...+
วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551
'Road Map of Food Safety เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ของคนไทย
วันนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องราวของ Food Safety หรือความปลอดภัย ของอาหาร ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หันมาให้ความสนใจ และเอาจริงเอาจังกับเรื่องของ อาหารกันมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสนองนโยบายของภาครัฐที่พัฒนาไทย ให้เป็นครัวโรงใหญ่ของโลก เมื่อเราวางเป้าหมายที่จะเป็นครัวของโลกแล้ว ฉะนั้น เราเองควรที่จะต้องปรับปรุง และยกระดับครัวของเราให้ดีเสียก่อน
โครงการต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่อง Food Safety จึงเกิดขึ้น สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้าน ระบบความปลอดภัยของเกษตรและ อาหารทั้งระบบ ได้จัดทำ Road Map of food Safety ขึ้น เพื่อเป็นคู่มือในการนำทางสู่ระบบอาหารปลอดภัย ซึ่งประกอบด้วย 5 ส่วน ตั้งแต่การนำเข้า ในระดับฟาร์ม สถานที่ผลิตหรือสถานประกอบการ ผลผลิต จนกระทั่งสู่กลไกที่นำไปสู่ผู้บริโภค นั่นคือ ตลาด โดยแต่ละส่วนจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงสาธารณสุข สถาบันอาหาร ซึ่งแต่ละส่วนนั้นจะมีกิจกรรม ดังนี้ การนำเข้า มีการตรวจสอบปัจจัยการผลิต เช่น อาหารสัตว์ เคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ และอาหารแปรรูปนำเข้า ระดับฟาร์ม มีการขึ้นทะเบียนรับรองฟาร์มมาตรฐาน และตรวจติดตามฟาร์มมาตรฐานและ การใช้ปัจจัยต่างๆ ในฟาร์ม สถานที่ผลิต มีการตรวจสอบรับรองโรงงานแปรรูปเพื่อการส่งออก โรงงานอาหารสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ สะพานปลา สถานที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ และการให้คำปรึกษาด้านการจัดทำระบบคุณภาพ GMP/HACCP ผลผลิต การตรวจสอบรับรองผลผลิตทั้งที่ส่งออกและจำหน่ายในประเทศ ตลาด การเจรจาแก้ไขปัญหาเทคนิค การตรวจเฝ้าระวังอาหารสด อาหารแปรรูป และอาหาร ที่ปรุง ณ แหล่งจำหน่าย การตรวจสุขาภิบาลแหล่งจำหน่าย และการพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค ภายใต้ Road Map ดังกล่าวนี้ ผลสัมฤทธิ์ที่ได้คือ ไทยสามารถรักษามูลค่า การส่งออกสินค้าเกษตรและ อาหารกว่า 600,000 ล้านบาทต่อไปไว้ได้ และยังช่วยลดปัญหาการกักกันทำลายสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ซึ่งมีมูลค่าปีละกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญคือ คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น ลดจำนวนผู้ป่วยจากการบริโภคอาหาร ปนเปื้อนสารเคมีที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ.
กินข้าวใช้ทำแป้งแก้โรคเบาหวานมีสารสรรพคุณ เหมือนกับอินซูลิน
ผลการศึกษาของนักวิจัยมหาวิทยาลัยมินิโตบาในแคนาดา พบว่า ข้าวบัควีท ข้าวชนิดหนึ่งปลูก มากในอเมริกาเหนือ ใช้ทำแป้ง อาจช่วยควบคุมโรคเบาหวานได้
จากการวิจัยกับหนูพบว่า สารสกัดจากเมล็ดพืชดังกล่าว สามารถลดระดับกลูโคสในเลือดได้ถึง ร้อยละ 19 คณะนักวิจัยแนะว่า คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานควรจะพิจารณาผสมบัควีทลงใน อาหารด้วย หรือไม่เช่นนั้นก็รับประทานในรูปของอาหารเสริม ดร.คาร์ลา เทย์เลอร์ หัวหน้า คณะนักวิจัยบอกว่า การผสมบัควีทในอาหาร อาจเป็นทางหนึ่งที่ปลอดภัย ง่าย และไม่แพง ที่จะช่วยลดระดับกลูโคส และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน อันเนื่องมาจากโรคเบา หวาน ซึ่งรวมทั้งโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ประสาท และไต ส่วนประกอบสำคัญของบัควีทก็คือ สารประกอบที่เรียกว่า chiro-inositol ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ในบัควีท และพบได้น้อยในอาหารอื่นๆ จากการทดลองกับทั้งคนและสัตว์ที่ผ่านมาพบว่า สารประกอบตัวนี้มีส่วนสำคัญในกระบวนการเผาผลาญกลูโคสและการส่งสัญญาณของเซลล์ นักวิจัยยังไม่ทราบแน่ชัดว่า สารประกอบตัวนี้ทำงานอย่างไร แต่จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า อาจทำให้เซลล์มีความไวกับอินซูลินมากขึ้น หรือไม่เช่นนั้นอาจทำหน้าที่เลียนแบบอินซูลิน นักวิจัยย้ำว่า บัควีทไม่ใช่ยารักษาโรคเบาหวาน และว่าควรที่จะมีการศึกษากับคนต่อไป เพื่อดูว่า จะใช้บัควีทหรือสารสกัดในปริมาณเท่าใด ถึงจะเป็นประโยชน์ในการช่วยลดระดับน้ำตาล ในเลือดได้.
วิธีป้องกันอาการ "เมาค้าง
ง่ายที่สุดเลยคือไม่ต้องดื่มเหล้า นั่นแหละ ป้องกัน ได้แน่นอน พูดแล้วเหมือนกำปั้นทุบดิน ซึ่งค่อน ข้างเสี่ยงว่าจะถูกกำปั้นหันกลับมาทุบตัวคนพูด ได้ง่ายเช่นกัน "เมาค้าง" เป็นอาการปวดหัว คลื่นเหียน อาเจียน ที่เกิด ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เมื่อคืนเพิ่งดื่มสุรายาเมาหนักคอ ไปหน่อย แค่ไหนเรียกว่ามากไป ขึ้นอยู่กับปริมาณการดื่มใน ช่วงเวลาหนึ่ง น้ำหนักของคนดื่ม พูดง่ายๆว่า น้ำหนักน้อย มีสิทธิ์ไปไว สุดท้ายเป็นเรื่องอายุ ยิ่งแก่ยิ่งเมาค้างได้ง่าย ไม่อยากเมาค้างก็ต้องหาวิธี ป้องกัน เริ่มตั้งแต่เตรียมตัว ก่อน ออกงาน ควรเตรียมกินอาหารดีๆ รองท้องไว้เสียก่อน และโดยเฉพาะโอกาสนี้เท่านั้นที่อา หารจำพวกไขมันจะได้เป็นพระเอก เพราะมันย่อยช้า ก็จะช่วยป้องกันกระเพาะให้พ้นจากการ ระคายเคืองของแอลกอฮอล์ได้
เขาบอกว่านมสักแก้วหนึ่งก็ช่วยปกป้องกระเพาะได้เหมือนกัน มันจะช่วยชะลอการดูดซึมแอลกอฮอล์ให้เข้าสู่ร่างกายช้าลง ระหว่างอยู่ในวง ควรจะสลับด้วยน้ำหรือเครื่องดื่มเบาๆ สลับฉากเสียบ้าง จะได้จำกัดปริมาณ แอลกอฮอล์เข้าสู่เส้น เลือด ก่อนกลับบ้านถ้าเมาต้องไม่ขับรถ ควรจะกินน้ำหรือ น้ำส้ม เพราะวิตามินซีจะช่วยเร่งการเผาผลาญอาหาร หรือจะดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่พวกนักกีฬาดื่มกันก็ไม่เลว ตื่นขึ้นมาถ้ายังพบว่าตัวเองเมาค้าง ก็ต้องหันหน้าเข้าหา สูตรเดิม คือน้ำ วิตามินซี หรือน้ำผลไม้ก็ได้ แล้วอย่าลืมกิน อาหารจำพวกขนมปังปิ้ง กับไข่ดาวเข้าไปช่วยกวาดล้างพิษ ที่ตกค้างอยู่ในตับในตอนที่เผาผลาญแอลกอฮอล์ อาการเมา ค้างมันอยู่ไม่นานหรอก อย่างมากก็ราว 24 ชั่วโมง อดทน หน่อย พอรู้สึกดีขึ้นก็ออกไปลุยต่อได้อีก เชื่อเหอะ!!
เคล็ดเลือกเซรามิก
จะซื้อหาเครื่องครัวเซรามิกมา ไว้คู่บ้าน ซื้อมาไว้โชว์ เลือกได้ตามใจ ปรารถนา ของกระเป๋า สตางค์... อย่าเอามาใช้งาน แต่ถ้าจะซื้อไปใช้งานใส่กับข้าวกับปลา ควรเลือกลวดลายสีสันแบบไหน... อาทิตย์ก่อนบอกไปแล้ว
อาทิตย์นี้มาต่อเรื่องที่ค้างไว้ จะเลือกถ้วยชามเซรามิกแบบไหน... ไม่ให้ถูกเขาหลอกต้ม อุตส่าห์จ่ายเงินซื้อของราคาเกรดเอ... แต่ดันได้ของเกรดบีกลับบ้านให้ เจ็บใจ จะได้ของดีสมราคาที่จ่ายไป ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) แนะนำทุกครั้งที่ซื้อ...ให้ยกถ้วยชาม ที่เราซื้อคว่ำลงบนพื้นราบเรียบ วางคว่ำบนแผ่นกระจกได้...จะยิ่งดีม้ากค่ะ คว่ำแล้วลองจับเคาะดู จานชามมีอาการโยกเยก มีเสียงดังตามมาเพราะ ปากจานชามประกบกับพื้นราบได้ไม่สนิทหรือเปล่า ประกบไม่สนิท...แสดงว่าปากจานชามเบี้ยวค่ะ แน่นอนค่ะ อาการนี้บอกให้รู้ว่าผลิตได้ไม่ มาตรฐาน ถือเป็นสินค้าเกรดต่ำ เอามาขายราคาเท่าสินค้าเกรดเอ... บ่ได้เด้อ พิจารณาดูแล้วปากจานชามไม่บิดเบี้ยว ขั้นต่อไปให้ดูก้นตรงกลางชามที่เราคว่ำ ดูว่ามันแบนราบเรียบ หรือนูนขึ้นมา ถ้าไม่แบนเรียบ แน่นอนค่ะไม่ได้มาตรฐาน เพราะตอนเอาเข้าเตาเผา เผาไม่ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เผาแล้วดินยังไม่สุกดี ดินยังไม่แกร่งพอ ก้นจานชามเลยย้อยห้อยตกท้องช้าง เป็นก้นนูนให้เราเห็นยังไงคะ จากนั้นลองสัมผัสผิวจานชามเซรามิก... เรียบลื่น เคลือบผิวดีแค่ไหน ลูบคลำไปแล้ว ผิวจานชามสากมือหรือเปล่า ถ้าสากมือ ดูแล้วมีผิวขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ มีจุดเล็กๆ แบบตามดเต็มไปหมดหรือเปล่า...เจอจานชามลักษณะนี้ ใครจะชอบใจดูว่าคลาสสิก จะซื้อหาไปใช้งานก็ไม่ ว่ากัน แต่ขอบอกให้ รู้...ซื้อไปใช้งานใส่ อาหารไปแล้ว เศษอาหารเข้าไปอุดอยู่ในรูเล็กๆ มีคำถามตามมาว่าคุณสามารถ ล้างจานชามใบนั้นให้ สะอาดได้แค่ไหน ถ้าพิจารณาดูแล้วว่าตัวเองหมดปัญญา ที่จะเอาปลายเข็มไปงัดเขี่ยเศษอาหาร ออกมาได้... ก็อย่าซื้อมาใช้เป็นอันขาด ซื้อมาทำไมให้เป็นที่สะสมเชื้อโรค จริงมั้ยคะ ก็เพราะอย่างนี้ ดร.ชุติมา ถึงไม่แนะนำให้ซื้อจานชามเซรามิกดินเผาสีอิฐ "เอิร์ธแวร์" มาใช้ใส่อาหาร ก็เซรามิกเอิร์ธแวร์อันสุดเท่เก๋คลาสสิก ที่คนไทยบางกลุ่มกำลังคลั่งไคล้ เอิร์ธแวร์เป็นภาชนะที่มีรูพรุนเล็กๆ ให้เศษอาหารไปจับเกาะอยู่มากมาย ใช้ไปแล้วล้างยังไงก็ไม่สะอาด ถึงเดี๋ยวนี้ผู้ผลิตบางรายจะแก้ปัญหาด้วยการเอาแล็กเกอร์มาทาเคลือบ ให้ดูเรียบลื่นขึ้นมาก็เถอะ เจอน้ำเจออาหารไป แล็กเกอร์จะล่อนหลุดได้หรือเปล่า เชิญพิจารณาเองค่ะ แต่ถ้ารักจะเอาเซรามิกเอิร์ธแวร์มาใส่ อาหารแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ทำตัวแบบเศรษฐี รับประทานเสร็จแล้วให้ทิ้งเลย...ไม่ต้องเก็บมาล้างเพื่อสะสมเชื้อโรคหรอกค่ะ.
พบเทคนิคตรวจรู้โรคสมองเสื่อมก่อนอาการปรากฏ ขึ้นนานแรมปี
พบเทคนิคตรวจสมองของชายหญิงที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สามารถตรวจพบเค้าลางของโรคสมอง เสื่อม อันเป็นโรคที่น่าหวาดหวั่นตอนบั้นปลายของชีวิตแต่เนิ่นๆ ก่อนหน้าที่อาการจะปรากฏขึ้น หลายปี ได้อย่างแม่นยำถึงเกือบ 90%
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนิวยอร์กแห่งสหรัฐฯ กล่าวแจ้งว่า ผู้ใหญ่เต็มตัว ที่จะ เป็นโรคสมองเสื่อมตอนบั้นปลาย กว่าจะตรวจรู้อาการที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้าหลายปี จะตรวจพบ ว่าขนาดสมองจะมีขนาดเล็กลง ดร.เฮนรี รุสิเนก นักวิจัยโรคสมอง ของโรงเรียนแพทย์กล่าวว่า ได้พบในการทดลองว่า เทคนิค การตรวจด้วยการวัดปริมาตรของสมอง ส่วนที่อยู่ด้านขมับ ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ และการเรียนรู้ มีความแม่นยำเกือบถึง 90% อย่างไรก็ตาม ยังจะต้องศึกษาต่อไปว่า มันจะยัง คงตรวจพบได้แม่นยำเมื่อใช้กับคนไข้จำนวนมากๆ อยู่หรือไม่ โรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ทำให้มีอาการขี้ลืม งกๆเงิ่นๆ จำวันจำเวลาไม่ได้ จำว่ากินข้าวหรือยัง จำทางกลับบ้านไม่ได้ ขนาดสมองจะเล็กลง เกิดกับผู้หญิงมากกว่าชาย ต้นเหตุเกิดจากสารหลั่ง ในสมองเกิดผิดปกติ กลับไปทำลายเซลล์ในสมองเสียเอง.
บุรุษลึกลับจากมิติอื่น
เรื่องที่ ทีมงาน ต่วย\'ตูน จะนำมาเล่าในสัปดาห์นี้ เป็นเรื่องลึกลับจริงๆ ซะด้วยซีครับ...ทั้งลึกทั้งลับ เข้าขั้นอุกฤษฏ์ เพราะจากนั้น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครคลี่คลายคดี "บุรุษลึกลับจากมิติอื่น" ที่ทีม งานฯจะเล่าให้บรรดา ท่านแฟนานุแฟนฟังต่อไปนี้ ได้เลยจนนิดเดียว เริ่มต้นกันเดี๋ยวนี้เลยนะครับ เรื่องผู้มาจากมิติเร้นลับมีว่ายังงี้ขอรับ...
ขณะนั้นเป็นเวลาคํ่าคืนดื่นดึกของเดือนตุลาคม ค.ศ.1837 มีเสียงกริ่งดังขึ้นที่หน้าบ้านของ ครอบครัวอัลซอป สาวน้อย เจน อัลซอป เป็นคนลุกขึ้นเดินงัวเงียไปเปิดประตูพร้อมทั้งนึก ฉงนฉงายว่า ใครหนอช่างมากดกริ่งเรียกในเวลาดึกของคืนอันหนาวเย็นเต็มไปด้วยหมอกอย่างนี้ บานประตูเปิดออก เจน อัลซอป มองออกไปข้างนอกอย่างเคืองๆ อ้าปากจะถามไถ่ว่าเป็นใคร มาธุระอะไร?...แต่แล้วปากของเธอก็อ้าค้าง นัยน์ตาทั้งคู่ลืมค้าง และอากัปกิริยานิ่งค้างไปหมด แทบทุกส่วน ด้วยความตื่นตกใจที่เกิดขึ้นในทันทีที่มองเห็นบุคคลหน้าประตู เป็นสารรูปที่สมควรแก่ความกลัวจนขวัญหนี ดีฝ่อจริงเสียด้วยซีครับผม เป็นผู้ชาย...สูงมากทีเดียว สวมเสื้อคลุมดำทั้งกว้างและยาว แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผู้พบเห็นตกตะลึง ได้มากเท่ากับหน้าของเขา ไม่ใช่เป็นดวงหน้าอันน่าหวาดกลัวของปิศาจอสุรกายเทือกนั้น แต่เป็นหน้าที่มองไม่เห็นด้วยซํ้าไป เพราะว่ามันปกคลุมโดยตลอดด้วยหมวกกลมใส ลักษณะคล้ายอ่างปลา มองทะลุเข้าไปเห็นดวงตา ลุกวาววามราวกับแสงเทียนคู่หนึ่ง สาวน้อยเจนแผดร้องกรีดก้องออกมาสุดเสียงด้วยความตระหนกจนเหลือที่จะทานทน ชายร่างประหลาดคงจะตกใจเสียงแผดร้องของสาวน้อยเหมือนกัน จึงผละจาก หน้าประตูออก วิ่งหนีไป ทว่าขณะที่วิ่งนั้น ชายเสื้อคลุมกว้างยาวของเขาคลี่ออก เผยให้เห็นเสื้อผ้าที่อยู่ข้างใน ได้ถนัดตา เสื้อผ้าของเขาไม่เหมือนใครในโลกเลยครับ มันเป็นชุดชิ้นเดียวติดกันตั้งแต่คอลงจนถึงข้อเท้า แนบเนื้อสนิทเนียนเป็นสีเงินมันวะวับ-! เวลาผ่านไปไม่นาน ตำรวจแห่งสถานีเทมส์ก็มาถึง ตามที่ครอบครัวอัลซอปเรียกไป แต่อย่างว่า ละครับ คุณโปลิศรับฟังเรื่องราวของเจน อัลซอป ด้วยสีหน้าปั้นยากเต็มที และลงความเห็นเมื่อ รับฟังจนจบว่า เด็กสาวคงจะตาฝาดหรือม่ายก็ความงัวเงียง่วงนอนทำให้เห็นผิดๆพลาดๆไป แต่นับว่าเป็นเคราะห์ดีของเจนครับ ที่ไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าเพี้ยนในการลุกขึ้นมาเล่าเรื่องบ๊องๆ กลางดึก เพราะว่ามีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานในร้านขายเนื้อไม่ห่างออกไปนัก ให้การยืนยัน กับตำรวจว่า เขาเคยเผชิญหน้ากับชายลึกลับผู้แปลกประหลาดมาแล้ว โดยที่ชายคนนั้นเข้าขู่เข็ญ น้องสาวสองคนของเขาให้ตื่นตกใจ พอเขาไล่ตาม ชายลึกลับก็วิ่งหนีเข้าไปจนมุมในตรอกตัน แถวๆนั้น และกระทำอะไรบางอย่างซึ่งแสดงชัดเจนว่าเขาต้องเป็นผู้มาจากมิติเร้นอันลับลี้เต็ม ประดา ที่ก้นตรอกตัน มีกำแพงสูง 14 ฟุตขวางอยู่ชายในเสื้อคลุมดำกระโดดแผล็วเดียวข้ามกำแพงนั้น ไปสู่อีกฟากหนึ่งได้อย่างสบาย ผมไม่ทราบว่าสถิติสูงสุดของการกระโดดสูงที่นักกีฬาโอลิมปิกทำไว้นั้นมีความสูงกี่ฟุตกันแน่ แต่ขนาดความสูง 14 ฟุต หรือราว 4 เมตรนี้ นับว่าเป็นความสามารถอันยอดเยี่ยมมากในยุคนั้น และชายลึกลับคนนี้ก็เลยได้รับสมญาว่า "มนุษย์กระโดดสูง" (The Jumping Man) นับตั้งแต่นั้นมา นี่เป็นปีแรกที่ "มนุษย์กระโดดสูง" ออกปรากฏกายนะครับ เรียกได้ว่า เป็นรายการ อุ่น เครื่อง เพราะในครั้งต่อไป เขาเปิดฉากวาดลวดลายเด็ดดวง กว่านี้ แต่ไม่ได้ ทำร้ายใคร นอกจากทำให้หวาดกลัวและตกใจจนแทบช็อกกันเท่านั้น แปลกอยู่อย่างนะครับ เขาอุ่นเครื่องหลอกหลอนชาวลอนดอนใกล้ฝั่งแม่นํ้าเทมส์ ที่เล่ามานี้แล้วก็ หายหน้าหายตาไปนานตั้ง 8 ปี มาเผยโฉมอีกครั้งใน ค.ศ.1845 แล้วก็อาละวาดดะไปเรื่อยเป็น เวลาหลายปีติดต่อกัน โดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ สำหรับอาณาบริเวณที่เขาออกโรงแสดงการ กระโดดสูงที่ไม่ได้รับเชิญนี้ มีทั้งมหานครลอนดอน, เซอร์เรย์, แลงคาสเชอร์, ลินคอล์นเชอร์, วอริคเชอร์, มิดเดิลเซ็กซ์ ฯลฯ แต่ละครั้งที่ปรากฏตัว เป็นต้องสาธิตวิธีกระโดดสูงให้เห็นทุกครั้ง และที่น่าสังเกตก็คือ ยิ่งปรากฏบ่อยครั้ง ระดับความสูงของก้าวกระโดดของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจน น่าพิศวง ในช่วง 10 ปี ระหว่าง ค.ศ.1860-1870 เขากระโดดได้สูงและไกลราว 30 ฟุตต่อ หน้าต่อตาพยานเป็นอันมากในหลายท้องที่ด้วยกัน ในช่วงเวลาดังกล่าวมานี้ มีพยานยืนยันการมาเยือนของชายลึกลับจากมิติเร้นลับมากมายหลายสิบ ราย มีที่น่าสนใจควรแก่การบันทึกไว้อยู่รายหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในปี 1877 ใกล้กับกรมทหารเล็กๆ ในอัลเดอร์ชอตแห่งแฮมเชอร์ พยานที่พบเห็นชายลึกลับเป็นทหารยามของกรมนั้น รายละเอียดมีอยู่ว่า ขณะที่ทหารยามทั้งสองเดินตรวจรอบๆกรมอันค่อนข้างมืดนั่นเอง จู่ๆชาย ลึกลับในเสื้อคลุมสีดำก็โผล่ให้เห็นบนกำแพงสูง แล้วกระโดดลงมาสู่พื้นอย่างงดงามราวกับ นักกีฬาเอก เสื้อคลุมเผยออกให้เห็นชุดแนบเนื้อสีเงินข้างใน แสงสลัวจากเสาไฟด้านข้างกรมทหาร ทำให้เห็นหมวกทรงกลมดิกใสกระจ่างที่ครอบศีรษะโดยตลอด บ่งบอกว่าชายคนนี้ไม่ใช่ปกติ ธรรมดาเป็นแน่ "ใคร? หยุดนะ ม่ายงั้นจะยิง!" พลทหารหนึ่งในสองนาย ร้องเฉียบขาด แทนที่จะปริปากตอบโต้หรือหยุดชะงัก ร่างสูงโย่งกระโดดแผล็วเข้าหาทันที ทหารยามอีกคน เห็นท่าไม่ดีก็สาดกระสุนปืนยาวที่ถือเข้าใส่ในระยะเผาขน แทนที่ร่างนั้นจะชะงักหรือล้มลง กลับตรงทื่อเข้ามาเสมือนหนึ่งว่ากระสุนจากปืนยาวนัดที่เข้า เป้าทรวงอกถนัดถนี่นั้น ทำอันตรายเขาไม่ได้เลย ยามคนแรกที่สอบถามจึงลั่นกระสุนเข้าให้มั่ง ทว่าผลที่ได้รับ เป็นอย่างเดียวกัน ร่างประหลาดเข้าประชิดตัวในนาทีนั้นเอง... อะไรเกิดขึ้นน่ะหรือครับ? แหม...ทหารยามทั้งสองก๊อเหวี่ยงปืนทิ้งและทำอย่างไดโนเสาร์ (แก่) คงจะกระทำไปตั้งนาน แล้ว... คือหันหลังโกยอ้าวเข้ากรมทหารไป! เหตุการณ์ต่อไปน่ะเร้อ? ผมบอกแล้วไงครับว่าเรื่องนี้น่าสนใจกว่าเรื่องอื่น เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยว กับทหารในเขตทหารอันเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย การที่ทหารยามยิงปืนแล้วละทิ้งหน้า ที่หนีไปนั้น นับว่ามีความผิดถึงขั้นนำขึ้นศาลทหารครับ ทหารยอดซวยทั้งสองจึงต้องไปยืนอยู่ ในคอกจำเลยในศาลทหาร ซึ่งพิจารณาคดีอย่างสดๆร้อนๆหลังเกิดเรื่องไม่นานเท่าไหร่ นับว่าเป็นเคราะห์ดีของยามทั้งคู่ ตรงที่ผู้พิพากษาในครั้งนั้นเป็นคนใจกว้างพอที่จะยอมรับฟัง เรื่องอันเหลือเชื่อ ประกอบกับพิจารณาท่าทางอันเต็มไปด้วยความแตกตื่นลนลานของผู้น้อย นอกจากนี้ ยังได้นำเอาหลักฐานข้อเท็จจริงอื่นที่เกิดขึ้นแล้วในละแวกแฮมเชอร์ก่อนหน้านี้ ไม่กี่วันมาร่วมรับฟังด้วย ลงเอยด้วยการตัดสินว่าจำเลยทั้งคู่ยิงปืนใส่บุคคลลึกลับที่เข้ามาข่มขู่ คุกคามจริง และการที่หนีไปนั้นไม่ใช่หนีหน้าที่ แต่เป็นการวิ่งเตลิดไปด้วยความตกใจ สุดขีดเช่น เดียวกับผู้คนอื่นๆเคยหนีมาแล้วเมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษลึกลับเจ้าของสมญา "มนุษย์กระโดดสูง" จากการพิพากษาตัดสินนี้ เราก็ได้ทราบชัดเจนแล้วนะครับว่า ในแฮมเชอร์ สมัย นั้น "มนุษย์กระโดดสูง" ออกอาละวาดบ่อยครั้งเสียจนเป็นที่ยอมรับในหลาย วงการแล้วครับผม ตำบลอัลเดอร์ชอตที่เกิดเรื่องเมื่อตะกี้อยู่ห่างจากกรุงลอนดอน 35 ไมล์ จากที่นั่น ชายผู้มาจาก มิติเร้น เดินทางห่างจากอัลเดอร์ชอตไปอีกราวร้อยไมล์ ถึงตำบลนิวพอร์ตใน มอนเมาธ์ ณ ที่นี้เอง พ่อเจ้าประคุณ ยอดนักกระโดดขึ้นไปยืนก๋าบนหลังคาอาคารสูง หลังหนึ่ง เพ่งจ้องมองลงไปที่ท้องถนน เหมือนลังเล อยู่ว่าจะทำอะไรต่อไปดี แต่พอเห็นว่าฝูงคน ที่เดินสัญจร ไปมาบนถนนพากันแหงนเถ่อขึ้นจ้องมองดูเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ยอดนักกระโดด ก็สาธิตวิธีกระโดดไกลไปบนหลังคาอาคารในระยะ 20 ฟุต แล้วก็ลับหาย ไปจากสายตาผู้ดูที่โชคดี ได้ชมสาธิตการกระโดดฟรีนั้น
จากนี้ไปจนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1904 ข่าวคราวการมาปรากฏกายและสาธิตกระโดดสูงกระโดดไกล ของมนุษย์ลึกลับยังคงมีประปราย แต่ปี 1904 นับเป็นปีสุดท้ายแห่งรายการแสดงฟรีของเขาครับ หลังจากนี้ไม่มีใครรู้ว่า ชายลึกลับ กลับคืนมิติเร้นไปแล้วหรืออย่างไร เพราะเขา ไม่มาเปิดการแสดงให้ดูชมกันอีกเลย รายการแสดงครั้งสุดท้ายของชายลึกลับ เปิดขึ้นที่ลิเวอร์พูล ในเวลากลางวันแสกๆเสียด้วย เขาปรากฏกายออกมาตามถนนต่างๆในลิเวอร์ พูล และกระโดดสูงครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าชาวเมือง ที่เดินกันคลาคล่ำตามถนนเหล่านั้น ผู้ที่พบ เห็นล้วนแต่ตกตะลึงจังงังจนไม่มีใครคิดไล่จับเขาเลย และแล้วประดุจเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย เขาไปเผยตัวเองที่เมอร์ซีย์ไซด์ และกระโดดพรวดเดียวจากพื้นถนนซอลสเบอรี่ขึ้นสู่หลังคาตึก สูงลิบจนเหลือเชื่อว่า คนจะกระโดดได้อย่างนั้น แล้วก็ลับหายไป จากสายตาผู้เฝ้าดู เป็นการลับไปตลอดเลยครับ หลังจากนั้นไม่มีใครได้เห็นเขาอีก (ผู้คนมากมาย บนถนนซอลสเบอรี่มองเห็นโจ่งแจ้งว่าเขากระโดดแผล็วขึ้นสู่ยอดตึก หันมาโบกมืออำลาแล้ว วิ่งลับหายไปจากสายตาในนาทีต่อมานั่นเอง) เป็นไง?...แปลกดีแมะขอรับ? จบรายละเอียดแล้ว ทีนี้ก็มาถึงรายการถกปัญหากันละครับผม จากข้อเขียนทั้งหมดนี่ ท่านผู้อ่านมองเห็นปริศนาลับดำมืดหลายข้อเลยใช่ไหมครับ ข้อแรกที่สุดก็คือ ชายคนนี้เป็นใคร มาจากไหน และมีความมุ่งหมายอะไรในการมากระโดด เป็นว่าเล่นต่อหน้าพยานบุคคลในสารทิศต่างๆ ทั้งในและ นอกเขตกรุงลอนดอนอย่างที่เล่ามานี้? จากสารรูปของเขาที่พยานทุกรายมองเห็นตรงกัน สันนิษฐานได้ 3 ประการคือ ประการแรก ชายคนนี้ต้องมาจาก "มิติเร้น" ซึ่งอาจจะเป็นมิติอื่นอันซ้อนเหลื่อมกับมิติปกติ หรือม่ายเขาก็อาจ เดินทางมาจากพิภพอื่น เพราะลักษณะเสื้อผ้าและหมวกอวกาศมันฟ้องอยู่ ชัดแจ้ง ประการที่สอง หมอนี่เป็นคนสติเฟื่องหรือเพี้ยน ซึ่งปรากฏกายด้วยความอยากดัง เรียกร้องความสนใจของฝูง คนด้วยกรรมวิธีลํ้ายุค ประการที่สาม หมอนี่ไม่เพี้ยนและไม่บ๊อง แต่มีเจตนาบางอย่างเคลือบแฝง ในการแสดงออกของเขา ข้อสันนิษฐานทั้งสามประการนี้ สองข้อหลังอาจเป็นไปได้ แต่ว่าต้องไม่ลืมความจริงอย่าง หนึ่งที่ว่า ชายลึกลับ มีคุณสมบัติพิเศษกว่าคนธรรมดาหรือคนเพี้ยนล้วนมีได้ยาก คือความ สามารถในการกระโดดสูงและกระโดดไกลได้ขนาดนับเป็นสิบๆฟุตขึ้นไปน่ะครับ ข้อขานแย้งอีกอย่างหนึ่งซึ่งคิดว่าหนักแน่นพอที่จะชี้ชัดถึงความไม่ปกติของนักกระโดดสูงนี้ก็คือ ระยะเวลาที่เขาปรากฏกายน่ะครับ...ถ้าท่านสังเกตให้ดี จะเห็นว่าเมื่อตะกี้ไดโนเสาร์ (แก่) เน้น เรื่องปี ค.ศ.ไว้มากเป็นพิเศษ เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านเล็งเห็นว่า ปีแรกที่เขาปรากฏกายนั้นคือ ปี 1837 ส่วนปีสุดท้ายได้แก่ปี 1904 ดูซีครับระยะเวลาห่างกันตั้ง 67 ปี ทีนี้สมมติว่าเมื่อเขา ออกโรงครั้งแรกในปี ค.ศ.1837 เขาอายุได้ 20 ปี เอา 67 บวกเข้าไป ผลลัพธ์เท่ากับ 87 โอ้โฮ! คนแก่อายุ 87 ปี สามารถกระโดดจากพื้นถนนซอลสเบอรี่ขึ้นสู่ตึกที่มีความสูงตั้งสามสิบกว่าฟุต ได้ อยู่อีกหรือขอรับ? เอาละครับ สมมติว่าเราคล้อยตามสันนิษฐาน ข้อแรกว่า ชายผู้นี้มาจากมิติเร้นแน่นอนแล้ว ก็ยังไม่ หมดปัญหาอยู่ดีแหละครับ...คำถามต่อไปก็คือ เขามาทำไม และเพื่ออะไร ในเมื่อการแสดงออก แต่ละครั้งนั้น นอกจากเกิดความแตกตื่นตกใจในหมู่คนพบเห็นแล้ว เขาไม่ได้รับประโยชน์โภชน์ ผลอะไรกลับไปเลย? เขาไม่ได้จับคนไปซ่อน, ไม่ได้ ทำร้ายร่างกายใคร เว้นแต่ทำท่าคุกคามให้ ตกใจกลัวเท่านั้น...ไม่ได้ทำการวินาศกรรม และไม่ทำอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้มาจากมิติอื่นน่า จะกระทำ...เขามาทำไมกันล่ะครับ? ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้จนกระทั่ง บัดนี้.
ทีมงาน ต่วย\'ตูน และ " ไดโนเสาร์ (แก่) "
อยากเป็นเจ้าของกิจการขนาดย่อม
สมัยนี้ใครมั่งไม่เคยคิดอยากมีธุรกิจเป็น ของตัวเอง หรือเป็นเจ้านายตัวเองจริงรื้อ เพราะเห็น ใครๆต่างฝันที่จะมีธุรกิจ เป็นของตัวเองทั้งนั้นนี่นา ยิ่งเคยผ่าน ยุคเลย์เอาต์ เลย์ออฟคนงาน, ออร์ลี รีไทร์ กันมาแล้ว ผู้คนจึงเหมือนอยากเตรียม พร้อมหางานรองรับเหตุการณ์ ไม่คาดฝัน ที่อาจเกิดอีก (พูดให้ ใจแป้วไปงั้น อาจไม่ เกิดอีกก็ได้) ด้วยการกันไว้ดีกว่าแก้คือ มี ร้านค้าเล็กๆด้วยกันทั้งนั้น และแหงล่ะเมื่อ มีแล้วก็ต้องหวังให้ธุรกิจของ ตัวเองประ สบความสำเร็จทั้งนั้น ไม่มีใครอยากทำ ธุรกิจให้เจ๊งใช่เปล่า ว่าแต่ ผู้อยากมีธุรกิจขนาดย่อมหรือขนาดใดก็ตาม อย่าลืมเตรียมพร้อมด้านเงิน ทุนด้วยล่ะ อย่างน้อยหากอยากมีร้านค้าแม้จะเป็นแผงลอย คุณก็ควรมีเงินทุน สักก้อน เป็นทุนรอน แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็เห็นมีสถาบันการเงินหลายแห่งปล่อยกู้ให้รายย่อย เยอะแยะ หาแหล่งกู้เงินน่ะไม่ยากหรอกแต่ตอนต้องใช้คืนนี่สิ เฮ้อ! ไม่อยากคิดเลย
ในคู่มือ "ก้าวไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs" ช่วยไกด์ไอเดียให้ คุณผู้อ่านไปต่อยอดความคิดกันเอาเองจนกว่าจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง เช่น
1. อยากก่อร่างสร้างตัวมีกิจการอะไรสักอย่าง ก็ ควรมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่คุณมีความรู้ และมีประสบการณ์บ้างนะ อย่าคิดแต่ว่าอยากเป็นเถ้าแก่อย่างเดียวแล้วไปจ้างเค้าทำก็ได้.... แหมจะเป็นคุณนาย และคุณชายกัน ตลอดชาติงั้นก็ได้ แต่หัดทำเองบ้างซี่ แล้วค่อยขยับไปคุมคน งานอีกทีก็ยังได้
2. เห็นบ่อยครั้งที่ไอเดียทางธุรกิจ เริ่มต้นง่ายๆมาจากงานอดิเรก นั่นแหละ อย่ามอง ข้ามเชียว เช่น ชอบสะสมเหรียญ สะสมแสตมป์ พอเก็บได้เยอะๆก็ไปเปิดร้านรับ, ขาย, แลก, เปลี่ยนซะเลยดีออก
3. อ่านหนังสือมาก ดูทีวีบ่อยช่วยให้หูตากว้างไกล ยิ่งๆขึ้นไปอีก วิธีนี้ช่วยได้จริงๆนะ และอาจทำให้คุณ "เก็ต" ทันทีก็ได้ว่า ตอนนี้รสนิยมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร หรือถ้าจะผลิต สินค้าขึ้นมาสักอย่างก็น่าจะรู้มั่งว่าจะทำให้มีรูปแบบและสีสันอะไรดีถึงจะเป็นที่หมายปองของ กลุ่มเป้าหมายอะไรเงียะ
4. เล็งสินค้านำเข้าบางประเภทที่บ้านเราชอบสั่งเข้ามาดูสิ แต่เลือกพิจารณาเฉพาะ สินค้าที่มีเทคนิคการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเป็นสินค้าที่สามารถใช้วัตถุดิบและแรงงานภาย ในประเทศได้ก็จะดี หลังจากนั้นค่อยตรึกตรองว่ามีทางที่จะลงทุนผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ของ สินค้าตัวนี้ได้หรือเปล่า? ถ้าได้ก็ลองทำดู แต่ควรศึกษาก่อนนะว่าสามารถทำให้ต้นทุนการ ผลิตต่ำกว่าการนำเข้าได้จริง ไม่งั้นขืนทำขาย แล้วจะไปตีตลาดแข่งกับเจ้าเดิมได้ไง
5. ไปเดินดูหรือยิ่งแจ๋วเข้าไปใหญ่ถ้าคุณนำผลงานที่ผลิตได้จาก 1 สมอง 2 มือ ไปโชว์ในงานแสดงสินค้าและนิทรรศการสินค้าทั้งของรัฐและเอกชนบ้าง งานแสดงสินค้าแบบเนียะ ช่วยทำให้คุณรู้จักคนกลางค้าส่งและคนกลางค้าปลีก จะได้มีช่องทาง ปล่อยสินค้าได้กว้างขวางขึ้นไงล่ะ บ๋าย บาย.
คนสมถะ
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2551
สปาแบบง่ายๆ ด้วยตนเอง
เรื่องของสปา ก็เป็นการนวด ขัดผิว เพิ่มความสดชื่นชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณ และ เป็นการช่วยผ่อนคลายอาการเมื่อยล้า หรือคลายเครียดจากงานได้ด้วย แต่เดี๋ยว นี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำสปานอกบ้านให้เสียเวลาอีกแล้ว สามารถทำโฮมสปาง่ายๆที่ บ้าน คือการสครัป (ขัด) ผิวของตัวเอง จากสมุนไพรธรรมชาติที่เลือกสรรแล้ว ซึ่งมีทั้งเมล็ดกาแฟผสมกับผงซินนามอน ตะไคร้ ชาเขียว งาดำกับน้ำผึ้ง งาขาว กับน้ำนมข้าว ชาผลไม้ และสมุนไพรรวม
และเมื่อเร็วๆนี้ "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ได้หยิบเรื่องราวการทำสปาที่แสนสะดวกที่บ้านมาเป็น น้ำจิ้มเพิ่มรสชาติในงานเปิด ตัวหนังสือการตลาด Inspired by Nature ที่ดีวานา สปา โดย ผู้เชี่ยวชาญการทำสปาได้แนะนำการทำสปาอย่างง่ายๆ ด้วยตนเอง เริ่มแรกก็ต้องเลือกสมุนไพร ให้เหมาะกับลักษณะผิว เช่น ถ้าผิวแห้งก็ควรใช้งาดำกับน้ำผึ้ง และงาขาวกับน้ำนมข้าว ส่วนผิว มัน ควรใช้ตะไคร้ เมล็ดกาแฟกับผงซินนามอน และชาเขียว ท้ายสุดผิวผสมควรใช้ชาผลไม้และ สมุนไพรรวม สำหรับสมุนไพรแต่ละตัวนั้นก็ให้ผลที่แตกต่าง อย่างเช่น ตะไคร้ช่วยขจัดเชื้อรา ที่อยู่ตามผิวของเรา ส่วนกลิ่นก็เพิ่มความสดชื่นไปด้วย ส่วนชาและกาแฟทุกประเภทนั้นช่วยใน การดีท็อกซ์ผิวทั้งสิ้น ส่วนงาขาวช่วยขจัดเซลล์เก่าและช่วยกระตุ้นให้มีการผลิตเซลล์ใหม่ที่จะมี สุขภาพผิวดีตาม มาด้วย มาถึงการสครัป (ขัดผิว) ตัวเองอย่างง่ายๆ ควรเริ่มด้วยการอาบน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน จากนั้นนำ ส่วนผสมที่ง่ายที่สุดคือ หาซื้อเอาตามห้างสรรพสินค้า หรือหากจะทำเองแนะให้ทำงาดำตำ หยาบๆ 1 ส่วน ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ส่วน ก็เป็นอันใช้ได้ จากนั้นนำส่วนผสมขัดผิวด้วยการวนเป็น วงกลม โดยเริ่มจากขาซ้าย ขึ้นมาจนถึงร่างกายส่วนบน แล้วไล่จากร่างกายส่วนบนด้านขวาลง ไปด้านล่าง ซึ่งจะเป็นการไล่ตามการไหลเวียนของโลหิต เพื่อเป็นการขจัดสารพิษไปในตัวด้วย เสร็จแล้วพักไว้สัก 10 นาที เป็นอันเรียบร้อย จะอาบน้ำอุ่นหรืออาบน้ำเย็นเพื่อชำระล้างร่างกาย ก็ได้ แต่แนะนำว่า น้ำสุดท้ายควรเป็นน้ำเย็น เพื่อให้ผิวกระชับขึ้น เพียงแค่นี้ก็เสร็จสิ้นโฮมสปา อย่างง่ายๆ.
เพาะไส้เดือนฝอย
ไหนๆพูดเรื่องไส้เดือนฝอยกำจัด ปลวก แมลงสาบ เอาใจชาวบ้านชาว เมืองกัน ไปแล้ว อาทิตย์นี้ขอพูดถึง ไส้เดือนฝอย เอาใจชาวไร่ชาวสวน กันบ้าง ก็ยุคนี้สินค้าเกษตรประสบปัญหา ต่างประเทศ เข้มงวดเรื่องสารเคมี ยาฆ่าแมลง ใครยังใช้สารเคมี สินค้าขายไม่ออก และจริงๆแล้วไส้เดือนฝอยที่ ดร.นุชนารถ ตั้งจิตสมคิด สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร ได้วิจัยออกมา เจตนาที่แท้จริงไม่ได้เพื่อนำมาใช้กำจัดปลวก แมลงสาบ แต่อย่างใด วิจัยขึ้นมาเพื่อใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชของชาวไร่ ชาวสวนทั้งหลาย แต่ที่เอามาใช้กำจัดปลวก แมลงสาบให้ชาวเมืองได้ นั่นเป็นแค่ผลพลอยได้ที่ตามมาเท่านั้นเอง เพราะตอนทดลองในห้องแล็บ ดร.นุชนารถ ได้เอาหนอน แมลงสารพัดชนิดมาทดสอบกับไส้เดือนฝอย ปรากฏว่าสามารถฆ่าปลวก แมลงสาบ และแมลงศัตรูพืชได้
ความจริงอีกอย่างก็คือ เรื่องเอาไส้เดือนฝอยมากำจัดศัตรูพืช พวกฝรั่งเขารู้มานานร่วม 80 ปีแล้ว เมืองไทยเราก็รู้ตามก้นฝรั่งและ เพิ่งมาสนใจอย่างจริงจังเมื่อฝรั่งตั้งกฎจะไม่รับซื้อสินค้า ที่ใช้สารเคมีฆ่าแมลงนั่นแหละ...ก็เลยตื่นตัวกัน ตอนแรกได้เอาไส้เดือนฝอยของฝรั่งมาศึกษา ปรากฏว่าราคาแพง เก็บรักษายาก เพราะมันต้องอยู่ในที่เย็น ดร.นุชนารถ เลยต้องเสาะหาไส้เดือนฝอยพันธุ์ไทยแท้มาทดลอง ปรากฏว่า ไส้เดือนฝอยพันธุ์ จ.กาญจนบุรี มีฤทธิ์ทำลายแมลงศัตรูพืชได้ดี นอกจากจะฆ่าปลวก แมลงสาบได้แล้วยังสามารถกำจัดหนอนหนังเหนียว, หนอนเจาะสมอฝ้าย, หนอนกระทู้หอม, หนอนด้วงกินรากสตรอเบอรี่, แมลงกระชอนในสนามกอล์ฟ, หนอนกระทู้ดาวเรือง, ด้วงหมัดกระโดด, หนอนกินใต้ผิวเปลืองลองกอง ฯลฯ เลยเอาไส้เดือนฝอย จ.กาญจนบุรี มาทดลองเพาะขยายพันธุ์ เพื่อจะได้แนะนำให้เกษตรกรนำไปใช้ทดแทนสารเคมีทั้งหลาย เพื่อสินค้าเกษตรเมืองไทยจะได้ปลอดสารพิษ วิธีเพาะพันธุ์ไส้เดือนฝอย ดร.นุชนารถ บอกว่าไม่ยากเลย แค่หาอาหารให้ไส้เดือนฝอย รับประทาน มีน้ำมันหมู 2 ส่วน+ไข่ไก่ 5 ส่วน+น้ำ 3 ส่วน เอามาผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปคลุกเคล้ากับ กากเส้นใยมะพร้าว ขุยมะพร้าว ใยบวบ หรือฟองน้ำตัดเป็นชิ้นเล็กๆก็ได้ สุดแล้วแต่เราจะหาได้ คลุกเคล้าเสร็จก็ตักแบ่งใส่ถุง เอาไปอบนึ่งฆ่าเชื้อ ให้อาหารไส้เดือนฝอยสะอาดปราศจากเชื้อโรค เสร็จแล้วก็เอาหัวเชื้อไส้เดือนฝอยมาหยอดใส่ถุง ปล่อยทิ้งไว้ 7-10 วัน แค่นี้ ไส้เดือนฝอยกินอาหารอิ่มออกลูกออกหลาน ให้เรานำไปฉีดพ่นกำจัดศัตรูพืชได้แล้ว การเพาะพันธุ์ไส้เดือนฝอยฟังดูเหมือนง่าย แต่มียากตรงขั้นตอนการเพาะเลี้ยง และเตรียมหัวเชื้อไส้เดือนฝอยค่ะ หัวเชื้อที่ดีต้องได้จากตัวหนอนแมลงที่ถูกไส้เดือนฝอยทำลายจนป่วยตาย ดร.นุชนารถ เลยต้องเปิดหลักสูตรอบรมให้เกษตรกรเพาะไส้เดือนฝอยใช้เองได้ โดยไม่ต้องไปเสียเงินควักซื้อ ผู้ใดสนใจจะอบรมเพาะไส้เดือนฝอยฟรี โทรศัพท์ไปสอบถาม ดร.นุชนารถ ได้ที่สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร 0-2579-9586 แต่ต้องรีบหน่อยนะคะ เพราะอบรมแต่ละครั้ง...รับได้ไม่เกิน 15 คนค่ะ.
นกแสก...ปิศาจราตรีมีคุณค่าต่อชาวสวนถ้ารู้ในประโยชน์
แควกๆๆๆ..... เสียงร้องอันโหยหวน ของ "นกแสก" ที่จะเร้าอารมณ์ ถึงกับขนหัวลุก หรือไม่ถ้าคืนไหนที่ เจ้าของเสียงตัวนี้ไปเกาะ ที่หลังคาบ้านผู้ใด ถือว่าถึงคราวเคราะห์ หามยามซวย.....สุดๆ ที่บางครั้งคนในครอบครัว จะต้องสังเวยด้วยชีวิต ดั่งว่ามันคือ "ปิศาจ"
.....มูลเหตุแห่งความเชื่อนี้ ทำให้คนตั้งตัวเป็นศัตรูกับ "นกแสก" จงเกลียดจงชังเอามากๆ พบเมื่อใดต้อง...ฆ่า!! ผลทำให้ ประชากรนกแสก ลดท่าล่าถอยลง ปัจจัยนี้ เลยทำให้วงจรความถ่วงดุลธรรมชาติส่งผลกระทบ ในทางร้ายต่อสภาพแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว ประชากร "หนู" ไม่มีผู้รบกวน จึงเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว...!! ...และ เจ้าตัวร้ายนี้ก็เข้าทำลายพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะสวนปาล์มของเกษตรกร สร้างความเสียหายคิดมูลค่ารวมแล้ว ผลผลิตปาล์มสดเสียไปเป็นมูลค่ากว่า 580 ล้านบาทต่อปี เพื่อที่จะลดบทบาท และจำนวนประชากรหนูลง ในรูปแบบของการคงสภาพแวดล้อม นายเกรียงศักดิ์ หามะฤทธิ์ นักวิชาการสำนักวิจัย พัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร จึงได้ทำการทดลอง และวิจัยในเรื่องนี้ ด้วยการให้ "นกแสก" เป็นพระเอกของงาน นกแสก TYTO ALBA เป็นสัตว์ในวงศ์ TY-TONIDAE อันดับ STRIQI-FORMES พบได้เกือบทั่วทุกแห่งในโลก ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา เอเชีย แอฟริกา และออสเตรเลีย การทำการวิจัยทดลอง ดำเนินการที่ สวนปาล์ม แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในระยะเริ่มต้น พ่อ-แม่ นกแสกในธรรมชาติมีอยู่น้อยมาก (เนื่องจากนกแสกเหล่านั้น ตายจากการกินหนู ที่กินยาเบื่อหนูเกือบหมด) ทีมนักวิชาการเข้าไป สร้างรังให้ในช่วง 4 ปีแรก 15 รัง มาถึงช่วง 2 ปีหลัง จึงมีประชากรนกแสกเพิ่ม จึงสร้างรังเป็น 154 รัง... ...ประชากรนกแสกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังฤดูการผสมพันธุ์ปี 2545/46 ได้ประมาณ 300 ตัว ซึ่งนกแสกเหล่านี้สามารถที่จะกำจัดหนู ที่กัดทำลายผลผลิตปาล์มนํ้ามันได้ประมาณ 210,000 ตัว/ปี จากการวิเคราะห์ของทีมนักวิจัยพบว่า นกแสกตัวหนึ่งสามารถ กำจัดหนูศัตรูพืชได้ 700 ตัวต่อปี ซึ่งหนูในจำนวนนี้ หากทำการกำจัด จะต้องใช้สารเคมีออกฤทธิ์ช้า แบบก้อนขี้ผึ้งสำเร็จรูป รวมทั้งค่าแรงคน จะใช้เงินทุนประมาณ 500 บาท
การควบคุมความหนาแน่น ของประชากรหนู "นกแสก" จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่ไม่สร้างความเสียหาย และผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม... หากเกษตรกรที่มีป\'ญหาในเรื่องผลิตผลการเกษตรของท่านถูกศัตรูรุกราน ก็สามารถที่จะติดต่อขอความรู้ในวิธีการ ตามงานวิจัยนี้ได้ที่ สำนักงานวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร จตุจักร กทม. 10900 ทางหน่วยงานยินดีที่จะบริการ.
ปัญญา เจริญวงศ์
พัฒนาวิธีตรวจนับซีดี4ของผู้ติดเชื้อได้ผลถูกต้องแถมยังราคาถูก
นักวิจัยในอังกฤษเปิดเผยว่า สามารถจะทดสอบหยดเลือดแห้งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ด้วย กระดาษกรองราคาถูก แทนที่จะต้องใช้เครื่องนับซีดี 4 ซึ่งมีราคาแพง ในการติดตามรักษาผู้มีเลือดบวกอย่างที่เคย
วารสารการแพทย์แลนเซตฉบับล่าสุดรายงานผลการศึกษา ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนที่พบว่า สามารถตรวจนับซีดี 4 ได้ด้วยการหยดเลือดลงกระดาษกรองแล้วนำไปตรวจนับในห้องทดลอง โดยได้พัฒนาวิธีวิเคราะห์เอนไซม์จากหยดเลือดบนกระดาษกรองนั้น ต่างจากวิธีตรวจหาแบบเก่าที่ต้องนำเลือดส่งไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อทดสอบ ทำให้ผู้ป่วยในประเทศยากจนขาดโอกาสในการดูแลตัวเอง เพราะปกติการตรวจซีดี 4 จะต้องใช้เครื่องไซโตเมเตอร์ ที่ใช้นับเซลล์เม็ดเลือดผ่านลำแสงเลเซอร์ สำหรับการนับซีดี 4 และลิมโฟไซต์ นั้น เป็นวิธีหนึ่งในการตรวจว่าผู้ป่วยตอบสนอง ต่อยาต้านเชื้อไวรัสหรือไม่ หากนับแล้วจำนวนซีดี 4 มีอยู่น้อย แสดงว่าผู้ป่วยคนนั้นต้องได้รับการดูแลมากขึ้น.
แพทย์แนะนำไม่ควรนุ่งยีนลุยน้ำเพื่อลดเชื้อรา และกลิ่นเหม็นอับชื้น
แพทย์โรคผิวหนังผู้มีชื่อเสียง นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร ได้กล่าวให้คำแนะนำกับผู้ประสบอุทกภัย ที่มีฝนตกและน้ำท่วมขังในช่วงนี้ว่า หากต้องเดินลุยน้ำเจิ่งนอง ควรสวมรองเท้าบูตกันน้ำให้มิดชิด ถ้าจำเป็นต้องใส่ถุงเท้ารองเท้าไปทำงาน ไม่ควรเลือกถุงเท้าที่หนาและคับเกินไป หลังเดินย่ำน้ำ ให้ล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำเปล่าจนสะอาด และซับให้แห้ง การสวมรองเท้าแตะ เมื่อถึงที่ทำงานแล้วช่วยให้เท้าแห้ง และลดการติดเชื้อรา กับการเกิดโรคเท้าเหม็นได้ ตามโรงเรียนและที่ทำงานควรอะลุ้มอล่วยให้สวมรองเท้าแตะในที่ทำงานได้ แทนที่จะต้องทนสวมใส่รองเท้า ถุงเท้าที่เปียกชื้น
หมอประวิตรกล่าวต่อไปว่า ม่ควรนุ่งกางเกงยีนที่หนา เพราะจะทำให้ เกิดชื้นอยู่ตลอดเวลา และจะติดเชื้อราที่เท้ามายังขาหนีบ ทำให้เป็นโรคเชื้อราที่ขาหนีบ ที่ชาวบ้านเรียกว่าโรคสังคัง ซึ่งมีอาการคันคะเยอ และกางเกงยีนยังทำให้เกิดความอับชื้น และเกิดกลิ่นอับชื้นของอวัยวะในที่ลับได้ เพราะที่หัวหน่าวมีต่อมเหงื่อ สร้างกลิ่นเหม็นเช่นเดียวกับที่รักแร้ นอกจากนั้น หากอยู่กับบ้านไม่ควรนุ่งกางเกงใน เพราะขาหนีบจะได้ไม่อับชื้น และลดโอกาสการเกิดโรคสังคังได้ ในประเทศพม่า คนส่วนใหญ่สวมรองเท้าแตะนุ่งโสร่งกัน ทำให้พบโรคเชื้อราที่เท้าและขาหนีบน้อยกว่าคนไทย.
ออกกำลังไม่จำเป็นต้องทำหักโหมเดินอย่างสบายหัวใจก็แข็งแรงได้
นักวิจัยพบว่า การออกกำลังเพื่อบำรุงหัวใจให้แข็งแรง เพียงแต่แค่ออกกำลังด้วยการเดินเร็วตามสบายก็พอ ไม่ถึงกับต้องออกกำลังอย่างหักโหมแต่อย่างใด
ศาสตราจารย์ไคล์ แมเลนนิส อาจารย์วิชาออกกำลัง ของมหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตต์ในสหรัฐฯกล่าวว่า คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ต้องออกกำลังกันอย่างหนัก หรือไม่ก็ต้องทำท่าทางอันยุ่งยากยิ่งกว่าการเดิน จึงจะได้ผล ความคิดที่ว่าจะต้องเหนื่อยยากถึงจะได้ผลนี้ เป็นเหตุให้คนคิดจะออกกำลังกับเขาบ้างเกิดความท้อถอย
จากการศึกษาวิจัยกับคนอ้วนวัยกลางคนทั้งชายหญิง จำนวน 84 คน ซึ่งเคยคิดจะออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก และได้มาปรึกษาถึงขนาดการออกกำลังอย่างปลอดภัย โดยลองให้ออกกำลังเดินเร็ว บนสายพานเครื่องออกกำลัง เป็นระยะทางวันละ 1.6 กม. บอกให้เดินตามจังหวะสบายๆ ปรากฏว่า ต่างสามารถเดินได้ในเวลาเพียง 18.7 นาที ด้วยความเร็วเฉลี่ย ชั่วโมงละ 5.12 กม เปรียบเทียบกับเมื่อสั่งให้พวกเขาออกแรงเดินให้หนักขึ้น ด้วยการยกพื้นให้ลาดขึ้น ปรากฏผลว่า เมื่อผู้ทดลองยังเดินเร็วในอัตราตามสบาย อัตราการเต้นของหัวใจและปริมาณการใช้ออกซิเจนยังคงอยู่ในระยะปลอดภัย และก็เพียงพอกับการบำรุงหัวใจให้มีความแข็งแรง อัตราการเต้นของหัวใจได้ถูกเร่งขึ้นสูงถึงอัตราที่หมอแนะนำ โดยไม่จำเป็นต้องถึงกับลงทุนวิ่งเหยาะๆ หรือวิ่งควบจริงๆ แต่อย่างใด ดร.แมเลนนิส กล่าวว่า หวังว่าผลการศึกษาวิจัยนี้ จะช่วยหนุนให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้ออกกำลัง จะได้ลงมือทำเสียตั้งแต่วันนี้กันมากขึ้น.
ธาราบำบัดช่วยบรรเทาอาการกระดูกอักเสบเรื้อรังให้เบาบาง
นักวิจัยเมืองจิงโจ้พบว่า การออกกำลังกายในน้ำ มีส่วนช่วยปรับปรุงให้ผู้ป่วยกระดูกข้ออักเสบ เรื้อรังเคลื่อนไหวได้อย่างมีแรงขึ้น
การศึกษาครั้งนี้แจ้งว่า ผู้ป่วยได้รับประโยชน์ จากการออกกำลังกายมากขึ้นกว่าแต่เดิม โดย ผู้ป่วยที่ใช้การรักษาแบบออกกำลังกายในน้ำหรือธาราบำบัด สามารถเดินได้ดีขึ้นหลังจากนั้น และกล้ามเนื้อของพวกเขาก็แข็งแรงขึ้นเช่นกัน
คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลินเดอส์ ออสเตรเลียใต้ ได้ศึกษากับผู้ป่วยกว่า 100 รายที่มีอาการ ข้ออักเสบเรื้อรังบริเวณหัวเข่าหรือสะโพก แล้วสุ่มตัวอย่างให้เข้าร่วมออกกำลังแตกต่างกัน 3 แบบ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ทั้งหมดมีอายุกว่า 50 ปีโดยอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 70 ปี กลุ่มแรกให้ออก กำลังกายในสระว่ายน้ำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ในขณะที่กลุ่มสองให้ออกกำลังกายในโรงยิมใน ปริมาณที่เท่ากัน ส่วนกลุ่มที่เหลือ ได้รับโทรศัพท์เป็นครั้งคราวให้ มาตรวจสุขภาพ แต่ไม่ได้ ร่วมออกกำลังกาย ผลปรากฏว่า แม้กลุ่มที่ออกกำลังกายในน้ำจะมีอาการรุนแรงกว่า แต่กลับปรา กฏว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายทั้งสองกลุ่ม มีอัตราการเดินและระยะการเดินที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เข้า ร่วมออกกำลังแต่อย่างใด.
เทคโนโลยีกรองสนิมเหล็กงานวิจัยที่นำมาถ่ายทอดอย่างง่ายๆ สู่ชาวบ้าน
น้ำ...เป็น ปัจจัยสำคัญ ในการผลิตการเกษตร ไม่ว่าจะเป็น พืชหรือสัตว์... หรือแม้แต่ มนุษย์ ผู้ควบคุมการผลิตก็ต้องการน้ำ และ "น้ำ" นั้น จัก ต้องสะอาด (ส่วนที่จะมีการผสมอะไรลงไปบ้าง เพื่อประโยชน์ นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง) หากว่ามีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เจือ ปน ก็จะทำให้เกิดปัญหา ในการเจริญเติบโต... อย่างเช่น สนิมเหล็ก เพื่อที่จะแก้ปัญหา เรื่องความไม่สะอาดของน้ำนี้ นายชัยวัฒน์ ธารีรัตน์ นักวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงได้ทำการวิจัย และทดลองในการสร้างเครื่องมือ ในการกรองสนิมเหล็กจากน้ำ
...และเมื่องานวิจัย "เทคโนโลยีการกรองสนิมเหล็กในน้ำ" ได้รับความสำเร็จแล้ว ก็มิได้ เก็บไว้ในแฟ้มงานหรือ "หิ้ง" อย่างเช่น เปเปอร์ อื่นๆ เขาทำกัน นายชัยวัฒน์ ธารีรัตน์ ได้นำผลงานนี้ เสนอให้กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันนี้สู่เกษตรกร ที่ใช้น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร
ผศ.ดร.ศิริชัย อุ่นศรีส่ง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ฝ่ายวิจัยและเทคโนโลยีสารสนเทศ ในฐานะผู้อำนวยการคลินิกเทคโนโลยี ได้ มอบหมายให้ นายสุรินทร์ ดีสีปาน ผู้จัดการเทคโนโลยี และ นายเมธี เงินคีรี เลขานุการ ได้ทำการศึกษาข้อมูลของงานวิจัยชิ้นนี้ เมื่อเป็นที่ยอมรับในประสิทธิภาพ คุณภาพ และราคาถูก จึงได้นำไปขยายผล โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้สู่เกษตรกร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้พูดถึงการดำเนินการว่า ทางมหาวิทยาลัยฯ ได้ทำการอบรม ในเรื่องนี้ไปแล้ว 6 รุ่น รุ่นละ 4 วัน ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ มีบางหน่วยงานอย่างเช่น เทศบาลตำบลพร้าว ได้นำไปถ่ายทอดต่อ สู่ประชากรในพื้นที่ เพื่อนำไปสร้างและใช้งาน ในครอบครัวของแต่ละราย ทั้งนี้ ได้มีการพัฒนา เพิ่มเป็นต่อยอดด้วยการกรองขึ้นอีก ในระดับหนึ่งที่ทำให้น้ำ ผ่านการกรองแล้วเป็นน้ำดื่มได้ และสามารถที่จะพัฒนาจากการใช้ในครัวเรือนเป็นงานอุตสาหกรรมได้อีกด้วย ตาม หนังสือรับรอง มท. 0808.3/ว 862 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2546 ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องกรองน้ำนี้ อยู่ในข่ายของความสนใจของเกษตรกร จึงได้รวมกับสถาบันต่างๆ ในส่วนภูมิภาคแต่ละภาคร่วมมือกัน ถ่ายทอดศาสตร์นี้สู่เกษตรกรที่สนใจได้ที่...
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ...มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โทร. 0-4526-2423 ต่อ 1418 สถาบันราชภัฏอุดรธานี โทร. 0-4221-1040-59 ต่อ 727
ภาคตะวันออก...สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี โทร. 0-3931-3502
ภาคใต้... มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทร. 0-7429-9982
ภาคเหนือ และ ภาคกลาง (ถือว่าเป็นพี่เอื้อย)... มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 0-5387-3939 และกรมวิทยาศาสตร์บริการ โทร. 0-2201-7104
ผู้ที่สนใจอยากจะเข้าอบรม อยากจะได้ความรู้ ก็ติดต่อองค์กรเหล่านี้ได้ทุกวัน แต่ขอเป็นเวลาราชการ เพราะจะได้รับความสะดวกทั้ง 2 ฝ่าย.
ปัญญา เจริญวงศ์
รวยน้ำพริกเผากุ้งแห้งสูตรจากบอกเล่าและครูพักลักจำ
เวลาอันเร่งรีบ ของคนกรุงเทพฯ จึงจำเป็นต้อง บริโภคอาหารเร่งด่วน ซึ่งมากมายหลากหลายให้ เลือกกัน แต่ผู้บริโภคจะได้รับสารอาหารหรือคุณภาพ และสะอาด ถูกสุขลักษณะหรือไม่ คงจะต้องไปคิดพิจารณากันให้ถ้วนถี่ เพราะนั่นหมายถึงสุขภาพ...ร่างกายของท่านเอง... อาหารเร่งด่วนชนิดหนึ่ง ที่มีคุณภาพสารอาหารครบถ้วน ทุกวันนี้ก็คงไม่พ้น "ก๋วยเตี๋ยว"
"ทำได้ ไม่จน" ไปลิ้มลอง "ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา" ที่ร้านนายเงี้ยบ อยู่ย่านริมถนนบางขุนนนท์ ใกล้กับกอง บังคับการตำรวจนครบาล 7 อันเป็นร้านเก่าแก่ มี คุณสมชาติ สาลีพัฒนา หรือ "นายเงี้ยบ" เป็นเจ้าของร้าน ได้พบกับรสชาติก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่ยังมือไม่ตกเอร็ดอร่อยเหมือนเดิม กินไปคุยกันไปได้ความรู้เกี่ยวกับหนังปลาทอดกรอบจิ้มน้ำพริกเผา มาฝากอีกด้วย โดยนายเงี้ยบ เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนหน้านี้ ได้ซื้อปลามาทำลูกชิ้น แต่หนังปลาได้ขูดออกทิ้งไป เสียดายจึงไม่ทิ้ง นำมาทอดให้กรอบออกวางจำหน่ายด้วยได้รับความนิยมจากลูกค้าแต่ก็ ถามหาของเคียงเครื่องจิ้ม ก็เลยมองหาไปที่อาหารพื้นบ้านคือ "น้ำพริกเผา" และคิดค้นวิธีทำเป็น "น้ำพริก เผากุ้งแห้ง" โดยใช้สูตรแบบครูพักลักจำผสมกับคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ เริ่มจากนำกระเทียม, หัวหอม, พริกชี้ฟ้าแห้งและกุ้งแห้งในอัตราเท่ากัน (กุ้งแห้งลดปริมาณลงหน่อย) มาบดละเอียดด้วยเครื่อง บดเครื่องปั่นก็ได้ แล้วนำไปใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ ใช้น้ำมันพืชเจียว จนกระทั่งทุกส่วนเหลืองและมีกลิ่นหอม ให้ใส่ น้ำมะขาม, น้ำตาลปีบและเกลือลงไปในอัตราส่วนเท่าๆกันขอเน้นให้ใช้เกลือทะเลเท่านั้น เพราะ เกลือทะเลจะสร้างรสชาติให้น้ำพริกเผาได้ดีกว่าเกลือชนิดอื่น เคยทดลองใช้เกลืออื่นแล้วไม่อร่อย ไม่แซบหลาย!!! จากนั้นให้เริ่มเคี่ยวให้มีความเหนียว ระหว่างที่เคี่ยวให้ ใช้ไม้พายคนลงไปในหม้อเพื่อ ให้เข้ากันระวัง ไม่ให้ไฟ แรงเกินไป อาจจะทำให้ก้นหม้อไหม้ และดำเสียรสชาติได้... ลองชิมรสชาติ หากอ่อนเปรี้ยวอ่อนหวาน ก็ให้เติมส่วนนั้น ลงไปเพื่อต้องการ ให้รสชาติกลมกล่อมเท่าๆ กัน (ห้ามใช้ เครื่องปรุงรสหรือผงชูรสเด็ดขาด) ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงจึงยกออกจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำบรรจุขวดหรือ ใส่จานมาจิ้มหนังปลาทอดกรอบ หรืออาหารชนิดอื่นๆ ก็จะ ได้รสชาติแปลกใหม่ ให้กับอาหารชนิดนั้น นายเงี้ยบยังบอก อีกว่า เมื่อก่อนนี้เคยทำวันละ 1 กิโลกรัมแต่ ทุกวันนี้ทำครั้ง ละ 70-80 กิโลกรัมต่อ 1 สัปดาห์ สามารถเก็บไว้ได้นาน นับเดือน ก๋วยเตี๋ยวหนังปลากรอบน้ำพริกเผาทำให้นายเงี้ยบ อยู่ดีกินดี (ร่ำรวย) และเพื่อสืบสานวัฒนธรรม จากอาก๋งที่เข้ามาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทร เมืองสยาม ในวันที่ 5 ธันวาคมทุกปีอันเป็นวันพ่อแห่งชาติ ถือปฏิบัติกันมากว่า 10 ปีทางร้านร่วมถวายพระราชกุศล... เปิดร้านนายเงี้ยบ สาขา 2 ที่พุทธมณฑลสาย 4 ให้กินฟรี ตั้งแต่ 09.30 ถึง 16.30 น.จะกี่คน กี่ชามไม่อั้น...นอกเวลาและห่อกลับ "ซิวจี๊" ทันที
ไชยรัตน์ ส้มฉุน
ความในใจเกี่ยวกับ webboard ของเวบ สม.1 มมส สาสุข..คนกันเอง
เวบรุ่นของ สม.1 - สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต ถูกสร้างขึ้นเมื่อปลายเดือน มี.ค. 2546 เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาการติดต่อสื่อสารข้อมูลกับสมาชิก สม.1 ที่การติดต่อสื่อสารไม่ทั่วถึง เดิม ติดต่อผ่านโทรศัพท์ หรือ หนังสือที่ส่งไปที่สำนักงาน แต่หลายคนก็ไม่ได้รับหนังสือนั้น จึงมีหลายคนเสนอว่า น่าจะจัดทำเวบของรุ่น ใส่ข้อมูลต่างๆ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน อะไรๆน่าจะดีขึ้น
ในช่วงที่เรียนปี 1 ปลายปี พ.ศ. 2545 ได้เริ่มจัดทำ webboard โดยใช้ Free webboard ของ www.thaimisc.com สมัคร account เป็น http://board.thaimisc.com/sata1 และได้ทำการ post บทความ งานวิจัยที่ copy มาจากหลายที่ไว้ในที่เดียวกัน เป็นจำนวนมากกว่า 1000 กระทู้ ซึ่งสมาชิกก้เข้ามาเปิดอ่านอย่างเดียว ผู้จัดทำรู้สึกเหงา มาในช่วงกลางปี 2546 webboard นี้ก็ไม่มีอะไรใหม่ๆมากมายนัก ผู้จัดทำก็ไม่กล้า post กระทู้มากมายนัก นานๆครั้งจะ post พาดพิงบางคน แต่ก็ยังเกรงๆกันอยู่
พ.ย.2546 เมื่อเริ่มทำ thesis ผู้จัดทำได้ลอง สมัครใช้ webboard ของ www.212cafe.com เปิดเวบบอร์ด ปรึกษาเรื่อง thesis ในหมู่นิสิต สม.1 ที่ทำเรื่อง GIS คือ พี่แจง พี่นก พี่หนุ่ย และพี่อดุลย์ ปรากฏว่ามีแต่พี่นก เท่านั้น ที่สามารถเปิดดูได้ทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง ส่วนที่เหลือนานๆจะเข้ามาเปิดดูทีหนึ่ง พี่อดุลย์ไม่เคยเข้ามาเปิดดูเลย ทำให้ผู้จัดทำต้องยกเลิกทำ webboard ในส่วนนี้ไป เพราะเหนื่อยที่ต้องคิดกระทู้ขึ้นมาให้ความรู้ และติวแก่ทั้ง 4 ท่าน แต่การใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า..
24 พ.ย. หลังจากเปิด guestbook ของเวบ สม.1 พี่ปุ๊กทิพย์สุคนธ์เข้ามาเขียนว่า คิดถึง สม.1 จังเลย น่าจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันบ้าง เลยเปิด webboard ของ สม.1 ขึ้นมา คราวนี้เปิดประเด็นสั้นๆ post แบบไม่ยั้ง สร้างบรรยากาศแบบกันเอง
ปัญหาก่อนหน้าซึ่งเป็นที่มาของการทำ webbooard สม.1 สาสุขคนกันเอง เพราะแต่เดิม สม.1 ทั้ง 50 ท่าน ไม่ค่อยติดต่อสื่อสารกันมากนัก ติดต่อเฉพาะใน track ( สาขา) หลายเรื่อง รับรู้ไม่ทั่วถึง ได้ข้อมูลมาบางส่วน ก็นำไปพูดไปคิดจนผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง บางเรื่องคิดไปไกลจนเป็นเรื่องใหญ่โตทั้งๆที่ไม่มีอะไรมากมาย
การใช้อินเตอร์เนตมีน้อย หลายท่านเรียนจบมานานแล้ว ตอนที่เรียนยังไม่มีอินเตอร์เนตใช้ มาถึงวันนี้ เมื่อบางคนรู้จัก internet แล้ว บางคนใช้บ่อย บางคนนานๆจะใช้ทีหนึ่ง บางคนไม่เคยใช้เลย เนื่องจากสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน การเชื่อมต่อยากง่ายต่างกัน ที่สำคัญอีกอย่างคือ ไม่มีแรงจูงใจในการใช้งานอินเตอร์เนต เพราะเปิดดูทีไร ก็มีข้อมูลมากมาย ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองก็มีมากมาย เลยไม่รู้จะดูอะไร บางท่านก็ connect ยาก สายหลุดบ่อยๆ
ดังนั้นความมุ่งหมายเบื้องต้นในการทำ webboard สม.1 แบบกันเอง ก็เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารให้รับรู้ตรงกัน และสร้างแรงจูงใจในการใช้ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร แม้ว่าจะไม่ถึง 100 % แต่สำหรับ สม.1 ที่เปิดดู webboard ก็สามารถนำไปบอกต่อแบบปากต่อปาก ยังท่านที่ไม่ได้เปิด internet ให้รับรู้ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
การดำเนินการ ทำรูปแบบที่เรียบง่าย โดยเขียนกระทู้ เปิดประเด็น แบบสั้นๆ พยายามให้ครอบคลุมเท่าที่จะทำได้
- ปัญหาในการดำเนินการ
- เรื่องความครอบคลุม เนื่องจากไม่รู้ข้อมูล ความเคลื่อนไหวของทุกคน รู้เท่าที่เจอกันหรือติดต่อด้วยเท่านั้น จึงเปิดกระทู้ได้ส่วนหนึ่ง
- สมาชิก สม.1 ที่เข้ามาดู webboard ส่วนใหญ่ชอบอ่านอย่างเดียว หลายหนแค่ตอบกระทู้ แซวในกระทู้ก็นึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร ลำพังงานประจำก็หนักพอสมควรแล้ว และสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ไม่อยากทำอะไรที่เสียมารยาทจนเกินงาม..
- ผู้จัดทำจึงต้องหาเวลามานั่งนึกกระทู้ ว่าจะ post อะไรมั่ง บางครั้งก็ตื้อ นึกไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ (โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ได้โทรคุยกันใครๆเลย) หลายครั้งก็อยากปิด webboard ไปเลย ตัดปัญหาไปซะ
- เคยอ่านบทความเรื่องหนึ่งบอกว่า การรักษาความสม่ำเสมอ ต่อเนื่องไว้ตลอด เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เช่นคนที่ทำดีแล้วรักษาความดีไว้ตลอดในขณะที่มีสิ่งยั่วยวนนั้น ก็ยากเช่นกัน
- แต่เมื่อมองถึงประโยชน์ และความตั้งใจในตอนแรกที่เริ่มจัดทำ ตรงนี้น่าจะเป็นสีสันระหว่างเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ให้ได้รับรู้ข่าวสารเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า สม.1 ส่วนใหญ่จะอยู่ในท้องถิ่น ไม่ได้เข้าถึงเทคโนโลยีได้บ่อยๆทุกวัน ....
สรุปแล้ว ก็จะพยายามสร้างสีสันในเวบบอร์ด สม.1 มมส. ต่อไป เท่าที่จะสามารถทำได้ หรือยังมีแรงใจเพียงพอ ที่จะหากระทู้มา post สร้างสีสันต่อไป
นายบอน
webmaster http://www.sata1msu.com
13 ธ.ค. 2546
วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551
บันทึกรัก ฯ -คุณค่าที่มอบให้
อ่านใน MBLOG
แล้วค่ะ ขอบคุณนะที่รัก คุณค่าที่มอบให้
เหนื่อยมั้ย พักผ่อนซะนะ
หายเหนื่อยหายเพลีย
...เพี้ยง
วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2551
เบียร์ดำบำรุงหัวใจมากกว่าเบียร์ใสดื่มมากกลับอ้วน ชวนเป็นโรคหัวใจ
เบียร์ก็เหมือนกับช็อกโกแลตและเหล้าไวน์ ยิ่งดำยิ่งดี ดื่มแล้วมีประโยชน์บำรุงหัวใจให้แข็งแรง ขึ้นผลการศึกษาเปรียบเทียบสรรพคุณระหว่าง เบียร์ดำกิน-เนสส์ สเตาต์ กับเบียร์ใส รายงานใน ที่ประชุมของแพทย์สมาคมโรคหัวใจอเมริกันประจำปีแจ้งว่า เบียร์ดำมีสารป้องกันเลือดจับตัว เป็นลิ่ม เป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า อย่างเช่นได้พบว่าเบียร์ดำกินเนสส์ สเตาต์ มีสารป้องกันเกล็ด เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มเลือด ที่อาจไปอุดกั้นหลอดเลือดทำให้หัวใจวายได้ มากกว่าถึงสองเท่า
ศาสตราจารย์จอห์น โฟล์ก อาจารย์วิชาอายุรกรรม และหัวหน้าห้องปฏิบัติการวิจัยหลอดเลือด อุดตัน มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า คุณประโยชน์ของเบียร์ดำ เกิดจากสารฟลาโวนอยส์ เป็นตัวที่ทำให้ผักและผลไม้เกิดสีคล้ำเป็นสารประกอบที่มีสรรพคุณ เป็นตัวล้างพิษ ทั้งมันยังช่วยป้องกันคอเลสเทอรอลทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ซึ่งเป็นเหตุให้ เส้นเลือดแดงแข็ง กับมีส่วนให้หลอดเลือดขยาย ช่วยให้เลือดลมเดินดีอีกด้วย เขาแจ้งต่อไปว่า แต่คนเราจะต้องดื่มเบียร์เป็นปริมาณ ให้มีแอลกอฮอล์ในเลือดขึ้นถึง 0.06 จึงจะได้ประโยชน์ในการป้องกันเลือดจับตัวของมันมากที่สุด ประมาณเท่ากับดื่มเบียร์เป็น ปริมาณ 720 ซีซี อย่างไรก็ตาม วงการแพทย์ ได้บอกทักว่า แม้ว่าเบียร์ดำอาจจะมีคุณบำรุงหัวใจได้ก็จริง แต่มันก็มีข้อเสีย นั่นคือทำให้อ้วน ทั้งช็อกโกแลตดำและเหล้าไวน์แดง ต่างก็มีประโยชน์แบบนี้ เช่นกัน ก็ล้วนแต่ทำให้อ้วนด้วยกัน อันเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ ด้วยเหตุนั้นอาจารย์โฟล์ก ได้ยืนยันว่า เขาจะพยายามสกัดสารประกอบพวกนั้นออกมา แล้วทำเป็นเม็ดขึ้นให้จงได้.
ระวัง กินปูดอง ท้องร่วง
ถ้าจะกล่าวถึงส้มตำแล้ว หลายๆคนคงชอบรับประทานอาหาร "ส้มตำปู" นอกจากกลิ่นหอมชวนน้ำลายแล้ว รสชาติของปูยังช่วยเสริมความจัดจ้านให้กับส้มตำอีกด้วย ปูที่ใช้กับส้มตำส่วนใหญ่จะเป็นปูนา ซึ่งเป็นปูน้ำจืด อาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มทั่วไป คนไทยมักนิยมนำปูนามาทำเป็นปูเค็มหรือปูดอง และนอกจากจะนำมาใส่กับส้มตำแล้ว ยังนิยมนำมายำกับมะม่วงอีกด้วย แต่ทว่า อาหารที่ทำจากปูนาทั้งหลาย มักจะมีจุลินทรีย์แฝงมาด้วย...
เนื่องจากเมื่อนำปูเค็มหรือปูดองมาปรุงเป็นอาหาร มักจะไม่ผ่านความร้อนหรือทำให้สุกเสียก่อน จุลินทรีย์ส่วนใหญ่ที่ปนเปื้อนมากับปูนานั้น จะเป็นจุลินทรีย์ที่มาจากน้ำ ดิน หรือบริเวณหน้าดินที่ปูอาศัยอยู่ หรือบางครั้งอาจติดมากับคนจับปูก็เป็นได้ เชื้อจุลินทรีย์ที่ว่า ได้แก่ คลอสทริเดียม เปอร์ฟริงเจนส์ และโคลิฟอร์ม คลอสทริเดียม เปอร์ฟริงเจนส์ เป็นจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง และกระเพาะอาหารอักเสบ อาการจะแสดงหลังจากได้รับเชื้อแล้วมาประมาณ 8-14 ชั่วโมง จะมีอาการปวดท้องกะทันหัน ท้องร่วง มีแก๊ส เป็นไข้ อาเจียน บางครั้งอาจทำให้เสียชีวิตได้ วิธีป้องกันเจ้าเชื้อชนิดนี้ ทำได้โดยต้องอุ่นอาหารให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง สำหรับเจ้าเชื้อโคลิฟอร์มนั้น จะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่า สุขลักษณะในการผลิตอาหารนั้น เป็นอย่างไร แต่...จะไม่เป็นอันตรายทั้งในคนและสัตว์ หากพบเจ้าจุลินทรีย์ชนิดนี้ แสดงว่าอาหารชนิดนั้นๆ อาจมีเชื้อโรคทางเดินอาหาร ปนเปื้อนอยู่อย่างแน่นอน วันนี้ สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างปูดอง จำนวน 3 ตัวอย่าง จาก 3 ย่านการค้า เพื่อวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของคลอสทริเดียม เปอร์ฟริงเจนส์ และโคลิฟอร์ม ปรากฏว่า มีอยู่ 2 ตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนของคลอสทริเดียม เปอร์ฟริงเจนส์ เห็นเช่นนี้แล้ว หากจะกินปูดอง คงต้องระมัดระวังกันสักนิด เลือกที่นึ่งแล้ว! เพื่อความปลอดภัย....
พร้อมจะไปเที่ยวกะแฟนหรือยัง?
เข้าเทศกาลซัมเมอร์รับหน้าร้อนทั้งที แถมยังมีวันหยุดพักยาวให้คู่รักคู่เลิฟ ได้ชวนกัน ไปเที่ยวสรวลเสเฮฮาจู๋จี๋ดู๋ดี๋ สร้างความหนิดหนมกลมเกลียวทั้งที แล้วมีหรือที่วัยสะรุ่นอย่างเราๆ จะพลาดโอกาสทอง
แต่ แต่ ชัวร์รึว่า คุณพร้อมจัดกระเป๋า ไปเที่ยว ตากอากาศหรือตากลมตากแดด ก็ไม่รู้ล่ะด้วยกัน แบบว่า หิ้วกระเป๋าเดินทางเตร็ดเตร่ ออกไปนอกเมืองแน่นะ ที่ถามเนี่ยเพราะบางคู่เห็นจีบกัน อยู่นั่น แต่ไม่เคยเอ่ยปากชวนกันไปเที่ยวไกลๆบ้างเลยก็มี ซึ่งประเด็นนี้ก็มีสาเหตุอยู่หลายประการ เช่น มัวแต่เล็ง เล็ง และเล็งกันอยู่นั่นแหละว่าอยากจะไปไหนดี เพราะบางทีบางคู่ต่างยังเรียน หนังสือหนังหาก็มี หรือไม่ก็ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นนอตก็มาก จึงหาวันหยุดเจ๋งๆที่จะ มาทำสวีตใส่กันไม่ได้สักที กระนั้นเทศกาลฮอลิเดย์ คราวนี้ไม่น่าพลาดที่จะชวนกันไปเที่ยว นะจ๊ะจะบอกให้
แต่ก่อนที่จะจองตั๋ว จองทัวร์ หรือนัดแนะกันไป เที่ยวให้สำราญบานอุรา เห็นมีคู่รักหลายราย ลังเลไม่ แน่ใจว่าควรไปด้วยกันดีไหม? เพราะไปเที่ยวนี่ไม่ได้ หมายถึงจะมีสุขอย่างเดียว นะเฟ้ย ประเภทกลับมาแล้วจับไข้หัวโกร๋นก็มีให้เห็น หรือไม่ ก่อนไปเที่ยวก็เห็นรักกันดีหรอก แต่กลับมา อ้าวเฮ้ย ขอถอยไปตั้งหลักใหม่ก็มีอีก ฉะนั้นก่อนตัด สินใจกระชากลากถู...เอ้ย จูงมือกันไปเที่ยว ทั้งที คุณน่าถามตัวเองเพื่อให้ ชัวร์ก่อนว่า พร้อม ที่จะไปเที่ยวกับแฟนแล้วแน่นะ? (Are You Ready To Travel Toget-her?) เช่น
1. ชอบจุดหมาย ปลายทางที่จะเที่ยวกันครั้งนี้จริงรื้อ?
ไหนๆเป็นแฟนกันแล้ว แสดงว่าต้องรู้จักกันพอสังเขปล่ะว่า คุณทั้งคู่ชอบที่จะทำหรือไม่ทำอะไร ในระหว่างวันพักผ่อนมั่ง ถ้าเผอิญความสนใจไม่ตรงกันขึ้นมา เช่น ถ้าฝ่ายหญิงชอบท่องเที่ยว ในเมืองแบบสบายๆ ขณะที่ฝ่ายชายชอบขึ้นเขาลงห้วยในป่า แบบนี้ ถ้าตามใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกคนก็คงรู้สึกงั้นๆ ไม่สนุก ไปด้วยแหงๆ
เอางี้ ลองมองหาสถานที่ที่คุณทั้งคู่สามารถ "พบกันครึ่งทาง" เช่นถ้าชอบทะเลเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขบวกเข้าไปอีกหน่อยว่า แฟนสาวก็ชอบทัศนาจรดูบ้าน ดูเมืองด้วย งั้นจงบรรจุ รายการทั้งสองสิ่งนี้ลงไปในแผนการท่องเที่ยวซะดีๆ เพราะเธอคงไม่อยากอยู่แต่ในรีสอร์ต ที่ไม่มีอะไรให้ทัศนาเพียงอย่างเดียวแน่ๆ ฉะนั้น อย่าเหมาว่า เป็นแฟนกันก็ต้องชอบเที่ยว สไตล์เดียวกันดิ....แสดงว่าไม่รู้จักกันดีแล้วล่ะคู่นี้ ถึงได้คิดอะไรห่วยๆอย่างงี้ออกมาด๊าย ต๊ายตายแล้วเธอ
ส่วนข้อแนะนำมีดังนี้-ต้องเต็มใจที่จะโอนอ่อนผ่อนตามกันมั่ง อย่าดึงดันดื้อด้านไปหน่อยเลย
2. จะไปเที่ยวทั้งทีมีงบกันเท่าไหร่ยะ?
ควรตกลงให้ชัดเจนเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะชวนกัน ไปท่องเที่ยวซะก่อนไม่ดีหรือ ว่าใครจะเป็นคน ออกค่าใช้จ่ายตรงไหนบ้าง หรือฝ่ายใดฝ่ายนึงจะใจปํ้ารับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายซะเพียงคนเดียว ว่าแต่ถ้าแบ่งกันด้วยการหารสองแบบแฟร์ๆก็ไม่เลวนะ เพราะเรื่องการออกค่าใช้จ่าย ใคร ว่าไม่ต้องคิด อันที่จริงเป็นเรื่องต้องคว้าเครื่องคิดเลขมาคำนวณกันเลยทีเดียว กระนั้นฝ่ายชายก็ควรแสดงน้ำใจที่จะออกค่าใช้จ่ายมากกว่าแฟน ไว้ก่อนเป็นดี แค่เนี้ยน่าจะให้ เกียรติดาร์ลิ่งเค้าหน่อย แล้วค่อยพิจารณาว่าจะเที่ยวอย่างประหยัด พักโรงแรมถูกๆ หรือจะ สำเริงสำราญกับโรงแรมระดับห้าดาวดีล่ะ
สำหรับคำแนะนำตกลงกันให้ได้ว่าจะจัดการอย่างไรกับค่าใช้จ่ายก่อนออกเดินทางนะจ๊ะ มิฉะนั้น การไปเที่ยวคราวนี้ แทนที่จะสนุก อาจทุกข์ถนัด เพราะเถียงกันคำไม่ตกฟากแหงเลยว่า ชวนฉัน มาให้เสียตังค์ ทำไมก็ไม่รู้....นั่นน่ะสินะ
3. ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเผลอทำตัวเจ้าชู้ ปรื้อ!!! ทำอะไรท้าทายปานนี้ เช่นมัวแต่มอง คนอื่นแล้วอีกฝ่ายจะหึงหรือเปล่า?
การไปเที่ยวด้วยกันเป็นวิธีที่ทำให้เรียนรู้ได้อย่างนึงเลยล่ะว่า คุณพร้อมที่จะผูกมัดตัวเองกับคน คนนี้จริงหรือ? เพราะการมีเวลาได้อยู่ด้วยกันอย่างงี้ ก็แน่ล่ะว่า ทั้งคู่ย่อมมีเวลาได้ศึกษาถึง นิสัยใจคอกันอย่างแน่นอน แล้วถ้าในช่วงฮันนีมูน เอ้ย...ไปเที่ยวกันแบบนี้ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เกิดไปชะม้ายชายตา ประสบพบพักตร์จูนคลื่นความถี่ไปจ๊ะเอ๋กะคนอื่นขึ้นมาล่ะ แบบนี้ก็สวยน่ะสิ แหม มากะฉันแล้วยังไปให้ความสำคัญกะคนอื่น เดี๋ยวก็โดนทุบเข้าให้หรอก เฮ้อไม่รู้ซะแล้ว ว่าเดี๊ยนจบวิชาคาราเต้มานะ
ส่วนข้อแนะนำ-คู่เลิฟทั้งสองหน่อควรประพฤติตัวให้ดีไว้ก่อน ถ้าคิดว่ายังไงซะ คุณต้องการ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้คืบหน้าต่อไป เพราะฉะนั้นจงอย่าเผลอไผลไปกับการ ทดสอบความซื่อสัตย์ และระวังลูกกะตาจะไม่เฉไฉแอบไปมองคนอื่นแทนแฟนตัวเองเข้าล่ะ
4. พร้อมที่จะอยู่ด้วยกันตามลำพังหรือยัง?
ถ้าแค่ออกเดทในแต่ละวันกันแล้ว ต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมันละก็ อย่างงี้ย่อมทำให้ต่างฝ่าย ต่างมีเวลาเป็นของตัวเองมั่งละหน่า ตรงข้ามกับการชวนไปเที่ยวไหนๆไกลๆบ้านด้วยกัน เพราะไปเที่ยวในที่นี้ จะหมายถึงการใช้เวลาว่างทั้งหมดของคุณไปกับหวานใจน่ะเซ่
คงรู้นะว่าการเดินทางไปไหนไปด้วยถือเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างนึง แถมยังเปิดโอกาส ให้คุณตัดสินใจด้วยว่า พร้อมที่จะยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกสเต็ปหรือไม่ หรือถึงเวลาที่จะ หนีไปบินเดี่ยวโฉบเฉี่ยวเป็นอิสระ โสดๆซิงๆดีกว่า...กันแน่
เหตุนี้ ถ้ากังวลว่าจะต้องอยู่กับเธอมากเกินไป งั้นหาอะไรทำคนเดียวดูมั่ง เพื่อคุณจะได้หายใจ หายคอได้บ้าง เช่น ไปเดินออกกำลังกายตามลำพังคนเดียวยามเช้าก็ดี หรือเข้าห้องยิมเพื่อ เอกเซอร์ไซส์ก่อนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกันก็ได้
เอาล่ะ หวังว่าคุณผู้อ่านทั้งหลายพร้อมที่จะจัด กระเป๋ากันแล้ว แต่อย่าลืมว่า คุณต้องพร้อมที่จะ รับมือกับความสัมพันธ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปทั้งในทางที่ดีขึ้นและแย่ลง ด้วยนะ...หลังการไป เที่ยวคราวนี้จบลง
หากคุณครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนี้อยู่แล้ว และยังอยากกระโจนไปเที่ยวกันอีกล่ะก็ ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะการตัดสินใจไปเที่ยวด้วยกันเป็นก้าวสำคัญของความ สัมพันธ์ทีเดียวเชียวล่ะ ถ้าคุณกำลังมีแผนการนี้อยู่ ขอให้ทำให้ดีและมั่นใจว่าคุณพร้อมที่จะ เดินทางด้วยกันแล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พร้อม ก็ไม่ต้องรีบ ไว้ค่อย วางแผนไปเที่ยวกันใหม่ในวันหน้าก็ยังได้ วันหยุดน่ะมีปีละหนซะที่ไหนล่ะ ใช่ป่าว.
@@@
ยกย่องวิ่งเป็นการออกกำลังชั้นเลิศหนีห่างโรคข้ออักเสบ ตอนแก่ตัวได้
ศาสตราจารย์แพทย์ยกย่องการออกกำลังด้วยการวิ่งเป็นการออกกำลังยอดเยี่ยม หากใครสามารถ วิ่งอาทิตย์หนึ่ง เป็นระยะทางระหว่าง 10-32 กม. ได้จะหนีโรคข้ออักเสบ ตอนบั้นปลายของ ชีวิตทิ้งได้ห่างไกลมาก
ศาสตราจารย์จิม ไฟรส์ ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแจ้งว่า ได้พบในการศึกษาว่า ผู้ที่ออก กำลังด้วยการวิ่ง โดยเฉพาะจะสามารถหนีห่างจากโรคข้ออักเสบกินตอนบั้นปลายของชีวิต โดยเฉลี่ยแล้วได้นานถึง 10 ปี เขารายงานในที่ประชุมวิชาการแพทย์ที่เมืองซอร์เรนโตของ อิตาลีว่า "การออกกำลังด้วยการวิ่งหรือวิ่งเหยาะๆ เป็นการออกกำลังแบบที่ดี ไม่เสี่ยงทำให้ ข้อเสื่อม แบบที่พบกันมากในผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะข้อเข่าจากการสึกหรอ อย่างที่เคยเชื่อกันมา ไม่เหมือนกับการออกกำลังที่เสี่ยงกับการสึกหรอแถวรอบข้อต่อ อย่างพวก ที่มีการบิดและการหมุนตัว การออกกำลังแบบนั้น ได้เกิดข้ออักเสบโดยเฉพาะที่ข้อเข่า หากจะ .พูดทั่วๆไปแล้ว การเล่นฟุตบอลนับเป็นสาเหตุที่เกิดเป็นบ่อยๆ ที่สุด" เขากับคณะได้ศึกษากับสโมสรนักวิ่งในอังกฤษ 538 แห่งด้วยกัน เอาไปเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ เคยออกกำลัง 423 ราย ได้ตัวเลขสรุปว่า ผู้ที่ไม่ออกกำลังเอาแต่นั่งๆนอนๆมากถึง 1 ใน 5 ต้องพากันทนทุกข์ ทรมานกับความปวดเมื่อยและพิการต่างๆเมื่อตอนบั้นปลายของชีวิต ในขณะที่พวกนักวิ่งมีเพียงแค่ 1 ใน 20 เท่านั้น ที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน.
กอดเอาไว้ไม่ให้ร้องจ้ายามเข็มฉีดยาเข้าใกล้ทารก
การกอดลูกไว้ตามธรรมชาติเมื่อ เจ้าทารกตัวเล็กกำลังจะถูกเข็มฉีด ยาสร้างภูมิคุ้มกันจิ้มเข้าใส่ จัดว่า เป็นท่าทางที่ช่วยลดความเจ็บปวด ให้กับหนูน้อย ได้อย่างดีทีเดียว เรื่องอย่างนี้ เขามีการวิจัยกันมาแล้วค่ะ แจ้งไว้ในวารสารอาร์ไคฟ์ ออฟ เพเดียทริกส์ แอนด์ อะโดเลสเซนท์ เมดิซิน ฉบับเดือนพฤศจิกายน บอกว่านักวิจัยที่โรง พยาบาลเด็กพิททส์เบิร์ก ในสหรัฐฯ เฝ้าศึกษาจนพบว่า เด็กที่มารับการฉีดยารับภูมิคุ้มกันที่โดยส่วนใหญ่ต้องมารับกัน ประมาณ 20 เข็ม ในช่วง 2 ขวบปีแรกนั้น พวกหนูน้อยที่มีผู้ปกครองคอยกอดเอาไว้ และมีขวดนมหรือของ ที่จับไว้ให้คลายเครียด จะช่วยลดความเจ็บปวดลงได้
นักวิจัยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการเข้าแทรกแซง โดยบันทึกจากเด็กทารกที่ร้องไห้ 116 ราย ในช่วง 2 เดือนที่มีการฉีดวัคซีน ประกอบด้วยการฉีด 4 ครั้ง ครึ่งหนึ่งถูกอุ้มไว้ ส่วนอีก ครึ่งให้นอนบนเตียง พบว่าเด็กที่ได้ถือสิ่งของคลายเครียดขณะฉีดยา จะร้องไห้ในเวลาสั้นกว่า โดยร้องไห้แค่ 19 วินาที ในการฉีดเข็มแรก เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้เวลาร้อง 57.5 วินาที บรรดาพ่อแม่ พอรู้อย่างนี้แล้วก็เลยชอบอกชอบใจกันใหญ่ อยากให้ใช้เทคนิคอย่างนี้ คือให้กอดหรือให้หนูน้อยถือขวดนมเป็นเพื่อน ในการฉีดวัคซีนป้องกันในอนาคตต่อไป.
ค้นเจอประโยชน์ของยาสูบเสพติดยารักษาสมองและความจำเสื่อม
ศึกษาเจอคุณประโยชน์ของยาสูบ อาจใช้เป็นยารักษาโรคความจำเสื่อมและโรคสมองร้ายแรง ต่างๆได้ นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯได้พบว่าสารโคติไนน์ในยาสูบ ซึ่งเกิดเมื่อร่างกายย่อยสารนิโคติน ไม่ทำให้เสพติด มีสรรพคุณช่วยปกป้องรักษาเซลล์สมอง และไม่มีฤทธิ์เป็นเหตุให้หลอดเลือด หดตัว ตะคริวกินกระเพาะและมีอาการคลื่นเหียนวิงเวียน ดร.เจอรี่ บัคคาฟุสโก หัวหน้าคณะ กล่าวว่า มันอาจรักษาโรคสมองเสื่อม อัมพาตแบบสั่นและสมองพิการอื่นๆด้วย
เขาเปิดเผยว่า สารดังกล่าวซึ่งเห็นกันแต่เพียงเป็นสาร เกิดขึ้นจากการเผาผลาญอาหารให้กลาย เป็นพลังงานและเนื้อหนังของร่างกายที่ไม่มีค่าอะไร แต่เราได้พบว่า หากใช้ ในปริมาณที่เหมาะ สม อาจมีสรรพคุณ บำรุงป้องกันรักษาประสาทและปกป้องอาการทางจิตต่างๆได้ "เราเชื่อว่าการค้นพบนี้ จะช่วยให้เห็นคุณของสารโคติไนน์ แล้วคิดยาที่เข้าสารโคติไนน์ เป็นยาขนานใหม่มีพิษสงน้อยกว่าการบำบัดรักษาที่ใช้กันอยู่ เพราะส่วนดีของมันอีกอย่างหนึ่ง ก็คืออาจใช้นานๆ ได้โดยไม่เกิดอาการแสลงรุนแรงหรือเสพติดใดๆ ขึ้นด้วย".
ศัลยแพทย์เงื้อมีดผ่าตัดเตรียมคอย ทีปลูกถ่ายใบหน้าผีมาใส่ให้กับคนเป็น
ศัลยแพทย์ของสหรัฐฯและฝรั่งเศส ต่างประกาศแจ้งว่า พร้อมที่จะทำการผ่าตัดปลูกถ่าย เอาใบหน้าผี ไปเปลี่ยนแทนใบหน้าเก่าของผู้ใดได้ ในขณะที่ศัลยแพทย์เมืองน้ำชา ก็เผยว่า มีผู้มาขอให้ทำให้หลายรายแล้ว
ศัลยแพทย์ตกแต่ง หมอปีเตอร์ บัตเลอร์ แห่งโรงพยาบาลรอแยล ฟรี ในกรุงลอนดอน เคยแสดง ความคิดในเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนเอาใบหน้าผี มาปลูกถ่ายให้กับคนเป็นๆ ขึ้นมาก่อนเมื่อสักหนึ่ง ปีมาแล้ว ซึ่งเขาได้กล่าวบอกตอนนั้นว่า สามารถจะทำได้ภายในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และ บัดนี้ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า สามารถจะทำได้แล้ว เนื่องด้วยมียาต้านภูมิคุ้มกันขนานใหม่ ที่มี คุณภาพดีเกิดขึ้น เพียงแต่ยังติดอยู่ที่ ยังไม่มีมติมหาชนลงความเห็นด้านศีลธรรมว่าอย่างไร เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางอีกด้านหนึ่ง ศัลยแพทย์ของฝรั่งเศส ก็กำลังเงื้อมีดผ่าตัดคอยทีอยู่แล้ว รอฟังผลของการขออนุมัติดำเนินการจากทางการอยู่เท่านั้น.
จมูกบอกให้รู้ตัวกำลังเป็นโรคจิตดมกลิ่นต่างๆ ผิดพลาดไปหมด
แม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันมาก่อนแล้ว ผู้ป่วยโรคจิตเภท ที่มีอาการประสาทหลอน หลงผิด พูดน้อย เฉื่อยชา แยกตัว เทียบเหมือนกับเป็นโรคมะเร็งของทางใจ มักจะไม่สามารถรู้กลิ่นที่ถูกต้องได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่อาจแน่ใจว่า เป็นอาการที่มีก่อนหรือหลังการป่วยแล้ว จนกระทั่งผลการศึกษาวิจัยครั้งใหม่
รายงานในวารสารจิตแพทย์ของสหรัฐฯได้เค้าว่า มันน่าจะเป็นอาการเริ่มต้น ดร.วอริก บรูเวอร์ กับคณะแห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นของออสเตรเลีย ได้ศึกษากับคนไข้ผู้ที่เริ่มป่วยเป็นโรคจิตเภทจำนวนหนึ่ง ได้ประจักษ์ว่าพวกเขาเหล่านั้น พากันไม่รู้กลิ่นที่ถูกต้อง อย่างเช่น เมื่อให้ดมกลิ่นพิซซ่า กลับคิดว่าเป็นกลิ่นส้ม หรือกลิ่นของหมากฝรั่ง กลับไปคิดว่าเป็นกลิ่นของควันไฟ นักวิจัยเชื่อว่า เหตุทั้งนี้อาจเป็นเพราะสมองของผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะต้น อาจจะปรวนแปรไป จนทำให้ไม่อาจได้กลิ่นอายที่ถูกต้องได้ ศาสตราจารย์ฟิลิป แมคไกวร์ ของสถาบันจิตวิทยาในกรุงลอนดอน กล่าวยกย่องการค้นพบนี้ว่าเข้าท่า เพราะสมองส่วนที่มีหน้าที่รับรู้กลิ่นเกี่ยวข้องกับสมองที่มีส่วนทำให้เกิดโรค "หากว่าเราสามารถตรวจรู้โรคด้วยวิธีง่ายๆ อย่างเช่น เพียงแต่การให้ดมกลิ่น ด้วยเวลาแค่ไม่กี่นาที มันจะเป็นประโยชน์มาก".
ความคิดเรื่องความสวยงามแบบเก่า กระตุ้นผู้หญิงเหมือนกับทำร้ายตัวเอง
ดร.วิลาสินี พิพิธกุล กรรมการมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) กล่าวสรุป การเสวนา "ร่างกายของเรา ตัวตนของเรา สุขภาพผู้หญิงในมุมมองใหม่" ว่าความคิดความ เชื่อเรื่องความสวยงาม ความสาว ความเยาว์วัยที่มีอยู่ในสังคม ทำให้ผู้หญิงต้องไปทำ ศัลยกรรมหรือลดความอ้วนเพื่อให้ดูสวยนั้น เป็นเรื่องความรุนแรงมิเพียงแต่เป็นเรื่องความ รุนแรงที่ผู้หญิงทำต่อตัวเอง แต่ต้องมองว่ามีความรุนแรงที่ฝังรากอยู่ในสังคมที่ผลักดัน ให้ผู้หญิงต้องทำ เป็นความรุนแรงที่สังคม วัฒนธรรม กระทำต่อเพศหญิงและชาย ผู้หญิงยอม ทำร้ายตัวเองเช่นนั้นเพื่อให้ตัวเองมีที่อยู่ที่ยืนในสังคมได้ และความรุนแรงเหล่านี้ก็มีผลให้ ผู้หญิงไม่ได้รู้จักตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าไม่เป็นส่วนหนึ่งกับตัวเราเอง
ดร.วิลาสินี กล่าวว่า เวทีสุขภาวะที่สำคัญ จำเป็นต้องดูโดยภาพรวม ไม่ใช่ตัดชิ้นส่วนของร่าง กายออกมาพูดเป็นส่วนๆ ดังจะเห็นได้ว่า ผู้ชายมักแยกชมผู้หญิงออกเป็นส่วนๆ ดังนั้นเรื่องของ "วิธีคิด" จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และนำไปสู่คำถามต่อความหมายของความสวยงามว่า ภาคีสุขภาพจะยอมให้ใช้ในนิยามแบบเดิมหรือไม่ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องงามตามแบบฝรั่ง หรือว่าต้องแสวงหาความงามไปตลอดชีวิต จนทำให้รู้สึกขาดแคลนโดยตลอด และที่สำคัญต้อง รู้เท่าทันสื่อว่า สื่อทำอะไรกับเนื้อตัวร่างกายของเรา
การเสวนาดังกล่าว มีขึ้นในงานรวมพลคนสร้างสุข จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคี.
ขนมจีนน้ำพริกทานตะวันสร้างสรรค์คุณค่าจากของท้องถิ่น
ถ้าพูดเรื่องอาหารการกินแล้ว ต้องยกให้บรรพบุรุษ ของไทยเรา เพราะท่านรู้จักนำเอาคุณค่า ที่มีอยู่ใน พืชผัก สมุนไพรมาปรุงแต่ง เพื่อหักล้าง ฤทธิ์กันได้ อย่างผสม กลมกลืน ตัวอย่างเช่น "ขนมจีนน้ำพริกน้ำยา" ซึ่งมีเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมัก หากคนที่ธาตุอ่อนกินเข้าไปก็อาจจะทำให้ ท้องเดินได้ง่ายๆ แต่คนโบราณก็หาผักมา เป็นเครื่องเคียง เพื่อหักล้างฤทธิ์กัน จนไม่ต้องกลัวว่าท้องจะเสีย นั่นก็เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ต้องรักษาไว้
แต่ว่าไปแล้วคนไทยสมัยนี้ก็ดูจะไม่ยอมน้อยหน้า บรรพบุรุษ ของเราสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อเร็วๆนี้ทีมงานเพิ่งจะได้ไปชิมเมนูแปลกใหม่ของ ชมรมแม่บ้านศูนย์ สงครามพิเศษ (ศสพ.) (เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมแม่บ้านทหารบก) ที่ จ.ลพบุรี มา เมนูที่ว่าก็คือ "ขนมจีนน้ำพริกทานตะวัน" ที่นำเอาเมล็ดดอกทานตะวัน มาเป็นส่วน ประกอบ เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ลงไป พร้อมกับใช้กลีบดอกทานตะวัน มาทอด เพื่อเป็นเครื่องเคียง ซึ่งจะทำให้ได้ คุณค่าของวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอา หารที่เป็นประโยชน์ต่อ ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ทำได้ไม่จนเห็นว่าน่าสนใจ เลยแอบถามสูตร มาฝากกัน เผื่อท่านใดจะนำไปเพิ่มในเมนู รายการ อาหารก็ไม่เลว ขนมจีนน้ำพริกทานตะวัน มีส่วนผสมดังนี้ 1.ขนมจีน 1,000 กรัม กุ้งสด 300 กรัม มะพร้าวขูด 500 กรัม ถั่วทอดคั่วป่น 50 กรัม เมล็ดทานตะวันอบป่นหยาบ 100 กรัม ผักชีเด็ดเป็นใบๆ 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียมเจียว 3 ช้อนโต๊ะ เนื้อระกำ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วยตวงกับอีก 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 3/4 ถ้วยตวง น้ำมะกรูด 1/4 ถ้วยตวง น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 1/2 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูทอดกรอบ 1/4 ถ้วยตวงพริกขี้หนูคั่วป่น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 1/4 ถ้วยตวง ในส่วนของน้ำพริก มีส่วนประกอบดังนี้ พริกแห้งเมล็ดใหญ่ทอด 10 กรัม พริกขี้หนูแห้งทอด 5 กรัม หอมแดงซอยทอด 3 ช้อนโต๊ะ กระเทียมซอยทอด 3 ช้อนโต๊ะ รากผักชีหั่นฝอย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ข่าสับหยาบทอด 1 ช้อนชา เมื่อเตรียมเครื่องปรุงทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ลงมือทำได้เลย โดยเริ่มจาก
1.โขลกเครื่องน้ำพริกทั้งหมดให้ละเอียด
2.คั้นกะทิให้ได้ หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง หางกะทิ 5 ถ้วยตวง
3.ใส่หัวกะทิลงในกระทะ เคี่ยวให้แตกมันมากๆ ตักขึ้นพักทิ้งไว้ แล้วใส่น้ำมันลงไปแทน พอร้อนให้ใส่น้ำพริกลงผัดให้หอม รอจนสีน้ำพริกเข้มๆ
4.ล้างกุ้งให้สะอาด ปอกเปลือกผ่าหลัง ชักเส้นดำออก นำหางกะทิ ใส่ลงกระทะตั้งไฟพอเดือด ใส่กุ้งต้มให้สุกและตักขึ้นโขลกให้ละเอียด ส่วนหางกะทิเคี่ยวต่อให้แตกมัน
5.นำน้ำพริกที่ผัดไว้เติมหัวกะทิลงไปแล้วผัดให้เข้ากัน ใส่กุ้งที่โขลกไว้ ใส่ถั่วทอดป่น เมล็ดทานตะวันป่น เติมหางกะทิพอเหมาะ ใส่เครื่องปรุงจำพวกน้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มมะขาม เปียก น้ำมะกรูด น้ำมะนาว ระกำ แล้วชิมให้ได้ 3 รส (ตามชอบ) ใส่ลูกมะกรูดลงลอยไว้ให้หอม และโรยด้วยกระเทียมเจียว ใบผักชี นำเสริมพร้อมกับขนมจีนและผักสด ผักทอดกรอบ โดยผักสด ได้แก่ ยอดกระถิน ถั่วพู หัวปลี กะหล่ำปลี ผักกาดดอง ผักบุ้ง ส่วนผักชุบแป้งทอดกรอบ เช่น กลีบดอกทานตะวัน ดอกลั่นทม ดอกอัญชัน ฯลฯ อัตราส่วนข้างต้นนี้เหมาะสำหรับรับประทาน ได้ 8-10 คน แต่ถ้าเห็นว่ายุ่งยากไม่อยากทำเอง ก็สามารถไปหาชิมกันได้ เพราะเขาใช้เป็นเมนูแนะนำในช่วงเทศกาลดอกทานตะวันบาน ที่จังหวัดลพบุรี โดยจะมีการเปิดงานในวันที่ 15 พ.ย. ศกนี้ ที่บ้านหนองหอย หมู่ 9 ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-1752-0191.
ดวงแก้ว ผุงเพิ่มตระกูล
ห่านขาว" เลี้ยงง่ายโตเร็วหูไวใช้เฝ้าบ้าน.. กำจัดหญ้าในเรือกสวน
ในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่เลี้ยงเอา ไว้ แก้เหงา และเฝ้าบ้านกันขโมยได้ นั้น "สุนัข" ดูเหมือนจะเป็นที่นิยม มากที่สุด แต่ถ้าในชนบท ที่มีน้ำท่า อุดมสมบูรณ์นั้น ชาวบ้านมักจะเลี้ยง "ห่าน" เอาไว้ด้วย ในภาษาอังกฤษ ห่านตัวเมีย เขาใช้คำว่า "goose" ส่วน ห่านตัวผู้ ใช้คำว่า "gander" เป็นสัตว์ปีกวงศ์ Anatidae ตัวคล้ายเป็ด แต่ใหญ่กว่า ขายาว คอยาว ตัวผู้จะช่วยตัวเมียเลี้ยงลูก ห่านป่าเมื่อบิน เป็นฝูงจะบินเป็นรูปตัววี ห่านจะร่วมกับ ตัวผู้หรือตัวเมียตัวเดียว
ห่านบ้านที่เลี้ยงกันอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่มา จากห่านป่า (Anser anser) แล้วผสม พันธุ์ แตกต่างกันออกไปตามท้องถิ่น เช่น ห่านเท้าสีชมพู ห่านอกขาว นอกจากนี้ก็มีห่านอเมริกา ได้แก่ ห่านหิมะ ห่านจักรพรรดิ ในอเมริกาใต้มีห่านเคล็ป ห่านดอน และห่านหงส์ ในหมู่เกาะ ฮาวาย มีเฉพาะห่านฮาวาย (กำลังจะสูญพันธุ์) ส่วนห่านที่ใหญ่ที่สุดคือ ห่านจีน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด ของห่านในแถบเอเชียรวมทั้งไทยด้วย ห่านชอบหากินตามชายน้ำเหมือนเป็ด แต่ไม่ชอบกินปลาหรือกุ้งสด ชอบกินหญ้า เมื่อลูกห่านยังเล็กอยู่ มักใช้ข้าวสุกซาว น้ำให้หมดยางโปรยให้กิน อาหารประจำวัน วันละสามมื้อ คือผักบุ้งสับละเอียด ปนปลาย ข้าวและกรวด เจือน้ำพอแฉะ ให้ห่านกิน มากๆ เมื่อโตพอควรแล้วจึงปล่อยให้กินหญ้า หรือเศษอาหาร ถ้าจะให้ห่านอ้วนก็เพิ่มรำ ข้าวคลุกน้ำให้ รวมทั้งเปลือกหอยและ หินปูนป่น ห่านเลี้ยงง่าย โตเร็ว ไม่ค่อยเป็นโรค ทนแล้งได้ พออายุได้หนึ่งปี แม่ห่านจะผสมพันธุ์และเริ่มไข่ ไข่ห่านรสมันกว่าไข่เป็ดไข่ไก่ ห่านหูไวมาก เมื่อมีคนแปลกหน้า จะส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ จึงมีคน จำนวนไม่น้อยเลี้ยงห่าน ไว้เพื่อเฝ้าบ้าน นอกจากนี้ยังมีเกษตรกร บางรายเลี้ยง ห่านไว้เพื่อกำจัดหญ้า หรือผักบุ้งที่ชอบขึ้นตาม บ่อเลี้ยงปลาและบ่อน้ำ แบบไม่ต้องจ้างแรงงานคน ให้เปลืองสตางค์ ปัจจุบันแม้จะมีการขุนห่าน เพื่อผลิตเนื้อขาย แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงไว้เพื่อ วัตถุประสงค์อื่นดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น.
ดวงแก้ว ผุงเพิ่มตระกูล
ทางสายกลางสำหรับคนปวดหลังที่นอนดีต้องไม่นิ่มไม่แข็งเกินไป
คนปวดหลังฟังทางนี้ ที่นอนดีต้องไม่แข็งเกินไป แพทย์เมืองกระทิงดุชี้ ต้องใช้แบบที่แน่น ปานกลาง
วารสารการแพทย์ "แลนเซต" รายงานผลวิจัยของแพทย์ชาวสเปน ที่ศึกษากับกลุ่มคนไข้กว่า 300 ราย ให้ทดสอบการนอนเตียงกับผลต่อการปวดหลัง แนะนำว่าควรจะใช้ ที่นอนแบบ ที่มีความนุ่มปานกลางจะดีที่สุดสำหรับคนที่มักเจ็บหลังในตอนเช้า
การศึกษาครั้งนี้มีขึ้นในกรุงมาดริด, มายอร์กา และบาร์เซโลนา มุ่งเป้าไปที่อาการเจ็บปวด หลังแบบไม่เฉพาะเจาะจง ไม่เกี่ยวข้องกับโรคข้อเสื่อมหรือการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ในบรรดาผู้ร่วมทดลองจะได้รับการเปลี่ยนที่นอนที่บ้าน ครึ่งหนึ่งได้แบบแข็ง ส่วนอีกครึ่ง ได้ที่นอนแบบแข็งปานกลาง หลังจากนั้นอีกสามเดือนจึงถูกถามเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องการนอน การตื่นขึ้นในตอนเช้า และความไร้ สมรรถภาพโดยรวม ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยเกือบ 2 เท่าครึ่ง ที่รายงานว่าอาการเจ็บปวดหลังจากการนอนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น นักวิจัยแจ้งว่า "ที่นอนแบบปานกลางมีความสัมพันธ์กับความเจ็บปวดหลังส่วนล่าง ทำให้อาการ ดีขึ้น".
ขิงอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้สะระแหน่สกัดมะเร็งต่อมลูกหมาก
สมาคมวิจัยโรคมะเร็งสหรัฐฯระบุว่า ขิงอาจช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ จากที่พบในการศึกษาทดลองกับหนูทดลอง คณะนักวิจัยของสถาบันฮอร์เมล มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ได้ศึกษาทดลองกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อไม่ให้มีระบบภูมิคุ้มกันโรค เลี้ยงโดยให้กินขิง แล้วฉีดเซลล์เนื้องอกลำไส้ของคนเข้าไปให้ หลังจากนั้น ได้เปรียบเทียบผลกับหนูอีกฝูงหนึ่งที่ไม่ได้กินขิง ปรากฏว่าหนูฝูงหลังนี้ พากันตายหมดยกฝูง ในขณะที่ฝูงที่ได้กินขิง ยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่ไว้ใจผลการศึกษาหนนี้ ยังจะต้องศึกษาวิจัยให้แน่ใจต่อไป แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า อาหารมีส่วนสำคัญกับโอกาสของการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งของลำไส้ คาดว่าอาหารที่รับประทานมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆ มากถึง 1 ใน 3 พร้อมกันนี้ยังปรากฏผลมีการวิจัยอีกเรื่องหนึ่ง ได้พบว่า พืชตระกูลสะระแหน่ ก็มีสรรพคุณช่วยชะลอการลุกลามของมะเร็งต่อมลูกหมากได้.
มะเร็งผิวหนังเป็นลางบอกเหตุว่ามะเร็งร้ายชนิดอื่นจะตามมา
งานศึกษาที่สหรัฐอเมริกาพบว่า กลุ่มผู้หญิงที่มีอาการของมะเร็งผิวหนังขั้นไม่รุนแรง มีโอกาส เผชิญความเสี่ยงเป็นสองเท่าที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งร้ายแรงชนิดอื่นได้ต่อไป มีการพบว่า มะเร็งผิวหนังเชื่อมโยงกับการเกิดเนื้อร้ายชนิดอื่นตามมา ทั้งมะเร็งสมอง, ทรวงอก, ปอด, ตับ, รังไข่และมดลูก ดร.แครอล โรเซนเบิร์ก จากศูนย์สุขภาพอี-วานสตัน-นอร์ธเวสเทิร์น หน่วยงานหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ได้ศึกษา กับผู้หญิงวัยหลังหมดประจำ-เดือน 92,835 ราย เพื่อดูปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการก่อมะเร็ง ประกอบด้วยการสูบบุหรี่ น้ำหนักและระดับการศึกษา พบว่ามีโอกาสเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็ง ที่ไม่เกี่ยวข้องมะเร็งผิวหนัง และเธอคาดว่า ผลการศึกษานี้ นำไปประยุกต์ใช้กับผู้ชายได้ด้วย
จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงกว่า 85,000 ราย ที่ไม่เป็นมะเร็งผิวหนัง มีเพียงกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ หรือ 9,920 ราย ที่รายงานว่าเป็นมะเร็งชนิดอื่น ส่วนกลุ่มผู้หญิงจำนวน 7,665 ราย รายงานว่าเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดอ่อน ในจำนวนนี้เกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1,878 คน ที่แจ้งว่าเป็นมะเร็งชนิดอื่นด้วยนอกจากมะเร็งผิวหนัง.
วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551
แม้ว่า...สุดท้ายแล้ว...จะไม่มีใครกลับมา.. (Good Story)
แล้ววันนี้...ก็ไม่มีใครกลับมา...
วันนี้...เมื่อ 20 ปีก่อน...
เด็กน้อยคนนึง...เคยวิ่งเล่นกับสุนัขสีขาวตัวใหญ่ที่ชื่อว่าปุยฝ้ายอย่างสนุกสนาน...
ซึ่งสุนัขกับเด็กน้อย...เกิดห่างกันเพียงไม่กี่เดือน...และถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน...
เด็กน้อยเพิ่งกลับจากโรงเรียน...
และกำลังมีความสุขกับงานวันเกิดของเขา...ที่กำลังจะเริ่มขึ้น...
วันนี้...
คุณแม่จะออกจากที่ทำงานเร็วขึ้น...เพื่อไปเอาเค้กวันเกิดที่สั่งไว้กลับมาบ้าน...
ส่วนคุณพ่อ...ก็จะรีบกลับมาจากต่างประเทศ...แล้วซื้อของเล่นชิ้นโตมาเป็นของขวัญวันเกิด...
วัน...ที่มีความสุข...
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...
เด็กน้อยแปลกใจกับคุณแม่ของเขา...ที่กลับบ้านมามือเปล่า...
ไม่เห็นคุณแม่หิ้วเค้กหรือของขวัญใดๆเลย...นอกจากแฟ้มเอกสารกองโตพลุงพลังกลับมา...
คุณแม่มองหน้าเด็กน้อย...แล้วเดินเข้าบ้าน...ผ่านเด็กน้อยไปอย่างเฉยชา...
แม้เจ้าปุยฝ้าย...
สุนัขตัวโปรดของคุณแม่จะเห่า...และกระดิกหางด้วยความดีใจเข้าไปต้อนรับ...
ก็ยังถูกคุณแม่ดุ...แล้วใล่ให้ออกไปไกลๆ...
เด็กน้อยไม่ทราบว่าเกิดอะไรกับคุณแม่...
แต่...เขาก็ยังคิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่อาจจะกำลังวางแผนอะไรสักอย่างให้เขาแปลกใจก็ได้...
ตั้งแต่คุณแม่กลับมาบ้าน...
คุณแม่ก็นั่งทำงานต่อบนห้อง...เหมือนวันนี้เป็นวันธรรมดาๆวันหนึ่ง...เหมือนทุกๆวัน...
ไม่มีการเตรียมการณ์ใดๆ...ไม่มีการทำอาหาร...และไม่มีกล่องของขวัญใดๆเลย...
ออกมาวางล่อตาล่อใจความอยากรู้อยากเห็นของเด็กน้อยสักชิ้นเดียว...
สามทุ่มครึ่งแล้ว...
ความมืดและความเงียบเหงาเข้ามาบดบังท้องฟ้า...
เด็กน้อยนั่งอยู่เพียงคนเดียวในห้องนั่งเล่น...เจ้าปุยฝ้ายหลับไปแล้ว...
มันนอนตะแคงอยู่ที่ปลายเท้าของเด็กน้อย....
คุณพ่อยังไม่กลับบ้าน...คุณแม่ก็ยังทำงานอยู่บนห้อง...
เด็กน้อยเริ่มสับสนและสงสัยว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาจริงๆหรือเปล่า...
เขาเดินไปดูปฏิทิน...รอบแล้ว...รอบเล่า...
ปฏิทินถูกพลิกกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ...จนขอบกระดาษเริ่มยับและเปื่อย...
แต่...เด็กน้อยก็ยังมั่นใจว่าเขาจำวันไม่ผิดแน่ๆ...
น้ำตาเม็ดเล็กๆ...
ปริ่มอยู่บนขอบตาของเด็กน้อย...แล้วหยดลงพื้นแตกกระจายออกเมื่อเขากระพริบตา...
ตามมาด้วยเม็ดต่อๆมา...อย่างไม่มีที่สินสุด...
เด็กน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้...เขาทำอะไรไม่ถูก...เขาสับสน...
ทำได้เพียงแค่...ร้องไห้อย่างเดียวดายอยู่เพียงลำพัง...คนเดียว...
20 ปีผ่านมา...ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว...
คุณแม่ยังไม่ออกจากที่ทำงาน...ส่วนคุณพ่อ...จากวันนั้นก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านอีกเลย...
มีเพียงคำว่า...คิดถึง...ผ่านสายโทรศัพท์มาเพียงปีละสองสามครั้ง...
วันนี้...ผมซื้อเค้กมาเตรียมไว้แล้วครับ...มีพิซซ่าด้วย...อยู่ในเตาไมโครเวฟรออุ่นอยู่...
คุณพ่อครับ...
ผมเห็นเจ้าปุยฝ้ายครั้งสุดท้าย...เมื่อ 2 มกราคม ปี 42 ...
ผมฝังมันไว้ที่ริมประตูหน้าบ้านเอง...ตรงที่มันชอบไปยืนรอคุณพ่อกลับบ้านทุกวัน...
เพื่อที่มันจะได้เห็นคุณพ่อเป็นคนแรก...เมื่อคุณพ่อกลับมา...
ผมยังจำมันได้ดีนะครับ...มันชอบไปนอนอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวเวลาเรากินข้าวกันไง...
แล้ว...จนถึงวันนี้...แม้เจ้าปุยฝ้ายจะจากไปนานแล้ว...แต่ผมก็ยังรออยู่นะ...
วันนี้...วันเกิดผม...รีบกลับบ้านนะครับ...คุณพ่อ...คุณแม่...
...
Story by : size_of
Date : 3 May 2004
วัฒนธรรมคุณภาพ Plan - Do - Check - Act (PDCA)
คำว่า "วัฒนธรรม" พระยาอนุมานราชธนให้นิยามไว้ว่า วัฒนธรรมคือ สิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงปรับปรุง ผลิตสร้างขึ้น เพื่อความเจริญงอกงามในวิถีชีวิตของมนุษย์ ในส่วนรวมที่ถ่ายทอดกันได้ เลียนแบบกันได้ วัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งอันเป็นผลผลิตของส่วนรวมที่มนุษย์ได้เรียนรู้มาจากคนสมัยก่อนสืบทอดต่อมาเป็นประเพณี วัฒนธรรมจึงเป็นทั้งความคิดเห็น หรือการกระทำของมนุษย์โดยส่วนรวมที่เป็นเอกลักษณ์เดียวกัน และสำแดงให้ปรากฏเป็นภาษา ความเชื่อ ระเบียบ ประเพณี
ถ้าจะวิเคราะห์จากนิยามดังกล่าว จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคมที่หล่อหลอมผ่านปฏิสัมพันธ์ ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยผ่านความเชื่อ ศิลปะ จริยธรรม กฎหมาย
ขนบธรรมเนียมประเพณี การศึกษา ฯลฯ จนกลายเป็น แบบแผนของความคิดและการกระทำของคนในสังคมส่วนใหญ่ และที่สำคัญ ลักษณะของวัฒนธรรมอาจนำมาซึ่ง ความเจริญงอกงาม หรือ ความเสื่อมแก่สังคม นั้นๆ ได้เช่นเดียวกัน
สังคมไทยเรานั้นเป็นสังคมที่มี เอกลักษณ์โดดเด่น
เฉพาะของสังคมเรา จากการสืบทอดจากบรรพบุรุษและผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ
ที่รับเข้ามาจากภายนอกสังคม จนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเป็นลักษณะประจำชาติ
การวิเคราะห์วัฒนธรรมในเชิงวิชาการนั้น
จะเห็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของทุกวัฒนธรรม วัฒนธรรมไทยเราก็เช่นเดียวกันมีทั้งจุดเด่นและและจุดด้อย
มีลักษณะหลายๆ ประการที่พวกเราภูมิใจ น่าชื่นชมยินดี และส่งเสริมสืบทอดต่อๆ
ไป เช่น ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีมนุษยสัมพันธ์ยิ้มแย้มแจ่มใส
จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่า สยามเมืองยิ้ม ขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า
ในวิถีชีวิตของคนไทยเรานั้นมีทั้งความเชื่อ และการปฏิบัติหลายประการที่เป็นจุดอ่อน
เป็นข้อบกพร่องทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคม เพิ่มอุปสรรคต่อการพัฒนาชาติ
ศาสตราจารย์ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ได้กล่าวไว้ว่า สาเหตุแห่งความล่มสลายในสังคมไทยที่พวกเราต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติอยู่ขณะนี้
เกิดจากวัฒนธรรมบางประการ เช่น "การฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย"
"ระบบอุปถัมภ์ในสังคม" "การปล่อยปะละเลย"
ถือว่าธุระไม่ใช่ "ธนานิยม" "รวยทางลัด"
"หูเบาเชื่อง่าย" เป็นต้น ซึ่งลักษณะของวัฒนธรรมดังกล่าว
มีผลมากำหนดวิถีชีวิต กำหนดรูปแบบของการทำงานของบุคคลในสังคม ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการ
ระบบธุรกิจ นักการเงินการธนาคาร หรือนักการเมือง หรือข้าราชการทั่วๆ
ไป เมื่อต่างคนต่างก็มีความเชื่อและรูปแบบการทำงานที่เป็นไปในทางเดียวกัน
วัฒนธรรมการทำงานของคนไทยโดยภาพรวมที่เป็นเอกลักษณ์ะเฉพาะที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลง เช่น การทำงานไม่ค่อยวางแผน วางระบบ ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีความตื่นตัว
หรือกระตือรือร้นต่อการทำงาน ไม่ค่อยรับรู้สนใจข่าวสารต่างๆ ที่ส่งผลต่อตนเอง
เคยปฏิบัติอย่างไรในอดีตก็มักจะปฏิบัติแบบเดิมต่อไป ... ยังคงชอบทำงานแบบสไตล์เบิร์ด..
เบิร์ด คือ สบายๆ ไม่มีการตรวจสอบ ปล่อยปะละเลย อยากทำอะไรใคร่ทำอะไรก็มักจะใช้
อิสระ หรือที่เรียกว่า "ความเป็นไท" เป็นข้ออ้าง เป็นระบบการทำงานที่ขาด การประเมินและติดตาม หรือตรวจสอบกันอย่างจริงจัง อย่างเช่น งบประมาณของประเทศมากมายที่ต้องสูญเสียไป การทำงานของหน่วยงานต่างๆ โดยขาดการประเมินและติดตามอย่างจริงจัง.. ต่อไปนี้วัฒนธรรมการทำงานน่าจะต้องคำนึงถึงคุณภาพของงานที่จะเกิดขึ้นจากผลงานด้วย
น่าจะเป็นรูปแบบ หรือ แบบแผนการทำงานที่เรียกว่า "วัฒนธรรมคุณภาพ"
คำว่า "วัฒนธรรมคุณภาพ" ในที่นี้ หมายถึง ความเชื่อ ความคิด หรือการกำหนดวิธีการทำงานโดยยึดถือ คุณภาพของงาน เป็นที่ตั้งเสมอ ระบบการทำงานที่มีคุณภาพมีรูปแบบตามวงจรของ
Deming Cycle คือ Plan - Do - Check - Act (PDCA) ที่พวกเราทุกคนทราบดี
Plan : ก็คือการวางแผนการทำงานอย่างมีระบบมีขั้นตอนที่ชัดเจน
จะทำอะไร อย่างไร เมื่อใด เพื่อให้เกิดสิ่งใด ทั้งมีเป็นแผนระยะสั้น
ระยะยาวต้องวางไว้ให้ได้
Do : หมายถึงการลงมือปฏิบัติให้เป็นไป
หรือให้ได้ตามเงื่อนไข หรือระบบขั้นตอนที่วางไว้ การปฏิบัติในขั้นนี้ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องตรวจสอบมาตรฐาน
เกณฑ์ หรือดัชนีต่างๆ ที่กำหนดไว้ ในมาตรฐานการทำงานของหน่วยงาน
เช่น ในการสอน ถ้ากำหนดว่าต้องมีแผนการสอนทุกรายวิชา ผู้สอนก็จะต้องจัดทำแผนการสอนในรายวิชาที่ตนเองสอน
เพื่อแจกจ่ายให้นักศึกษา
Check : เป็นการตรวจสอบการทำงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
ได้ผลเป็นอย่างไร มีอุปสรรคอะไรบ้าง มีชิ้นงานหรือเนื้องานใดที่ต้องเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
เพื่อรอรับการตรวจสอบและการประเมิน
Act : เป็นขั้นตอนการประเมินและปรับปรุง
หมายถึง การประเมินผลงานที่ได้จากการตรวจสอบกลับมาวิเคราะห์จุดอ่อน
จุดแข็งในการดำเนินการ วิธีการทำงานแบบใดที่เป็นจุดเด่นเป็นข้อดีต้องคงไว้ วิธีการทำงานใดที่เป็นจุดอ่อนซึ่งต้องนำมาปรับปรุงแก้ไข แล้วนำไปวางแผนการทำงานต่อไป ซึ่งก็จะเข้าสู่วงจร PDCA อีกครั้งหนึ่ง
การทำงานตามวงจรที่กล่าวถึง PDCA
นั้นจะเป็นวัฒนธรรมการทำงานได้ จะเป็นวัฒนธรรมในสถาบันได้ ทุกคนต้องยอมรับ
และมีความเชื่อร่วมกันนะครับว่า ระบบหรือการปฏิบัติเช่นนี้เป็นวิธีการทำงานที่มีคุณภาพ
เป็น วิถีการทำงาน ของพวกเราและทุกคน ทุกส่วนงาน ทั้งระดับสถาบัน
ระดับคณะหรือสำนัก ระดับโปรแกรมวิชา หรือระดับผู้สอน ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องนำไปปฏิบัติ
และปฏิบัติกันอย่างจริงจัง และปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดแล้ว PDCA ก็จะเป็นวัฒนธรรมในการทำงานของพวกเรา รูปแบบและระบบการทำงานของพวกเราก็เรียกได้ว่าเป็น วัฒนธรรมแห่งคุณภาพ...
www.rb.ac.th
รู้จักเลือกให้ดีก่อนคิดจะรัก
" ใครต่อใครต่างก็อยากจะมีความรัก แต่จะมีสักกี่คน ที่จะมีรักอย่างที่ใจปรารถนา "
เริ่มต้นกันด้วยคำคม ให้คิดกันก่อน เลยนะคะ สำหรับคอลัมน์นี้
ซึ่งเหมาะสำหรับ คนที่ยังไม่ตกลงปลงใจกับ คนที่ตัวเองรักซะที
หรือว่ายังคงคิดว่ายังมี รถไฟให้จับอีกหลายขบวน ถ้าพลาด แล้ว ยังคิดว่ามีสถานีหน้าอยู่อีก
และยังเหมาะกับ คนที่ยังลังเล ไม่รู้จะตัดสินใจ เลือกใครเป็นคนรู้ใจดี
โดยที่มีช้อยส์ ให้เลือกเยอะแยะ แต่ ถ้าคุณได้อ่านคอลัมน์นี้แล้ว อาจจะช่วยคุณ ตัดสินใจได้ว่า
ใคร คือ คนที่คุณอยากจะ ร่วมเดินเคียงข้างไปกับเขา ซึ่งเขาคน นั้นอาจจะผ่าน เข้ามาในชีวิตคุณแล้วก็เป็นได้
ใครกันแน่ที่เข้าใจคุณมากกว่า
บางที ซาตานอาจอยู่ในร่างเทพบุตร ก็ได้นะ รูปร่างหน้าตาดี ไม่ได้หมายความว่า จิตใจจะ ดีงามไปด้วย
ยิ่งถ้าเขาไม่เข้าใจคุณเลย ว่าคุณเป็นเช่นไร จะเลือกชายในฝัน หรือ นางในฝัน ให้ปวดกระดองใจเล่นๆ ก็ลองดู
แล้วใครกันนะที่เป็นห่วงใยคุณเหลือเกิน
ถ้าชายในฝัน หรือ นางในฝัน ของคุณช่างแสนดี คอยตามรับคอยตามส่งตลอดเวลา
ดึกดื่น แค่ไหนก็ไม่หวั่น หรือแค่คุณหายไปไหนสักสิบนาที เขาก็คอยถาม เหมือนตำรวจสอบผู้ต้องหา อย่างนี้คุณก็เทใจไปได้เลย
คุณคือคนสำคัญของเขา
ไม่ว่าเขาไปไหนมา เขาจะมีของฝากที่ถูกใจคุณเสมอ วันเกิดคุณ เขาก็หอบของขวัญมาให้
ดูแลไม่ให้ริ้นไรไต่ตอม คุณมีปัญหาอะไร เขาก็ช่วยแก้ไข หรือคอยให้กำลังใจเสมอ อย่างนี้ถ้า ไม่รัก ก็ใจดำไปแล้วนะ
เขาอยู่ข้างคุณเสมอ
ถ้าเกิดคุณมีปัญหาอะไร ที่ต้องการความช่วยเหลือ จากใครสักคน คนที่สามารถเข้ามาอยู่ ที่สถานการณ์ตรงนั้น โดยไม่อิดออด นั่นล่ะ ต้องเป็นเขาเลย
มีความสุขเมื่ออยู่ใกล้กัน
คงไม่ดีแน่ ถ้าเวลาเจอเขาแล้ว รู้สึกว่าไม่เจอดีกว่า ถ้าใครทำให้คุณเป็นอย่างนั้น คุณคงจะ อยู่ในฝันร้ายซะมากกว่า
ต้องแน่ใจว่าเขารักเรา
ข้อนี้สำคัญมาก คุณต้องมั่นใจซะก่อน ว่าเขารักคุณจริงๆ ทั้งๆ ที่คุณยังไม่ได้ทำอะไร ให้ เขาเลย
แล้ว ถ้าหากคุณรักเขาตอบ และ ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนที่เขาทำให้ เขาจะถอน ตัวจากคุณได้เชียวหรือ
หันมามองดูคนในโลกแห่งความจริงกันดีกว่าค่ะ เพราะบางทีความงามภายนอก
ก็ไม่เทียบเท่ากับความงามในจิตใจได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ อยู่เหนือเหตุผลเลยนะคะ
อย่าทำร้ายรักแท้ที่มีอยู่ในมือด้วยมือของตัวเองเลยค่ะ
Story by : หน่อย
Date : 4 May 2004
เรื่องความกว้าง ของรางรถไฟ
เรื่องที่จะเขียนเป็นเรื่องของขนาดความกว้างของรางรถไฟ ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นคำถามอยู่เสมอทั้งที่มีความพยายามทำความเข้าใจกันมามากแล้ว ก็คงต้องอธิบายกันไปอีกนานตราบเท่าที่คนยังมองเห็นว่ารถไฟยังมีปัญหาอยู่
เรื่องความกว้างรางรถไฟเป็นประวัติศาสตร์สมัยล่าอาญานิคม ถ้าศึกษาและวิเคราะห์ให้ละเอียดก็จะเห็นความคิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบของชาติตะวันตก ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความคิดเอารัดเอาเปรียบเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ ความสำคัญอยู่ที่เรารู้เท่าทันและป้องกันการถูกเอาเปรียบได้อย่างไร
รางรถไฟในโลกนี้มีอยู่หลายขนาด ตั้งแต่เป็นรางเดี่ยว (Monorail หรือที่เรียกว่า Gauge-O) ไปจนถึงกว้างสุดคือ 2.140 เมตร ซึ่งเรียกว่า Groad gauge แต่ที่ใช้กันมากมีอยู่ 3 ขนาดได้แก่ ขนาดรางกว้าง 1 เมตร หรือที่เรียกว่า Metre gauge ขนาดรางกว้าง 1.067 เมตร หรือที่เรียกว่า Cape gauge และขนาดรางกว้าง 1.435 เมตร หรือที่เรียกว่า European standard gauge
ถ้าหยิบแผนที่ของภูมิภาคนี้มาดูก็จะเห็นข้อเท็จจริงว่า ประเทศเกาะทั้งหลายที่รายล้อมประเทศไทยอยู่เช่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น รวมทั้งออสเตรเลีย ประเทศเหล่านี้ใช้รางขนาดกว้าง 1.067 เมตร หรือที่เรียกว่า Cape gauge
ถ้าเราดูประเทศใหญ่ๆ อย่าง จีน อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ก็จะเห็นว่ามีรางรถไฟขนาดกว้างไม่เท่ากันอยู่ในประเทศ และถ้าดูประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศก็จะเห็นว่าใช้รางรถไฟขนาดกว้าง 1 เมตร หรือที่เรียกว่า Metre gauge
ไม่มีประวัติศาสตร์ตรงไหนที่เขียนไว้ชัดๆ ว่าเหตุใดจึงมีรางรถไฟขนาดความกว้างต่างกันมากมายในโลกนี้ และเหตุใดประเทศไทยจึงใช้รางกว้างขนาด 1 เมตร
ประวัติศาสตร์เท่าที่อ่านพบก็คือ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดให้สร้างทางรถไฟสายแรกนั้น ฝรั่งเศสกำลังทำการปลุกระดมคนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะโคราช ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่าแผ่นดินตรงนั้นไม่ใช่ของไทย คนในพื้นที่นั้นก็ไม่ใช่คนไทย
ดังนั้นจึงถูกเมืองหลวงทอดทิ้งไม่ดูแลเอาใจใส่ ถ้าไปขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสก็จะได้รับการทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรือง
อีกเรื่องที่อ่านได้จากประวัติศาสตร์ ในยุคล่าอาณานิคมก็คือ ทรงผูกสัมพันธไมตรีกับเยอรมนีและรัสเซีย โดยได้เสด็จประพาสหลายครั้งและราชวงศ์ของไทยกับราชวงศ์ของประเทศทั้งสองต่างก็มีความสนิทสนมกัน เหล่านี้มีจดบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ถึงเรื่องการแสวงหาอำนาจที่จะมาถ่วงดุลเพื่อให้รอดพ้นภัยคุกคามจากการล่าอาณานิคม
ถ้าเอาประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เรื่องความกว้างรางรถไฟก็น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าเป็นเรื่องเหตุผลทางการเมืองคือ เป็นเรื่องของกุศโลบายของชาติตะวันตกที่จะแบ่งแยกดินแดนหรือจะผนวกดินแดน ถ้ามองอย่างนี้ก็น่าจะตอบคำถามได้
ประเทศใหญ่อย่างอินเดียและจีนมีรางรถไฟกว้างหลายขนาดก็เพราะชาติตะวันตกต้องการแบ่งแยกดินแดน อย่าลืมว่าสมัยนั้นไม่มีถนน ไม่มีรถยนต์ มีแต่ทางรถไฟที่จะเชื่อมแว่นแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกัน ฉะนั้นถ้าใช้รางรถไฟขนาดกว้างไม่เท่ากันก็จะเข้าหลักการ "แบ่งแยกและปกครอง"
ลองหันมาดูภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นว่าทิศตะวันตกและทิศใต้ ได้แก่ พม่า และมาเลเซีย ต่างก็ใช้รางรถไฟขนาดกว้าง 1 เมตร ซึ่งอังกฤษวางรากฐานไว้ให้ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีรถไฟ ในขณะเดียวกันทิศตะวันออก ได้แก่ เวียดนามและเขมร ก็มีรางรถไฟขนาดกว้าง 1 เมตร ซึ่งฝรั่งเศสวางรากฐานไว้ให้ และมหาอำนาจทั้งสองประเทศก็รุกคืบเพื่อแบ่งดินแดนของสยามประเทศไปเป็นส่วนหนึ่งในอาณานิคมของตน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดให้สร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมหัวเมืองต่างๆ เข้ากับเมืองหลวงและเป็นจุดกำเนิดของการเดินรถไฟในประเทศสยาม
ที่มากไปกว่านั้นก็คือต้องมุ่งไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน เพราะกระแสปลุกระดมของฝรั่งเศสกำลังร้อนแรง ท่านที่ยังไม่ทราบก็โปรดทราบว่าทางรถไฟสายแรกของไทยต้องมุ่งไปโคราชก็ด้วยจุดประสงค์ที่จะรักษาแผ่นดินตรงนั้นไว้
ที่เกี่ยวข้องกับความกว้างของรางรถไฟก็คือ ทางรถไฟสายแรกและต่อๆ มาไม่ใช่รางกว้างขนาด 1 เมตรเช่นปัจจุบัน แต่เป็นขนาด 1.435 เมตร ซึ่งเป็นขนาดกว้างของรางรถไฟที่ประเทศในยุโรปใช้กันอยู่ เมื่อเส้นทางรถไฟขยายออกไปถึงภาคเหนือก็เป็นรางกว้างขนาดเดียวกันนี้
ถ้าลองหลับตาดูภาพเหล่านี้ในเชิงยุทธศาสตร์ก็จะเห็นนโยบาย "ก้างขวางคอ" ที่ทรงมีพระราชดำริไว้ กล่าวคือ เมื่อซ้าย (และใต้) เป็นรางรถไฟกว้าง 1 เมตร และขวาก็เป็นรางรถไฟกว้าง 1 เมตร สิ่งที่จะหยุดยั้งการรุกรานในเชิงยุทธศาสตร์ได้ก็คือ การวางรถไฟขนาดกว้าง 1.435 เมตร ขวางตรงกลาง รถไฟของสยามประเทศจึงเกิดขึ้นและเป็นรางรถไฟกว้าง 1.435 เมตร
วิศวกรต่างชาติที่มาวางรากฐานเรื่องทางรถไฟไว้ให้เป็นชาวเยอรมัน ซึ่งหลายท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้เป็นเจ้ากรมรถไฟ โอนสัญชาติกลายเป็นคนไทยไป เช่น นายเค เบธเก้ และ นายแอล ไวเลอร์ ซึ่งท่านหลังนี้ยังมีสถูปบรรจุอัฐิอยู่ที่หน้าถ้ำขุนตาล ผู้บริหารระดับรองลงมาหลายท่านในระยะแรกของประวัติศาสตร์รถไฟประเทศสยามก็เป็นคนต่างชาติ
รถไฟสายใต้มีประวัติความเป็นมาที่แตกต่างกันเพราะสร้างขึ้นภายหลัง และเข้าใจว่ารถไฟสายแม่กลองซึ่งเป็นรถไฟสัมปทานที่ชาวเดนมาร์กประกอบกิจการอยู่เดิมจะเป็นรางขนาดกว้าง 1 เมตร เหตุการณ์ของประเทศเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และมีอิทธิพลทางความคิดของอังกฤษผลักดันอยู่ หรือถ้าจะมองว่าเป็นกุศโลบายแบ่งแยกภายใน คือถ้าจะเสียก็เสียไปบางส่วน ไม่เสียทั้งหมด สิ่งเหล่านี้น่าจะประมวลกันเข้าและเป็นที่มาของการวางรางรถไฟขนาด 1 เมตร ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดลงไปถึงภาคใต้
เมื่อมีการสร้างสะพานพระรามหกในปี พ.ศ. 2463 เพื่อเชื่อมทางรถไฟฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าด้วยกัน จึงต้องตัดสินใจปรับขนาดความกว้างให้เท่ากันเพื่อความสะดวกในการเดินรถ การจดบันทึกอธิบายถึงหลักการและเหตุผลในเชิงเศรษฐกิจที่รัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนรางขนาดกว้าง 1.435 เมตร ในสายเหนือเป็นขนาดกว้าง 1 เมตร แต่ที่ไม่ได้จดบันทึกก็เข้าใจว่าจะเป็นอิทธิพลทางความคิดของอังกฤษซึ่งมีอำนาจเหนือภูมิภาคนี้อยู่ในขณะนั้น
สุดท้ายถ้าลองดูประเทศเป็นเกาะที่รายล้อมภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น (อาจจะมองไกลไปถึงออสเตรเลียด้วยก็ได้) ต่างมีรางรถไฟกว้างขนาด 1.067 เมตร ดังที่เขียนมาข้างต้นว่า ไม่เห็นการจดบันทึกทางประวัติศาสตร์ของที่มา ได้แต่คาดเดาว่าชาวตะวันตกคงจะเห็นว่าถึงอย่างไรก็จะไม่มีการรวมตัวกันในเชิงกายภาพอยู่แล้ว
ฉะนั้น ก็อย่าให้ภูมิภาคนี้ได้รวมตัวกันในทางการค้า กล่าวคือ เมื่อเป็นรางรถไฟคนละขนาดกันก็จะเป็นอุปสรรคในการแลกเปลี่ยนเรื่องการค้าเกี่ยวกับรถไฟ (ที่เป็นของทันสมัยในยุคนั้น) ก็จะเห็นได้ว่าเป็นนโยบายแบ่งแยกเช่นเดียวกัน ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นก็จะสนับสนุนความคิดที่ว่าการเอารัดเอาเปรียบของตะวันตกนั้นมีมานานแล้ว และขณะนี้รถไฟที่เกิดใหม่ในประเทศก็ถูกชักจูงให้ใช้รางขนาดกว้าง 1.435 เมตรไปเรียบร้อยแล้ว
หลายท่านที่รู้สึกเวทนากับสภาพของการรถไฟวันนี้ และปรารถนาจะให้ดีขึ้นอย่างคนใจร้อนและไม่ศึกษาข้อเท็จจริงต่างก็ทึกทักว่าเป็นเพราะเราใช้รางกว้างขนาด 1 เมตร ซึ่งไม่ใช่รางมาตรฐาน รถไฟไทยจึงไม่ทันสมัย ที่ร้ายกว่านั้นก็คือมีพวกแปลภาษาไทยดื้อๆ
คือบอกว่ารางกว้าง 1 เมตรนี้ไม่เป็นมาตรฐาน รถไฟถึงไม่ดี ถ้าเป็นรางกว้าง 1.435 เมตร อย่างยุโรปแล้วรถไฟถึงจะดี เพราะเป็นมาตรฐาน ความคิดอย่างศรีธนญชัยเช่นนี้ที่ทำให้ประเทศไทยวุ่นวายอยู่ในปัจจุบัน
รถไฟรางกว้าง 1 เมตร นี้สามารถทำให้วิ่งเร็วได้กว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วันนี้ที่ยังวิ่งเร็วขนาดนั้นไม่ได้เพราะปัญหาอื่น ซึ่งได้มีการพูดคุยได้มีการสัมมนาเชิงวิชาการไปแล้วหลายครั้งและได้ข้อยุติว่า การพัฒนารถไฟขนาดกว้าง 1 เมตร ให้ทันสมัยวิ่งได้เร็วกว่าปัจจุบันเป็นทางเลือกที่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน
ในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจเราใหญ่โตกว่านี้มากๆ คุ้มที่จะลงทุนทำรถไฟความเร็วสูงแล้วค่อยคิดเรื่องใช้ขนาดกว้าง 1.435 เมตร ซึ่งก็จะเป็นรถไฟอีกระบบหนึ่ง ประเทศญี่ปุ่นก็ทำแบบนั้น ไต้หวันก็กำลังจะทำแบบนั้น
ท่านที่คิดเอาว่าเพื่อนบ้านเราเองใช้รางรถไฟไม่เหมือนเรา ที่รถไฟเราไม่ทันสมัยก็เพราะใช้รางกว้าง 1 เมตร ก็โปรดทราบตามนี้
ท่านที่คิดแต่จะเชือดเฉือนผลประโยชน์และที่ดินของรถไฟไปทำอย่างอื่นก็ขอให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์บ้าง ที่ทำอยู่ตรงกับปณิธานของบรรพชนหรือเปล่า
พนักงานรถไฟน่าจะได้อ่านประวัติศาสตร์และคิดอะไรออกไปไกลๆ ตัวบ้าง
รถไฟคือประวัติศาสตร์ของชาติ คนรถไฟควรจะภาคภูมิใจกับการได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์นั้น ควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
นำเสนอข้อเท็จจริงให้ประจักษ์แก่สังคม เมื่อความศรัทธาเชื่อถือเกิดขึ้นแล้วก็จะมีผู้สนับสนุน รถไฟก็จะพัฒนาไปได้ตามพระราชประสงค์ขององค์พระผู้ให้กำเนิดกิจการนี้
โดยคุณ : คนรถไฟ
วิธีเรียกร้อง ความสนใจจากแฟน
ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยล้วนปรารถนา ให้แฟนรักและเอ็นดูด้วยกันทั้งนั้น จะมีสักกี่คนเหรอที่ไม่อยาก ให้ดาร์ลิ่งมา คลอเคลียชิดใกล้ มีแต่อยากเกาะติด เขาแจสิไม่ว่า ดังนั้น ถ้าเผื่อสาวๆคนใดอยาก มีคาถาม หาระรวยเป็น นางกวักเรียกร้องให้แฟนของ คุณกลับมาตายรังอยู่เสมอละก็ สัปดาห์นี้เมอร์ลินมีทีเด็ดมาฝากกันอีก
ใน 7 วิธีดึงความสนใจจากเขา (7 Ways to Keep Him Interested) บอกว่า เมื่อผู้หญิงอยากจะให้ ผู้ชายประทับใจเธอไปนานๆละก็ หล่อนควรรู้จักใช้กลวิธีเล็กๆ น้อยๆช่วยบ้างแล้วรับรองว่า คุณจะเป็นผู้หญิง ที่เขาไม่สามารถสลัดออกไปจากหัวใจได้ละกัน... ถ้า... คุณแน่ใจว่าได้ทำสิ่งต่อไปนี้แล้ว เช่น...
มีชีวิตชีวาและใจกว้าง
ร่าเริงเบิกบานและอย่าทำตัวซังกะตายเมื่ออยู่กับคนที่คุณรัก เอางี้ วางแผนไปผจญภัยตามป่าเขา ลำเนาไพรกับกลุ่มเพื่อนสนิทของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไหม หรือจะอาสาสมัครทำงานสังคม สงเคราะห์ ให้เด็กด้อยโอกาส เช่น ไปเป็นเพื่อนเล่น, ไปเป็นครูสอนร้องเพลงให้เด็กๆเงี้ยสนุก จะตาย แถมถ้าไม่สามารถไปเที่ยวให้สนุกสุดเหวี่ยงกะเขาสองต่อสองได้เพราะอะไรก็แล้วแต่ เช่น คุณติดธุระงานการ หรือเขาอยากไปคนเดียวก็ให้เขาไปเถอะ แล้วทันใดนั้นเขาจะตระหนักว่าคุณเป็น คนใจกว้างดั่งมหาสมุทรและ มีน้ำใจมากมายมหาศาลแค่ไหน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกหากเขาจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนทันสมัย ไม่ขี้ระแวง หรือขี้หึงแบบไร้สาระ...คิดดูๆ
ชวนไปเที่ยวแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว
ชวนเขาไปทำอะไรบางอย่างที่แปลกแตกต่างไปจากที่เคยหรือทำแผลงๆ (ในเชิงสร้างสรรค์นะ) ด้วยกัน ดีกว่าที่จะรอให้เขามาชวนไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารชื่อดัง หรือไม่อาจเน้นไปที่เต้นแทงโก้ในคลับ ซึ่งคุณทั้งคู่ไม่เคยเข้าไปสัมผัสมาก่อนก็แจ๋วแหวว ไม่งั้นก็ชวนเขาไปฟังคอนเสิร์ตใต้แสงจันทร์ดีไหม อยากยุให้เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเขาก่อน บางทีเขาอาจประทับใจกับความรักสนุกและนิยม การผจญภัยของคุณก็ได้ แล้วหลังจากนั้นคุณทั้งสองค่อยสร้างความทรงจำที่ยากจะลืม ระหว่างกันและกันตามมาอีกเป็นโขยงก็ได้นี่นา
ทำให้ดาร์ลิ่งได้กลิ่นหอม
ฉีดน้ำหอมที่มีกลิ่นอ่อนๆยั่วยวนใจเขาซะหน่อย เมื่อเขากอดคุณ เขาจะได้กลิ่นของคุณ ทุกลมหายใจไงล่ะ เอ้าอย่าลืมนะว่าเมื่อคุณจากไป สิ่งเล็กๆน้อยๆที่คุณทิ้งไว้ให้เขาคิดถึง อย่างงี้แหละจะทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม ชวนละเมอเพ้อพก หนำซ้ำเจ้ากลิ่นกายหรือกลิ่นน้ำหอมของคุณ ก็ไม่รู้ล่ะ จะติดกายและติดใจเขาไปตลอดทั้งวัน แต่กรุณาเลือกกลิ่นหอมจริงๆ ไม่ใช่ฉุนกึกนะจ๊ะที่รัก
เพิ่มอุณหภูมิในตัวเขา
เทคนิคของข้อนี้ได้แก่ เลือกใส่ชุดชั้นในที่เซ็กซี่เข้าไว้ แม้คุณจะยังสวมใส่เสื้อผ้าภายนอก ที่เรียบร้อย ขนาดไหนก็ตาม แต่เชื่อไหมว่าถุงน่องคู่เซ็กซี่คู่นั้น ซึ่งอยู่ภายใต้กางเกงยีนรัดรูปของคุณจะกระพือ ความรู้สึกเร่าร้อนของเขาขึ้นมาได้ เพราะทุกๆคนรู้นี่ว่า เมื่อสัมผัสกับอารมณ์ซาบซ่านแล้ว จะเป็นอย่างไร แม้แต่ชุดชั้นในที่คุณทิ้งให้เขาไว้ดูต่างหน้าก็ยังชวน ให้เขาว้าวุ่นใจว่าเมื่อไหร่จะได้พบคุณอีก
เพิ่มไฟเร่าร้อน
ให้สุดสวาทขาดใจรู้ว่า คุณคิดว่าเขาเซ็กซี่ แล้วถูเบาๆที่บริเวณไหล่ของเขา หรือขณะเดินเคียงข้าง ไปด้วยกัน คุณกระซิบบอกเขาหน่อยดีไหมว่า กางเกงที่เขาใส่ อยู่ ทำให้คุณต้องชำเลืองมองดู อยู่บ่อยๆ ก็แหมอยากให้เขารู้สึกถึงความทะลึ่งตึงตังนิดๆ หน่อยๆของคุณไง
จูบให้เขาประทับใจ
ให้เขาประทับใจกับรอยจูบที่คุณทิ้งไว้ในหนังสือหรือบนผ้าเช็ดหน้า เผื่อเขาถือติดมือไปใช้ใน ที่ทำงานเขาก็จะคิดถึงคิดคุณ แต่เหนืออื่นใด ถ้าเป็นไปได้จะประทับรอยจูบอย่างอ่อนโยนและ แสดงให้เขาเห็นอย่างเต็มใจก็ได้นี่ว่า คุณนั้นรักเขาปานจะกลืนแค่ไหน ทำแค่เนียะรับรองได้เลยว่า คุณจะเป็นดวงดาวในใจของเขาตลอดทั้งคืน... ว้าว รักจะกระพือความซู่ซ่าก็คืนนี้แหละ
ห้ามขาดการติดต่อ
ดีแค่ไหนที่จะทำให้เขารู้สึกว่าคุณกำลังคิดถึงเขา เอ้างั้นส่งอีเมล์หรือโทร ศัพท์ไปหาและบอกเขาสิว่า คุณอยากจะเซเฮลโลกะเขาจนทนไม่ไว้แล้วน้า เพื่อให้เขารู้ไงว่า เขานั้นนั่งอยู่ในใจของคุณตลอดเวลา ฮัดช่า! อะไรจะหวานจ๋อย สวีต จ๋าถึงปานนี้
ความพยายามที่จะทำให้ เขารักทั้งหลายแหล่ที่เล่าให้ฟังเจื้อยแจ้วมายืดยาวนั่นน่ะ หัดทำๆบ้าง รักจะได้ทวีคูณไงตัว ว่าแต่มีเสียงกระซิบจากฝ่ายชายให้ได้ยินด้วยเหมือนกันว่า อย่าให้เขาเห็นสาวๆในภาพเหล่านี้เลย เพราะแทนที่จะเลิฟ ตรงข้ามอาจเกิด อาการสยดสยองขึ้นแทนก็ได้ เช่น...
ทำสวยที่แสนวิจิตรบรรจง
การทำตัวให้สวยของอิสตรีอาจเป็นกระบวน การที่น่าเกลียดได้นะเอ้า แต่ อิ อิ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ว่าผู้ชายไม่ชอบผิวนุ่มๆของสาวๆนะ เขาน่ะชอบอยู่แล้วล่ะ แต่ก็อีก ผู้ชายบางคนอาจมองอะไร ที่มากไปกว่าการแปรงฟันไม่ไหวหรอก เช่น ถ้าเห็นสาวๆใช้ไหมขัดฟันงี้ มันทำลายอารมณ์ปรารถนา ให้กระเจิงได้ เพราะคุณจะมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง หรือไม่นั้น เขาก็ไม่อยากเห็นปากเดียวกันกับที่เขาจูบ ถ่างอ้าจนสุดเหยียดขนาดนั้นหรอก ฉะนั้นก่อนทำอย่างงี้ช่วยไปทำลับหลังหนุ่มๆหน่อยเหอะ
เห็นเธอกำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
ฟิลิป วัยเกือบ 30 เผยไต๋ว่า เขามีปัญหากับการได้ยิน ได้เห็น หรือแม้แต่รู้ว่าแฟนกำลังฉี่ หรืออึอยู่ เพราะภาพเหล่านี้มันน่ารักซะที่ไหนล่ะ ดังนั้น ถ้าคุณอยากรักษาความลึกลับของเพศหญิงไว้ล่ะก็ ทางที่ดีจงปลดปล่อยธรรมชาติของคุณในที่ส่วนตัวเท่านั้น
หว่านเสน่ห์แบบไม่เข้าท่า
ก็จริงนะที่ผู้หญิงเพียงแค่ทำตัวสะบัดสะบิ้งหรือส่งสายตาปิ๊งปั๊ง ไปให้ใครสักคนในผับหรือในบาร์ เดี๋ยวก็มีคนส่งเครื่องดื่มค็อกเทลมาประเคนหล่อนแล้ว แต่อาการโปรยเสน่ห์อย่างไม่รู้กาลเทศะนี่ บอกได้เลยว่า คงมีชายน้อยรายที่ชอบสาวเจ้าชู้ เพราะการยั่วยวนชายอื่นต่อหน้าดาร์ลิ่งน่ะ แฟนคุณอาจคิดอยู่ในใจก็ได้ว่า หล่อนจวนเจียนจะไปนอนกะหมอนั่นอยู่รอมร่อแล้วนะซี หนำซ้ำเขาอาจเตลิดคิดต่อไปก็ได้ว่า ขนาดต่อหน้ายังเจ้าชู้ ปานนี้ แล้วลับหลังเธอจะมั่ว เอ๊ยขี้เล่นประมาณไหน แฮ่ม! เดี๋ยวก็มีหนังสดตอนคนตบกันให้ได้เห็นบ้างหรอก.
เรื่องน่ารู้ของ แอปเปิ้ล
แม้แอปเปิ้ลจะไม่ใช่ผลไม้ไทย
แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็เคี้ยวกันกรุบกรอบไม่เคยรู้สึกแปลกลิ้น
เพราะรสหวานอมเปรี้ยวเนื้อแน่นกลิ่นหอมเฉพาะตัวเป็นที่ถูกใจคอผลไม้
และที่สำคัญแอปเปิ้ลเข้าสู่ตลาดเมืองไทยตั้งแต่ยุคคุณยายยังสาวนั่นเชียว
ในเภสัชโภชนาภาคหนึ่ง
ผมเคยกล่าวถึงความพิสดารของแอปเปิ้ล
ในแง่เป็นยาป้องกันโรคหลายชนิด
วันนี้เรามาเรียนรู้แอปเปิ้ล
ในแง่โภชนาการรวมถึงเกร็ดสุขภาพต่างๆ
ผลไม้ของอดัม
อดัมกับอีวาเป็นมนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าสร้างให้อยู่ในสวนอีเดน
คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าอดัมขโมยกินแอปเปิ้ลต้องห้าม
ถูกพระเจ้าจับได้ลงโทษให้ชิ้นแอปเปิ้ลที่กำลังกลืนคาอยู่ตรงคอ
กลายเป็นลูกกระเดือก หรือ Adam\'s AppIe
ซึ่งยังมีเฉพาะในผู้ชายที่เป็นลูกหลานอดัมจนทุกวันนี้
นี่ถ้าพี่เเก่กินกล้วยเข้าไปทั้งลูกแล้วโดนสาปคงพิลึกกว่านี้อีก
ผู้เชียวชาญด้านพระคัมภีร์แย้งว่า
ไบเบิ้ลไม่ได้ระบุว่าผลไม้ที่อดัมกินคือแอปเปิ้ล
เพียงบอกว่ากินผลไม้ต้องห้าม
คนทั่วไปคิดเอาเองว่าเป็นแอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลเป็นพืชตระกูลเดียวกับกุหลาบ
มีการค้นพบซากฟอสชิลแสดงให้เห็นว่า
มนุษย์รู้จักเก็บรวบรวมแอปเปิ้ลมากินเป็นอาหารกว่าห้าพันปีแล้ว
ชาวอียิปต์และโรมันรู้จักเพาะปลูกแอปเปิ้ล
และได้รับการขยายพันธุ์คัดเลือกพันธุ์แพร่สู่ยุโรป
นักล่าอาณานิคมนำแอปเปิ้ลไปสู่อเมริกา
และมีการทำสวนเกษตรแอปเปิ้ลเริ่มแรกในแมสซาชูเส็ทส์และเวอร์จิเนีย
ตำนานอเมริกันยกย่องให้ Johnny Appleseed
หรือชื่อจริง Jonathan Chapman
เป็นผู้แพร่กระจายพันธุ์แอปเปิ้ลไปทั่วอเมริกา
ความที่แอปเปิ้ลเป็นที่รู้จักกันมาแต่โบราณในยุโรป
มันจึงกลายเป็นตัวเปรียบเทียบเมื่อกล่าวถึงผลไม้รุ่นหลัง เช่น
-มะนาวและลูกพีชเคยได้ชื่อว่า "เปอร์เชียนแอปเปิ้ล"
เมื่อครั้งที่เข้าไปในยุโรปใหม่ๆ
-มะเขือยาวเคยมีชื่อเรียกว่า "Mad Apples" หรือแอปเปิ้ลบ้า
เพราะฝรั่งโบราณเชื่อว่าพืชจำพวกมะเขือ (Night Shade หรือ Solanum)
กินแล้วจะกลายเป็นบ้า
-มะเขือเทศมีชื่อว่า "Love Apples"
-ทับทิมเรียก "Apple of Cartilage"
-ชาวกรีกเรียกแอปริคอท ว่า "Armenian Apple"
-ผลไม้จำพวกอินทผลัมได้ชื่อว่า "Finger AppIes"
ทุกวันนี้ แอปเปิ้ลกลายเป็นผลไม้ประจำบ้านของชาวอเมริกันจนมีสำนวนว่า
"As American as Apple-Pie"
และแม่มักสอนลูกให้กินแอปเปิ้ลวันละผลด้วยคำกลอนว่า
"An apple a day can heIp keep the doctor away"
อันหมายความว่ารับประทานแอปเปิ้ลวันละผลจะช่วยให้ไม่ต้องไปหาหมอ
เพราะแอปเปิ้ลช่วยให้มีสุขภาพดีนั่นเอง
ผู้หญิงกับแอปเปิ้ล
ชาวกรีกเปรียบเทียบแอปเปิ้ลกับผู้หญิง
ลูกแอปเปิ้ลเป็นตัวแทนของหน้าอก
เมล็ดแอปเปิ้ลหมายถึงการดั้งครรภ์
และต้นแอปเปิ้ลหมายถึงหญิงมีครรภ์
ในสังคมตะวันตกแอปเปิ้ลเกี่ยวพันกับความรักมาก
จนมีคำกล่าวว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีแอปเปิ้ล
(Where there is love, there is an appIe)
ตั้งแต่อดีตมามีการใช้แอปเปิ้ลในพิธีบวงสรวงเทวีแห่งความรัก
"อะโฟรไดท์ "(Aphrodite)
ชายชาวนาชนบทอเมริกันเมื่อร้อยปีที่แล้วมีวิธีเลือกคู่โดยใช้เมล็ดแอปเปิ้ล
วิธีการคือหาเมล็ดแอปเปิ้ลมาเท่ากับจำนวนหญิงที่ไปติดพัน
ตั้งชื่อเมล็ดแอปเปิ้ลตามชื่อหญิงแต่ละคน
จากนั้นใช้นิ้วดีดเมล็ดขึ้นไปให้สูงสุด
ถ้าเมล็ดไหนชนเพดาน แสดงว่าหญิงคนนั้นคือคู่ครองในอนาคต
วิธีเสี่ยงทายแบบนี้สืบค้นย้อนหลังไปได้ถึง ๒,๐๐๐ ปี
ใครที่ชอบภูตผีปีศาจอาจลองอีกวิธีคือ ก่อนเที่ยงคืนฮาโลวีน
จงนำแอปเปิ้ลและเทียนหนึ่งเล่มเข้าไปในห้องมืด ยืนหน้ากระจก
เฉือนแอปเปิ้ลเป็นชิ้นเล็กๆ โยนผ่านไหล่ขวาและกินที่เหลือ พร้อมก้บแปรงผมไปด้วย
ห้ามมองไปด้านหลังจนกว่าเที่ยงคืน
ภาพชายว่าที่สามีคุณจะปรากฎในกระจก
คุณค่าทางโภชนาการ
แอปเปิ้ลให้คาร์โบไฮเดรตและวิตามินซี
ซึ่งปริมาณวิตามินซีมากน้อยขึ้นกับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว
และความสดแอปเปิ้ลที่เก็บไว้นานเนื้อนิ่ม จะสูญเสียตามินซีไปมาก
เนื้อแอปเปิ้ล ๑ ขีด
ให้พลังงานราว ๕๙ แคลอรี่ ซึ่งจัดว่าน้อย ไม่ทำให้อ้วน
วิตามินซีมีประมาณ ๖ มิลลิกรัม ซึ่งก็นับว่าน้อยด้วยเช่นกัน
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ
แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและช้าค่อยเป็นค่อยไป
เพราะมันมีน้ำตาลฟรุคโตสเป็นองค์ประกอบหลัก
ฟรุคโตสเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้าๆในร่างกาย
ผลที่ตามมาคือระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะคอยเพิ่มสม่ำเสมอ
ไม่สูงฮวบฮาบเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวาน
ในแง่โภชนาการแอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ระดับแนวหน้า
อย่างส้ม ฝรั่ง กล้วยหอม ซึ่งมีวิตามินเกลือแร่เป็นกอบเป็นกำมากกว่า
แต่หากคุณกินแอปเปิ้ล ๒-๔ ลูกต่อวัน
คุณจะได้รับไฟเบอร์ทั้งชนิดละลายและไม่ละลายในปริมาณน่าพอใจ
และยังมีวิตามินซีปานกลาง
ส่วนเบต้าแคโรทีนจะได้รับต่อเมื่อคุณกินแอปเปิ้ลทั้งเปลือก
แอปเปิ้ลยังมีแร่ธาตุน่าสนใจสองตัว คือโปแตสเซียมและโบรอน
นอกจากนี้ก็มีอย่างละเล็กละน้อย
เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส ทองแดง
แอปเปิ้ลไซเดอร์
ผลผลิตแอปเปิ้ลทั่วโลกตกราว ๓๒ ล้านตันต่อปี
มากกว่าครึ่งใช้รับประทานสด
ที่เหลือนำไปใช้ทำน้ำส้ม น้ำผลไม้ เยลลี่
ทำผลไม้กระป๋อง ไวน์ บรั่นดี เนยแอปเปิ้ล
หนึ่งในสี่ของผลผลิตแอปเปิ้ลโลกจะถูกทำเป็นไซเดอร์(Cider)
ไซเดอร์ดืออะไร
เราได้ยินชื่อนี้มานานแต่ไม่ค่อยรู้ความหมายลึกซึ้ง
แท้ที่จริงไซเดอร์คือน้ำคั้นแอปเปิ้ลนั่นเอง
ความที่แอปเปิ้ลมีทั้งหมดราว ๗,๕๐๐ สายพันธุ์ ปลูกกระจายอยู่ทั่วโลก
บางพันธุ์ก็ใช้เป็นอาหาร กินดิบ ปรุง อบ
แต่บางพันธุ์รสเปรี้ยวเนื้อไม่กรอบแต่ดก
ชาวบ้านก็ดัดแปลงทำเป็นไซเดอร์
ไซเดอร์ในดวามหมายอเมริกันดือน้ำคั้นแอปเปิ้ล
ถ้าคั้นสดๆเรียกสวีทไซเดอร์
และถ้านำไปหมักจะได้ฮาร์ดไซเดอร์
แต่ถ้าใช้ค่านี้ในแถบยุโรป จะหมายถึงน้ำคั้นแอปเปิ้ลที่หมักแล้ว
ไซเดอร์แอปเปิ้ลมีไขมัน โปรตีน วิตามินซี และวิตามินเอค่อนข้างต่ำ
มีคาร์โบไฮเดรตปานกลาง
โดยคาร์โบไฮเดรตจะอยู่ในรูปน้ำตาลที่ดูดซืมได้อย่างรวดเร็วถึง ๗๕%
ดังนั้นแอปเปิ้ลหรือน้ำแอปเปิ้ลจึงแก้อ่อนเพลียได้อย่างดี
ไฟเบอร์จากแอปเปิ้ลดีอย่างไร
คุณอาจเคยได้ยินอาหารเสริมไฟเบอร์
ชื่งสกัดจากผลแอปเปิ้ลโฆษณาขายทั่วไป
มีคนเคยถามผมว่ามันดีอย่างไร
แอปเปิ้ลเป็นแหล่งไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ดีครับ
แอปเปิ้ลขนาดกลางหนื่งลูก
จะให้ไฟเบอร์ราว ๑๗ % ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
ไฟเบอร์ร้อยละ ๘๑ เป็นไฟเบอร์ชนิดละลายชื่อ "เพคติน"
มีคุณต่อหลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานและคนที่โคเลสเตอรอลสูง
เพคตินเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้
เมื่อผสมในน้ำจะทำให้น้ำข้นและใสคล้ายวุ้นเช่นที่เราเห็นในเนื้อแยม
เมื่อนำผลไม้มากวนทำแยม
แยมจะข้นเหนียวเพราะน้ำตาลและสารเพคตินนี้เอง
นอกจากเพคติน ในแอปเปิ้ลยังมีไฟเบอร์อีกชนิดเรียกเซลลูโลส
ซื่งละลายน้ำไม่ได้ ไฟเบอร์ทั้งสองไม่ย่อยสลายด้วยน้ำย่อยในกระเพาะ
จึงไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
แต่ครั้นเดินทางถึงลำไส้ใหญ่
แบคทีเรียบริเวณนี้จะสามารถย่อยสลายไฟเบอร์
ให้กลายเป็นกรดไขมันสั้นๆหลายชนิด
ตัวที่นักวิทยาศาสต์สนใจคือ กรดบิวทายริก (Butyric Acid)
ซึ่งเชื่อว่ามีฤทธิ์ปกป้องเซลล์ลำไส้ใหญ่ให้ปลอดจากมะเร็งได้
พบจากการศึกษาว่าคนที่มีระดับกรดบิวทายริกในลำไส้ใหญ่ต่ำ
จะเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้และโรคลำไส้อักเสบสูงกว่าคนปรกติ
สารเพคตินและอะไรอีกบางอย่างในแอปเปิ้ล
ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้ถืง ๑๐%
ซึ่งเท่ากับโอกาสเสี่ยงจากการที่มีไขมันอุดตันในเส้นเลือด
ที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจย่อมลดลงด้วย
จึงเชื่อว่าผลไม้ที่มีเพคตินและเซลลูโลส
สามารถป้องกันมะเร็งและลดโดเลสเตอรอลได้
ไม่เฉพาะแอปเปิ้ลหรอกครับ
ผลไม้ทุกชนิดมีเชลลูโลสอยู่แล้ว
และหลายชนิด เช่น แอปเปิ้ล สตอเบอรี่ ส้ม สับปะรด
ล้วนเป็นแหล่งที่ดีของเพคติน
แอปเปิ้ลกับเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในน้ำแอปเปิ้ล
การศึกษาในแคนาดาพบว่า
น้ำแอปเปิ้ลที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าทั่วไป
สามารถระงับการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสโปลิโอในหลอดทดลองได้
เมื่อเทียบกับน้ำผลไม้และเครื่องดื่มอีก ๑๘ ชนิดที่วางขายทั่วไป
พบว่าน้ำแอปเปิ้ลมาอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยน้ำองุ่นและน้ำชา
ซึ่งทั้งสามสามารถกำจัดไวรัสได้หมด ๑๐๐%
และต่อมายังพบว่าคนที่กินแอปเปิ้ลบ่อยๆ
จะไม่ค่อยเป็นโรคจากไวรัสเช่นหวัด
และโรคในทางเดินหายใจตอนบน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
เรียกแอปเปิ้ลว่าเป็นผลไม้สุขภาพยอดเยี่ยม
พวกเขาได้ทำการศึกษาๆในปี ค.ศ. ๑๙๖๑
โดยเปรียบเทียบประวัติเด็กนักเรียน ๑,๓๐๐ คน
พบว่าเด็กที่กินแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ประจำตัวนานสามปีขึ้นไป
จะมีประวิติไปพบแพทย์น้อยกว่าพวกที่ไม่ชอบแอปเปิ้ลถึงหนึ่งในสาม
และมีสุขภาพโดยรวมดีกว่า
แอปเปิ้ลลดความอ้วน
คาร์โบไฮเดรตในแอปเปิ้ลถึง ๗๕%
อยู่ในรูปน้ำตาลฟรุคโตสซึ่งร่างกายจะนำมาใช้อย่างช้าๆ
ทำให้ระดับน้ำตาลไม่สูงหรีอต่ำเร็วเกินไป
แอปเปิ้ล จึงช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน
จากการทดลองพบว่าแอปเปิ้ลผลเท่านั้นที่มีฤทธิ์เช่นว่า
น้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้คุณหายหิว
ใครต้องการลดความอ้วน
ลองเลือกแอปเปิ้ลผลไม้ระหว่างมื้อ
แทนของว่างจำพวกขนมกรุบกรอบดีกว่ากันเยอะเลยครับ
ข้อควรรู้ในการเลือกซื้อ
เรามักเห็นแอปเปิ้ลวางขายทั่วไปตามตลาดสด
หรือตลาดหนีภาษีโดยไม่แช่เย็น
จนเข้าใจว่าแอปเปิ้ลสามารถเก็บได้โดยไม่ต้องแช่
อันที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น
แอปเปิ้ลสามารถเสื่อมสลายได้เหมือนผลไม้ทั่วไป
เพียงแต่ว่าเปลือกนอกหนาสามารถรักษาความชื้นในเนื้อไว้ได้ดี
จึงดูเหมือนกับยังสดอยู่เสมอทั้งที่วิตามินเกลือแร่ยังคงสลายตัวไปเรื่อยๆใน ๒-๓
วัน
ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อแอปเปิ้ลที่ไม่แช่เย็น
หากคิดจะได้คุณค่าของวิตามินให้คุ้มเงินที่เสียไป
แอปเปิ้ลที่ไม่แช่จะค่อยๆสุกจัดตามเวลาและไอร้อนของอากาศ
เนื้อและรสชาติจะเปลี่ยนใน ๒-๓ วัน เนี้อรอบแกนจะคล้ำเป็นสีน้ำตาล
เนื้อแอปเปิ้ลที่ดีจะต้องแข็ง หากคุณสามารถบีบให้ยุบได้ด้วยแรงจากนิ้ว
แสดงว่ามันสุกเกินควรแล้ว
การแช่เย็นช่วยรักษาคุณภาพแอปเปิ้ลไว้ได้นานหลายเดือน
แต่ควรใส่ในถุงพลาสติก
แม้ผิวนอกจะดูสวยน่ากัด แต่คุณควรล้างแอปเปิ้ลทุกดรั้ง
เพราะผิวแอปเปิ้ลมักเคลือบไขผึ้ง หรือ Wax
จากเมืองนอกเพื่อให้สินค้าดูใหม่สดช่วยเก็บรักษาได้นาน
ตัวไขผึ้งปลอดภัยต่อการบริโภค
แต่มันอาจเคลือบสารพิษตกค้างเช่นอะลาร์
หรือสปอร์ของเชื้อราไว้ข้างใต้
ไขผึ้งไม่ละลายน้ำจึ งล้างให้สะอาดด้วยน้ำได้ยาก
ควรใช้น้ำยาสำหรับล้างผักผลไม้โดยเฉพาะ
แอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นทิ้งไว้มักดำคล้ำไม่น่ากิน
แก้โดยทาผิวส่วนที่ปอกด้วยน้ำมะนาว
หรือแช่ในน้ำเย็นจัดทันทีหลังปอก
เบื่อแอปเปิ้ลสด ก็สามารถดัดแปลงง่ายๆ
ทำแอปเปิ้ลอบไมโครเวฟเหมาะสำหรับเป็นอาหารเช้า ของว่าง ของหวาน
วิธีการคือนำแอปเปิ้ลคว้านไส้แล้วใส่ในถ้วยขนม
เติมน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ลงพอประมาณ
ใส่ไส้ด้วยสูตรตำรับอะไรก็ได้ที่ชอบ
หรือจะทิ้งกลวงโบ๋ก็ตามใจ
ปิดปากถ้วยด้วยกระดาษไขหรือพลาสติกห่ออาหารชนิดกันความร้อน
นำอบ ในเตาไมโครเวฟ ๒-๔ นาที ทิ้งให้อุ่น กินอร่อยดี
อะลาร์ (Alar) สารตกค้าง
ในเมืองไทยเคยมีข่าวฮือฮาเรื่องสารอะลาร์
ตกค้างในผลแอปเปิ้ลที่ส่งจากนอก
ต่อมาก็เงียบหายไปจนดูเหมือนว่าเป็นเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ที่จริงการรณรงค์และเฝ้าระวัง
มิให้ใช้สารอะลาร์เพื่อการผลิตแอปเปิ้ล
ยังคงดำเนินต่อในประเทศผู้ผลิต โดยมีกลุ่มองค์การ NGO
และองค์กรพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้บริโภคช่วยกันติดตามตรวจสอบ
ประมาณปีพ.ศ.๒๕๓๒
ข่าวสารอะลาร์ตกค้างในแอปเปิ้ลถูกนำมาเปิดโปง
ประชาชนรุมประณามผู้ผลิต และเรียกร้องให้ยุติการใช้อะลาร์
กล่าวกันว่าประชาชนไม่ได้กลัว
แต่เป็นกบฏต่ออะลาร์เลยทีเดียว
มีคำว่า Alar Rebellion เกิดขึ้น
อะลาร์เป็นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตในพืช
ผลิตโดยบริษัหยูนิรอยัล สหรัฐอเมริกา
เมื่อฉีดสเปรย์อะลาร์ไปที่ต้นแอปเปิ้ลที่ออกผล
มันช่วยให้ผลแอปเปิ้ลติดอยู่กับต้นนานกว่าปรกติ
ทำให้ลูกแอปเปิ้ลโตกว่า สีเข้มกว่าผลผลิตตามธรรมชาติ
และยังทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้พร้อมกันทีละมากๆ
โดยไม่ต้องใช้ความอุตสาหะเหมือนอดีต
ในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๐๘-พ.ศ. ๒๕๓๒
แอปเปิ้ลที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาครึ่งหนึ่งถูกฉีดพ่นสารอะลาร์
แต่นับเป็นโชคร้ายของผู้ผลิตและโชคดีของผู้บริโภค
ในช่วงพ.ศ.๒๕๑๖- พ.ศ.๒๕๒๐
มีการศึกษาพบว่าอะลาร์สามารถก่อมะเร็งในหนูทดลอง
และในปีพ.ศ.๒๕๒๗
รัฐบาลจัดสารอะลาร์ไว้ในกลุ่มสารที่อาจกระตุ้นมะเร็ง
เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปประชาชนเริ่มกลัว
ไม่มีใครอยากกัดแอปเปิ้ลสดกรอบจากไร่
แม่ไม่ให้ลูกกินพายแอปเปิ้ล ซ้อสแอปเปิ้ล หรือน้ำไซเดอร์
คำถามที่ผู้บริโภคมีในใจคือ
ทำไมรัฐบาลยอมให้ฉีดพ่นสารก่อมะเร็งเร่งผลผลิต
จำเป็นหรือที่ต้องเอาชีวิตผู้บริโภคมาเสี่ยงเพื่อให้บริษัทสารเคมีทำกำไรต่อไป
รัฐบาลน่าจะสั่งให้ยุติการใช้อะลาร์ในอาหาร
รัฐบาลไม่ทำ ตรงกันข้ามบริษัทยูนิรอยัลกลับพยายามล็อบบี้ให้รัฐบาล
ดึงอะลาร์ออกจากบัญชีรายชื่อสารที่อาจกระตุ้นมะเร็ง
ช่วงนั้นเองที่ประชาชนเริ่มก่อกบฏต่อการไช้สารอะลาร์
โดยแสดงพลังงดซื้อ
ผลก็คือยอดขายแอปเปิ้ลตกฮวบลงในปีพ.ศ.๒๕๒๗ ถึง ๓๐%
และตกอยู่อย่างนั้นจนถึงพ.ศ.๒๕๓๒
แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะรวมหัวกันคว่ำบาตร
แต่จนถึ งปี พ.ศ. ๒๕๒๗
รัฐบาลอเมริกาก็ยังไม่ออกกฎหมายห้ามการใช้อะลาร์
ปลายเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๒๗
กลุ่มองค์กรเอกชนร่วมกับเครือข่ายโทรทัศน์ระดับชาติ CBS
ได้เปิดประเด็นคัดค้านการใช้สารอะลาร์อีกระลอก
และประชาชนก็ร่วมสนับสนุนโดยทันที
ยอดจำหน่ายแอปเปิ้ลลดลง ๖๐%
ถืงเดือนมิถุนายนเกษตรกรผู้ผลิตแอปเปิ้ลยอมยกธงขาว
บางส่วนเข้าร่วมขบวนการต้านสารอะลาร์
และสนับสนุนข้อเรียกร้องให้เก็บอะลาร์ออกจากท้องตลาด
กับขอรัฐบาลให้ประกาศให้อะลาร์เป็นสารผิดกฏหมาย
ผู้ผลิตแอปเปิ้ลรายใดที่ไม่ใช้สารอะลาร์
ติดฉลากให้รู้ คล้ายผักปลอดสารพิษ
แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นเพราะผลผลิตน้อยลง แต่ประชาชนเต็มใจซื้อ
ถึงพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๗
บริษัทยูนิรอยัลตัดสินใจเก็บสารอะลาร์จากตลาดในประเทศจนหมด
ทำให้กระแสต่อต้านลดลง
เรื่องน่าเศร้าคือรัฐบาลยังคงวางเฉย
มิได้ขึ้นทะเบียนอะลาร์เป็นสารต้องห้ามตามกฎหมาย
นั่นก็หมายความว่า
วันดีคืนดียูนิรอยัลอาจขุดอะลาร์ขึ้นมาจากหลุมอีกก็ได้
ที่แน่ๆผมเคยซื้อสารอะลาร์จากสวนจตุจักร
มารดต้นไม้ในสวนหลังบ้าน
นั่นแปลว่าเขาหยุดขายอะลาร์ในประเทศตัวเอง
แต่กลับถ่ายเทออกมาขายต่อเกษตรกรในโลกที่สามอย่างพวกเรา
เห็นได้จากการที่บริษัทยูนิรอยัลได้ขยายตลาดสารเคมี
ไปยังประเทศต่างๆถึง ๗๑ ประเทศ
และอัตราการผลิตอะลาร์โดยรวมในแต่ละปีมิได้ลดลง
การต่อสู้ของผู้บริโภคตลอดหลายที่ผ่านมา
มิได้ทำให้ยูนิรอยัลกระเทือนเลย
ในประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
เคยเก็บตัวอย่างแอปเปิ้ลส่งตรวจวิเคราะห์ไม่พบสารอะลาร์
แต่ถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าอะลาร์เข้ามาอยู่ในสวนมะม่วง มะปราง
มังคุดแล้วหรือยัง
กินผลไม้ตามฤดูกาลขนาดเล็กใหญ่ตามธรรมชาติ
ล้างผลไม้ให้สะอาดก่อนกิน
ปลอดภัยที่สุดครับ
โดยคุณ : สรจักร ศิริบริรักษ์
ชาเขียวมีตัวยารักษาป้องกันโรคเอดส์ปฏิวัติเปลี่ยนวิธีรักษาโรคร้ายเสียใหม่
ชาเขียวอาจจะกลายเป็นพระเอก เพราะมีตัวยาสำคัญใช้รักษาโรคเอดส์ ที่กำลังคร่าชีวิตชาวโลก ลงอย่างมากมายอยู่ทั่วไป
นักวิทยาศาสตร์ชาวอาทิตย์อุทัย ได้พบว่าสารในชาเขียว สามารถป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเอดส์ กัดกินเซลล์ภูมิคุ้มโรค อันเป็นหนทางที่เชื้อโรคแพร่กระจายในเนื้อตัวคนได้ สารเคมีในชาเขียว ส่วนใหญ่เป็นสาระสำคัญที่มีอยู่ในสีเสียดเทศ เคยมีการศึกษาพบมาก่อนแล้วว่า สารพวกนี้เป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยปกป้องเซลล์ของร่างกายจากโรคภัยต่างๆ ตั้งแต่โรคหัวใจและมะเร็ง ได้ พวกเขาได้รายงานผลการศึกษาอยู่ในวารสารการแพทย์เรื่องโรคแพ้และภูมิคุ้มโรคว่า การค้นพบหนนี้ อาจนำไปสู่การรักษาโรคเอดส์วิธีใหม่ขึ้นได้ นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวบอกว่า การที่จะใช้มันมาเป็นยารักษาโรคเอดส์ ยังจำเป็นจะต้องค้นคว้ากันต่อไปอีก และรีบอธิบายว่า อย่าเพิ่งนึกว่าลำพังการดื่มชาเขียว ก็อาจจะช่วยป้องกันโรคร้ายได้ เพราะเหตุว่าในการศึกษาในห้องทดลองนั้น ต้องใช้สารจาก ชาเขียวที่มีความเข้มข้นสูงกว่า ปริมาณที่จะได้จากการดื่มชาเขียวมากกว่ากันหลายเท่านัก.
ตอนนี้เธอกำลังกอดกับใครอยู่.
ตอนนี้เธอกำลังกอดกับใครอยู่..
ตอนนี้เธอกำลังหัวเราะกับใครอยู่..
ตอนนี้เธอกำลัง.. ..อยู่กับใคร..
ส่วนตอนนี้.. ...
...ฉันกำลังร้องไห้กับตัวเอง...
ฉันก็คงทำได้เท่านี้.. ...ไม่เคยทำอะไรได้มากกว่านี้เลย
แม้ว่าเธอกำลังจะทิ้งฉันไปแล้ว.. ..ฉันก็ได้แต่นั่งอยู่เฉย ๆ
แบบที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง..
เธอเคยถามกัน..
ว่าฉันจะทำยังไง แล้วจะให้เธอทำยังไง..
สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันได้บอกเธอไปแล้ว....
แต่เธอไม่เคยคิดจะทำให้กันเลย..
เธอแคร์ความรู้สึกของเขามากกว่าฉัน..
เธอยอมทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง..
เธอบอกว่าเธอไม่อยากมานั่งรับผิดชอบชีวิตใคร..
แต่สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ คือ รับผิดชอบชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่..
นี่หรือที่เธอบอกกัน ฉันมันเป็นได้แค่สิ่งที่ทำความรำคาญให้เธอใช่ไหม..
ตอนนี้เขาคงได้ทั้งใจและตัวเธอไปแล้ว..ใช่ไหม..
ส่วนฉันคงไม่เหลืออะไรแล้ว ชีวิตฉันคงต้องจบลงตรงนี้ใช่ไหม..
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงไปรักเขาได้
แต่ให้รู้ไว้ว่าทุกวันนี้เรารักเขาและต้องรักให้ดีที่สุดก็พอ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องสนว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน
แต่ควรนึกขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้มีอุปสรรค เพื่อให้เราทั้งสองได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง
แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักแล้วหรือยัง
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปมัวระแวงว่าเขาจะไปมีใครอื่นนอกเหนือจากเรา
แต่ควรระวังใจของตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใครเข้ามาในใจอีก
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขา ว่าเขาเคยมีใครยังไง
แต่ให้คิดไว้ว่าทุกวันนี้มีเขาและเราอยู่ด้วยกัน...อดีต..ถึงอย่างไรก็คืออดีต
การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อทะเลาะกัน คำว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญ
เราจึงยอมให้เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ ถ้าทำให้เขาสบายใจ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา
แต่ควรพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขาจะดีกว่า
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรหูเบา
เพราะอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารักได้
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ใช่การสัมผัสกันด้วยร่างกาย
แต่เป็นการสัมผัสกันด้วยหัวใจต่างหาก
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันทุกวัน
เพราะการที่เราคอยห่วงใยกันอยู่เสมอๆ ก็สามารถทดแทนคำว่ารักได้ดี แม้สักล้านคำ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่เกี่ยวกับสิ่งของนอกกายใดๆเลย
เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สิน
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องคอยนับว่าเขามีข้อเสียมากมายสักกี่ข้อ
เพราะข้อดีของเขาก็มีมากพอที่จะทำให้เราลืมข้อเสียทั้งหมดของเขาได้
การที่เราจะรักใครสักคน....ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา
แค่เรามีเขาอยู่ในใจทุกนาทีก็พอ
การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อเห็นเขาเสียใจ
ไม่ต้องรอจนกระทั่งเขาเสียน้ำตา แล้วค่อยเข้าไปปลอบใจ
แต่ควรรีบเข้าไปแบ่งเบาความทุกข์ของเขาเสียตั้งแต่เมื่อเราเห็นเขาเงียบๆซึมๆไป
เพราะหากเราปล่อยเขาไว้จนสายเกิน
ผลสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดเมื่อรู้ตัวก็คือตัวเราเอง
การที่เราจะรักใครสักคน...อย่ารอที่จะบอกรัก ให้รีบบอกคนที่เรารักซะ
ก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้บอกอีกต่อไป
การที่เราจะรักใครสักคน...แม้ว่าอาจทำให้เราตาบอด
แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจ ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน มันมีมากมายแค่ไหน
การที่เราจะรักใครสักคน...จงเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากๆ
การที่เราจะรักใครสักคน...ง่ายยิ่งกว่าการพยายามลบเขาออกไปจากหัวใจ
ความรัก สอนให้เราได้เรียนรู้หลายๆสิ่ง
ความรักเป็นบทเรียนดีๆ
ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ความรัก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
ความรัก ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้
จากการที่เราได้....รัก....ใครสักคน...
Story by : SoN
Date : 2 May 2004