++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำอย่างไร ให้เด็กเรียนเก่งขึ้น

ทำอย่างไร ให้เด็กเรียนเก่งขึ้น
บทความเรื่อง How to Build a Better Learner ในนิตยสาร Scientific American และพิมพ์ซ้ำในหนังสือ The Science of Education เล่าเรื่องการวิจัยหาวิธีแก้ไขปัญหาความบกพร่องของสมองในการเรียนบางด้าน ที่พบในเด็กบางคน และหาวิธีให้เด็กทั่วๆ ไป เรียนเก่งขึ้น
บทความบอกว่า ตัวที่ชัดเจนว่า ทำให้เด็กเรียนเก่งคือ EF (Executive Function) ครับ โดยเขาบอกว่า คุณสมบัติที่สำคัญของ EF คือความสามารถในการพุ่งความสนใจ หรือเอาใจใส่ (หรือที่เราเรียกว่ามีสมาธิอยู่กับ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง) ความสามารถจำสิ่งที่ได้ยิน หรือได้เห็น ไว้ในใจส่วนที่เรียกว่า ความจำใช้งาน (working memory) ความสามารถรอ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน เขาบอกว่า คุณสมบัติเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เรียนได้ดี ยังช่วยให้มีชีวิตที่ดีได้ด้วย
ความสามารถอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ที่ภาษาอังกฤษว่า delayed gratification นั้น มาจากการวิจัยที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี ค.ศ. 1972 ทดสอบเด็กเล็กด้วยขนม บอกว่ากินได้ถ้าอยากกิน แต่ถ้ารอจนผู้ใหญ่กลับมา จะได้ ๒ ชิ้น เด็กที่รอได้คือเด็กที่มี EF สูง ติดตามผลภายหลังเมื่อโตขึ้น จนเป็นผู้ใหญ่ พบว่ากลุ่มที่รอได้ มีชีวิตที่ดีกว่าอย่างชัดเจน
ข้อค้นพบเรื่อง EF ที่สำคัญมากคือ มันเป็นคุณสมบัติที่ฝึกได้ วิธีฝึก ๖ กลุ่มมีอยู่ในบันทึกที่ผม ลิ้งค์ ไว้ให้แล้ว ในบทความนี้บอกว่าการเล่นดนตรี ช่วยการฝึก EF ได้ ย้ำว่าเล่นหรือฝึกดนตรีนะครับ ไม่ใช่ฟังดนตรี แต่ก็มีผลการวิจัยที่บอกว่า ไม่พบหลักฐานยืนยันว่าการฝึกดนตรีช่วยพัฒนา EF
เรื่องฟังดนตรีแล้วทำให้สมองดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีของโมสาร์ท นั้น บทความนี้ว่าไม่จริง เรื่องราวในบทความนี้ มาจากผลการวิจัยทั้งสิ้น
เขาบอกว่า ความเชื่อเดิมที่ว่าสมองเด็กเปรียบเสมือนกระดาษขาว ไม่เป็นความจริง เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้ แต่ความสามารถนี้มีไม่เท่ากัน เด็กบางคนรับฟังเสียงบางความถี่ได้ไม่ดี หรือบกพร่องด้านการมองเห็นภาพบางรูปร่าง ก็จะเรียนรู้ได้ไม่ดี
สมองเด็กอายุไม่ถึงปีรับรู้เรื่องจำนวนอย่างหยาบๆ ได้ แม้จะยังนับไม่เป็น และรับรู้จำนวนแน่นอนก็ได้ แต่ได้ถึง ๓ หรือ ๔ เท่านั้น และมีเด็กบางคน สมองบกพร่องส่วนนี้ การเรียนเลขก็มีปัญหา นักวิจัย neuroscience ด้าน numerical cognition ที่สำคัญคนหนึ่งคือ Stanislas Dehaene แห่ง National Institute of Health and Medical Research ของฝรั่งเศส เขาค้นพบว่า การรับรู้เรื่องจำนวนแบบที่มีมาแต่กำเนิดนั้น หากบกพร่องในเด็กคนใด การเรียนคณิตศาสตร์ก็จะมีปัญหา เรียกว่า dyscalculia พบในร้อยละ ๓ - ๖ ของเด็กทั้งหมด นักการศึกษาไม่ได้เอาใจใส่ภาวะบกพร่องนี้ อย่างที่เอาใจใส่ dyslexia (ภาวะบกพร่องในการอ่าน) ทั้งๆ ที่มันก่อปัญหาในชีวิตพอๆ กัน และเชื่อว่าหากดำเนินการแก้ไขตั้งแต่เด็กยังเล็ก จะช่วยได้ วิธีหนึ่งคือฝึกด้วยเกมคอมพิวเตอร์ ชื่อ Number Race
เรื่องเครื่องมือฝึกสมอง ว่าชนิดไหนได้ผลแค่ไหน ยังเป็นเรื่องที่ต้องรับรู้แบบฟังหูไว้หู ดังตัวอย่าง มีการวิจัยประเมินเครื่องมือชื่อ Fast ForWord ไม่พบว่ามีผลช่วยเด็กที่มีความบกพร่องในการอ่าน
บทความนี้ตีพิมพ์ในปี 2011 คือ ๒ ปีมาแล้ว ลงท้ายว่า การศึกษาด้วยคลื่นสมอง ยังไม่พบวิธีการสำหรับยกระดับผลการเรียน จากผลการวิจัยด้าน neuroscience แต่การวิจัยอาจช่วยชี้ทางสำหรับจัดการศึกษาให้แก่คนรุ่น (generation) Z หรือรุ่นลูกของ Gen Z และมีผู้ทำนายว่า ในอนาคต การตรวจสมอง ร่วมกับการตรวจแบบดั้งเดิม ประวัติครอบครัว และการตรวจ ดีเอ็นเอ จะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติในการอ่านก่อนอายุ ๖ ขวบ และสามารถเยียวยาแก้ไขได้ ช่วยลดปัญหาการเรียนในเด็กวัยเรียน
ผมอดเถียงบทความนี้ไม่ได้ ว่าวิธีทำให้เด็กเรียนเก่งขึ้นในแนวสังคมศาสตร์มีอยู่แล้ว คือการที่เด็ก ได้รับความรักความเอาใจใส่ที่บ้านและที่โรงเรียน และการที่รูปแบบการเรียนรู้ปรับเปลี่ยนไปเน้นที่การเรียน ไม่ใช่เน้นที่การสอนอย่างในปัจจุบัน
โปรดสังเกตนะครับ ว่าบทความเชิงวิทยาศาสตร์ เขาจะไม่ด่วนสรุป จะสรุปอะไรต้องมีหลักฐาน จากการวิจัยยืนยัน ที่เรียกว่า evidence-based
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ก.ย. ๕๖
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น