...+

ไอซีทีเปิดเว็บถวายพระพรออนไลน์ เริ่ม 12 ก.ค.นี้

นายจุติ ไกรกฤษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เสนอให้มีการจัดทำโครงการถวายพระพรออนไลน์ โดยมีกระทรวงไอซีทีและ 6 หน่วยงานในสังกัดเป็นหน่วยงานหลักกำหนดทิศทางนโยบาย และด้านการบริหารเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้กับประชาชนที่ มีความประสงค์จะใช้ช่องทางการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผ่านการถวายพระพรออนไลน์ โดยเป็นการร่วมกันเปิดช่องทางผ่านบริการ e-Card ทุกสำนักสาขาของกระทรวง ศูนย์การเรียนรู้ไอซีที ชุมชน และหน่วยงานในสังกัดทุกแห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ โครงการกระทรวงไอซีทีได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด คือ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จัดทำหน้าเว็บไซต์ถวายพระพรออนไลน์ อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ถึงเดือนธันวาคม 2553

สวช.ขึ้นทะเบียน"มวยไทย"เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 30 ก.ค.นี้

นายสมชาย เสียงหลาย เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ หรือ สวช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หารือถึงการนำศิลปะมวยไทยขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นทางวัฒนธรรม ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับการประกาศขึ้นทะเบียนศิลปะมวยไทย กำหนดให้มวยไทยที่จะขึ้นทะเบียน หมายความเฉพาะศิลปะมวยไทยที่ได้มีการสืบสานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่มวยไทยที่เป็นกีฬาแข่งขัน โดยเห็นชอบให้มีการจัดทำตำรับมวยไทยแห่งชาติ เพื่อรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับมวยไทย และเห็นว่าศิลปะมวยไทยมีความสำคัญ และจำเป็นจะต้องมีการจัดลำดับขั้นของศิลปะมวยไทยไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนภายประเทศ และสำหรับใช้ในการสอนชาวต่างชาติที่สนใจและชื่นชอบศิลปะมวยไทย โดยมีท่วงท่าในศิลปะที่ถูกต้อง เหมาะสมไม่ผิดเพี้ยน หากดำเนินการสำเร็จลุล่วง จะสามารถสร้างมูลค่าตามแนวเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับประเทศเกาหลี
สำหรับขั้นตอนการรองรับการขึ้นทะเบียนศิลปะมวยไทยนั้น สวช.จะจัดพิธีการประกาศขึ้นทะเบียนพร้อมกับรายการอื่นๆ รวม 21 รายการ ในวันที่ 30 กรกฎาคม ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และจะมีการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่องการศึกษาศิลปะมวยไทย ซึ่งกำหนดให้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะมวยไทย รวมถึงการประดิษฐ์สื่อในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างความรู้และความภาคภูมิใจในคุณค่า ตลอดจนการหาแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มจากศิลปะมวยไทยด้วย

คลิปวิดีโอ เฉลิมแร็ฟ สุดฮา ที่หลายคนชอบดู ทาง ASTV



เอามาให้ชมกันอีกที่ หลังจากหลายท่าน ชื่นชอบจากการเฝ้าูทางช่อง ASTV ที่นำมาเปิดให้ดูบ่อยๆ

จดหมายจากอาหลาง

เอ่อ...น้องเอย ไชยามีศาลาเก๊กน้อย
โหนดการ้อง โพธิ์ทองต้นต่ำ
ไทยเอยช่วยแนะ แขะเอยช่วยนำ
โพธิ์ทองต้นต่ำ นำช้างให้แทงเสียเอย ฯ


เพลงเวน้อง หน้า 39
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

Fwd: ทำบุญบ้าน ให้เทวดา..(เทวดาทำบุญเองไม่ได้ ต้องรอจากมนุษย์อย่างเรา)

พี่ๆ เพื่อนๆ เราไปอ่านเจอมานะจ๊ะ

ทำบุญบ้านให้เทวดา

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546
วันนั้นได้ไปบ้านโยมผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นประธานทอดกฐินที่วัด
ทมอโดน ( วัดที่ประเทศเขมร)

ซึ่งเป็นกฐินตกค้าง เจ้าของบ้านหลังนี้รับเป็นเจ้าภาพ
ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์วัดนี้ ต้องเดินทางไปรับ
เจ้าภาพเพื่อเดินทางไปประเทศเขมรด้วยกัน


วันนั้น ต้องออกจากวัดตั้งแต่เช้าเพื่อไปฉันเช้าที่บ้านโยมเจ้าภาพ
เมื่อรถแท็กซี่แล่นถึงหมู่บ้านจัด
สรร

ได้สังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านคนรวย
บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันบนเนื้อที่ 1
ไร่

สงบร่มรื่น มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา มีต้นไม้ร่มครึ้มอยู่ทั่วไป


เมื่อถึงบ้านเจ้าภาพ
เจ้าของบ้านก็นิมนต์ให้ไปไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาในห้องพระก่อนเพื่อความ
เป็นสิริมงคลแก่บ้าน

เสร็จแล้วจึงลงมาฉันเช้าที่ห้องด้านล่าง
ฉันเช้าเสร็จแล้วจึงออกเดินสำรวจดูรอบ ๆ บริเวณบ้านบน
เนื้อที่ขนาด 2 ไร่

ซึ่งมีต้นไม้ทั้งขนาดเล็กและปานกลางอยู่ทั่วไป
สังเกตเห็นว่า ต้นไม้แต่ละต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นน้อยต้นใหญ่
มีรุกขเทวดาอาศัยอยู่เต็มไปหมด ไม่มีว่าง
เหลืออยู่เลย

ก็เลยสวดมนต์ให้พวกเขาฟังหนึ่งพระสูตร (กรณียเมตตสูตร) พร้อมกับแปลให้เขาฟังด้วย

สักพักได้ยินเสียงของเทวดาที่เป็นเจ้าที่องค์หนึ่งกล่าวว่า " ท่านครับ
ช่วยบอกเจ้าของบ้านให้นิมนต์
พระมาทำบุญที่บ้านด้วยครับ "
ผู้เขียน " ทำไมล่ะ ? เจ้าของบ้านเขาก็เป็นคนดีอยู่ออก
เขาไม่เคยทำบุญบ้านเลยหรือ ?"
รุกขเทวดา " ทำครับ แต่เจ้าของบ้านเขามักจะไปทำบุญนอกบ้าน
ไม่ค่อยได้ทำบุญภายในบ้านเลย
พวกผมซึ่งเป็นเทวดาเจ้าที่ จึงไม่ค่อยได้รับบุญกุศลสักเท่าไหร่
พวกผมอยากให้เจ้าของบ้านนิมนต์
พระมาทำบุญที่บ้านบ้าง เพราะที่หมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีพระมาบิณฑบาตถึง
ผมอยากจะฟังพระสวด
มนต์ อยากฟังพระสวด " ธัมมะจักรกัปปวัตตนะสูตร " บ้าง "
ผู้เขียน " แล้วจะให้อาตมาบอกเขาอย่างไรล่ะ ? บอกตรง ๆ คงไม่เหมาะ "
รุกขเทวดา " ท่านก็ใช้กุศโลบายซิครับ หรือจะเขียนลงในไตรรัตน์ก็ได้
เมื่อเจ้าของบ้านได้
อ่าน เขาคงจะเข้าใจ "
ผู้เขียน " เอ้า จะลองดู ถ้าไม่ได้ผล อย่าว่ากันนะ "


เวลา 08.00 น. เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เตรียมตัวขึ้นรถออกเดินทาง
ก่อนที่เจ้าของบ้านจะ
ขึ้นรถนั้น ได้หันไปทางต้นไม้แล้วกล่าวด้วยเสียงแจ้ว ๆ น่ารักว่า " เทวดา
ดิฉันจะไปทำบุญทอด
กฐินที่ประเทศเขมร อนุโมทนาบุญด้วยนะ แล้วก็ช่วยดูแลบ้านให้ด้วย แล้วจะนำบุญมาฝาก "
ผู้เขียนซึ่งนั่งอยู่คู่กับคนขับ
ได้ยินดังนั้นก็อดที่จะอมยิ้มในความน่ารักและมีน้ำใจของเจ้าของบ้านไม่
ได้ เมื่อรถแล่นออกมาได้สักพัก

จึงได้ค่อย ๆ แอบถามเพื่อตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ
จากเจ้าของบ้านว่าจะตรงกับที่เทวดาให้มาหรือไม่
เจ้าของบ้านให้ข้อมูลมาดังนี้ :


ที่บ้านหลังนี้ ไม่เคยมีพระเข้ามา 10 กว่าปีแล้ว (
พระองค์สุดท้ายที่เข้ามาที่บ้านหลังนี้คือ หลวง
พ่อจรัญ จ.สิงห์บุรี)

เพราะเจ้าของบ้านจะออกไปทำบุญแต่ข้างนอก ผู้เขียนเป็นพระรูปแรกในรอบ 10 ปีที่เข้ามา

บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านนี้ไม่มีวัดอยู่แม้แต่แห่งเดียว
เพราะเป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มี
พระมาบิณฑบาตถึง

หมู่บ้านแห่งนี้ถึงเป็นหมู่บ้านคนรวย
แต่เจ้าของหมู่บ้านไม่เคยทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่หมู่บ้าน
เลย เพราะต่างคนต่างอยู่ (ตัวใครตัวมัน)
หลังจากกลับจากประเทศเขมรแล้ว วันต่อมา
ได้มีโอกาสไปที่หมู่บ้านแห่งนี้อีก เทวดาเจ้าที่ก็มาให้
ข้อมูลอีกว่า
" หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านคนรวย ในมุมมองทางโลกนั้น
ถ้ามนุษย์คนไหนได้อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
ถือว่าเป็นคนไฮ-โซ 1 ถือว่าเป็นคนมีบุญ เป็นคนมีระดับ

แต่ในมุมมองทางธรรมนั้น เทวดาองค์ไหนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ถือว่าเป็นเทวดาโล-โซ
2 ถือว่ามีบุญน้อย เป็นเทวดาชั้นต่ำ

เพราะไม่ค่อยมีโอกาสอนุโมทนาบุญ
ไม่ค่อยได้ฟังเทศน์ฟังธรรมเหมือนเทวดาที่อาศัยอยู่ในวัด
เทวดาที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุกขเทวดา ( เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้) หรือ
ภุมมะเทวดา ( เทวดาเจ้าที่) โดยมากได้ฟังพระสวดมนต์เช้า - เย็น ทุกวัน
ได้อนุโมทนาบุญ
กับคนมาทำบุญบ่อย ๆ ได้ฟังพระเทศน์เป็นประจำ


ดังนั้น ผมจึงขอฝากบอกข่าวนี้ไปถึงเจ้าของบ้านผ่านพระคุณเจ้า
ให้ช่วยบอกเจ้าของบ้านด้วย

ให้นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ให้เทวดาอย่างพวกผมได้ฟังบ้าง
ถ้ามีการแสดงธรรมด้วยก็จะดี
มาก

และให้พระสวดมนต์ให้ยาว ๆ มาก ๆ หน่อย อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี


ในการทำบุญนั้น ให้เจ้าของบ้านจุดธูปบอกทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน

เชิญเทวดาที่อยู่ภายในบ้านและภายในหมู่บ้านรวมทั้งพวกสัมภเวสี 3 ที่อด ๆ
อยาก ๆ ให้มารับส่วนกุศล
และทานอาหารโดยทั่วกัน

ถ้าเจ้าของบ้านทำอย่างนี้ ก็จะเป็นการเพิ่มพลังบุญกุศลให้แก่เทวดา
เมื่อเทวดามีบุญมาก

ก็จะรักษาหรือช่วยให้คนที่อยู่ในบ้านหรือหมู่บ้านแห่งนี้อยู่กันอย่างสงบสุข


ในการทำบุญภายในบ้านนั้น
เทวดาทุกองค์ที่อาศัยอยู่ในที่นี้สามารถเข้ามาร่วมพิธีและอนุโมทนาได้ทั้ง
หมด

แต่ถ้าเจ้าของบ้านไปทำบุญในวัด เทวดาที่มีบุญน้อยศักดิ์น้อยบางองค์
ไม่สามารถไปร่วมพิธีได้

ได้แต่อนุโมทนาบุญที่เจ้าของบ้านนำมาฝาก ถ้าเข้าใจไม่ชัด
ผมจะขอยกอุปมา-อุปมัยให้ฟัง
ถ้าเราทำบุญที่บ้าน ญาติพี่น้องของเราสามารถเข้าร่วมพิธีได้หมดทุกคน แต่ถ้าไปทำใน
วัด ทุกคนจะไปร่วมพิธีทั้งหมดไม่ได้

เพราะจะต้องมีบางคนอยู่เฝ้าบ้าน ดังนั้นการนิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน
จึงเป็นผลดีต่อเทวดาอย่าง
พวกผมมากกว่าทำบุญที่วัด

แม้ว่าเจ้าของบ้านจะลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยอีกนิดหนึ่งก็ตาม "


ป.ล. อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ พิจารณาไตร่ตรองก่อน


ข้อควรปฏิบัติ


๑. ควรทำบุญบ้านปีละครั้ง โดยนิมนต์พระให้ไปบ้าน อาจเป็นการถวายสังฆทานเฉย ๆ ก็ได้
เพื่อเป็นการเพิ่มบุญให้แก่เทวดาที่เป็นพระภูมิเจ้าที่และความเป็นมงคลแก่ที่ดินของเราเองด้วย
๒. ควรทำบุญหมู่บ้าน ชุมชน ซอย หรือคอนโดฯ ที่เราอยู่ปีละครั้ง
เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แด่ปู่ย่า
ตายายผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน
เป็นการแสดงความกตัญญู-กตเวที และมีอานิสงส์ทำให้คนในหมู่บ้านสามัคคีกัน
วิญญาณพระภูมิเจ้าที่ที่รักษาหมู่บ้านก็จะมีพลังป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้มากขึ้น


1 High Society = คนชั้นสูง , สังคมชั้นสูง
2 Low Society = คนชั้นต่ำ , สังคมชั้นต่ำ
3 สัมภเวสี = ผู้แสวงหาที่เกิด คือผีที่ตายจากโลกมนุษย์แล้ว
แต่ยังไม่ได้เกิดในกำเนิดอื่น

"ตำรวจไทย" ป่วยหนัก!

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

วันก่อน... ผมมีโอกาสดำเนินรายการ "คลายปม" ร่วมกับ ทนายวันชัย
สอนศิริ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แง่คิดสรุปได้ว่า

"หากตำรวจไทยไม่ทำงาน หรือทำหน้าที่โดยมิชอบอย่างเช่นในปัจจุบัน
ตำรวจจะเหลืองานที่ทำเพียง จับงู รำโบกรถควบคุมจราจร และคดีมโนสาเร่
ผัวเมียตีกัน"

มีเหตุอันใดให้คิดเป็นเช่นนั้นหรือ?

1) วิกฤติของประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายน 2552 และ
เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 สะท้อนว่า ตำรวจไทยจำนวนถึง 90% มีปัญหา!

ปล่อยปละละเลย ละเว้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

ทั้งๆ ที่ ตำรวจจำนวนหนึ่ง ยังมีความสามารถ แต่ก็ยังปล่อยปละละเลย
ไม่ว่าจะโดยเกรงใจ เกรงกลัว
หรือแม้แต่จะถึงขั้นรู้เห็นเป็นใจให้มีการก่อการที่ผิดกฎหมาย
ทั้งเรื่องขนอาวุธ ขนอุปกรณ์ในการวางเพลิง เผาทรัพย์ (ยางรถยนต์
น้ำมันเชื้อเพลิง)
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงพฤติกรรมที่ทำตัวเป็นเบี้ยล่างของผู้ต้องหาตามหมายจับของ
ศาล ยอมปลดอาวุธประจำกายตามคำสั่งของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
โดยวางอาวุธลงเกือบจะแทบเท้าของนายอริสมันต์ ณ
บริเวณหน้าโรงแรมเอสซีปาร์ค ฯลฯ

ด้วย เหตุนี้
ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องใช้กองกำลังของทหารออกปฏิบัติการแทนตำรวจ
และต้องมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
เพื่อให้มีการควบคุมดูแลสถานการณ์จนถึงทุกวันนี้

2) เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551
ตำรวจกลับปฏิบัติการต่อผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณหน้ารัฐสภาตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงค่ำที่บริเวณหน้า บช.น.
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรง ไม่ปฏิบัติจากเบาไปหนัก
ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาชนิดที่มีสารระเบิดแรงสูง ยิงตรงใส่ประชาชน
ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บล้มตาย แขนขาด ขาขาด ลูกตาหลุด
เปิดบาดแผลฉกรรจ์ตามเนื้อตัว จำนวนหลายร้อยคน

3) การประกาศ "สงครามยาเสพติด" ของทักษิณ ชินวัตร
ที่ปฏิบัติการระหว่างวันที่ "1 ก.พ.-30 เม.ย.2546" เพียง 3 เดือน
ทำให้มีคนถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันว่า "ฆ่าตัดตอนยาเสพติด" ถึง 2,873
ศพนั้น เป็นที่เชื่อกันว่า ตำรวจมีบทบาท หรือมีส่วนสำคัญในการปฏิบัติงาน
ทั้งขึ้นบัญชีดำ
กำจัดคนในบัญชีดำเพื่อลดจำนวนคนให้ได้ตามเป้าหมายที่สั่งการจากนักการเมือง
และได้ทำลายหลักฐานไปแล้ว เช่น บัญชีดำ เป็นต้น

ปัจจุบัน ไม่ใช่เพียง 2 พันกว่าศพที่ตายไป
แต่ญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่หลายหมื่นคน ต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกกังขา
ดูถูกเหยียดหยามในสังคมว่ามีส่วนพัวพันกับยาเสพติด

4) สถานบันเทิงเริงรมย์ บ่อน ซ่องหรือการค้าประเวณีในรูปแบบต่างๆ
ฯลฯ ยังดำเนินอยู่โดยผิดกฎหมาย แต่ไม่ถูกดำเนินการตามกฎหมาย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตำรวจต้องรู้เห็นเป็นใจ หรือละเว้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมานี้เอง
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)
ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.)
และตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เข้าทลายสถานบันเทิงขนาดใหญ่ ชื่อ "สแกนผับ"
ย่าน รัชดาภิเษก เปิดให้บริการโดยไม่มีใบอนุญาต
และเปิดให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการในวันนั้น ถึง 800
กว่าคน และเมื่อสุ่มตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ปรากฏว่า มีปัสสาวะสีม่วง 15
คน โดยในจำนวนนั้นใช้สารเฮโรอีน 3 คน

ตรวจพบยาเค 50 ห่อ บรรจุในถุงพลาสติกใสไว้จำหน่าย นอกจากนี้
ยังมียาไอซ์ ยาอี ยา 555 โพยแทงพนันฟุตบอลโลก โพยสั่งซื้อยาเสพติด
อาวุธปืนสั้นขนาด 6.35 ไม่มีทะเบียน 1 กระบอก อีกด้วย

ร้าน "สแกนผับ" เป็น สถานบันเทิงขนาดใหญ่ จุคนได้กว่า 2,000 คน
ในเขตการรับผิดชอบของตำรวจ สน.ห้วยขวาง เปิดบริการโดยไม่มีใบอนุญาต
มีการต่อเติมอาคาร ไม่มีประตูหนีไฟ ไม่มีระบบป้องกันอัคคีภัย
และมีการจ่ายเงินแก่เจ้าหน้าที่วันละ 100,000 บาท

ช่าง ละม้ายคล้ายกับร้าน "ซานติก้า ผับ"
ที่เกิดเหตุไฟไหม้เมื่อวันฉลองปีใหม่ 1 มกราคม 2552 ที่มีคนตาย 66 คน
บาดเจ็บสาหัสอีกมากกว่า 200 คน

และก็คล้ายกับสถานบันเทิงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น "เวอร์จิ้น" หรือผับ
"สละโสด" ที่พบในจังหวัดปทุมธานี

หรืออาจจะมีสถานบันเทิง "ขายตัว" - "แอบเมีย" - "เคลียคลอ" -
"ล่อกันเอง" ฯลฯ อีกกี่แห่งในหัวเมืองใหญ่ จังหวัดสำคัญๆ ของประเทศ
ให้เป็นที่ทำลายชีวิตเยาวชนของชาติและสังคม
แต่เป็นแหล่งผลประโยชน์ของตำรวจ อีกมากมายแค่ไหน

กรณี "สแกน ผับ"
เมื่อหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมดำเนินการเข้าจับกุม
ตำรวจในพื้นที่ก็พยายามใส่หลักฐานในบันทึกประจำวัน ว่าเป็นเวลา 00.30 น.
เพื่อให้ตำรวจพื้นที่พ้นผิดว่าปล่อยปละละเลย หรือรู้เห็นเป็นใจ ทั้งๆ ที่
ในความเป็นจริง เป็นเวลา 02.30 น.
ซึ่งเปิดเกินเวลาอนุญาตตามกฎหมายอยู่ทุกคืน หนำซ้ำ
ยังพยายามบอกว่าตำรวจในพื้นที่ได้เข้าร่วมสนธิกำลัง
โดยที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

กรณี นี้ สะท้อนว่า
อำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบ้านเมืองกำหนดให้เป็นของตำรวจ
แต่เมื่อตำรวจปล่อยปละละเลย เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม
สังคมก็ส่งเสริมให้หน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจเจ้าของท้องที่โดยตรง เช่น
ปปส. ปปท. เข้าปฏิบัติการแทน

5) การมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขึ้นตรงกับกระทรวงยุติธรรม
ก็มาจากสาเหตุเดียวกัน ใช่หรือไม่

เมื่อตำรวจไม่ทำหน้าที่ กระทบกับความยุติธรรมของสังคม
ก็ต้องมีการตั้งหน่วยงานใหม่ในกระทรวงยุติธรรม เพื่อขึ้นมาทำหน้าที่สำคัญ
(บางส่วน)

รวมทั้งงานสอบสวนจับกุมตำรวจเลวด้วย

6) การมีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สังกัดกระทรวงยุติธรรม
ก็มาจากสาเหตุเดียวกัน ใช่หรือไม่

สะท้อนว่า "นิติเวช" ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ สร้างความไว้วางใจ
เกิดความเชื่อมั่นเชื่อถือแก่สังคมได้ ใช่หรือไม่

7) แม้กระทั่งล่าสุด มีความคิดที่จะตั้ง
"สำนักงานบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย" หรือ "ไทยมาแชล" สังกัด
กระทรวงยุติธรรม ก็เพราะขณะนี้ มีนักโทษหนีคดีอาญามากกว่า 20,000 ราย
แต่การตามจับไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เอาจริง ไม่ตรงไปตรงมาเท่าที่ควร

อำนาจส่วนนี้ของตำรวจ ก็ควรจะต้องถูกแบ่งแยกออกไป
เพราะเมื่อเรามีกรมบังคับคดีทางแพ่งได้
เราก็มีสำนักบังคับคดีอาญามาทำงานได้

8) ต่อไป... งานสอบสวนคดีต่างๆ ที่เป็นงานสำคัญ
ต้องการความเป็นอิสระ มืออาชีพ ตรงไปตรงมา ก็ควรจะแยกออกจากตำรวจ
ให้เป็นหน่วยงานที่ทำงานสมกับเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม

9) น่าสนใจ... ขณะนี้ ตำรวจรถไฟ ตำรวจดับเพลิง ตำรวจป่าไม้
และอื่นๆ ก็แยกออกไปหมดแล้ว

ต่อไป ตำรวจเศรษฐกิจ ตำรวจท่องเที่ยว และอื่นๆ
ก็คงจะแยกตัวออกไปเรื่อยๆ ในเวลาอันสมควร

ปัจฉิมลิขิต "ตำรวจไทย"

ทางเลือกของสังคมไทยขณะนี้ คือ ถ้าไม่ปฏิรูปตำรวจไทยอย่างจริงจัง
สังคมก็จะคลี่คลายปัญหาแบบไทยๆ คือ
ดึงอำนาจหน้าที่ไปอยู่กับหน่วยงานอื่นๆ จนในที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ก็อาจจะมีหน้าที่แค่จับงู รับแจ้งกรณีมีสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะ "งู" หรือ
"เหี้ย" เข้าบ้าน รับแจ้งเหตุผัวเมียตีกัน และออกไปรำกลางถนนคอยห้ามจราจร

"การปฏิรูปตำรวจ" อย่างจริงจัง และโดยเร็วที่สุด
จึงเป็นประโยชน์โดยตรงต่อตำรวจไทยเอง ที่จะได้ทำหน้าที่อันมีเกียรติ
มีศักดิ์ศรี และอำนวยประโยชน์แก่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น

วันนี้.. ถึงเวลาปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ
ให้กระจายอำนาจไปรับผิดชอบกันเองในระดับจังหวัดได้หรือยัง
เพราะคดีความต่างๆ ก็สิ้นสุดในจังหวัดอยู่แล้ว
บางคดีที่เป็นเหตุข้ามจังหวัด
ก็มีตำรวจหน่วยปราบปรามจากส่วนกลางดำเนินการได้

ถึงเวลาให้ความสำคัญกับตำรวจชั้นประทวน
และตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไต่เต้าขึ้นมาด้วยผลงานในหน้าที่ได้หรือยัง ?

ถึงเวลาต้องเปลี่ยนเลือด ถ่ายตำรวจชั่วออกจากวงการสีกากี
"ปฏิรูปตำรวจไทย" เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีและความศรัทธาจากสังคมไทย หรือยัง?

ความเห็น

ตำรวจไม่ต่างกับโจร ร้ายกว่าเสียอีก
รักษากฎหมาย กลับทำผิดกฏหมายเสียเอง
หากผิดวินัยก็แค่โยกย้าย
ทำไมไม่ไล่ออกไปเลยล่ะครับ
อยู่ไปเปลืองเงินภาษีปชช.

แต่อย่างไรก็ขอเป็นกำลังใจแก่ตำรวจที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
ประชาชนไม่ทิ้งตำรวจน้ำดีแน่นอน
ถึงแม้จะเกษียณ อยู่ที่ใด ชาวบ้านก็มีน้ำใจให้เสมอ
ชายแดนใต้ตาดำๆ


เป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิรูปหรือยุบ สนง. ตำรวจแห่งชาติ เหตุผลมีดังนี้
1. ตำรวจไทยคิดว่าตัวเองยังมีศักดิ์ศรี ที่ไม่ต้องเรียกคืน
คิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายของประชาชน (โกหกตัวเองไปวันๆ)
2. พวกใครพวกมันจะมาก้าวก่ายกันไม่ได้
ดังนั้นการเลือนยศจึงยังเป็นปัญหาเล่นพรรคเล่นพวกกันอยู่เรื่อยไป
3. ตำรวจไทยขี้เกียจแต่อยากได้ทรัพย์สินเงินทองจากประชาชน
จึงต้องไถ่ประชาชนไปเรื่อยๆ
4. ประชาชนก็ต้องช่วยตัวเอง
ตอนนี้ก็ต้องหาแต่คนดีมาช่วยกันแยกหน่วยงานออกไปมากๆ
เพื่อให้ตำรวจไทยยังคงศักดิ์ศรีไว้แต่ไม่มีงานทำ ได้แต่ทำงานเบาๆ
ตามนิสัยถาวรที่ขี้เกียจทำงาน
5. อีกหน่อยก็จะมีหุ่นตำรวจเต็มบ้านเต็มเมือง ให้เป็นสยามเมืองอมยิ้มสมเพชตำรวจไทย
ประชาชนต้องช่วยกัน

ในฐานะแฟนคลับอ.เจิมศักดิ์
เห็นด้วยทุกประการ.....
ข้อเสนอแน่มีอีกทางหนึ่งคือ...
เอาหน่วยงานดีเอสไอดูและคดีความทุกคดี
และลดตำแหน่ง บทบาทหน้าที่และเงินเดือนของตำรวจ
ไปเรื่อยๆจนวันหนึ่งตำรวจหมดความหมาย
คุณสันติภาพ

หากจะให้ดี...
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ...ยุบไปเลยจะดีกว่า
โดยให้เป็นแค่กรมตำรวจเหมือนกับสหรัฐอเมริกา
โดย เป็นกรมตำรวจสังกัดในผู้ว่าราชการจังหวัด
และมียศสูงสุดเพียงร้อยตำรวจเอกเท่านั้น หากอยากเป็นสารวัตร
หรือผู้กำกับฯก็ต้องลงสมัครหาเสียงกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ
และหากได้รับการคัดเลือกจากประชาชน ก็สามารถเป็นสารวัตรหรือผู้กำกับฯได้
แต่ยังคงมียศร้อยตำรวจเอกเท่าเดิม
ให้ดำรงตำแหน่งเป็นสารวัตรหรือผู้ กำกับฯได้เพียง 2 ปี หากครบวาระ 2 ปี
ให้ลงสมัครใหม่ โดยประชาชนในพื้นที่นั้นๆตัดสินใจว่าควรจะเป็นต่อได้หรือไม่???
ฅนไทย


มีความพยายามยกเครื่องตำรวจมาตลอด
แต่ยังไม่มียุคไหนสมัยไหนรัฐบาลใดทำได้เพราะนักการเมืองต้องพึ่งตำรวจและใช้
ตำรวจเป็นเครื่องมือ
สมัยเชาวลิตจัดให้มีตำรวจภาคต่างๆโดยการเพิ่มนายพลนับร้อย
ก็รู้ได้เลยว่าความวิบัติกำลังมา นายพลตำรวจคนสองคนก็ใหญ่และเลวสุดๆแล้ว
นี่มีเป็นร้อยๆคน บ้านเมืองไม่ชิบ...ได้ยังไง
ต้องยกเครื่องตำรวจเป็นอันดับแรกของการปฏิรูปประเทศคราวนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดและต้องทำโดยเร็วๆด้วย
ช่วย กันสนับสนุนความคิดนี้กันครับพี่น้อง
ผมสนับสนุนและขอบคุณอาจารย์เจิมศักดิ์ทุกเรื่องที่ท่านทำ
ทำดีและมีประโยชน์ต่อประเทศชาติทุกเรื่อง
pat

หมาต๋าที่ไหนที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละครับ
ตำรวจ เมืองผู้ดีเขาว่ากันว่าดีที่สุดในยุโรปเดี๋ยวนี้ก็เป๋ไปเหมือนกัน
ตำรวจมะกันที่ว่าเยี่ยมต้องถามคนที่เคยอยู่ที่นั่นนานๆ
หนังที่เกี่ยวกับหมาต๋าเมืองนอกนั้นโกหกทั้งเพ
นอกจากชอบวิสามัญชาวบ้านคนธรรมดาแล้วยังค้ายาตัวเป็นระวิงอีกด้วย
ยอมรับ เสียดีๆเถอะครับว่าคนตัดสินใจที่จะเข้ามายึดอาชีพนี้พวกเขามุ่งหวังอยู่
สองอย่างคือ อำนาจและเงินตราและมันก็สนองความต้องการพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ถ้าคุณเคยมีสมาชิกในครอบครัวหรือญาติสนิทมิตรสหายที่อยู่ในวงการนี้จะสัง
เกตุได้ว่าพวกเขาจะคบหาสมาคมกันอยู่ในวงแคบๆแถวๆสถานีนั่นแหละ
อาจจะเป็นได้ว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะตกอยู่ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างค่อน
ข้างดูถูกดูแคลน
หรือถ้าคุณไปงานเลี้ยงรุ่นระดับมัธยมจะเห็นได้ว่าพวกเขาบางคนจะนั่งยิ้มแหะๆ
อยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ
หมาต๋าเมืองนอกนั้นจะรับเอาคนหนุ่มที่จบแค่ไฮสคู
ลหรือแค่อนุปริญญาเข้ามาอบรมประมาณปีเดียวเท่านั้น
ระหว่างที่เข้าเรียนนั้นจะได้รับเงินเดือนทันทีประมาณเดือนละสามหมื่นห้าพัน
เหรียญแล้วแต่เมืองเล็กหรือเมืองใหญ่
เงินเดือนถึงจะไม่มากนักแต่ก็พอกินสำหรับคนโสด
นอกจากนี้ก็มีสวัสดีการค่อนข้างดีแถมถ้าคุณทำงานครบ20ปีโดยไม่ถูกยิงตายก่อน
แล้วลาออกจะได้บำนาญประมาณสองพันเหรียญต่อเดือน
หลังจากนั้นจะอยู่บ้านเฉยๆหรือไปหางานไปเป็นรปภที่อื่นก็ย่อมได้
หมาต๋า ทุกแห่งในโลกนี้ชอบรับใช้นักการเมืองไม่มากก็น้อย
เพราะนักการเมืองมีทั้งอำนาจและเงินตรา
ถ้าเรามองเห็นปัญหานี้ก็ย่อมจะหาทางแก้ได้
เมืองไทยเราตอนนี้เขาเรียกว่าเป็น LAWLESS STATE ครับ
เพราะคนที่มีหน้าที่นี้เขาไม่ยอมทำ บ้านเมืองจึงมีสภาพไร้ขื่อไร้แป
ดูง่ายเอาแค่การจราจรก็แล้วกัน ต่างคนต่างขับ
คนไทยแน่มากไม่กลัวตำรวจครับไม่เหมือนเมืองนอก
เพราะพวกเราคนไทยรู้ว่าถ้าทำผิดกฏหมายแก้ง่ายนิดเดียวหมูๆมาก
แต่ถ้าสภาพนี้ยังเป็นไปอยู่เรื่อยๆโดยไม่มีการแก้ไข
วันหนึ่งมันก็คงจะถึงกาลวิบัติแน่นอน เท่านี้ครับ
เออ


Dear Dr Pintong, thank you so much to give your brain power. I had to
slap my face few times to make sure that i was not dreaming to know
that we have way to correct the police system. You have brillion idea
and it is blessing idea, you are right about setting power over power.
Is there any way that you can send your idea directly to PM MARK and
justice system, they may not see nor read your article. Please do
something to pass your idea to the right person.
Thai in Tn. (thaiintn4035 สมาชิก


เห็นด้วยอย่างมาก คิดถึงตำรวจแล้ว ยิ่งน่ากลัวว่าโจรอีก
มันเหมือนพวกมีกฏหมายคอยรังแกประชาชน

ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับตำรวจเลย เจอแต่ละที ได้แต่อนุโมทนาบุญ
ให้พวกนี้ไปเกิดใหม่ซะที

ถ้าทำได้จะดีมาก แต่ก็รู้ๆกันอยู่ กินกันเป็นทอดๆ
ตำรวจไม่ดีก็เพราะพวกนักการเมืองนี้แหละ เล่นพรรคเล่นพวกดีนัก

พวก DSI หรือ อื่นๆ ก็เหมือนกัน ถ้า หัวหน้าไม่ดี
ก็โดนพวกนักการเมืองซื้อได้เหมือนกัน

ดัง นั้น ปัญหาที่แท้จริง คือ นักการเมืองไม่ใช่ตำรวจหรอก
เพราะต่อไห้เปลี่ยนยังไง ถ้าพวกนักการเมืองมันเข้าถึง ก็เสร็จเหมือนเดิม
ดู DSI ก่อนท่านธาริตเอาก็แล้วกัน ก็ไม่ต่างจากตำรวจซักเท่าไหร่
ไม่เคยเกิดผลงาน ไม่เคยสร้างสรรค์อะไรที่ดี

สรุป กำจัดนักการเมืองที่ไม่ดีออกไปให้ได้เสียก่อน
เซ็งเป็ด

เยาวชนอาสาสมัครเอกลักษณ์ชาติ-ธงไตรรงค์ ธำรงไทย

โดย แสงแดด 29 มิถุนายน 2553 15:20 น.
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ในสมัยของรัฐบาล
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับ "การพัฒนาประเทศ" เรียกว่า
"โค้งก้าวหน้าเศรษฐกิจ" ที่มิใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย
แต่พัฒนาเจริญก้าวหน้าในภูมิภาคเอเชียแบบ "ก้าวกระโดด"
จนเป็นที่ตื่นตัวของสังคมโลกในยุคนั้น ซึ่งเป็นก่อนยุคโลกาภิวัตน์ประมาณ
15 ปีทีเดียว!

เราคงจำกันได้กับ "ความตื่นเต้น"
ของเราชาวเอเชียทุกคนที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าจะเป็น
"กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่" หรือ "New Industrial Countries (NIC'S)"
พูดง่ายๆ เหมือนกับ "การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคเอเชีย"
ที่เพิ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากแหล่งอุตสาหกรรมของซีกโลกตะวันตก
จึงทำให้เอเชียบูมอย่างมากกับการพัฒนาอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม "การก่อกำเนิดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC'S)"
ในทวีปเอเชียนี้ โดยมุ่งมาที่ประเทศที่มีแหล่งวัตถุดิบ
แหล่งทรัพยากรมนุษย์ และแหล่งทุน ตลอดจน
ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ จึงมีการจับ "กลุ่ม 5 เสือ"
ของประเทศต่างๆ ในเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์
และแทบไม่น่าเชื่อว่า "ประเทศไทย" ติดอยู่ในกลุ่มกับ "5 เสือ" ด้วย

ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว การที่กลุ่มประเทศต่างๆ
ในเอเชียถูกจัดวางให้เป็น "กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่" นั้น
มิใช่หมายความว่า จะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หรืออุตสาหกรรมหนัก อาทิ
อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
และอุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น ที่มีสมรรถนะในการผลิตครบวงจร
พร้อมทั้งเป็นเจ้าของอุตสาหกรรม และที่สำคัญ "ลิขสิทธิ์" ของพวกเรากันเอง

ประเด็นสำคัญที่กล่าวข้างต้นนั้น
กลุ่มประเทศแถบเอเชียถูกจัดวางในลักษณะเป็น "อุตสาหกรรมใหม่" ในส่วนของ
"การย้ายถิ่นฐานการผลิต" หรือ "Relocation" จาก "กลุ่มประเทศตะวันตก"
และ/หรือ "กลุ่มประเทศอุตสาหกรรม-กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว" ที่ขาดแคลนทั้ง
"วัตถุดิบ" แต่คงไม่สำคัญเท่ากับ "แรงงาน" ซึ่งทั้งสองส่วนนั้นเป็น
"ทรัพยากรคุณค่า" ที่นับวันจะหาได้ยากในกลุ่มประเทศเหล่านั้น

ทั้งนี้ นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวข้างต้นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ
"ค่าจ้างแรงงาน" ที่นับวันจะทวีคูณเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดปัญหา
"ต้นทุนการผลิต" ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
จนราคาสินค้าเมื่อถึงมือผู้บริโภค จะมีราคาแพงจนไม่สามารถซื้อหากันได้!

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่า
เมื่อต้นทุนการผลิตมีราคาสูงขึ้นจนเกินความจำเป็น
และความสามารถของผู้บริโภคที่จะซื้อได้ "การย้ายฐานการผลิต"
จากกลุ่มประเทศตะวันตก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกากับกลุ่มประเทศยุโรป
หรือแม้กระทั่ง ประเทศญี่ปุ่นเอง
ยังต้องย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ "ถูก!"
ในทุกกรณี ไม่ว่า "วัตถุดิบ-ค่าแรงงาน" และ "ทรัพยากร" อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรียกว่า "Labor Incentive" หรือ
"ค่าตอบแทนด้านแรงงาน" เท่านั้น!

นอกเหนือจากการที่กลุ่มอุตสาหกรรมตะวันตกได้ใช้วิธีการที่ "แยบยล"
ที่ดูเสมือนให้กลุ่มประเทศเอเชียเป็น "แหล่งอุตสาหกรรมใหม่"
แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ต้องขอเสียมารยาทว่าเป็น "การหลอก!" เสียมากกว่า
ทำให้กลุ่มประเทศเอเชียตื่นเต้นดีใจ ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่
แต่แท้จริงแล้วเป็น "การแสวงหาวัตถุดิบ-ค่าแรงงาน" ที่ "ถูกอย่างมาก"

เท่านั้นยังไม่พอ "กระบวนการผลิต" ทั้งหมด ยัง "กระจาย-ไม่กระจุก"
ตามโรงงานแหล่งผลิตที่แยกให้เป็นเพียงส่วนๆ เท่านั้น มิใช่ผลิตครบวงจร
และแล้วในที่สุดเมื่อ "ค่าแรงงานขั้นต่ำ" ได้เพิ่มขึ้น
ก็ย้ายฐานการผลิตในปัจจุบันสู่ประเทศเวียดนามและประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
แทบทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม

จากสภาพการณ์ของการย้ายฐานการผลิต จนก่อให้เกิด "อุตสาหกรรมใหม่"
ที่ปัจจุบันก่อปัญหาไว้อย่างมากมาย เนื่องด้วย "มุ่งพัฒนาด้านเศรษฐกิจ"
จน "ลืม-ละเลย" "การพัฒนาด้านสังคม" "ปัญหาด้านวัฒนธรรม"
จึงไหลบ่าทะลักสู่ชาวเอเชีย จนเกิด "กระแสบริโภคนิยม-ทุนนิยม"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ "กลุ่มคนรุ่นใหม่-เยาวชนรุ่นใหม่"
ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

เป็นกรณีที่แปลกอย่างมาก ที่ปัจจุบัน "ยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร"
ที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และครอบคลุมเต็มพื้นที่
จนประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจมากกว่าเดิม จน "ตื่นตัว" อย่างมากกับ
"ข่าวคราว" และ "ความเคลื่อนไหว" แทบทุกมิติในสังคม แต่มุ่งไปเฉพาะ
"ความทันสมัย-สมัยใหม่" เท่านั้น ซึ่งยังคงปักหลักอยู่กับ
"บริโภคนิยม-ทุนนิยม"

ประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดกับสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะ
"เยาวชนรุ่นปัจจุบัน-รุ่นอนาคต" ต่างไม่ให้ความสำคัญกับ
"วัฒนธรรม-ขนบธรรมเนียมประเพณี" ที่เป็น "รากฐาน-โครงสร้าง"
ของสังคมตนเอง เรียกว่า "ลืมตัวตน!" ของ "ความเป็นชาติ" โดยเฉพาะอย่าง
"เอกลักษณ์ชาติ"

ทั้งนี้ กลุ่มประเทศในแถบเอเชียอาจจะเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย
แต่สำหรับ "คนไทย" และ "คนรุ่นใหม่" แล้วต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
"สังคมไทยยุคใหม่" เป็น "สังคมพร่องความรู้ความเข้าใจ" เกี่ยวกับ
"เอกลักษณ์ชาติ" จนสามารถกล่าวตำหนิได้ว่า "ลืมรากฐาน" ชาติบ้านเมือง

จริงๆ แล้ว ถ้าท่านผู้อ่านได้ทดลองศึกษาและพิจารณาว่า
ปัจจุบันคนไทยที่มีตั้งแต่อายุ 40 ปีกว่าๆ ลงมาจนถึงเด็กเยาวชนรุ่นใหม่
ถ้าให้ลองสาธยาย หรือพูดถึง "เอกลักษณ์ของชาติไทย" ว่ามีอะไรบ้าง
เขาเหล่านั้นอาจจะกล่าวถึง "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์"
ซึ่งอาจอธิบายไม่ครบถ้วนเลยก็เป็นได้ หรืออาจจะพูดถึงแค่ "การไหว้" กับ
"อาหารไทย" เท่านั้น

แต่จริงๆ แล้ว เอกลักษณ์ไทยมีมากมายและลึกซึ้งมากกว่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น "ความสุภาพนอบน้อม" และ "การโอบอ้อมอารี" แต่ที่สำคัญคือ
"สังคมพี่น้อง" หรือ "ระบบเครือญาติ" ที่กลุ่มประเทศในเอเชียอาจมีบ้าง
แต่คงไม่ฝังรากลึกเท่าสังคมไทยกับ "ระบบอาวุโส"
ที่ผู้มีอายุน้อยกว่าต้องแสดงความเคารพด้วย "การไหว้"
ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า

"สำนัก งานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ"
เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัด
"โครงการฝึกอบรมเยาวชนอาสาสมัครเอกลักษณ์ของชาติ"
ตามแนวคิดของรองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ
ในฐานะประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ให้สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ฯ
ดำเนินการโครงการนี้ให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
แก่เยาวชนอันจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในรูปแบบของเยาวชนอาสาสมัครเอกลักษณ์ของชาติ

โดยที่เอกลักษณ์ของชาติไทยเป็นลักษณะเฉพาะที่มีความเด่นและดีงามแตก
ต่างจากนานาประเทศ ทำให้พื้นฐานสังคมไทยมีคุณภาพ คุณธรรม ภูมิปัญญา
ใฝ่เรียนรู้ มีความสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อกันมีความภาคภูมิใจในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่
มีมาช้านานจนหล่อหลอมให้เกิดความเป็นไทย
อีกทั้งเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประเทศชาติมีความมั่นคงเจริญก้าวหน้า
สืบเนื่องยิ่งขึ้น
(ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
พ.ศ.2549)

เมื่อสภาพสังคมในปัจจุบันเปลี่ยนไปตามกระแสโลกาภิวัตน์
เป็นเหตุให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน
แตกต่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว
เกิดความสับสนในการประพฤติปฏิบัติตน
และการดำเนินชีวิตในแนวทางที่ถูกต้องของคนไทย ละเลยเรื่องคุณธรรม
จริยธรรม ความกตัญญูกตเวที เพิกเฉยต่อการทุจริตคอร์รัปชัน
หลงผิดคิดว่าวัฒนธรรมต่างชาติดีกว่าวัฒนธรรมไทย
ซึ่งสภาวะดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการธำรงรักษาสิ่งที่ดีงามอันเป็นเอกลักษณ์
ของชาติ อันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความมั่นคงของชาติ

วัตถุประสงค์หลักๆ มีดังต่อไปนี้ 1. เพื่ออบรมเยาวชนไทยทั่วประเทศ
ให้เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ และมองเห็นความสำคัญของเอกลักษณ์ของชาติ
ที่เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการรักษาความเป็นไทย และความมั่นคงของชาติ 2.
เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนเกิดจิตสำนึกในความรักชาติ เกียรติยศ
ศักดิ์ศรีและภูมิใจในความเป็นคนไทย 3.
เพื่อให้เยาวชนทราบถึงบทบาทหน้าที่และภารกิจของอาสาสมัครเอกลักษณ์ของชาติ
ที่มีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

4. เพื่อให้เยาวชนสามารถปฏิบัติตามหลักการและกระบวนการมีส่วนร่วมในการพิทักษ์
รักษาไว้ซึ่งสถาบันสำคัญอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติได้ 5.
เพื่อฝึกอบรมบุคลากรด้านวิทยากรของจังหวัดให้เป็นวิทยากรอาสาสมัครเอกลักษณ์
ของชาติ สามารถขยายผลความรู้และทักษะด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการเสริม
สร้างเอกลักษณ์ของชาติได้ 6.
เพื่อประสานส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
มีส่วนร่วมในกิจกรรมเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ

อีกโครงการที่สำคัญดำเนินการควบคู่กันไปกับ
"โครงการฝึกอบรมเยาวชนฯ" คือ "โครงการธงไตรรงค์ ธำรงไทย"
โดยมุ่งเน้นสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ "ธงชาติไทย-เพลงชาติไทย"
เพื่อก่อให้เกิด "ความรักชาติ" และตระหนักถึงประวัติศาสตร์ของธงชาติไทย

และที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ "สัญลักษณ์ชาติ"
ของนานาอารยประเทศทั่วโลก คือ "ธงชาติ"
ที่เมื่อใดประชาชนส่วนใหญ่ของเขาจะรู้สึกเกิด "ความรักชาติ-หวงแหนชาติ"
และไม่สำคัญเท่ากับ "ความภาคภูมิใจชาติ"

ดังนั้น ทั้งสองโครงการที่เกี่ยวกับการฝึกอบรมเยาวชนอาสาสมัครเอกลักษณ์ของชาติและธงไตรรงค์
ธำรงไทย จึงเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญกับ "เอกลักษณ์ของชาติ"
ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

.ให้...อนิสงค์การทำบุญ(ทาน ศิล สมาธิ)

อานิสงค์ของการทำบุญ (ทาน ศีล ภาวนา)

อานิสงฆ์ของการทำบุญ (ทาน ศีล ภาวนา) ส่งต่อได้บุญนะ มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
1.นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)
- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
- เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
- จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
- ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรงแรง
- เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์--เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าเงินทองไหลมาเทมา
แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
* * * แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา, พระคาถาชินบัญชร,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้นเมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
3. ถวายยารักษาโรคให้วัด, ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์--ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
* สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้าถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์--ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์-- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวงผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภ
ยศสรรเสริญ ปัญญาและบุญบารมีอย่างท่วมท้น
เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์--ผ่อน ปรนหนี้กรรมให้บางเบา
ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวงครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธ
ศาสนาตลอดไป
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป
อานิสงส์--ได้ ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวรสร้างปัจจัยไปสู่
นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล
8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์--ผิว พรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง
ช่วยต่ออายุต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก
เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า
ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์--ช่วย ต่ออายุ
ขจัดอุปสรรคในชีวิตชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป
ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด
ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ
10.ให้ทุนการศึกษา, บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ, อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์--ทำให้มีสติปัญญาดี
ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญาได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม
11.ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์--ทำ ให้เกิดลาภไม ่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า
ไม่ตกทุกข์ได้ยากเกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน
ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
12. รักษาศีล 5 หรือศีล8
อานิสงส์--ไม่ ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรกได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์
ชีวิตเจริญรุ่งเรืองกรรมเวรจะไม่ถ่าโถม
ภัยอันตรายไม่ย่างกรายเทวดานางฟ้าปกปักรักษา
อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์เนื้อ
1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้นขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9.สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพานไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ
อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนัก เป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลายปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อนเมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้ายไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง
กิจการงานเป็นมงคลรุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน)
ครอบครัวสุขสันต์วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดาหนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ
สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศบุญกุศลเรืองรอง
10.สิ่ง ที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนก
ทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้า
สามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญา
อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์(บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)
1.หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศสรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมหนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใสปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองโพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่ายมองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจนการเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภารกิจต่างๆ
ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริม
อาสาการให้คนได้บวช
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อ
แสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้เพราะ
เมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด
หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต
ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจ
ไม่ได้รับบุญดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็น
ทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

เพื่อนแท้

เอ่อ..น้องเอย ช้างโขลงตีวงกลางป่า
ช้างสารเดินมา หน้าวัดหลาทึง
ขุดบ่อล่อน้ำ เจ้าเณรมาถึง
หน้าวัดหลาวทึง ถึงแล้วพระคุณทูนหัวเอย


เพลงเวน้อง หน้า 64
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

กำพร้าพ่อ

เอ่อ น้องเอย ต้นส้มซ่า
ลูกดกแดงร่า ร่มฟ้าร่มดิน
นกไหนไม่กล้าเจาะ กะรอกไหนไม่กล้ากิน
ร่มฟ้าร่มดิน ร่มสิ้นทั้งเมืองนี้เอย ฯ


เพลงเวน้อง หน้า 123
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

พันธสัญญา

เอ่อ..น้องเอย นกเขานี้อยู่กับเราเถิดหนาเจ้า
ทั้งน้ำทั้งข้าว รักษาเจ้ามิให้เศร้าหมอง
โอ่ โอ้เจ้าเนื้อเกลี้ยง จะเลี้ยงเจ้าไว้ในกรงทอง
รักษาเจ้ามิให้เศร้าหมอง ขังในกรงทองใหญ่เอย ฯ


เพลงเวน้อง หน้า 148
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

ยิ้มไว้โลกสดใสได้อีก

ครั้งหนึ่ง ที่บ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆ คนหนึ่ง

อาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลา ทำให้ถือของลำบาก

โดยเฉพาะเวลาทานข้าวร่วมกับครอบครัว

อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบนโต๊ะตลอดเวลา

ลูกสะใภ้อาม่าก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษาสามีว่า

นางทนไม่ได้ที่เห็นอาม่าทานข้าวหกเลอะเทอะเกลื่อนโต๊ะ มันทำให้นาง กินข้าวไม่ลง

สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถ หาวิธีทำให้มืออาม่าหายสั่นได้

จากนั้น ไม่กี่วัน ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ว่า
จะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว

หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมแก้ไขตามคำแนะนำของภรรยา นั่นคือ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาก็จัดโต๊ะให้แม่นั่งแยกต่างหาก ตามลำพังคนเดียว

โดยใช้ถ้วยข้าวราคาถูก ๆ บิ่น ๆ เพราะอาม่าชอบทำถ้วยแตกบ่อย ๆ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้

นางนึกถึงอดีตที่นางเคยเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา

นางไม่เคยปริปากบ่น หรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก

สภาพร่างกายของนางที่ทรุดโทรมเป็นที่รำคาญของลูกสะใภ้ในวันนี้

ก็คือผลจากการอดทน ตรากตรำทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนานในวันก่อน ๆ

เพื่อให้ลูกชาย..ได้เล่าเรียน..
มีความรู้..มีอาชีพการงานที่ทำให้ลูกเมียอยู่สุขสบาย

แต่ตอนนี้อาม่าเสียใจมาก..รู้สึกว่า..ตัวเองไร้ค่า..ถูกทอดทิ้ง

หลายวันผ่านไป..

อาม่ายังคงเศร้าสร้อย รอยยิ้มเริ่มจางหายจากใบหน้า

หลานชายตัวน้อยของอาม่าซึ่งเฝ้าจับตาทุกอย่างมาโดยตลอด

ก็เข้าไปปลอบใจและบอกคุณย่าว่า เขารู้ว่า..

คุณย่าเสียใจมากแค่ไหน ที่ถูกพ่อแม่ของเขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้

และเขาก็บอกท่านว่า เขามีวิธีที่จะให้อาม่าได้กลับ

ไปทานข้าวร่วมกับทุกคนได้เหมือนเดิม

ความหวังเริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจของหญิงชรา

นางถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร

เด็กน้อยได้แต่ตอบเพียงว่า " เย็นนี้ขอให้คุณย่าแกล้งทำชามข้าว

ของคุณย่าตกให้มันแตก..เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจนะครับ"

อาม่าได้ฟังก็แสนจะแปลกใจ

แต่หลานชายตัวน้อยก็คงยืนกรานให้คุณย่าทำตามที่เขาบอก

และบอกว่าที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าทีของเขาเอง

และแล้ว..เมื่อได้เวลาอาหารเย็น

หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด เพื่อจะดูว่า

หลานชายมีแผนการอะไร นางจึงยกถ้วยข้าวใบเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้น

แล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้น เหมือนกับทำหลุดมือ

ถ้วยข้าวเก่าใบนั้นหล่นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี!!!!!

ลูกสะใภ้เห็นดังนั้น ก็ลุกขึ้น เตรียมจะด่าว่าอาม่าทันที

แต่แล้ว..ลูกชายตัวน้อยของเธอ กลับรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

" ว้า..คุณย่าทำไมทำชามแตกซะเละหมดล่ะครับ

นี่ผมอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่า..จะเก็บชามใบนี้ไว้ให้คุณแม่ผมใช้ต่อ

แล้วเนี่ยผมจะเอาชามเก่าที่ไหนมาให้คุณแม่ผมใช้

ตอนแกแก่เท่าคุณย่าล่ะครับ ??"

ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็ถึงกับอึ้งงงงง....หน้าซีด
ด่าไม่ออกอีกต่อไป

นางรู้สึกได้ทันทีว่า...ทุกสิ่งที่นางทำลงไปในวันนี้ย่อมจะเป็นตัวอย่าง

ให้ลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางในวันหน้าเมื่อนางแก่ตัวลงเช่นกัน

นางรู้สึกอับอายและสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง

ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนในบ้านก็นั่งทานข้าวร่วมกันตลอดมา.

เคาะข่าวริมโขง : "มาร์ค" ไม่ต่าง "แม้ว" ลอกนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียง

รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา
18.30-20.30 น.วันอังคารที่ 29 มิ.ย. โดยมี น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา
รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายพิเชฏฐ
พัฒนโชติ ผอ.เลือกตั้ง ส.ก.และส.ข. พรรคการเมืองใหม่ นายเทิดภูมิ ใจดี
รักษาการกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และนายประพันธ์ คูณมี
รักษาการกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยในรายการ

น.ส.วรรษมนกล่าวเปิดประเด็นกรณีที่ศาลยกคำร้องไม่ให้นายก่อแก้วออกจากเรือนจำ
เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากใช้ในการเลือกตั้ง

นายประพันธ์กล่าวว่า
มันเป็นเพียงข้ออ้างที่อยากจะหนีออกจากการถูกคุมขัง
ความจริงการเปิดบัญชีของผู้สมัครมอบหมายให้ผู้ใดเปิดแทนก็ได้ไม่จำเป็นต้อง
ทำด้วยตัวเอง ความจริงศาลไม่ควรให้ออกมาสมัครลงเลือกตั้งด้วยซ้ำไป

น.ส.วรรษมนกล่าวถึง นายพร้อมพงศ์เตรียมฟ้อง
กกต.เรื่องการถอนตัวลงเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ว่าฮั้วกับประชาธิปัตย์

นายเทิดภูมิกล่าวว่า คนไม่รู้จริงตนเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค
กรณีนี้เมื่อส่ง พล.อ.กิตติศักดิ์ลง
แล้วโดนโทร.มาต่อว่ามากมายว่าลงแข่งกับผู้ก่อการร้ายทำไม
จึงเกิดการถอนตัว นายสนธิไม่ได้เกี่ยวข้องเลยเพราะได้ลาออกไปแล้ว เหตุที่
พล.อ.กิตติศักดิ์ถอนตัว กรรมการบริหารพรรคก็เห็นด้วย
และผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างเป็นขั้นตอน

นายประพันธ์กล่าวว่า
เป็นความพยายามต้องการหาเรื่องพรรคการเมืองอื่น
นายพร้อมพงศ์น่าจะรู้ดีการฮั้วพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย
การส่งคนลงเป็นสิทธิของแต่ละพรรค แล้ว
พล.อ.กิตติศักดิ์ก็ยังไม่ได้เป็นผู้สมัคร
นายพร้อมพงศ์ควรเอาสติปัญญาไปหาเสียงให้ชนะคู่แข่งให้ได้ดีกว่า
อย่าทะลึ่งชวนพรรคโน่นพรรคนี้ทะเลาะ ต้องเคารพการตัดสินใจของแต่ละพรรค
อยากไปยื่นให้ตรวจสอบก็เอา แต่ถ้ากกต.ตัดสินออกมาว่าไม่มีมูลจะหน้าแตก
ตนขอแนะนำว่าถ้ามั่นใจจะชนะก็เดินหน้าหาเสียงไป

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า พรรคการเมืองใหม่เตรียมตัวลงเลือกตั้ง
ส.ก. และ ส.ข. ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องฮั้ว ปชป. คนกรุงเทพฯ
มีสติปัญญาคิดเองจะเลือกใคร และไม่ได้กลัวแพ้ ปชป.ด้วย
เพราะปชป.เคยแพ้พรรคใหม่ๆ ตั้งหลายครั้ง

น.ส.วรรษมนกล่าวถึง ครม.ต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพต่างๆ
ถึงสิ้นปี โดยนายประพันธ์กล่าวว่า เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลในตอนนี้
ขณะที่คนถามหาผลงานของรัฐบาล ตนขอถามว่ามีผลงานอะไรที่ไม่ได้ลอกทักษิณมา
เป็นนโยบายเอาเงินไปแจกชาวบ้านทำต่อนายทักษิณ
เหมือนว่าประชาชนเสพติดนโยบายประชานิยมไปแล้ว
น่ากลัวว่าเป็นแบบนี้ต่อไปประชาชนจะยืนด้วยตัวเองไม่ได้
ต้องมาทบทวนการบริหารประเทศกันใหม่ ทำแบบนี้ทำให้ชาวบ้านถามหาทักษิณ
เพราะทักษิณแจกมากกว่าอีก แถมยังไม่มีอะไรดีกว่ารัฐบาลทักษิณด้วย

นายเทิดภูมิกล่าวว่า
มันเเป็นนโยบายหาเสียงหาคะแนนนิยมแบบเดียวกับทักษิณ
หลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ ไม่ทำให้ประชาชนพึ่งตัวเอง เป็นลัทธิบริโภคนิยม
ต้องเข้าสู่ความเป็นจริงต้องสนับสนุนให้ประชาชนได้ประโยชน์จริง
อย่างการปรับปรุงรางรถไฟ เสียเงินไปมากมาย หรือการสร้างสภาฯ
ใหม่ที่ทำไปก็มีปัญหาไม่น่าจะอนุมัติ

นายพิเชฏฐกล่าวว่า นโยบายมาจากพวกแก๊งไอติม ไหนจะให้นายกฯ
มารับโทรศัพท์ ร้องเพลงชาติตอน 6 โมง
แค่คิดว่าเอาเงินที่ใช้ในการให้ใช้รถเมล์ รถไฟ น้ำ ไฟ ฟรี
ปีหนึ่งกี่หมื่นล้าน เอามาทำรถไฟรางคู่ แบบที่โฆษณาไว้
เพราะทุกวันนี้รถไฟไทยช้ามาก สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ
เกิดปัญหาตามมามากมาย

นายประพันธ์กล่าวเสริมว่า ถ้านักการเมืองไทยจะทำรถไฟรางคู่จะต้อง
8 แสนล้าน ที่อื่น 4 แสนล้าน เมืองไทยมันแย่ที่คน ต้องแก้ปัญหาที่คน

นายพิเชษฐกล่าวเสริมว่า
รัฐบาลไหนที่เข้ามาก็ทำรถไฟทางคู่ไม่สำเร็จพลังธรรมเคยทำได้นิดหน่อยก็ต้อง
หยุดไป เพราะเจ้าของรถ เจ้าของบริษัทก่อสร้างถนน พวกนี้อยู่ในครม.หมด
จะคอยห้ามไม่ให้สร้าง ในวันนี้ต้องลองคิดลึกลงไป
คนที่จะแก้ปัญหาได้ต้องมีทัศนะของการแก้ปัญหาที่จริงใจ
ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง

พุมเรียง

คือ ..น้องเอย คือพร้าวนาสิเกร์
ต้นเดียวโนเน อยู่กลางเลขี้ผึ้ง
ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง
อยู่กลางเลขี้ผึ้ง ถึงได้ก็แต่ผู้พ้นบุญเอย ฯ

เพลงเวน้อง หน้า 21
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

ไปหัดกินปลา

เอ่อ....น้องเอย คือยาวกลางนา
ต้นใหญ่ใบหนา คนมาได้พักอาศัย
ฝนตกก็ไม่ประปราย พระพายฉายพัดก็ไม่หวั่นไหว
คนมาได้พักอาศัย ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลดเอย ฯ


เพลงเวน้อง หน้า 57
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

ตรุษจีนมาแล้ว

เอ่อ....น้องเอย แม่ไก่ทำไมมันร้องเจี๊ยบเจี๊ยบ
ถ้วยข้าวมาหนีเกียบ นอกชานหนีบันได
ยังอีกหนึ่งเล่า หม้อข้าวหนีเตาไฟ
นอกชานหนีบันได แม่ไก่หนีรังเอย


เพลงเวน้อง หน้า 49
จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก...พุทธทาสภิกขุ

บทเพลงกล่อมลูก หรือ เพลงเวน้อง
วรรรณกรรมพื้นบ้านในแถบถิ่นรอบอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ที่แสดงุถึงลมหายใจ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผู้คนมีความรุ่งเรืองด้วย
วรรณศิลป์ ศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา
จนสามารถนำพุทธิปัญญาในชั้นปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
มาร้อยกรองเป็นบทเพลงกล่องลูกหรือ เพลงเวน้อง ขับขานสืบสานต่อๆกันมา
ด้วยความจำจากรุ่น หรือ สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยที่ยังสืบค้นไม่ได้ว่า
ครูหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านใด เป็นผู้รจนาบทเพลงที่มีนัยลึกซึ้งในทางธรรม
และวิจิตรด้วยวรรณศิลป์นี้

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แนะนำ เวบใหม่ "บ้านศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน" โดย กลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน

แนะนำเวบใหม่ครับ
http://thaibansinlapin.blogspot.com/

"บ้านศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน"
รวมข่าวสาร กิจกรรม ผลงานเพลง จากกลุ่มศิลปะ ดนตรี และกวีประชาชน

เวบไซต์ที่จะรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจ จากกลุ่มทำงานอิสระ จากลุ่มน้ำบางปะกง ชลบุีรี
อาทิเช่นคุณไก่ แมลงสาบ หรือ วัลลพ พลเสน, คุณสรัญญา อรรคราช ,
คุณวิเชียร ตั้งธรรมสถิตย์
กับการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ตามแนวทางของตนเอง

ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ทำงานเพื่อสังคมนี้ได้
จากเวบไซต์ดังแล้่วได้แล้ววันนี้


"บ้านศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน"
http://thaibansinlapin.blogspot.com/

Fw: ลุงแจวเรือจ้าง...กับหนุ่มนักเรียนนอก

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง...เป็นชาวสงขลา...
เรียนเก่งมาก...
ได้ทุนไปเรียนอเมริกา...ตั้งแต่เด็ก...จนจบด็อกเตอร์...
จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน...

บ้านของเด็กหนุ่ม...
อยู่อีกฟากหนึ่ง...ของทะเลสาบสงขลา...
ต้องนั่งเรือแจว...ข้ามไป...ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง...

เรือที่ติดเครื่องยนต์...ไม่มีเหรอ...ลุง...?
ไม่มีหรอกหลาน...ที่นี่มันบ้านนอก...
มันห่างไกลความเจริญ...มีแต่เรือแจว...

โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง...โบราณมาก...
ที่อเมริกา....เขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง...ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก.. .

ไปส่งผมฝั่งโน้น...เอาเท่าไร...ลุง...?
80 บาท...
OK...ไปเลยลุง...

ในขณะที่ลุงแจวเรือ...
หนุ่มนักเรียนนอก...ก็เล่าเรื่องความทันสมัย...
ความก้าวหน้า...ความศิวิไลช์...ของอเมริกาให้ลุงฟัง...

เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว...ล้าสมัยมาก...
ไม่รู้คนไทย...อยู่กันได้ยังไง...?

ทำไม ไม่พัฒนา...ทำไมไม่ทำตามเขา...เลียนแบบเขาให้ทัน...?
ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์...ใช้อินเตอร์เน็ต...เป็นไหม...?
ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น...
โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ....ชีวิตลุงหายไปแล้ว...25 %....

แล้วลุงรู้ไหมว่า...เศรษฐกิจของโลก...ตอนนี้เป็นยังไง...?
ลุงไม่รู้หรอก...
ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ...ชีวิตของลุงหายไป...50 %

ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหม...ลุง...?
ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหม...ลุง...?
ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย...
ชีวิตของลุง...ลุงรู้อยู่อย่างเดียว...
ว่าจะทำยังไง...ถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น...
ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้...ชีวิตของลุง...หายไปแล้ว...75 %

พอดีช่วงนั้น...
เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง...คลื่นลูกใหญ่มาก...ท้องฟ้ามืดครึ้ม...
ลุงจึงถามเด็กหนุ่มว่า :
นี่พ่อหนุ่ม...เรียนหนังสือมาเยอะ...จบดอกเตอร์จากต่างประเทศ...
ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม...?
ได้...จะถามอะไรหรือลุง...?

เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม...?
ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง....

ชีวิตของเอ็ง...กำลังจะหายไป 100 % ...แล้วพ่อหนุ่ม...

น้ำตาลทรายสำหรับบริโภคภายในประเทศไทย

กำลังจะถูกปู้ยี่ปู้ยำโดยกระทรวง พาณิชย์
ด้วยแผนสามานย์เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าพรทิวา

ทุกปีรัฐ กำหนดโควต้าน้ำตาลทรายขาวสำหรับบริโภคภายในประเทศ
โดยแต่ละโรงงานต้อง ผลิตให้เพียงพอการบริโภคในประเทศก่อนการส่งออก
ในปีนี้กำหนดโควต้า 2.2 ล้านตันภายในประเทศและโรงงานได้ผลิตครบถ้วนแล้ว
ภายหลังจากได้ปิดการผลิต ในเดือนเมษายน 2553
การนำน้ำตาลทรายออกขายภายในประเทศนั้น
ต้องขอใบ โควต้าจากกระทรวงพาณิชย์ก่อน

ทุนสามานย์พรทิวาเริ่มออกฤทธิ์ด้วยการ กั๊กโควต้าไว้
เพื่อสร้างสถานการณ์และสภาวะขาดแคลนน้ำตาลทรายภายในประเทศ
เมื่อ อุปทานตึงราคาก็จะขึ้น จึงเป็นโอกาสให้กระทรวงพาณิชย์
ประกาศนำเข้า น้ำตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
โดยวันนี้กระทรวงจะมีมติการจัดซื้อ เพื่อนำเข้าหนึ่งแสนตัน
(หนึ่งร้อยล้านกิโลกรัม) มูลค่ากว่าสองพันล้านบาท
นั่น เป็นการเปิดช่องสามานย์โล่งฉิวให้พรทิวาหาเงินเข้ากระเป๋าและเข้าพรรค
จาก การประมูลจัดซื้อและนำเข้าน้ำตาลทรายขาวเข้าประเทศไทย
ทั้ง ๆ ที่ไม่ขาดแคลน
แต่เป็นสถานการณ์เทียมที่พรทิวาจัดฉากอำนวยการสร้างเพื่อผลประโยชน์ของตนและ
พรรคสามานย์

ขอให้ ปชช. + ASTV โปรดติดตามเรื่องนี้ด่วน
น้ำตาลทรายขาวและช่องทางสามานย์หาทุนเข้าพรรค

ครม.ต่ออายุ 5 มาตรการ 6 เดือน มอบคลังศึกษารถเมล์/รถไฟฟรีถาวร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ว่า
ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติการต่ออายุ 5
มาตรการลดค่าครองชีพประชาชนออกไปอีกเป็นระยะเวลา 6 เดือน
โดยจะไปสิ้นสุดในสิ้นเดือนธันวาคม 2553 ซึ่งประกอบด้วย มาตรการรถเมล์ฟรี
รถไฟฟรี และค่าไฟฟ้า ส่วนมาตรการการตรึงราคาก๊าซ LPG และ NGV
จะหมดอายุการตรึงราคาลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เตรียมแบ่งเบาภาระประชาชนในรูปแบบถาวร
โดยเฉพาะมาตรการรถไฟฟรี และรถเมล์ฟรี
ซึ่งในเรื่องนี้ได้มอบหมายให้นายกรณ์ จาติกวณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ไปศึกษาหาแนวทางในการดำเนินการว่ามีผลได้หรือผลเสียอย่างไรบ้าง

รับสมัครเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน 2 อัตรา

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
รับสมัครเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน 2 อัตรา สมัครด้วยตัวเอง ในวันที่
18-19 สิงหาคม 2553

แหล่งที่มา: โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางแก้ว
โทรศัพท์: 02-7102541 ,085-9804260
E-Mail: hc00957@hotmail.com

สัญญารักที่มีให้กัน....จนวันสุดท้าย

ผ่านไปอ่านข่าวชาวฝรั่งเกี่ยวกับเรื่องความรักอันซาบซึ้งตรึงใจ
แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนำมาแบ่งปันกัน...
เรื่องราวของคุณตาวัย 93 ซึ่งเดินทางผ่านกาลเวลาจนมาถึงวาระสุดท้าย
ก่อนจะจากโลกนี้ไป คุณตาได้ทำความฝันของคุณยายให้กลายเป็นจริง
ด้วยการยื้อชีวิตตัวเอง จนถึงวันครบรอบแต่งงาน
เพื่อจัดพิธีแต่งงานและสาบานรักกับคุณยายอีกครั้ง
ก่อนที่จะต้องจากคุณยายไปอย่างไม่มีวันกลับ.......

Mr. Vernon McAlister วัย 93 ปี
เกิดอุบัติเหตุกระดูกสะโพกหักเมื่อสามอาทิตย์ก่อน และหมอได้บอกว่า
เขาอาจจะมีชีวิตรอดอยู่ได้แค่อีกไม่กี่วัน
และในวันที่เหลืออยู่นี้ คุณตา Vernon
ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำให้ฝันของคุณยายเป็นจริง
ด้วยการจัดพิธีแต่งงานและสาบานรักกับคุณยายขึ้นมาอีกรอบ
เพื่อฉลองวันครบรอบแต่งงานปีที่ 72 ของคุณตาและคุณยาย
โดยคุณตาได้ขอร้องหมอและพยาบาลให้ช่วยยืดอายุคุณตาจนกว่าจะถึงวันครบรอบการแต่งงานของคุณตาและคุณยาย

และแล้วฝันของคุณตาก็เป็นจริง
เมื่อคุณตาต่อสู้ยื้อชีวิตรอจนถึงวันครบรอบการแต่งงาน
เพื่อจะได้จัดพิธีสาบานรักให้กับคุณยายอีกครั้ง
ดังที่เราเห็นกันอยู่ในภาพข้างบนนี้แหละค่ะ
พิธีนี้มีขึ้น ณ โรงพยาบาล Hospice of The Upstate ในเขตแอนเดอร์สัน
เมือง เซาส์ทแคโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปเมื่อ 72 ปีที่แล้ว คุณตา Vernon วัย 20 ปี ได้ขอคุณยาย Sue
วัย 15 ปี แต่งงาน ทั้งคู่รู้จักกันที่ฟาร์มของพ่อคุณตาใน South Carolina
คุณตาเล่าว่า พ่อของคุณตาชอบคุณยายมาก และบอกกับคุณตาว่า
คุณยายจะเป็นภรรยาที่ดีอย่างแน่นอน.....ถึงวันนี้ คุณตาก็ยิ่งมั่นใจ
ว่าสิ่งที่พ่อบอกมา มันยิ่งกว่าจริงเสียอีก คุณตาบอกว่า
คุณยายเป็นภรรยาที่แสนวิเศษ เปรียบดั่งเพชรเม็ดงามที่คุณตาได้มาครอบครอง
จะว่าไปแล้ว เมื่อสองปีที่แล้ว...คุณยายเองก็ต้องผ่านช่วงเวลาการต่อสู้กับโรคร้าย
อย่างมะเร็งในช่องท้องมาอย่างแสนสาหัส
แต่คุณยายก็ผ่านมาได้โดยมีคุณตาคอยช่วยดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของเธอนั่นเอง
คุณยายยังต่อท้ายด้วยว่า หลังจากแต่งงานกัน
คุณตาก็ดูแลคุณยายมาอย่างดีตลอดชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกัน......คุณตารักคุณยายมาก
และไม่เคยทำร้ายน้ำใจคุณยายเลยแม้แต่น้อย
สิ่งใดที่คุณตาสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม
คุณตาก็ยังคงทำตามนั้นอย่างสม่ำเสมอ
"พิธีวันนี้ย้ำเตือนให้ฉันจำได้อีกครั้งหนึ่งว่า
การเดินเข้าไปหาคนที่คุณรักสุดหัวใจ
มันไม่มีอะไรจะต้องลังเลหรือกังวลแม้แต่น้อย"
ก่อนเกษียณอายุ คุณตาทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร
คุณตาคุณยาย มีลูกด้วยกันทั้งหมด 5 คน เป็นชายสี่คน ได้แก่ โทนี่ ฟิล แวน
และ ดอน ส่วนลูกสาวคนเดียวนั้นก็คือ อนิตา ฟลอยด์
....ซึ่งทั้งหมดก็ได้มาร่วมพิธีนี้ กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
อนิตาบอกว่า......พ่อกับแม่ฉันได้พิสูจน์ความรักแท้ของท่านทั้งสองแล้ว
ส่วนเพื่อนสนิทของครอบครัวนี้ อย่าง Bill French
ได้เข้ามาช่วยจัดงานให้คุณตาและคุณยายอย่างแข็งขัน
และเขาก็ให้ความเห็นไว้ว่า...คู่นี้แทบจะถือว่าเป็นตัวอย่างของคู่รัก(แท้)ให้กับชาวโลกได้เลยทีเดียว
จากวันที่ Vernon สาบานรักกับ Sue จนถึงวันนี้ ใครเลยจะเชื่อว่า
พวกเขาจะรักษาสัญญารักนี้ไว้ได้อย่างแสนยาวนาน
และขณะนี้พระเจ้ากำลังยิ้มรับ....กับสัญญารักที่พวกเขามีให้กันจนวันสุดท้าย....

ในเมื่อคุณตาได้มีโอกาสบอกคำสาบานรัก ให้คุณยายได้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งก็ต้องถือว่า ทั้งคุณตาและคุณยายยังโชคดีที่ได้ทำวันนี้ให้กันและกัน
ก่อนจะสายไป
แล้วพวกเราล่ะค่ะ วันนี้คุณบอกรัก และทำสิ่งดีๆ
ให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็จงรีบทำซะ
เผื่อว่าเราอาจจะไม่มีวันรุ่งพรุ่งนี้ให้บอกรักกัน
อย่างที่ในเพลงเขาว่าไว้ก็เป็นได้....

ผู้ปกครองนักเรียน : ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของนักบิดรุ่นเยาว์

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ 28 มิถุนายน 2553 14:03 น.


ทุกความรุนแรงมีเรื่องเล่า
ดังความรุนแรงของเยาวชนในยูนิฟอร์มนักเรียนนักศึกษาขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่มีเรื่องเล่ามากมายให้ค้นหา
เพราะไม่ใช่แค่เรื่องราวความคึกคะนอง โชว์หญิง
หรือชื่นชอบความท้าทายที่รวดเร็วเท่านั้น
ทว่ายังเป็นเรื่องราวเชิงโครงสร้างของระบบขนส่งสาธารณะประเทศไทยที่รวมศูนย์
ไม่ครอบคลุมกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ต้องเดินทางไป-กลับโรงเรียนทุกวัน
โดยเฉพาะเยาวชนตามต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางจากชนบทรอบนอกเข้าตัวอำเภอหรือตัวเมืองเพื่อไปเรียนหนังสือ

มอเตอร์ไซค์จึงเป็นยานพาหนะตัวเลือกอันดับแรกทั้งของเยาวชนและผู้ปกครองในการเดินทางไป-กลับโรงเรียนของเด็กนักเรียนต่างจังหวัด
นั่นทำให้จำนวนรถมอเตอร์ไซค์สะสมทั้งสิ้น 16,549,307 คันเมื่อสิ้นปี 2552
เป็นรถที่จดทะเบียนในภูมิภาคมากถึง 14,158,941 คัน
ซึ่งในจำนวนนี้ก็น่าจะเป็นรถที่พ่อแม่ซื้อให้เยาวชนใช้ขับขี่ไปเรียนหนังสือไม่ใช่น้อย
ยิ่งปัจจุบันไม่เพียงผ่อนน้อยผ่อนนาน ดาวน์น้อยหรือไม่ต้องดาวน์เลย
ทว่าแคมเปญโฆษณามอเตอร์ไซค์ยังเจาะกลุ่มวัยรุ่นโดยตรงด้วยการใช้พรีเซนเตอร์ดารานักร้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และรูปทรงรถที่โฉบเฉี่ยว สมรรถนะเร็วแรงโดนใจ ดังปี 2552
ที่มีรถมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนใหม่ถึง 1,635,807 คัน โดยอยู่ในเขตภูมิภาค
1,307,441 คัน

ทั้งนี้ ในบริบทของต่างจังหวัดที่ไร้ระบบขนส่งสาธารณะรองรับและรถนักเรียนที่มีให้บริการก็ขาดมาตรฐานความปลอดภัย
การตัดสินใจของผู้ปกครองที่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกหลานขี่ไปโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลจึงน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกสบาย
และลูกๆ ที่ชอบรถทันสมัย

ทว่าความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ของพ่อแม่ที่ต้องการเห็นลูกขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนด้วยความปลอดภัย
เพราะมอเตอร์ไซค์ได้กลายเป็นยานพาหนะสุดอันตรายที่นำการบาดเจ็บ พิการ
หรือตายมาสู่ลูกหลานวัยรุ่น
ดังสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตรงกับรายงานของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินที่พบว่ากลุ่มเยาวชนช่วงอายุ
15-24 ปี มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์สูงสุดอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นกลุ่มที่ขาดประสบการณ์และวุฒิภาวะในการตัดสินใจ

ไม่เท่านั้นทุกครั้งที่บิดคันเร่งยังหมายถึงการเดินทางเข้าสู่โลกใหม่สังคมใหม่เพื่อนใหม่ที่ยากมีใครทัดทานได้
เพราะท่วมท้นไปด้วยความเร็ว รุนแรง และเซ็กซ์ที่สุดแสนเร้าใจ
ดังรายงานวิจัยของกลุ่มเยาวชนผู้นำความปลอดภัยที่พบว่าเพียงรถมอเตอร์ไซค์คันเดียวก็เป็นเครื่องมือเปิดโลกเยาวชนให้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความรุนแรงและอบายมุขได้แล้วจากการการขับขี่รวมกลุ่มกับแก๊งเพื่อน
อีกทั้งมักชักชวนกันแต่งรถให้แรงเพื่อเพิ่มแรงดึงดูดเพศตรงข้าม
แข่งกันขับรถเร็ว ซิ่ง เพื่อความตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน
ขับขี่ผาดโผนเพื่อสร้างอัตลักษณ์ของตัวเอง
และบางคราเลยเถิดถึงขั้นเข้าสู่โลกอาชญากรรม ยาเสพติด
และเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เพราะสภาพแวดล้อมชักจูงใจให้หลงผิด

รถมอเตอร์ไซค์พาหนะที่พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
(Official sponsor)
ซื้อหาให้ลูกหลานวัยรุ่นวัยเรียนเพื่อหวังว่าพวกเขาจะใช้ขี่เดินทางไป-กลับโรงเรียนด้วยความสะดวกสบาย
กลับบ้านตรงเวลา ไม่ต้องห้อยโหนรถโดยสารสาธารณะ และประหยัดค่าใช้จ่าย
จึงกลับกลายเป็น 'พาหะ'
นำพาทุกข์โศกเศร้ามาสู่ตัวนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองในที่สุด
เพราะแม้นจะเป็นพาหนะสนับสนุนการดำเนินชีวิตสะดวกสบาย
แต่บางครั้งก็แลกมาด้วยความสูญเสียถึงชีวิต

การชั่งน้ำหนักของผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการจึงหมายถึงการคำนวณบวกลบคูณหารระหว่างความสะดวกสบายของลูก
ค่าน้ำมันประหยัดกว่าค่าโดยสารรถโดยสารสาธารณะ
หรือกระทั่งการไม่อยากทนรบเร้าร้องขอรถมอเตอร์ไซค์ของลูกๆ
กับสวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิต
และการใช้ชีวิตที่ผิดครรลองคลองธรรมของกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรมจรรยาจากการใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องมือ
เพราะถึงที่สุดแล้วความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจไม่คุ้มค่าเท่าชีวิต
และไม่มีภาวะใดไม่มีทางเลือกถึงแม้นระบบขนส่งสาธารณะและรถนักเรียนตามต่างจังหวัดจะขาดแคลนและด้อยมาตรฐานก็ตามที

ดังความพยายามที่จะลดละเลิก 'นักบิดรุ่นเยาว์'
ในงานปฐมนิเทศผู้ปกครองของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา
ของ 'กลุ่มเยาวชนผู้นำความปลอดภัย'
ที่เกิดจากการรวมตัวกันของนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มุ่งรณรงค์ให้เพื่อนนักเรียนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ปลอดภัย
โดยการผลักดันของ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สนับสนุนโดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
(ศวปถ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ที่ได้ถ่ายทอดปัญหาและความทุกข์ทรมานหลังผู้ปกครองซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกไปโรงเรียน

ด้วยเครือข่ายเยาวชนกลุ่มนี้ตระหนักว่าลำพังรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียนที่เคยใช้รถมอเตอร์ไซค์แบบเร็วแรงมาเป็นขับขี่ปลอดภัย
ระมัดระวัง เคารพกฎจราจรไม่เพียงพอ
หากพ่อแม่ผู้สนับสนุนเงินทองอย่างเป็นทางการในการดาวน์และผ่อนรถยังคงไม่สำนึกถึงผลกระทบร้ายแรงจากการไม่ยับยั้งชั่งใจซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกที่มีวุฒิภาวะไม่เหมาะสมไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่
เพราะท้ายสุดความสูญเสียที่ยากยอมรับได้จะมาเยือนครอบครัวแน่จากเหตุที่คนทั้งสองรุ่นขาดวุฒิภาวะพอๆ
กัน พ่อแม่ขาดวุฒิภาวะที่จะดูแลลูก
ขณะลูกก็ขาดวุฒิภาวะในการตัดสินใจใช้รถใช้ถนน

ครั้นหวังการกลับตัวกลับใจของวัยรุ่นที่เคยมีลีลาชีวิตสุดเหวี่ยงก็ยากจะเกิดขึ้นได้
ด้วยน้อยนักที่เยาวชนผู้เคยขี่รถมอเตอร์ไซค์เร็วแรง
และประสบอุบัติเหตุมาแล้วหลายครั้งจนฝากรอยแผลไว้เต็มตัวจะกลับมาขับขี่ด้วยความปลอดภัย
สวมหมวกนิรภัย และรณรงค์ให้เพื่อนนักเรียนที่ขี่ด้วยความเร็วแรงกลับมามีจิตสำนึกและวัฒนธรรมความปลอดภัย
ตัดสินใจในภาวะคับขันได้ดีขึ้น
รวมทั้งเป็นกำลังหลักในการสร้างความตระหนักแก่ผู้ปกครองถึงผลร้ายแรงจากการซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูก
ดังเปรม ดิลกศรี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ประธานเยาวชนผู้นำความปลอดภัย
ด้วยส่วนมากมักบาดเจ็บ พิการ หรือตาย
ไม่น้อยก็ถลำลึกในแวดวงอาชญากรรมจนถอนตัวไม่ได้

นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนสำคัญจาก อำนาจ ภักดีเสน่หา
ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ตระหนักถึงผลกระทบเลวร้ายจากการใช้รถมอเตอร์ไซค์ของเด็กนักเรียนที่มีวุฒิภาวะไม่เหมาะสม
ด้วยปีที่แล้วโรงเรียนต้องสูญเสียชีวิตนักเรียน 2
รายจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์
จนในการประชุมผู้ปกครองทุกครั้งต้องเตือนสติว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูก
เพื่อจะป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้

ไม่เท่านั้นทางโรงเรียนยังกำหนดระเบียบโรงเรียนออกเป็นประกาศเรื่องการใช้รถมอเตอร์ไซค์ว่า
1) หากนักเรียนคนใดประสงค์จะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียน
ผู้ปกครองจะต้องติดต่อขออนุญาตกับทางโรงเรียนก่อน
โดยแนบหลักฐานสำเนาใบขับขี่ของนักเรียนและทะเบียนบ้านมาด้วย 2)
นักเรียนที่นำรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาในโรงเรียนจะต้องพกใบขับขี่และสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง

3) รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้จะต้องอยู่ในสภาพเดิม ห้ามมีการตกแต่ง
ดัดแปลง หรือตกแต่งสภาพรถจนผิดกฎหมาย และ 4)
จะต้องจอดรถมอเตอร์ไซค์ในสถานที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น
โดยหลังออกประกาศดังกล่าวควบคู่กับรณรงค์
นักเรียนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนมีจำนวนลดลง และหากไม่จำเป็นจริงๆ
ผู้ปกครองก็ไม่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกหลานใช้
และสนับสนุนให้นักเรียนใช้รถสาธารณะที่มีความปลอดภัยมากกว่า

ดังนั้น การรณรงค์ลดใช้รถมอเตอร์ไซค์ในเยาวชนจึงต้องดำเนินการควบคู่กับพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย
สะดวกสบาย ตรงเวลา และครอบคลุมนักเรียนในชนบทห่างไกล
เพื่อเป็นทางเลือกแก่เด็กและผู้ปกครอง
และที่สำคัญต้องกระตุ้นเตือนพ่อแม่ให้เลิกล้มการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของนักบิดรุ่นเยาว์เสียที
เพราะนักซิ่งนอกสนามแข่งขันเหล่านี้นอกจากไม่มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจจนเป็นอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นแล้ว
ก็ยังไม่มีชุดหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยใดๆ ป้องกันเลย
นอกจากยูนิฟอร์มนักเรียนนักศึกษา!

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

การขยายเวลารับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการชุมชนร่วมใจสร้างความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 6 ประจำปี 2553

วันที่: 2010-06-29 00:00:00 ถึง: 2010-07-08 00:00:00
สภาวิศวกรขยายระยะเวลาเปิดรับสมัครโครงการชุมชนร่วมใจ
สร้างความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 6 ประจำปี 2553 จนถึงวันศุกร์ที่ 23
กรกฎาคม 2553 เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชน/ท้องถิ่นต่างๆ
ได้จัดเตรียมใบสมัครและเอกสารให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
โดยแบ่งการประกวดออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทชุมชน 2)
ประเภทองค์การบริการส่วนตำบลและเทศบาลตำบล 3)
ประเภทเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร และ 4) ประเภทองค์การบริหารส่วนจังหวัด
เงินรางวัล รวมทั้งสิ้น 830,000 บาท
หากท่านใดสนใจสามารถส่งใบสมัครมาที่สภาวิศวกร
ทางไปรษณีย์หรือโทรสารหมายเลข 02 - 935 - 6695 หรือ 97
หรือติดต่อฝ่ายบริหารและประชาสัมพันธ์ สำนักงานสภาวิศวกร โทรศัพท์
0-2935-6868 ต่อ 305 นายทวิชา ศักดิ์วานิชกุล มือถือ 085-158-4110 และต่อ
310 นางสาวเพ็ญพิรุฬห์ ศรีประสาธน์ มือถือ 089-661-7526

แหล่งที่มา: นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล
โทรศัพท์: 0-2935-6868 ต่อ 305
E-Mail:
Url: http://www.coe.or.th/_coe/_coenew/appNewsFM1.php?dbNo=50&dbYear=2553&dbType=1

สังฆทาน ได้อานิสงส์มาก หากทำถูกต้อง

การทำบุญถวายสังฆทานนั้นได้อานิสงส์ใหญ่มาก หากเราทำถูกต้อง
ไม่ว่าจะเป็นสังฆทานที่สร้างกุศลเพื่อตนเอง
หรือสังฆทานอุทิศให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
ตามประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยทำมานะครับ และครูบาอาจารย์ท่านแนะนำบอกสอนมา
โดยผมประมวลสรุปเป็นของตนเองดังนี้นะครับ
ให้ เราตั้งใจจัดหาซื้อของ ตามปัจจัยที่เรามี
อย่าให้เราเดือดร้อนเพราะทำบุญ ให้ทำตามกำลัง
เมื่อได้ของครบเราก็หาวัดที่ท่านปฏิบัติหน่อย หรือวัดที่เราศรัทธา
ก็ให้ทำสังฆทานประกอบด้วยของดังนี้ (ไปทำก่อนเพลนะครับ
พระบางวัดท่านไม่รับหลังเพล หากวัดไหนท่านรับหลังเพลให้เราเอาอาหารสดออก
ถวายเฉพาะอาหารแห้ง )
1. อาหารสด เช่น ข้าวต้มกระเพาะปลา ก๋วยจั๊บกระดูกหมู
ผัดผักรวมมังสะวิรัติ ควรมีอาหารประมาณ 3 ประเภท
ควรมีอาหารแห้งด้วยประกอบไปด้วย
ข้าวสารสัก ประมาณ 1 กิโลกรัม ปลากระป๋อง หรืออาหารแห้งสำเร็จรูปอื่นๆ
หรือสิ่งที่จะให้โรงครัวเขาประกอบอาหารได้ เช่น วุ้นเส้น ซอส ซีอิ๊ว
เพราะบางวัด ท่านมีโรงครัว
-หากทำสังฆทานอุทิศให้ทำอาหารที่คนตายชอบก็ได้
หากทำเพื่อตนเองสร้างบุญก็เอาสิ่งที่เราทานเราชอบ
(อานิสงส์ที่เราจะได้รับ คือมีร่างกายบริบูรณ์ไปไหนมาไหน ไม่อดไม่อยาก
อานิสงส์ที่ผีได้รับ คือมีร่างกายดีขึ้น เปลี่ยนกายทิพย์มีกำลังมากขึ้น
มีความสุขขึ้น)
2. ข้าวสวย (อานิสงส์ที่เราจะได้รับเหมือนข้อหนึ่ง)
3.น้ำ สะอาด(อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือมีน้ำดื่ม ไม่ขาดแคลนน้ำดื่ม
น้ำใช้หากเรายังไม่ตาย
แต่ผีได้รับคือโมทนาแล้วจะได้สระโบกขรณีสวยงามน่ารื่นรมย์มาก กินดื่มได้)
4.รองเท้า 1 คู่ (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือ จะมีสัมผัสที่ดีขึ้น
เท้าเดินเหินสะดวก ตายไปมียานพาหนะทิพย์สะดวกสบาย ผีที่โมทนาได้แบบกัน)
การให้ยานพาหนะถือว่าให้ความสุข แค่รองเท้า 1 คู่
ญาติเราที่ตายโมทนาเขาจะมีความสุขขึ้นมากๆ
5.จีวร อังสะ สบง รัดประคต หากเราทรัพย์น้อย ให้ทำบุญผ้าเช้ดหน้า 1
ผืนก็ได้ (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือไม่ขาดแคลน เครื่องนุ่งห่ม
แล้วก็ใส่อะไรก็สบายดูดี ผิวพรรณงดงาม
ผีได้รับคือมีเสื้อผ้าเครื่องทรงทิพย์ )
6.ยารักษาโรค (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือ โรคที่เราเป็นจะบรรเทาลง
ผีโมทนาก็จะมีร่างกายที่ดีขึ้น)
7.เสื่อ สาด เครื่องปูลาด อาสนะสงฆ์ (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือ
ฐานะจะไม่ตกต่ำ อย่างน้อยเท่าเดิม ฐานะทรงตัว เกิดชาติหน้าสูงศักดิ์
และหนุนเรื่องการทำภาวนาจะได้ผลไว เข้าสมาธิได้ไว
หากผีโมทนาจะได้ความสุขคือมีเครื่องปูลาดทิพย์สวยงาม
และมีที่ประทับดีขึ้น)
8.หนังสือ มนต์พิธีแปล (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือสติปัญญา
ที่เพิ่มขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ช่วยสืบต่อพระศาสนาด้วย
ผีจะได้มีสติปัญญาเพิ่มขึ้นปฏิบัติธรรมต่อในภพภูมิของเขาได้ผลไว)
9.พระ พุทธรูปปางวันเกิดเรา หรือคนที่เราจะอุทิศให้ ขนาดตั้งแต่ 7
นิ้วขึ้นไป(อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือสุขภาพกายเราจะดีขึ้นทรงตัว
รูปงามขึ้น มีความเด่นท่ามกลางฝูงชน มีเสน่ห์ขึ้น
ผีที่โมทนาจะได้แสงสว่างกายทิพย์ที่สวยงามขึ้น
ซึ่งในเทวโลกเขาดูกันที่รัศมีกาย ใครรัศมีสวยมีบุญมาก)
10.ร่ม(อานิสงส์ที่เราจะได้รับคืออยู่ไหนก็ไม่เดือดร้อน สุขสบาย
มีที่พึ่งร่มเย็น ผีโมทนาแล้วได้ ร่มหรือที่พักพิง)
11.อื่น ๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้ถูพื้น
แปรงล้างห้องน้ำ ไม้กวาด (อานิสงส์ที่เราจะได้รับ
ผิวพรรณผู้ที่ไม่สวยจะดีขึ้น นวลเนียนสวยขึ้น โรคที่เป็นจะทุเลาลง
ไม้กวาดจะทำให้เราผิวงามพิเศษ เหมือนพระนางโรหิณี )
12.เงิน สัก 100 บาท ใส่ซองเขียนด้วยว่า
ใช้ในกิจสงฆ์ส่วนรวมได้หมดทุกอย่าง (หากท่านนำไปใช้
ซื้อข้าวของมาทำภัตตาหารให้พระเณรเราก็ได้บุญสังฆทาน
หากท่านนำไปสร้างโบสถ์เราได้บุญวิหารทาน เงินส่วนนี้จึงสำคัญมาก
จะหนุนให้เราได้ลาภลอย)
หากทำได้ครบตามนี้ทั้ง 12 ข้อ เราจะได้อานิสงส์มาก หากทำให้ผู้อื่น
หรือผู้ล่วงลับ จะช่วยเขาได้มาก
จากภพภูมิที่ลำบากจะสามารถเลื่อนภพภูมิขึ้นได้
แล้วเพรียบพร้อมไปด้วยทิพย์สมบัติ
หากทำให้ตนเองหรือครอบครัว จะหนุนดวงโชคลาภขึ้นมาก
ทั้งทางโลกและทางธรรมจะคล่องตัวอย่างมาก
หมายเหตุ-
เพิ่มเติมข้อมูลให้นะครับ
การ ถวายสังฆทาน เป็นการทำบุญที่คนไทยเชื่อกันว่า
เป็นการทำทานที่ได้บุญมาก เพราะ สังฆทาน
เป็นการถวายทานที่ไม่ระบุเฉพาะว่าเป็นพระสงฆ์รูปใด
ผู้ที่ประสงค์จะทำทานจะเตรียมสิ่งของที่จะถวายทาน
เมื่อพร้อมแล้วนำไปยังวัด บอกท่านเจ้าอาวาสว่า ต้องการถวายสังฆทาน
ท่านจะนิมนต์พระสงฆ์รูปใดมารับสังฆทานก็ได้
หรือจะเตรียมของแล้วนำของไปยังวัด
ไปพบพระสงฆ์รูปใดก็แจ้งความจำนงขอถวายสังฆทาน ท่านก็จะทำพิธีรับสังฆทาน
หากกำหนดว่าจะถวายแก่พระรูปใดรูปหนึ่ง การทานนั้นก็ไม่เป็น สังฆทาน
ของที่จะถวายสังฆทาน มักเป็นอาหาร และสิ่งของที่จำเป็นสำหรับภิกษุสามเณร
เช่น สบง จีวร ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ เครื่องกระป๋อง นม
อาหารแห้ง เป็นต้น รวมถึง ชา กาแฟ โอวัลติน และเงิน ตามความจำเป็น
ตามความพอใจของผู้ที่จะทำสังฆทาน
ถ้าต้องการอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้แก่ผู้ใด ผู้ถวายทานก็มักจะบอก
หรือเขียนชื่อ นามสกุล ให้แก่พระภิกษุ
เพื่อท่านจะได้ทำพิธีอุทิศส่วนกุศลไปยังผู้ที่บอกชื่อนั้น ๆ
การทำพิธีถวายสังฆทาน ไม่มีอะไรยุ่งยาก
เมื่อนำสิ่งของไปและพระสงฆ์รู้ความประสงค์ ท่านก็จะให้จุด ธูป เทียน
แล้วก็ว่า นโม 3 จบ แล้วกล่าวถวาย สังฆทาน ดังนี้
อิมานิ มยงภันเต ภตตานิ สปริวารานิ ภิกขุสงคสส โอโณชยาม โร ภนเต ภิกขุ
สงโฆ อิมานิ ภตตานิ สปริวารานิ ปฏิคคณหาตุ อมหากํ ฑีฆรตตํ หิตาย สุขาย
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายภัตตาหาร
กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ
ซึ่งภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ
พระสงฆ์จบจะ ?สาธุ? แล้วก็ถวายของที่เป็นสังฆทานทั้งหมดให้ท่าน
แล้วท่านก็จะให้ศีล ให้พร ยถา สัพพี ผู้ถวายสังฆทานก็กรวดน้ำ
แผ่ส่วนบุญกุศล เป็นอันเสร็จพิธีทำบุญถวายสังฆทาน

เคาะข่าวริมโขง : ก่อนสอบพันธมิตรฯ "เรืองเก๊" ตอบ "ปานเทพ" ได้หรือยัง

รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา
18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 28 มิ.ย. โดยมี น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา
รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ น.ส.อัญชะลี
ไพรีรัก รักษาการกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) นายโสภณ
องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น
และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ และนายชัชวาล ชาติสุทธิชัย
อดีตคนเดือนตุลา ร่วมพูดคุยในรายการ

น.ส.วรรษมนกล่าวเปิดประเด็นที่นายเรืองไกรเรียกร้องให้สรรพากรสอบภาษีนายสุชาติ
ลายน้ำเงิน พร้อมพ่วงให้สอบเงินบริจาคของพันธมิตรฯ ด้วย
โดยนายโสภณกล่าวว่า นายเรืองไกรเล่นเกมตื้นๆ
ทำเป็นตรวจพวกเพื่อไทยแต่เป้าหมายใหญ่ก็ต้องการตรวจพันธมิตร
แต่พวกที่ถูกศอฉ.ระงับธุรกรรมทางการเงิน เงินที่ไหลเข้าบัญชีหลายพันล้าน
หรือพวกแกนนำนปช.ด้วย
เงินเป็นหลายๆหมื่นล้านหายไปไหนหมดเสียภาษีแล้วหรือยัง
เพื่อความแฟร์ไม่เลือกปฏิบัติต้องตรวจให้หมด
ตนขอถามว่าตรวจทำไมกับนายสุชาติคนเดียว กับแค่เงินแค่ 5-6 หมื่นบาท

นายชัชวาลกล่าวเสริมว่า
นายเรืองไกรไม่ต้องห่วงมูลนิธิของพันธมิตรฯ
ตรวจสอบเมื่อไหร่ก็ได้อย่าลืมว่ามีฐานะเป็นเอกชน
แต่ทีกรณีเงินของนายเรืองไกรเองทุกวันนี้ยังไม่ตอบเลยว่าเงินได้มาจากไหน
ทั้งๆ ที่เป็นวุฒิสมาชิกไม่ใช่คนทั่วไป
แล้วหากจะตรวจสอบก็ต้องทั่วถึงไม่เลือกปฏิบัติหรืออาจกำลังยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังใหม่
ที่อยู่แถวเปาโล และหลังใหญ่มากด้วย
ได้ข่าวมาว่าซื้อต่อจากใครคนหนึ่งในราคามิตรภาพ
โดยได้มิตรภาพมาจากกรุงเทพ-เชียงใหม่
และเพิ่งเกิดมิตรภาพจากการตีกอล์ฟแถวเขาใหญ่

น.ส.อัญชะลีกล่าวว่า มูลนิธิต้องจดทะเบียนกับมหาดไทย
ต้องส่งรายงานรายรับรายจ่ายประจำปีอยู่แล้วมีกฎหมายกำกับ
ซึ่งนายเรืองไกรกล่าวเรื่องนี้ก็ดีแล้วเราจะได้ชี้แจง อย่างกรณีนายวีระ
สมความคิด ที่ทำรายการค้นคนโกงซึ่งก็มีบัญชีส่วนตัวของตัวเอง
หน่วยงานของนายวีระเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรา
ซึ่งทางเราก็กลัวจะเกิดปัญหาอย่างกรณีการถูกตรวจสอบ
เลยต้องการให้กองทุนมารวมกับมูลนิธิของพันธมิตรฯ
ซึ่งนายวีระไม่เห็นด้วยเลยออกไปทำรายการที่ช่องอื่นโดยที่ไม่ได้ทะเลาะกันแต่อย่างใด

น.ส.อัญชะลีกล่าวต่ออีกว่า
ตนขอบอกว่านายเรืองไกรอยากตรวจสอบก็ไปที่หน่วยงานที่รับจดทะเบียนมูลนิธิ
ไม่ต้องมาแถลง ทำแบบนี้แสดงว่าต้องการหาเรื่อง
ตนขอถามว่าเคยได้บอกพี่น้องประชาชนหรือเปล่าว่าเคยปลอมตัวมาเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯ
เคยเป็นคนหนึ่งที่เคยเป็นนักสู้ที่เคยได้รับความรักจากพันธมิตรฯ
แต่ทุกวันนี้คุณประกาศตัวแล้วว่ายืนช่วยรบกับนายทักษิณ
คนแบบนี้หรือที่จะมายืนชี้นิ้วถามว่าใครว่าใช้เงินอย่างไร
คุณต้องถามตัวเองมากกว่า

นายชัชวาลกล่าวเสริมว่า นายเรืองไกรไม่ใช่คนโง่เป็นคนฉลาด
แต่ก็อย่าคิดว่าคนอื่นโง่กันหมด
เวลาจะทำอะไรต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ได้เพราะเป็นคนของสังคม
นี่ยังตอบคำถามนายปานเทพไม่ได้เลยว่าเงิน 25 ล้านจากคนชื่อแดง
ได้มาอย่างไร เอาเป็นว่า วันนี้ชัดเจนว่านายเรืองไกรเป็นเสื้อแดงชัดเจน
และกำลังจะเหมือนตุ๊ดตู่ หรือเหมือนอีกหลายๆ คนที่สู้แล้วรวย

น.ส.อัญชะลีกล่าวเสริมว่า แล้วตอบได้หรือเปล่าว่า
อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งไปตีกอล์ฟกับแกนนำเสื้อแดงมาใช่หรือไม่

นายชัชวาลกล่าวว่า มูลนิธิยามฯ จะแบ่งเป็นกองทุน
กองทุนช่วยผู้บาดเจ็บ กับกองทุนสู้คดี
ที่ไม่ให้กองทุนเป็นตัวบุคคลเพราะจะได้โปร่งใสไม่มีการนำไปใช้ส่วนตัว
ให้ชาวบ้านบริจาคได้อย่างมีเป้าหมายว่าต้องการช่วยด้านใด

รัฐจัดโครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ให้ชาวบ้านเสนอแนวปรองดอง 1-6 ก.ค.นี้

"สาทิตย์" ควง "อภิรักษ์" แถลงโครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ปฏิรูปประเทศ
ยันปรองดองคืบ ส่งเจ้าหน้าที่ลงทุกจังหวัดคาด 2
สัปดาห์สรุปความคิดเห็นชาวบ้านเสร็จ จ่อเปิดโทรศัพท์ ตู้จดหมาย และอีเมล
ให้ประชาชนส่งความเห็น 1-6 ก.ค.นี้
พร้อมระดมอาสาสมัครรับโทรศัพท์บันทึกข้อมูล เล็งเชิญดารามาด้วย คาดนายกฯ
รับฮัลโหลเองวันแรก คาดนำความเห็นยำเป็นพิมพ์เขียวสำเร็จ

วันนี้ (28 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงโครงการ "6 วัน 63 ล้านความคิด"
เพื่อร่วมเดินหน้าปฎิรูปประเทศไทย นายสาทิตย์กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ได้พูดถึงโครงการนี้แล้วในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่
27 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า
จะมีการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องของปัญหาและข้อเสนอแนะ
คล้ายกับแนวคิดที่ว่าการบริจาคความคิดเพื่อช่วยกันปฎิรูปประเทศไทย
ซึ่งเรื่องนี้มีที่มาจากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศแผนปรองดองเดินหน้าในการปฎิรูปประเทศไทย
ด้วยการอ่านจดหมายเชิญชวนพี่น้องคนไทยทั้งประเทศร่วมกันปฏิรูปประเทศ
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.

นายสาทิตย์กล่าวว่า
รัฐบาลได้ดำเนินในการรับความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ในวันที่ 10
มิ.ย.ก็ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อน
ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจเอกชนซึ่งได้มีการประชุมเพิ่มเติมและได้กำหนดรายละเอียดไปแล้ว
มีเรื่องของเวทีปฏิรูปสื่อซึ่งก็เดินหน้าไปมากแล้ว
ส่วนเรื่องที่ทำงานร่วมกันกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
และในส่วนขององค์กรปกครองท้องถิ่น และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
แต่เนื่องจากคณะทำงานที่จะร่วมกันขับเคลื่อนในการปฏิรูปประเทศไทยเห็นว่า
น่าจะมีการเปิดช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมอีก
ความจริงแล้วเราก็ไม่ได้มีการดำเนินการขอความร่วมมือจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ทำเนชั่นแนล เซอร์เวย์
แต่ในขณะนี้ก็ได้ลงพื้นที่ไปทั่วทุกจังหวัดทั่วประเทศแล้ว คาดว่าไม่เกิน
2 สัปดาห์ก็จะสรุปเสร็จสิ้น

นายสาทิตย์กล่าวต่อว่า
แต่เนื่องจากว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
โดยเราจะดำเนินโครงการนี้ตั้งแต่วันที่ 1-6 ก.ค.นี้ โดยจะเปิดช่องทาง 3
ช่องทาง คือ 1.ทางโทรศัพท์
ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนโทรเข้ามาแสดงความคิดเห็นในการปฎิรูปประเทศฟรี
ที่เบอร์ 0-2304-9999 ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. โดยจะมีโทรศัพท์ทั้งหมด
300 คู่สาย สามารถโทร.มาได้ภายใน 6 วัน ในส่วนที่ 2
คือการส่งจดหมายทางตู้ ปณ.9999 ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งไม่จำกัดวันในการส่งประชาชนสามารถส่งมาได้ตลอด
และทางสุดท้ายคือทางอีเมล www.pm.go.th/forward
โดยไม่จำกัดวันเช่นกันสำหรับทางรัฐบาลก็หวังว่าโครงนี้จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ให้คนไทยในฐานะเจ้าของประเทศมีส่วนร่วมในการปฎิรูปประเทศไทย

นายอภิรักษ์กล่าวต่อว่า
ในเรื่องของการเปิดช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ทางรัฐบาลก็อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
ในส่วนของคนที่มารับโทรศัพท์ก็จะระดมคนที่จะมาเป็นอาสาสมัคร
โดยมีการรับสมัครผ่านเครือข่ายทั้งเครือข่ายที่เป็นอาสาสมัครจากกรุงเทพฯ
เครือข่ายอาสาสมัครที่เป็นเครือข่ายในช่วงที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) เปิดรับคอลเซ็นเตอร์ และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากที่สมัครโดยตรง
ซึ่งสามารถสมัครได้ที่เว็บไซต์ http:/www.pm.go.th/forward หรือที่
เครือข่ายเฟซบุ๊กของนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งเครือข่ายของนักเรียน นิสิต
นักศึกษาจากสถาบันหรือมหาวิทยาลัยต่างๆที่สามารถสมัครผ่านระบบ
หรือยื่นมาที่สำนักนายกรัฐมนตรี
ส่วนผู้ที่จะมาเป็นอาสาสมัครจะมีการแบ่งช่วงเวลาในการทำงานเป็น 3
ช่วงด้วยกันคือ ช่วง 08.00-12.00 น., 12.00-16.00 น. และ 16.00-20.00 น.
สำหรับแบบฟอร์มการกรอกจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ง่ายๆเพื่อที่จะได้บันทึกด้วยความเข้าใจ
ส่วนข้อเสนอแนะจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ เช่น เรื่องของอาชีพ รายได้ หนี้สิน
สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวฯลฯ นอกจากนั้น สามารถบอกเรื่องอื่นๆ
ซึ่งคนที่รับโทรศัพท์จะเป็นผู้บันทึกข้อมูลไว้
หรือแม้แต่ข้อเสนอแนะที่อยากฝากไว้ในเรื่องอื่นๆ
สำหรับข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมได้จะนำมาสร้างเป็นพิมพ์เขียว
หรือเส้นทางที่เราจะใช้ในการปฎิรูปประเทศไทย

นายอภิรักษ์กล่าวต่อว่า
สำหรับในบางเรื่องถ้าเป็นเรื่องที่เร่งด่วนก็สามารถนำมาดำเนินการได้เลย
เช่น เรื่องที่ดินทำกิน
ความคิดที่เร่งด่วนและประชาชนให้ข้อเสนอแนะเช่นนี้
ทางนายอภิสิทธิ์ก็จะเร่งดำเนินการทันที

"นอกจากการรับโทรศัพท์แล้ว
ยังมีการประสานงานไปยังสถานีโทรทัศน์ให้ดารา
นักร้องในสังกัดต่างมาร่วมรับโทรศัพท์ และในวันที่ 1 ก.ค.
นายอภิสิทธิ์จะมาร่วมงานในช่วงเช้าและจะมารับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง"
นายสาทิตย์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าประชาชนจะมาด้วยตนเอง
และนำร่างปฎิรูปกฎหมายที่คิดขึ้นมาด้วย ได้หรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า
ไม่ขัดข้องมาได้ที่ตึกสันติไมตรี ตั้งแต่วันที่ 1-6
ก.ค.หรือว่าอยู่ที่ไหนโทรศัพท์บ้านหรือมือถือก็โทร.ฟรีทั้งหมด
เมื่อถามว่าตัวข้อมูลจะนำไปทำอะไร นายสาทิตย์กล่าวว่า
ตัวข้อมูลก็จะนำไปรวบรวมพร้อมกับที่มาจากเวทีภาคประชาชนที่แต่ละองค์กรจัดขึ้น
และข้อมูลที่รวบรวมจะเสร็จภายในเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม
ถึงพฤศจิกายนจะนำผังความคิดที่ได้จากทุกช่องทางมาจับแยกออกจากกัน
และในเดือนธันวาคมจะทำเป็นร่างที่เรียกว่าพิมพ์เขียว เพื่อให้นายกฯ
ได้ประกาศในวันที่ 1 ม.ค. เมื่อถามว่า ถ้ามีผู้ที่มีความเดือดร้อน
มีความทุกข์มาร้องเรียน ตรงนี้จะแบ่งแยกหรือไม่ นายอภิรักษ์กล่าวว่า
บางครั้งเราอาจจะไม่ทราบปัญหาลึกๆ ที่เขามีอยู่
ผู้ที่รับโทรศัพท์อาจจะกำหนดไม่ได้ว่าอยู่ในหมวดหมู่ไหน
เพราะฉะนั้นก็จะบันทึกเป็นปัญหาเฉพาะรายที่อยากจะบรรยายให้รัฐบาลได้รับทราบ
หรือบางคนอาจจะมีข้อแนะเพิ่มเติมเราก็เปิดกว้างรับได้

วิธีคิด ไม่ธรรมดา ของ มาร์ติน วีลเลอร์ บัณฑิตเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง เคมบริดจ์

" คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก
ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "

นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ

ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน

คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน
เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน

แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่

ที่ขอนแก่น เขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง
ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน

แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า

๑ . ผมมีบ้าน

ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา
ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก

ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ

มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง

ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก

จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต

เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย

เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา

ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ

เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน

ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง

แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง
ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน

ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว

ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น

เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ

ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน

แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก

ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน

ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑

สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ
๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ
๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร
แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา
และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น

ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน

เ ว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ

ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน

ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร
ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน

คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร

อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย

กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ

จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย

ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด

คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน

ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ , สหรัฐ
มีปัญหาเยอะมาก

แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ

คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย

ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม

ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ

แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ

มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่

เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย

ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ

พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้

จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้

ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง

พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง

แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว

ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง

ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน

ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้

เพราะความคิดของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน

ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง

ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย

และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา

ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย

ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ

แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง

ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ พึ่งตนเองก็ได้

ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ

จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก

ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ
แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย

คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์

ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น

ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก

อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง

คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ

คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง
๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้

ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้

ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่า จะทำได้แน่ในอนาคต

ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ

ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย

พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก

พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป


ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com


หน้าบ้าน หลังเก่าของเขา เมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ๆ


แทบทุกเช้าที่เขาและครอบครัว ใส่บาตรพระด้วยความศรัทธา


กว่าจะถึงวันนี้ ที่ความภาคภูมิใจของชีวิต

แล้วสามารถโชว์ความดีงามให้ประจักษ์ แก่บัณฑิต และบุคคลสาธารณะ


ท่ามกลางสวนป่าของเขา
ที่สักวันมันคือสมบัติอันล้ำค่าของเขาครอบครัวและสมบัติของแผ่นดิน


นิสิต นศ . มาดูงานและชื่นชมเขาและครอบครัวอยู่เสมอ


มาติน กำลังพาหลวงพ่อสังคม ชื่นชมผลงานเกษตรพอเพียงของเขา


Martin and Family in England

ถ้าหากท่านผู้อ่าน ตาสว่าง ขึ้นมาแล้ว ( ทั้งก่อนอ่าน หรือ หลังอ่าน )
โปรดส่งต่อๆ กันไป ให้คนไทยเราได้อ่านกันนะครับ

A blind boy เด็กตาบอด

A blind boy sat on the steps of a building with a hat by his feet.

He held up a sign which said: "I am blind, please help." There were
only a few coins in the hat.

เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึกโดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆ

มีป้ายเขียนไว่ข้างตัวว่า "ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย" มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก

A man was walking by. He took a few coins from his pocket and dropped
them into the hat. He then took the sign, turned it around, and wrote
some words. He put the sign back so that everyone who walked by would
see the new words.

Soon the hat began to fill up. A lot more people were giving money to
the blind boy. That afternoon the man who had changed the sign came to
see how things were. The boy recognized his footsteps and asked, "Were
you the one who changed my sign this morning? What did you write?"

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก
เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง แล้ววางลงที่เดิม
เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย

ในไม่ช้า...หมวกก็เต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด
บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
"คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ"
"คุณเขียนว่าอะไรครับ"


The man said, "I only wrote the truth. I said what you said, but in a
different way."
I wrote: "Today is a beautiful day, but I cannot see it."

Both signs told people that the boy was blind. But the first sign
simply said the boy was blind. The second sign told people that they
were so lucky that they were not blind. Should we be surprised that
the second sign was more effective?

ชายคนนั้นพูดว่า "ฉันแค่เขียนความจริง
ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง"

ฉันเขียนว่า "วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้"

ทั้งสองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด
ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด
ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด
แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า

Moral of the Story: Be thankful for what you have. Be creative. Be
innovative. Think differently and positively.

When life gives you a 100 reasons to cry, show life that you have
1000 reasons to smile. Face your past without regret. Handle your
present with confidence. Prepare for the future without fear. Keep the
faith and drop the fear.

The most beautiful thing is to see a person smiling.
And even more beautiful is knowing that you are the reason behind it!!!

If you like, share.

ข้อสอนใจจากเรื่องนี้ จงขอบคุณในสิ่งที่คุณมี ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์
ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก

ยามเมื่อชีวิตมีเหตุผลเป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้
จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้
เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ
เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป

สิ่งที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม
และยิ่งงดงามกว่านั้นที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น

ถ้าคุณชอบ ก็ขอให้แบ่งปันเรื่องนี้

---- ค ว า ม ถ่ อ ม ใ จ -----

ถึงผู้รู้แจ้งทั้งหลาย

"ความ ถ่อมใจ" คือ
การที่เราตระหนักเสมอว่าตนเองนั้นไม่ได้ดีหรือวิเศษไปกว่าผู้อื่น
เรายังเป็นผู้ที่มีความบกพร่องและไม่ได้รู้ทุกสิ่งทั้งหมด
และตระหนักเสมอว่าตนเองจำเป็นต้องยอมรับการเรียนรู้เพิ่มเติม
และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้อยู่เสมอ
คนที่มีลักษณะถ่อมตนแม้ว่าเขาจะมีความรู้ ความสามารถมาก มีอำนาจสั่งการ
มีความเฉลียวฉลาด เขาก็ยังสามารถยอมรับฟังความคิดที่แตกต่างจากตนเอง
การตำหนิติเตียน การอบรมสั่งสอนจากบุคคลอื่นด้วยความขอบคุณได้
ทั้งยังยินดียืดหยุ่นเพื่อให้เกิดผลดีทีสุดแก่ภาพรวมอีกด้วย

ความ ถ่อมใจไม่ใช่การคิดว่าตนเองทำอะไรไม่ได้
ความถ่อมใจจึงไม่ใช่ความไม่มั่นใจตนเอง
ไม่ใช่การแสร้งปฏิเสธความสามารถของตนที่มีอยู่จริงด้วยความเกรงอกเกรงใจ
ผู้ที่มีลักษณะแห่งความถ่อมใจจริงแท้นั้น
เปรียบเสมือนดังรวงข้าวที่ทุกเมล็ดเติบโตเหลืองอร่ามเต็มรวงโน้มลงสู่ดิน
ในขณะที่รวงข้าวทีมีเพียงเมล็ดลีบๆ
จะชูช่อล่อฟ้าท้าลมดุจเดียวกันกับคนที่หยิ่งจอบหองที่แม้ไร้ความสามารถก็มิ
ยอมค้อมลงให้ใคร
ผู้ที่มีใจถ่อมจะเปิดรับฟังความคิดเห็นด้วยกริยาที่สำรวมสุภาพ
แตกต่างจากบุคคลผู้หยิ่งจองหอง

ตรงกันข้ามกับความถ่อมใจ "ความเย่อหยิ่ง"
เป็นความคิดที่คิดว่าตนเองดีแล้วเก่งแล้ว มีครบบริบูรณ์ทุกสิ่ง
มีสิทธิอำนาจในการสั่งการ
หลงใหลในอำนาจและยึดความคิดของตนเองว่าถูกต้องที่สุดแล้วจึงเอาความคิดและ
การกระทำของตนเป็นศูนย์กลาง
โดยไม่จำเป็นต้องฟังคำแนะนำของผู้อื่นอีกต่อไป
ความเย่อหยิ่งนี้เองได้ทำลายคนมามากมายแล้ว
และความเย่อหยิ่งอยู่ในบุคคลใด
ไม่ว่าสังคมใดที่เขาไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะรับผลเสียไปด้วย

มีหลักปรัชญาและหลักคำสอนจำนวนมาก
เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนถ่อมใจและเย่อหยิ่ง อาทิ

"ความเย่อหยิ่งของคนนำเขาให้ต่ำลง แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ"

"เมื่อความเย่อหยิ่งมาถึง ความหยามน้ำหน้าก็มาด้วย แต่ปัญญาอยู่กับคนใจถ่อม"

"ความเย่อหยิ่งนำหน้าการถูกทำลาย และจิตใจที่ยโสนำหน้าการล้ม"

"ผู้ ใดยกตนข่มท่าน อวดวิเศษว่าผู้อื่น ย่อมต้องประสบความเสียหาย
ผู้ใดอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่จองหองลำพองตน ย่อมต้องประสบความสุขความเจริญ
แม้แต่แผ่นดินก็หนีกฎนี้ไม่พ้น
ดูแต่ขุนเขาที่สูงตระหง่านยื่นทะมึนเย้ยฟ้าท้าดินก็ยังต้องพังทลายอยู่
เนืองๆ ส่วนแอ่งน้ำที่ต่ำต้อยนั้นกลับมีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา"

ความ ถ่อมใจจะช่วยให้เรามีศัตรูน้อยลงทั้งต่อหน้าและลับหลัง :
คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดมักเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
แต่การถ่อมใจต่อบุคคลอื่นทำให้ได้รับการยอมรับจากบุคคลนั้น
ความถ่อมใจเปรียบเสมือนลายแทงขุมทรัพย์แห่งการเอาชนะใจคน
เราจะกลายเป็นที่รักของผู้คนรอบด้าน ด้วยมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีงาม
ไม่ก้าวร้าว ไม่โอ้อวด ให้เกียรติผู้อื่นถือว่าเขาดีกว่าตน
ทำให้เราได้รับการยอมรับเมื่อเข้าไปอยู่ในสังคมต่างๆ
คนดีมีคุณธรรมในใจจะไม่เป็นศัตรูทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยปริยาย
ความถ่อมใจนับเป็นชัยชนะของจิตใจมากกว่าการประจบประแจง

ความถ่อมใจ ช่วยให้เรารู้จักตัวเองได้มากยิ่งขึ้น :
หากเราถ่อมใจยอมรับความผิดพลาดของตนเองได้
แนะนำข้อผิดพลาดนั้นมาเพื่อประเมินตนเองและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น
ก็จะส่งทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้น การรู้จักตนเอง รู้จุดอ่อนและจุดแข็ง
จุดดีและจุดด้อยของตนเองเช่นนี้
จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยความระมัดระวัง และรอบคอบมากยิ่งขึ้น

ความ ถ่อมใจจะช่วยให้เราได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนอื่น :
เมื่อเราให้เกียรติรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
เขาก็จะตอบสนองในลักษณะเดียวกันกับเราได้แสดงออกไป
และในหลายๆครั้งก็จะยกย่องว่าเรานั้นถือตัว
เป็นบุคคลที่น่านับถืออย่างแท้จริง
เป็นเรื่องน่าแปลกที่สภาพสังคมไทยมีลักษณะของการถือยศถือศักดิ์
ถือเกียรติและศักดิ์ศรีค่อนข้างมากในทุกระดับ คนทั่วไปที่ยึดถือคติที่ว่า
"ยอมอดตายดีกว่าอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี"
จะมองความถ่อมใจเป็นเรื่องราวของการเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี
และจะแสดงออกในหลากหลายอิริยาบท เช่น
หากมีใครมาต่อว่าต่อขานว่าทำไม่ถูกต้องหรือหากมาแนะนำสิ่งใดก็มักจะไม่พอใจ
มักจะมีข้อแก้ตัว
มักจะโกรธและเกิดการโต้แย้งเถียงกันด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
สิ่งนี้เป็นตัวการทำลายให้ไม่สามารถนำพาชีวิตของตนสู่ความสำเร็จต่อไปได้
เพราะการติดยึดอยู่กับความคิดของตนเอง

ความถ่อมใจช่วยให้เราได้ความ รู้และมีสติปัญญามากขึ้น :
เมื่อเราถ่อมใจเปิดกว้างยินดีรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแทนการยึดติดกับ
ความคิดเห็นของตน เราก็จะเรียนรู้สิ่งที่ดีจากผู้อื่นได้
การเรียนรู้ในสิ่งที่แปลกใหม่แตกต่างออกไป
เป็นการเสริมสร้างความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของเราได้มากยิ่งขึ้น
ความถ่อมใจสามารถยกระดับความรู้ความสามารถของเราขึ้นมาได้
ช่วยให้เราเป็นคนรอบคอบในการดำเนินชีวิต
สามารถพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองได้มากยิ่งขึ้น

หลัก การแห่งความถ่อมใจในการดำเนินชีวิตเป็นองค์ประกอบสำคัญมากในการนำพาชีวิตเรา
ให้สูงขึ้น ผลดีที่จะเกิดขึ้นกับตนเองโดยระดับส่วนตัวจะทำให้ได้รับการยอมรับและเชื่อ
ถือจากบุคคลอื่นได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ
เพื่อนำมาเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่สร้างสรรค์ขึ้น ในส่วนของสังคม
ความถ่อมใจจะช่วยให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เรียนรู้ที่จะประสานและประนีประนอมลดความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ช่วยให้สังคมอยู่ได้อย่างมีสันติสุขอย่างยั่งยืนในระยะยาวเช่นเดียวกัน .

+++++++++++++
..

ประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ โครงการเพิ่มพูนทักษะการพยาบาลผู้บาดเจ็บ

ขอเชิญ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุ
และ สถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ที่สนใจประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ
"โครงการเพิ่มพูนทักษะการพยาบาลผู้บาดเจ็บ"
เพื่อให้ผู้อบรมมีความรู้และทักษะในการพยาบาลผู้บาดเจ็บ
ตั้งแต่จุดเกิดเหตุ จนกลับสู่ชุมชน
เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การดูแลผู้บาดเจ็บ
และแนวทางการพัฒนาระบบการดูแลผู้บาดเจ็บ
ระยะเวลาการอบรม 5 วัน
(วันที่ 28-30 มิถุนายน และ 1-2 กรกฎาคม 2553)
เวลา 08.30 - 16.30 น.
ณ โรงแรมเจริญธานี จังหวัดขอนแก่น


โครงการนี้ CNEU หน่วยคะแนนการศึกษาต่อเนื่อง
สาขาพยาบาลศาสตร์ 26.5 หน่วยคะแนน

แหล่งที่มา: ประวิทยากร
โทรศัพท์: 0-4333-7958,0-4333-6789 ต่อ 1239
E-Mail: namprawit@gmail.com
Url: http://www.traumacenterkkh.com/

ขอเชิญร่วมประชุมวิชาการสิ่งแวดล้อม และเสนอผลงานทางวิชาการ

วันที่: 2010-06-28 00:00:00 ถึง: 2010-11-12 00:00:00

ด้วย คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
จะจัดประชุมวิชาการนานาชาติประจำปี พ.ศ. 2553 เรื่อง "The Changing
Environment : Challenges" ตั้งแต่วันที่ 10 - 12 พฤศจิกายน 2553

จึง ขอเรียนเชิญผู้สนใจเข้าร่วมประชุม และเสนอผลงานวิชาการ
(บทความหรือโปสเตอร์) โดยให้ผู้สนใจส่งบทคัดย่อผลงานทางวิชาการ
เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สำหรับบทคัดย่อที่ได้รับการพิจารณา คณะกรรมการฯ
จะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบต่อไป

สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ
สามารถเบิกค่าลงทะเบียน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ตามระเบียบของทางราชการจากหน่วยงานต้นสังกัด โดยไม่ถือเป็นวันลา
ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและสมัครเข้าร่วมประชุมได้ที่
www.en.mahidol.ac.th/conference2010
หรือติดต่องานส่งเสริมงานวิจัยและบริการวิชาการ โทร. 0 2441 5000 ต่อ
1329-1331,2108-2110

แหล่งที่มา: คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โทรศัพท์:
E-Mail:
Url: http://www.en.mahidol.ac.th/conference2010

- - - - ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม - - - -

ถึงท่านผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความยุติธรรม

ความ ลำเอียง เป็นลักษณะนิสัยพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวเราทุกๆคนที่เกิดขึ้นจากการรักตัวเอง
มากกว่า ตามหลักจิตวิทยา เรามักคิดว่า
เรานั้นดีแล้วพร้อมๆกับคิดว่าคนอื่นนั้นไม่ดี หรือ I'm OK, you aren't
OK. โดยการตัดสินผู้อื่นจากการกระทำของเขาส่วนเดียว หรือ ถ้าเป็นกลุ่มคน
เป็นสังคม ก็มักจะมีการเปรียบเทียงกับผู้ที่แตกต่างในทำนองนี้เสมอ

นิสัย เพื้นฐานของความลำเอียงเข้าข้างตนเองนี้ตรงกันข้ามกับคุณลักษณะนิสัยอีก
ประการหนึ่งคือ "ความยุติธรรม"
ลักษณะนิสัยทั้งสองส่งให้การดำเนินชีวิตของเราจะบรรลุความสำเร็จที่ตั้งไว้
หรือไม่ ถ้าเราเห็นว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น
หรือเห็นพวกพ้องคนใกล้ตัวดีกว่าผู้อื่น
ก็มีแนวโน้มว่าเราจะไม่สามารถไปถึงความสำเร็จที่แท้จริงได้
เพราะขาดคุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จนั่นคือ ความยุติธรรม

ความ ยุติธรรม นิสัยที่ต้องมีการสร้าง : เพราะเหตุแห่งความลำเอียงนี้เอง
ทำให้หลายๆครั้งเราดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดและล้มเหลว
เป็นเหตุให้เกิดการทำลายตนเองและผู้อื่นอย่างที่เราคาดไม่ถึง
ความลำเอียงนี้เกิดขึ้นได้ในแทนทุกระดับของสังคม เช่น
พ่อแม่ที่รักลูกไม่เท่ากัน
กลุ่มชนที่ลำเอียงเอื้อประโยชน์เแฑาะแก่ผู้ที่เป็นฝ่ายเดียวกับตน
แต่เอารัดเอาเปรียบคนที่แตกต่างจากตนเอง

ความยุติธรรม จึงไม่ได้เป็นลักษณะนิสัยที่คนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะเป็น
แต่เป็นลักษณะนิสัยที่ต้องมีการสร้าง
มีการฝึกฝนและพัฒนาขึ้นในตัวเราแต่ละคน
เพราะความยุติธรรมนี้ก็คือความคิดที่มีเหตุผลนั่นเอง

ความคิดที่มี เหตุผลอันนำไปสู่ความยุติธรรมในชีวิตนั้นก็คือการที่เราสามารถสรุปหรือ
ตัดสินวินิจฉัยสิ่งต่างๆ โดยใช้สติปัญญา ใช้ความรอบคอบ
ใช้หลักการประเมินเรื่องราวที่เราได้รับมาอย่างครบถ้วนถูกต้อง
และไม่เห็นแก่ตัว นำไปสู่จุดหมายสุดท้ายคือ
การตัดสินเรื่องราวหรือบุคคลได้อย่างถูกต้องและยุติธรรม
การตัดสินใจที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ซึ่งเริ่มจากการที่เราประเมินสถานการณ์ถูกต้องและสรุปให้ถูกต้อง

สร้าง นิสัยยุติธรรมโดยการเรียนรู้ที่จะแยกแยะ "ข้อเท็จจริง" กับ
"การตีความ" ข้อมูลที่ได้รับ :
ก่อนที่เราจะตัดสินพิพากษาผู้ใดหรือเหตุการณ์ใดว่าผิดหรือถูก
เราไม่สามารถเชื่อในเรื่องราวที่เราเพียงแต่ได้ยินได้ฟังครั้งแรกเท่านั้น
แต่เราต้องแยกแยะระหว่างความจริงกับการตีความของข้อมูลที่เราได้รับเพราะหาก
เราไม่พิจารณาให้ดี เราจะเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
และเป็นเหตุให้เราตัดสินผิดได้

ข้อเท็จจริง คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง สามารถตอบคำถามว่า ใคร ทำอะไร
ที่ไหน เมื่อไร สามารถตรวจสอบได้ทันที เช่น
ชายคนหนึ่งถูกรถชนที่นี่เมื่อเช้านี้
ส่วนการตีความนั้นจะเป็นการวิเคราะห์หรือติดต่อเกี่ยวกับเหตูการณ์ที่เกิด
ขึ้น เป็นการตั้งสมมุติฐานของผู้พูดว่าจะเป็นอย่างไรซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็
ได้ เช่น ผู้ชายคนั้นเขาคิดสั้น
ซึ่งเป็นเพียงการสันนิษฐานอาจไม่เป็นจริงก็ได้
ทำให้เราต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือการตีความ
การแยกแยะให้กระจ่างจะช่วยให้เราปลอดภัยในการตัดสินใจได้อย่างยุติธรรม

ดัง นั้น ก่อนที่เราจะสามารถสรุปความคิด
และตัดสินว่าเหตุการณ์นี้เป็นจริงหรือไม่
เราต้องมีข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้านก่อนอย่างสมดุล
เราจะต้องเป็นคนที่เก็บข้อมูล
ข้อเท็จจริงให้มากเพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์เก็บข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้าน
เพื่อให้ได้มุมมองต่างๆ
ที่รอบคอบมากพอที่จะตัดสินใจได้แบบชั่งน้ำหนักครบถ้วน
และต้องคิดให้รอบคอบรอบด้าน
ต้องมีความคิดความอ่านพอและมีหลักการก่อนตัดสินใจเชื่อข่าวสารข้อมูลใด
แม้เป็นการบอกกล่าวจากคนใกล้ชิด คนที่เราไว้างใจเชื่อถือ
เราก็ต้องมีข้อมูลทั้งสองด้านด้วยจึงจะตัดสินใจได้อย่างไม่ผิดพลาด

สร้าง นิสัยยุติธรรมโดยเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นเสมอ :
ปัจจุบันเรามักตัดสินคนบนพื้นฐานของสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปมากกว่าที่เราจะ
ค้นหา ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงกระทำเช่นนั้น เราต้องมีแนวความคิดว่า
เราต้องเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นก่อนเสมอ
เชื่อว่าเขาเป็นคนดีไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิดและเป็นคนร้าย
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่เป็นประโยชน์ เราสามารถเชื่อได้ง่ายกว่า
แต่ถ้าเรื่องที่เลวร้าย เมื่อได้ข่าวมาอย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อ

เรา ต้องสร้างนิสัยยุติธรรมบนรากฐานของความจริง
เราต้องใช้มาตรฐานที่ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ความรู้สึก
แต่ต้องเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบด้วยมาตรฐานที่เชื่อถือได้
จากเหตุและผลที่เป็นจริงและเชื่อในความจริงที่ว่าทุกคนมีส่วนดีอยู่ในชีวิต
เสมอ เราควรยึดหลักการที่ว่า "เราปล่อยคนผิด ดีกว่าฆ่าคนบริสุทธิ์"

คน ที่ตัดสินผิดพลาดขาดความยุติธรรม
หลายครั้งเกิดจากการไม่รู้ว่าจุดอ่อนของตนเองคืออะไร
เช่นไม่รู้ว่าจุดอ่อนของตนคือ ความโลภ
ดังนั้นเมื่อต้องทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับเงินอยู่เสมอ
มีโอกาสเปิดให้สามารถโกงได้ เมื่อมีคนนำทรัพย์สินมาล่อ
ก็มีแนวโน้มที่จะผิดในเรื่องการทุจริตหรือตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย
ดังนั้นเราจึงควรรู้จุดอ่อนเพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยงได้

การสร้าง นิสัยแห่งความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา
ตามหลักการสร้างความคิดที่มีเหตุผล
จะนำพาชีวิตเราก้าวไปสู่เป้าหมายความสำเร็จที่สมบูรณ์ได้
คุณลักษณะชีวิตที่วางอยู่บนรากฐานของความยุติธรรมเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความ
กล้าหาญ คือกล้าที่จะยืนหยัดอยู่บนความจริง กล้าที่จะปฏิเสธอารมณ์
ความรู้สึก ความพึงพอใจส่วนตัวหากสิ่งนั้นตรงข้ามกับความจริง

ความ ยุติธรรมจะนำเราไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของเราได้เพราะจะทำให้เรานั้นเป็นคน
ที่ไว้วางใจได้ บุคคลอื่นเกิดความศรัทธาเชื่อมั่นในตัวเรา
สามารถที่จะมอบหมายความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆให้กับเราได้อย่างสบายใจ
และหากเราใช้หลักการนี้จนกลายเป็นลักษณะนิสัยปกติของเรา
เราจะเป็นคนที่ประพฤติแต่สิ่งที่ถูกต้องเสมอมีความคิดที่รอบคอบและตัดสินใจ
ทุกเรื่องได้อย่างถูกต้อง
อันเป็นวิถีนำชีวิตเราไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไม่พลาดพลั้ง

เพราะ ความยุติธรรมนั้นเป็นรากฐานของคุณธรรมที่ดีงามเราจึงควรจำไว้ว่า
ไม่มีความยุติธรรมใดเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานความอคติภายในใจของเรา
ไม่มีความสำเร็จที่แท้จริงหากปราศจากซึ่งคุณธรรมแห่งความยุติธรรม ดังนั้น
เมื่อไรก็ตามที่ความคิดภายในใจเราหวังร้ายต่อผู้อื่นแล้ว
เราอย่าไปตัดสินผู้ใดเลย
แต่ควรมองย้อนกลับมาคิดอย่างมีเหตุผลด้วยความตระหนักว่า
"ความยุติธรรม"นั้น
เป็นลักษณะชีวิตที่ทำให้เราสามารถปฏิบัติหน้าที่ทุอย่างเป็นประโยชน์
แก่ส่วนรวมและเป็นประโยชน์แต่ตนเองได้สูงสุด .

+++++++++++++++++
..

@ ...ซ้อเจ็ด... @

คอลัมน์ฮิต..ต้องติดตาม นามซ้อเจ็ด
บี้บีบเม็ด สิวหัวช้าง แถวหว่างขา
ขีดเขียนข่าว เร่าร่ายร่อน แอ่นอ้อนอ้า
สืบเสาะหา มาเล่าขาน ได้อ่านกัน

คอลัมน์ฮิต..ตามติดต่อ ต้องซ้อเจ็ด
โดนดอกเด็ด ซ้อเจ็ดยับ ต้อนรับขวัญ
เฮียชอบใจ ยังไปรอ ซ้อแปดตัน
แฟนคลับนั้น พันหมื่นแสน เนืองแน่นหนา

หัวคอลัมน์..จำโจษจัน ข่าวบันเทิง
ปูดเปิดเปิง เริงเรื่องราว ดาวดารา
ซ้อปุจฉา คำคาคิด ปริศนา ?
ใครรู้ชัด วิสัชนา ผ่าเผยไต๋

ท้ายคอลัมน์..จำรูร่อง มีช่องโพสต์
รักเกลียดโกรธ โหวตแสดง แข่งกันได้
มีความคิด มีความเห็น คอมเม้นท์ไป
หรือเอาไว้ ใช้แข่งควาย วิ่งไล่กัน

โอ้ซ้อเจ็ด..เด็ดดอดด้น คุ้ยค้นคว้า
แบเบื้องหน้า อ้าเบื้องหลัง สุดสังสรร
ซ้อเจ็ดยับ จับแจกแจง แหย่แยงยัน
แสบร้อนคัน ดันเด้งดึ๋ง มันส์ถึงใจ

โอ้ซ้อเจ็ด..เด็ดดอดดู รอบรู้เร้น
อกเอวเอ็น เห็นหูหอย ร่องรอยไร
เลาะล้วงลึก ซอกแซกซอน ช้อนชอนไช
ติ่งตับไต ไส้พุงพวง ลุยล้วงล้าง

โอ้ซ้อเจ็ด..เด็ดดอดเด้า หยิกเย้าหยอก
ลุ่ยหลุดลอก ปูดปอกเปิก บานเบิกบ้าง
ซ้อเซาะแซะ แตะแต่งเติม สอดเสริมสร้าง
รูปเรือนร่าง คางแคมเครา ม่วนเม้าท์มันส์

เล่นลวดลาย..ร่ายร่อนรำ ใส่สำนวน
เกากิดกวน ยวนหยอกเย้า เคล้าครบครัน
ผ่าเผยแผ่ แฉโฉบเฉี่ยว แสบเสียวสั่น
แสนสุขสันต์ มันส์มุกเม็ด "ซ้อเจ็ด" เอย !!!

เอิ๊ก เอิ๊ก
******
ซ้อแปด เต้า

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewBrowse.aspx?BrowseNewsID=2617