++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเล่าจากหนังสือ..

จากหนังสือธรรมะอ่านสบาย..หลากหลายความคิดจากหลวงพ่อปัญญา
เล่าเพิ่มเติมโดย บ.ส.ษิริ บุณยภาค..

...แม่ครับ...ผมเป็นลูกแม่นะครับ...

ม ีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้ากุฎิ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาซึมๆหมองๆ อยู่ในชุดนักเรียนเดินเข้ามาหา ยกมือไหว้ แล้วพูดว่า..

"หลวงพี่ครับ ผมขอข้าวกินหน่อยครับ แล้วผมจะทำงานชดใช้ให้"

ผ ู้เขียนบอกให้เขาไปอาบน้ำ ชำระความอ่อนล้าเสียก่อน แล้วแบ่งอาหารที่เก็บไว้ฉันเพลให้เขากิน ไม่ใช่เพราะคำว่าแล้ว"ผมจะทำงานชดใช้ให้" เป็นเครื่องจูงใจให้ไว้ใจคนแปลกหน้า แต่ดูจากหน้าตา ท่าทางแล้ว ทำให้มั่นใจว่าพ่อหนูคนนี้เป็นคนดีคนหนึ่ง

เมื่อเขากินข้าวอิ่มแล้วก ็ชวนคุย จึงได้รู้ว่าเขาเดินทางมาจากนครสวรรค์ เป็นลูกคนโต มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อแม่เป็นครู แต่พ่อไปมีแฟนใหม่ ทิ้งให้เขาอยู่กับแม่และน้อง พ่อไม่ค่อยกลับบ้าน นานๆกลับที บางครั้งนานมาก แม่จึงให้เขาไปตามพ่อกลับ เมื่อพ่อไม่กลับ แม่ก็ด่าเขา..

" แม่จะด่าผมทุกวัน วันไหนผมเลิกเรียนแล้วกลับบ้านช้า ก็จะค้นตามตัว ตามกระเป๋านักเรียนของผม เพื่อหายาบ้า แม่พยายามคาดคั้นให้ผมยอมรับว่าผมไปเสพยาบ้ามา ผมปฎิเสธ แม่ก็ไม่เคยเชื่อ หาว่าโกหก แล้วแม่จะไปตามพ่อให้กลับบ้านเพื่อให้มาดูผม กล่าวหาว่าผมติดยา เพื่อจะได้ไปขู่พ่อให้กลับมาอยู่กับพวกเรา"

"แม่บอกพ่อว่า ผมเป็นเด็กใจแตก ก็เพราะพ่อทิ้งพวกเราไป แม่จะทะเลาะกับพ่อบ่อยๆ เพราะเรื่องของผม" เขาหยุดเล่าเพื่อเช็ดน้ำตาที่รินไหลอย่างไม่รู้ตัว

" เมื่อวาน ที่โรงเรียนมีการประชุม เพื่อคัดตัวแทนนักกีฬาประจำไปแข่งขัน ทำให้ผมกลับบ้านค่ำ แต่แม่ไม่ฟังเหตุผลเลย จะให้ผมยอมรับว่าผมติดตา ใจแตก แม่ด่าว่าผมเลือดชั่วไม่รักดี ผมน้อยใจมาก จึงโต้เถียงแม่ไป ซึ่งผมไม่เคยทำเลยในชีวิต

"ผมย้อนแม่ไปว่า แม่ครับ ถึงผมจะทำดีอย่างไร ผมก็คงดีขึ้นมาในสายตาแม่ไม่ได้หรอกครับ ถ้าแม่ไม่คิดว่าผมดี

เมื่อเขาพูดคำนี้ไป ฝ่ามือของแม่ก็กระทำการอย่างหนึ่งบนใบหน้าของลูก

ผ มจึงวิ่งหนีออกจากบ้าน ทั้งที่อยู่ในชุดนักเรียน มาขึ้นรถโดยสารที่ บ.ข.ส ด้วยเงินติดกระเป๋ากางเก งเพียงสี่สิบกว่าบาท โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถคันนั้นวิ่งไปไหน เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยเข้ากรุงเทพ จึงหวาดกลัวไปหมด ต้องนั่งตากยุงอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าหมอชิต ตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเวลาสายของอีกวัน..

เขาเห็นรถเมล์สาย 52 ผ่านมา เห็นป้ายเขียนว่า "ปากเกร็ด" แวบหนึ่งของเขา นึกขึ้นได้ว่าที่ปากเกร็ดมีวัดวัดหนึ่ง ซึ่งพระในวัดนี้เคยได้ออกไปบรรยายธร รมแก่เด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ วัดนั้นก็คือ "วัดชลประทานรังสฤษฏ์"

เขาสอบถามทางจากแม่ค้า เพื่อเดินทางมาที่วัดแห่งนี้..

ผ ู้เขียนได้โทรศัพท์ไปเรียกพ่อแม่ให้มารับลูกคืน ไม่เช่นนั้นจะส่งไปสถานเลี้ ยงเด็กกำพร้าแทน แล้วได้พูดให้แง่คิดทั้งพ่อและแม่ไป แต่คงไม่ได้ผลเพราะต่อมาทราบข่าวว่าเด็กคนนั้นติดยาเสพติดจริงๆ เพียงเพื่อต้องการประชดแม่..

จากตัวอย่าง ผู้เขียนไม่ได้เข้าข้างว่า ลูกเป็นฝ่ายถูก และไม่ได้โทษแม่ว่าเป็นฝ่ายผิด เพราะแม่ย่อมจะไม่มีวันผิดอยู่แล้วในสายตาของแม่เอง แต่อยากฝากให้แม่ผู้ไม่เคยยอมรับผิดทั้งหลายเอาไว้ว่า หากท่านไม่รู้จักมั่นใจและไว้วางใจในความดีของลูกบ้าง ลูกของท่านจะไม่มีความสุขได้เลย ความหวั่นกังวลใจของแม่ จนต้องไปเกรี้ยวกราดเอากับลูก ไม่ได้ช่วยให้เขาเป็นลูกที่ดีได้ แล้วท่านจะไม่มีวันได้ยินดีกับความดีของลูกเลย

คนที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดในชีวิตของลูก ก็คือพ่อ แม่ ดังนั้นทุกการกระทำ ทุกคำที่พูดของคนที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะชั่วหรือดีก็ตาม ย่อมจะตราตรึง แนบแน่นอยู่ในจิตใจ ในความทรงจำ และฝังเป็นอุปนิสัย สันดานของลูก อย่างถาวรที่สุด

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี คำนี้สอนกันมานานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ล้าสมัยที่จะใช้ และยังคงใช้ได้ผลดีอยู่ หากแต่การตีหรือการทำโทษลูกนั้น จะต้องเป็นการตีเพื่อให้เขาหลาบจำ ไม่ทำผิดเช่นนั้นอีกเท่านั้น อย่าได้ตีลูกเพื่อระบายความแค้นส่วนตัวลงไป ให้ตีเหมือนช่างปั้นหม้อ ที่เขาใช้ทั้งไม้ตี ใช้ทั้งมือลูบหม้อที่เขาปั้น

ลูบ..ในส่วนที่ได้รูปทรง แล้วตี ในส่วนที่ยังบูดๆ เบี้ยวๆ อยู่ไม่ได้ตีเพื่อหวังจะให้หม้อแตกแต่อย่างใด

ก ารทำโทษลูกก็เช่นกัน ควรชี้ความผิดที่ต้องทำโทษให้เขาทราบเสียก่อน อย่าเผลอทำโทษเขาโดยที่เขายังไม่รู้ความผิด เพราะมันจะทำให้เขาแก้ไขตัวเองไม่ถูก ว่าผิดอย่างไรที่ควรแก้ ดีอย่างไรที่ควรทำ และการทำโทษโดยที่ยังไม่ชี้โทษให้เขาเห็นนั้น จะทำให้ลูกท่านเจ็บทั้งกาย ทั้งใจ ซึ่งท่านจะไม่ได้รับผลดีจากการลงโทษนั้นเลย

ความเจ็บใจนี้อาจจะทำให้ เขาเจ็บยาวนานกว่าความเจ็บทางกายหลายเท่า และจะเป็นแผลที่ลบเลือนไม่ลง ทั้งแผลนั้นจะใหญ่ขึ้นทำให้เขาเป็นคนเจ้าคิด เจ้าแค้น ชิงชัง เพราะความโหดเหี้ยมขึ้นในจิตใจ สันดาน

แล้วพ่อ แม่ เองจะได้ชื่อว่าเป็นนักปั้นหม้อที่แย่ที่สุด เพราะหม้อที่ปั้นนั้นนอกจากไม่ได้รูปทรงแล้ว ยังเป็นหม้อแตกร้าวอีกด้วย เป็นขยะที่สกปรก รกรุงรัง ทำให้เขาเอือมระอาที่จะขว้างปาทิ้ง

อีกอย่ าง เวลาที่ทำโทษ หรือ อบรมสั่งสอนเขา สมควรอย่างยิ่งที่จะไม่กระทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้าคนอื่น ไม่ควรลงโทษหรือตักเตือนเขาต่อหน้าผู้คน โปรดอย่าลืมว่า ท่านต้องการจะอบรมสั่งสอนเขา ไม่ใช่มาประจานให้เขารู้สึกอับอาย

และท ี่สำคัญที่ไม่ควรจะลืมคือ ต่อให้ตีลูกจนตาย ก็จะไม่ได้ลูกดี ถ้าพ่อแม่ไม่ทำดีให้ลูกดู ที่ปูมันเดินไม่ตรงทาง ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของมันไม่เคยสอนให้พวกมันเดินให้ตรงทาง แต่เพราะพ่อปูแม่ปูไม่เคยเดินตรงทางให้ลูกของมันดูต่างหาก ลูกปูจึงขาดตัวอย่างที่จะกระทำตาม

ลูกจะประทับใจในสิ่งที่พ่อแม่ทำ มากกว่าจดจำในสิ่งที่พ่อแม่สอน


ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้..และเชื่อว่าจะได้แง่คิดอะไรดีดีกลับไปใช้บ้าง



ด้วยจิตคารวะ







ที่มา http://weblog.manager.co.th/publichome/myprecious/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น