สำหรับหนังเรื่องแรกที่เริ่มฉายให้นิสิตดูในวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา ณ ชั้น 4 อาคารนวัตกรรมศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี มีชื่อว่า “Homeบ้านของเราโลกของเรา” หนังสวยและมีสาระจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนิสิตตลอดถึงอาจารย์และเจ้าหน้าที่ มศว ที่ได้ชมหนังเรื่องนี้ซึ่งจะเน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ การดูภาพยนตร์ในโครงการนี้ ทางโครงการจะแจกข้าวโพดคั่วให้นิสิตทุกคน เพื่อให้สนุกกับการดูหนังและดูหนังแล้วได้สาระความคิดและแรงบันดาลใจดีๆ กลับไปเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนผู้คนรอบข้าง เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนประเทศและเปลี่ยนโลก” กล่าวปิดท้าย
ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า มศว เชื่อว่าการสร้างแรงบันดาลใจด้านต่างๆ ให้นิสิต ซึ่งอยู่ในวัยเยาวชนเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง “การสร้างแรงบันดาลใจทำได้หลายวิธีและวิธีที่ตนคิดว่าเหมาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างนิสิต น่าจะเป็นเรื่องที่เขาสนใจและเป็นเรื่องบันเทิง หากแต่ความบันเทิงต้องมีสาระแฝงไว้ด้วย จึงได้ทำโครงการดูภาพยนตร์ดีๆ เพื่อสร้างแรงบันดานใจขึ้น ผมได้คัดเลือกหนังดีๆ ทั้ง สิ้น 20 เรื่องและจะให้นิสิตได้มาดูตลอดทั้งเทอม โดยจะเน้นนิสิตทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มที่ควรจะดูก็คือกลุ่มที่ทำงานด้านองค์การนิสิต สโมสรนิสิตและนิสิตทั่วๆ ไปก็ควรจะดู นิสิตที่ดูภาพยนตร์จบลงจะต้องคิดได้ในเรื่องหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อสังคม ความรักระหว่างเพื่อน ครู และเพื่อนมนุษย์ ความสุขที่ได้รับจากธรรมชาติ คนที่เรียนเก่งระดับได้รับรางวัลโนเบล
สำหรับหนังเรื่องแรกที่เริ่มฉายให้นิสิตดูในวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา ณ ชั้น 4 อาคารนวัตกรรมศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี มีชื่อว่า “Homeบ้านของเราโลกของเรา” หนังสวยและมีสาระจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนิสิตตลอดถึงอาจารย์และเจ้าหน้าที่ มศว ที่ได้ชมหนังเรื่องนี้ซึ่งจะเน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ การดูภาพยนตร์ในโครงการนี้ ทางโครงการจะแจกข้าวโพดคั่วให้นิสิตทุกคน เพื่อให้สนุกกับการดูหนังและดูหนังแล้วได้สาระความคิดและแรงบันดาลใจดีๆ กลับไปเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนผู้คนรอบข้าง เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนประเทศและเปลี่ยนโลก” กล่าวปิดท้าย