...+

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม ทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า

แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม ทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า
สรุปจากงานวิจัย 7,000 ชิ้น ซึ่ง Research บางเรื่องนานกว่า 10 ปี และใช้เวลาสรุปอีก 5 ปี พบว่าแกงเหลืองซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวภาคใต้ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย สามารถทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า มีการใช้เงินมหาศาลในการวิจัย ถ้าใครชอบกิน แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม ขอแสดงความยินดีด้วย คุณมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก
ผศ.ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ทำวิจัยเรื่องอาหารไทยมากมาย ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย” ผศ.ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่
- น้ำพริกแกงป่า
- แกงเลียง
- แกงส้ม
- แกงเหลือง
- น้ำต้มยำ
นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45% ขณะที่
แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า เมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ
จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภค อาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหาร อากาศ อารมณ์ ที่ดี เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลจากมะเร็งได้
******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
โดย ชีวอโรคยา เรียบเรียงจาก Line และข้อมูลเพิ่มเติมจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณภาพแกงเหลือง ร้านครัวสวนสลุย กฤษดานคร แจ้งวัฒนะ
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสาร การดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ กรณีศึกษาผู้เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย “ล้างพิษตับ” 2 ครั้งโรคร้ายหายได้

คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ กรณีศึกษาผู้เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย “ล้างพิษตับ” 2 ครั้งโรคร้ายหายได้
จากการเสวนาบนเวที ในงาน “พระอาทิตย์แฟร์ ครั้งที่ 2” ที่บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์
คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์" เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ผ่านการรักษามามากมาย ทั้งทำคีโมและกินยา หมอบอกไม่มีทางหายกำหนดวันตายให้แล้ว ลูกชายเตรียมโกนหัวบวชให้แล้ว ต่อมาได้ไปใช้วิธีแพทย์ทางเลือกกับหมอเขียว (แพทย์แผนปัจจุบันซึ่งหันมามุ่งมั่นทางด้านแพทย์ทางเลือก/แอดมิน) และได้เข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับ จนในปัจจุบันแพทย์ CT สแกนไม่พบโรคมะเร็งปอดแล้ว ได้เล่าประสบการณ์ในงานพระอาทิตย์แฟร์ ดังนี้
“เมื่อปี 2553 ได้ตรวจพบโดยบังเอิญว่ามีไข้และระบบขับถ่ายผิดปกติ ในตอนนั้นหมอบอกว่าอายุ 50 ปีกว่าๆ แล้ว ถ้าลำไส้มีปัญหา หมอแนะนำให้เช็คเลือด 1 ตัวคือ CEA ซึ่งในตอนนั้นสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน ไม่ได้ใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากนัก จึงยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
พอเอกซเรย์ปอดก็เจอฝ้าขาวๆ หมอจึงส่องกล้องดูปอด และพบชิ้นเนื้อ 2.4 เซนติเมตร และผลการวินิจฉัยเป็นโรคร้ายระยะที่ 2 ต้องผ่าตัดทันที ซึ่งตอนนั้นอึ้งไป ก่อนที่จะบอกข่าวร้ายกับคนในครอบครัว ทุกคนต่างก็งงและนิ่งอยู่ในภวังค์ ในตอนนั้นที่ผ่าตัดออกก็คิดว่าหายแล้ว แต่ยังต้องทำเคมีบำบัด ซึ่งมีผลข้างเคียงเยอะมาก จากนั้นก็พบหมอทุกๆ 2 เดือน จนหายดี
หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ก็แอบไปทำ CT สแกนที่เกาะสมุย และพบว่าโรคดังกล่าวกลับมาอีก แต่เพื่อความแน่ใจจึงไปตรวจอีกที่โรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างรอฟังผลจึงเดินทางมาขอประวัติที่โรงพยาบาลประจำในกรุงเทพฯ ในตอนนั้นตัวเองรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
จนในที่สุดมีคนแนะนำให้ไปตรวจที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพราะมีโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคทางปอด และหมอก็ยืนยันว่าเป็นโรคร้ายระยะแพร่กระจาย คือระยะที่ 4 และรักษายาก เพราะหมอเห็นว่าอาจจะไปที่สมอง และกระดูก
ตอนนั้นเริ่มทานยาได้เดือนกว่า สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ จึงปรึกษาเรื่องอาหารการกินแบบหมอเขียว และได้ตัดสินใจเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับกับคุณชญาบุญ ตอนที่ร่างกายขับสารพิษออกมานั้นมีกลิ่นเหม็นมาก ซึ่งคนที่เป็นโรคร้ายจะเหม็นทุกคน แต่เมื่อมันออกมาทุกคนต้องดีขึ้น เริ่มทำไป 2 ครั้ง แล้วก็ไปทำ CT สแกน ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกรอบ โดยที่ไม่ได้บอกว่าไปทำอะไรมาบ้างนอกจากกินยา ซึ่งข่าวดีในตอนนั้นคือ โรคร้ายดังกล่าวไม่สามารถตรวจพบได้แล้ว จึงมองว่าการล้างพิษตับ อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกอีกหนึ่งทาง ที่ให้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ”
************** **************
ชีวอโรคยา ได้นำความเห็นจากแพทย์แผนปัจจุบันมาให้อ่านด้วย จากบทความ “กรณีศึกษามะเร็งปอดระยะสุดท้ายหายไปหลังล้างพิษตับ 2 ครั้ง” เขียนโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
************** **************
ผลการล้างพิษตับปรากฏว่าครั้งแรกนิ่วในตับและถุงน้ำดีสีเขียวเยอะมากเต็มถังเป็นสีเขียว ครั้งที่สองทำอีกสองอาทิตย์ปรากฏว่ามีไขมันออกมาด้วย
หลังจากการล้างพิษตับ 2 ครั้งแล้วไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าเม็ดสาคูในปอดจากมะเร็งระยะที่ 4 ได้หายไปทั้งหมด !!!?
ปัจจุบันคุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ (คุณเจี๊ยบ) ได้ไปล้างพิษตับอีกหลายครั้ง แต่ความน่าอัศจรรย์คือนอกจากจะมีชีวิตยืนยาวกว่า 7 เดือนที่แพทย์คาดการณ์แล้ว มะเร็งที่ปอดระยะที่ 4 ก็หายไปทั้งหมดด้วยตั้งแต่การล้างพิษตับในครั้งที่ 2 ปัจจุบันคุณสินห์ฉวี จึงได้ผสมผสานการล้างพิษตับผสมผสานไปกับการรักษาในแนวทางของหมอเขียว อีกทั้งยังดื่มน้ำปัสสาวะเป็นยาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติเอาไว้ในพระไตรปิฎกด้วย
ผมจึงได้โอกาสสัมภาษณ์ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ ภาควิชาพยาธิวิทยา (Department of Pathology) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งได้ให้ความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นว่า กรณีดังกล่าวนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เซลล์มะเร็งที่ปอดจะหลุดออกมาผ่านระบบขับถ่ายเพราะอยู่คนละส่วนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะร่างกายเมื่อได้นำไขมันและของเสียจากตับและถุงน้ำดีออกไปได้แล้ว ทำให้ตับทำงานฟื้นตัวได้ดีขึ้น ภูมิต้านทานในร่างกายจึงกลับคืนมา จนเซลล์มะเร็งที่ปอดไม่สามารถจะอยู่ได้มากกว่า
รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นเพิ่มเติม อุปมาเปรียบตับเหมือนรถบรรทุกที่มีหินอยู่เต็มคันรถ ยิ่งมีมากยิ่งเคลื่อนได้ช้า หากมีมากขึ้นไปอีกก็ไม่สามารถแล่นได้ หากสามารถลดภาระของรถบรรทุกให้ลดน้อยลงโดยการนำหินออกไปจากรถบรรทุกบ้าง รถบรรทุกนั้นก็จะกลับมาแล่นได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า สิ่งที่ออกมาจากการล้างพิษตับ เช่น ก้อนสีเขียวนั้น แท้ที่จริงหากผ่าร่างกายก็จะพบสิ่งเหล่านี้ในร่างกายอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้คือไขมันจากบริเวณถุงน้ำดีและตับ หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะตกตะกอนกลายเป็นก้อนที่แข็งขึ้นและกลายเป็นนิ่วได้ในที่สุด ดังนั้นการสามารถนำมาออกได้น่าจะมีส่วนในการฟื้นฟูการทำงานของตับโดยตรง
อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยินดีให้ความร่วมมือสนับสนุนหลักสูตรล้างพิษตับ โดยการจะตรวจสิ่งที่เป็นผลิตผลจากการล้างพิษตับ เพื่อทดลองในห้องแลปให้ โดยที่จะต้องเก็บตัวอย่างเหล่านั้นในแอลกอฮอล์ 95% เพื่อที่จะได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการศึกษากรณีดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมในการควบคุมอาหาร ลดความเป็นกรดในร่างกาย รับประทานอาหารพืชผักผลไม้ และน้ำที่มีสภาพความเป็นด่าง (อัลคาไลน์) ให้มากขึ้น แต่สำคัญที่สุดมากไปกว่านั้นคือจะต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอเพื่อทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น อันเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เพราะการไปแม้แต่โรงพยาบาลก็ยังอาจจะพบเชื้อโรคร้ายแรงในโรงพยาบาลที่ดื้อต่อยาหลายชนิดได้ด้วย
******* *******
หมายเหตุ: สำหรับผู้ต้องการร่วมกิจกรรมคอร์สล้างพิษตับ กับ ชีวอโรคยา
ในรีสอร์ท 4 ดาว+ 3 วัน 2 คืน สไตล์สนุกสนานเป็นกันเอง
**แอดมินอาจไม่เห็นคอมเม้นท์ ควร in box หรือ อีเมล์ ตอบทุกคน-แน่นอนกว่าค่ะ
หากต้องการไปร่วมกิจกรรมกรุณาติดต่อขอรายละเอียดจากเราได้ 3 ทาง คือ
- สอบถามขอรับรายละเอียดได้ทางช่องข้อความ (in box)
- ฝากอีเมล์ของท่านเพื่อขอรับรายละเอียดไว้ในข้อความ (in box)
- อีเมล์หาเราเพื่อขอรับรายละเอียดที่ Chivaarokhaya@hotmail.com
!!!อย่าฝากอีเมล์ให้ในช่องคอมเม้นท์!!! เนื่องจากจะมีผู้ขโมยอีเมล์ของคุณไปสร้างความรำคาญให้คุณค่ะ
สำหรับท่านที่โอนเงินจองก่อนจะได้รับสิทธิ์ในห้องพักที่ดีที่สุดก่อนและคิวกิจกรรมนวดก่อน
******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
โดย ชีวอโรคยา นำมาจาก ส่วนหนึ่งในคลิป www.youtube.com/watch?v=ObqXvanL-CM Published on Feb 8, 2013 จากการเสวนาบนเวที ในงาน “พระอาทิตย์แฟร์ ครั้งที่ 2” ที่บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ และส่วนหนึ่งของบทความ “กรณีศึกษามะเร็งปอดระยะสุดท้ายหายไปหลังล้างพิษตับ 2 ครั้ง” เขียนโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ภาพ: คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ โดย ชีวอโรคยา บันทึกมาจากคลิปดังกล่าว
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

การนวดหน้าแบบคืนสู่วิถีธรรมชาติ ต้นกำเนิดการสร้างสรรค์สู่ผิวสวย

การนวดหน้าแบบคืนสู่วิถีธรรมชาติ ต้นกำเนิดการสร้างสรรค์สู่ผิวสวย
ร่างกายมนุษย์เราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก แต่ธรรมชาติรอบตัวเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่า การคืนกลับสู่วิถีธรรมชาติก็เท่ากับว่าเราได้นำพลังจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่มาฟื้นฟูดูแลและสร้างสรรค์ความงามให้กับตัวเรา
การใช้หลักธรรมชาติบำบัด เช่น ศาสตร์ของกลิ่นหอมอโรมาเธอราพี (Aromatherapy) การนวดกดจุด (Reflexology) และการใช้สมุนไพร (Herb Therapy) หรือแม้แต่การนวดหน้าก็จัดเป็นหนึ่งในวิถีแห่งธรรมชาติซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการมีผิวพรรณสวยเปล่งปลั่ง สะทอนถึงจิตใจภายในที่สมบูรณ์สดชื่น ทั้งนี้เพราะการนวดหน้าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต คืนความสดใสให้ผิวหน้า และที่สำคัญสามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวคุณเอง เพียงแค่เรียนรู้รูปแบบการนวดหน้าอย่างง่ายๆ และควรใช้ครีมบำรุงขณะนวดหน้า เพราะส่วนผสมต่างๆ ในเนื้อครีม จะซึมซาบเข้าบำรุงทันทีที่การไหลเวียนโลหิตได้รับการกระตุ้น เป็นการเสริมประสิทธิภาพการทำงานของส่วนผสมต่างๆ ในเนื้อครีมได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนง่ายๆ ในการนวดหน้า 3 ขั้นตอน
1. การนวดใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของผู้หญิง แต่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำทุกวัน ดังนั้นการดูแลรักษาเพื่อให้ใบหน้าคงความสดใสอ่อนเยาว์ ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ในการนวดหน้านอกจากจะช่วยผ่อนคลายแล้วยังช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ผิวพรรณสวยผ่องใสยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการนวด ใช้ปลายนิ้วกดนวดจากปลายคางขึ้นมาข้างแก้มเรื่อยๆ จนถึงขมับแล้วกดจุดที่ขมับนิ่งๆ สักครู่ จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ หลังจากนั้น เริ่มต้นนวดจากปลายคางขึ้นไปใหม่อีกรอบจนคุณรู้สึกสดชื่นขึ้น
2. การนวดรอบริมฝีปาก ในแต่วันริมฝีปากเป็นอวัยวะที่ต้องขยับเคลื่อนไหวมากที่สุด บริเวณรอบริมฝีปากจึงอาจเกิดรอยย่นได้ง่าย การนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน
ขั้นตอนการนวด ใช้ปลายนิ้วกดวนไปรอบๆ ริมฝีปาก จนถึงจุดรอยหยักเหนือปากให้หยุดอยู่ตรงนี้แล้วกดนิ่งๆ ทิ้งไว้สักครู่ จะช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ริมฝีปากอิ่มเอิบขึ้นดูมีสุขภาพดี
3. การนวดรอบดวงตา ผิวรอบดวงตาเป็นส่วนที่อ่อนบางที่สุดในร่างกาย และเป็นจุดที่สะท้อนความเหนื่อยล้า ความหมองคล้ำที่โดดเด่นที่สุด การนวดบริเวณนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน แต่ต้องไม่กดน้ำหนักเท่ากับส่วนอื่นๆ ควรใช้น้ำหนักมืออย่างเบาในการนวด
ขั้นตอนการนวด แบ่งเป็น 2 ส่วนคือเหนือตาและใต้ตา
ส่วนเหนือตา : ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ บีบรอบเบ้าตาจากส่วนหางคิ้ววนไปจนถึงหัวคิ้ว จากนั้นบีบที่ดั้งจมูกค้างไว้สักครู่
ส่วนใต้ตา : ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดพร้อมกัน ไล่ไปรอบส่วนโค้งตา จากนั้นเปลี่ยนนิ้ว เริ่มนวดที่ส่วนเหนือตา ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ การนวดแบบนี้จะกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบดวงตา และช่วยผ่อนคลายสายตาที่อ่อนล้าได้
******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
ชีวอโรคยา นำมาจาก teenee.com อ้างอิง mcot
ภาพ: ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

การปั่นจักรยาน ช่วยบรรเทาโรคปวดหลังได้!

การปั่นจักรยาน ช่วยบรรเทาโรคปวดหลังได้!
ไม่ต้องอ้างอิงแหล่งข้อมูลทางวิชาการจากที่ไหน แต่เรื่องนี้มาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเองล้วนๆ โรคปวดหลังบรรเทาลงได้ทันตาเห็น เมื่อเริ่มปั่นจักรยานไปได้สักพัก
ผมเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
สมัยเรียนปี 4 ปีเมื่อประมาณปี 2542 เพื่อนๆ จัดมี้ตติ้งชั้นปีที่ปราณบุรี ช่วงนั้นเป็นวัยหนุ่ม เรี่ยวแรงกำลังสมบูรณ์ ด้วยความหวังดีอยากให้เพื่อนๆ ได้มานั่งคุยกันที่ริมชายหาด ผม (คนเดียว) จึงตระเวนยกโต๊ะและม้าหินอ่อนทั้งหาดมาเรียงแถวรอเพื่อนๆ ตั้งแต่ช่วงเย็น กว่าจะจัดโต๊ะเสร็จก็ค่ำพอดี… มี้ตติ้งผ่านไปด้วยความสนุก แต่ขากลับผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสนุก
ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับกรุงเทพฯ ผมเกิดอาการปวดหลังอย่างหนักหน่วง พยายามให้เพื่อนนวดให้ก็ไม่ดีขึ้น หลังจากวันนั้นก็กัดฟันอดทนมาอีกเกือบสัปดาห์ จนในที่สุดทนไม่ได้จึงไปหาหมอ อาจารย์หมอ ณ แผนกออปิดิกส์ที่โรงพยาบาลศิริราชวินิจฉัยว่า หมอนรองกระดูกสันหลังของผมทับเส้นประสาท รักษาด้วยการกินยาและกายภาพบำบัด เช่น ว่ายน้ำ โยคะ (บางท่า) และห้ามยกของหนักอีกเด็ดขาด
ชีวิตผมเปลี่ยนไปนับแต่วันนั้น ช่วงเดือนแรกของการกินยารักษา อาการผมหนักถึงขนาดเกือบเดินไม่ได้ มันปวดตั้งแต่หลัง ร้าวลงไปที่ขาและปลายเท้า แต่เมื่อรักษาไปสักระยะอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่สิ่งที่ติดตัวผมมาตลอดเวลานับสิบๆ ปีก็คือ อาการปวดหลัง
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อนๆ และคนใกล้ตัวจะได้ยินผมบ่นปวดหลังจนชินหู นั่งทำนานหน้าคอมนานหน่อยก็ปวดหลัง
ยืนนานๆ ก็ปวดหลัง ถือกระเป๋าใส่ของหนักนิดเดียวก็ปวดหลัง อาการแบบนี้ หมอเคยบอกว่าถึงผ่าตัดก็อาจจะไม่หายสนิทเหมือนเดิม เพราะหมอนรองกระดูกมันอาจจะเสื่อมไปแล้ว
ผมพยายามหาทางออกด้วยการว่ายน้ำ ซึ่งการออกกำลังโดยมีน้ำช่วยอุ้มกระดูกสันหลังก็ช่วยให้ดีขึ้นบ้าง แต่เนื่องด้วยความไม่สะดวกในการหาสระว่ายน้ำใกล้บ้าน จึงทำให้ว่ายได้ไม่ค่อยสม่ำเสมอ
ล่าสุดเมื่อต้นปี 2556 ผมตัดสินใจซื้อจักรยานมาปั่นออกกำลังกาย เป็นจักรยานลูกผสมที่เรียกกันว่า “ทัวริ่ง” คือเฟรมคล้ายเสือหมอบ แต่แฮนด์ตรงและใช้ชุดเกียร์เดียวกับเสือภูเขา แรกๆ ก็กังวลอยู่ว่าจะส่งผลเสียกับอาการปวดหลังรึเปล่า เพราะการปั่นจักรยานมันต้องก้มเป็นเวลานาน
จำได้ว่า ช่วงสัปดาห์แรกที่ลองปั่นในระยะทางใกล้ๆ ไม่เกิน 10 กม. (ทางเรียบ ปั่นบนผิวถนในกรุงเทพฯ) หลังของผมมีอาการปวดพอสมควร แต่พอฝืนปั่นต่อไปสักพัก ไม่เกิน 1 เดือน อาการปวดหลังที่เคยมารบกวนให้รำคาญก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผมดำเนินชีวิตเหมือนเดิมตลอด แต่สิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามาคือการปั่นจักรยาน เคยเข้าไปอ่านกระทู้ในพันธุ์ทิพย์อยู่เหมือนกันว่า เพื่อนหลายคนที่เคยมีอาการปวดหลัง พอปั่นจักรยานแล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้น
จากที่สังเกตตัวเอง ผมคิดว่า การปั่นจักรยานช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเอว หลัง และไหล่แข็งแรงขึ้น อันเกิดจากจังหวะการเอี้ยวเพื่อลงแรงไปที่เท้าเพื่อปั่นจักรยาน คือแทนที่จะปวดหลังเนื่องจากต้องก้มนานๆ กลับกลายเป็นผลดีต่อระบบกล้ามเนื้อหลังอย่างวิเศษ
ที่ร่ายมายืดยาวนี่ก็เพื่อจะบอกกับทุกๆ ท่านว่า จากประสบการณ์ตรงของผมเอง อาการปวดหลังของผมบรรเทาขึ้นมากหลังจากปั่นจักรยาน จึงอยากแนะนำให้ทุกท่านลองทำดู
ผมมีอาการดีขึ้น คนอื่นๆ ก็น่าจะดีขึ้นได้ไม่ต่างจากผม
******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
โดย ชีวอโรคยา เรื่องเรื่อง : อภิศักดิ์ เจือจาน Photos : yelenacasale.blogspot.com and FHM Thai Edition จาก www.fhm.in.th/SECTION-LIFE…/…/Riding-can-heal-your-backache/

ตำรับยาทรงคุณค่า รักษาโรค"สะเก็ดเงิน"(เรื้อนกวาง) กรุณาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อ

ตำรับยาทรงคุณค่า รักษาโรค"สะเก็ดเงิน"(เรื้อนกวาง) กรุณาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อ
สมุนไพรที่ต้องเตรียม
1ใบไม้ไผ่สีสุข (ไม่ใช่ไผ่ป่าดูให้ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะผิดตรงนี้) 1กำมือ
2ใบต้นแจง (เป็นต้นไม้ใบขม ออกผลเมื่อสุกจะมีสีเหลือง ให้ใช้ใบไม่อ่อนไม่แก่)1กำมือ
3.ต้นมะแว้งเครือทั้ง 5 (ต้นมีลักษณะเป็นเถาว์ มีดอกสีม่วง มีผลลายลูกเล็กๆใช้จิ้มน้ำพริกกิน)1กำมือ
คำว่า "ทั้ง 5" หมายถึงทั้งต้น ราก ต้น ใบ ดอก ผล
4ว่านหางจระเข้ ปลอกเปลือกไว้ทาภายนอกทาตรงส่วนที่คัน หากคันทาได้ตลอดเวลา
วิธีประกอบตัวยา
ตัวยาที่จะประกอบก็คือส่วนที่ 3 ยากซักหน่อย คือต้นมะแว้ง คือเราต้องเอามีดสับลำต้น และรากมันก่อนเพราะรากมันมีหนาม พอสับเสร็จก็กะให้ได้1กำมือแล้วล้างให้สะอาด หลังจากล้างทุกอย่างให้สะอาดดีแล้ว ก็เอาทั้งหมดลงหม้อต้มยา ก่อนเอาลงหม้อ ให้ระลึกถึงครูอาจารย์เจ้าของสูตรยาตัวนี้ จากนั้นใส่น้ำต้มไฟอ่อนๆจนเดือด รับประทานครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้าเย็น1หม้อ จะทานได้ 5 วัน หลังจากนั้นก็หาตัวยามาต้มใหม่ โดยทั่วๆ ไป คน1คนจะต้องทาน 5-7 หม้อจึงจะหาย ถ้าไม่หายก็ต้องทานต่อไป
ข้อห้าม! คือห้าม อาหารทะเลทุกชนิด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยอดผักที่มียางสีขาว ห้ามอดนอนควรพักผ่อนเยอะๆ ห้ามดื่มน้ำอัดลม และของเย็นๆ

ผิวสวยด้วยน้ำมันมะกอก

ผิวสวยด้วยน้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกบำรุงผิวสวยได้ทั่วตัวเส้นผมจรดปลายเท้า...
น้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันอื่นๆคือ เมื่อทาน้ำมันมะกอกแล้วจะซึมสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งความมันบนผิวหน้ามากนัก แตกต่างกับน้ำมันอื่นๆที่ทาแล้วจะไม่ซึมสู่ผิวแถมยังทิ้งความมันไว้ น้ำมันมะกอกสามารถใช้แต้มสิวฆ่าเชื้อโรคได้ หรือจะใช้ร่วมกับครีมบำรุงผิวต่างๆได้ด้วยเช่นกัน เพียงแค่เช็ดหน้าทำความสะอาดด้วยโทนเนอร์ ทาน้ำมันมะกอกเล็กน้อยจากนั้นทาครีมบำรุงผิวลงไป น้ำมันมะกอกจะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมลึกสู่ผิวและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของครีมบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้นเข้าไปอีก
น้ำมันมะกอกสามารถใช้ทาก่อนนอนได้เลยโดยไม่ต้องทาครีมบำรุงเพิ่ม ด้วยประโยชน์ของน้ำมันมะกอกช่วยขจัดสิ่งสกปรกและสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ผิวกระจ่างใสชุ่มชื่นและชะลอริ้วรอยแห่งวัย น้ำมันมะกอกเพียงอย่างเดียวมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับครีมบำรุงพื้นฐานกว่า 10 ชนิด
******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่อยู่หน้าเพจค่ะ
เครดิต: โดย ชีวอโรคยา จากส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง น้ำมันมะกอกที่ชีวอโรคยาแปลและเรียบเรียง-รวบรวมจาก wisegeek.com / olibio.gr/olive-oil-making-process / scientificpsychic.com/fitness/fattyacids1.html / โครงการชัยพัฒนา chaipat.or.th /wikipedia / women.thaiza.com ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

สารคดีฅนของแผ่นดิน : การเป็นหัวหน้าฯ

สารคดีฅนของแผ่นดิน : การเป็นหัวหน้าฯ
สารคดีแนวคิดสร้างสรรค์ จัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ?พระเจ้าอยู่หัว
"การพบกันของ 84 เจ้าความรู้ กับ 84 เจ้าหนูช่างสงสัย"
จัดทำโดย ชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
https://www.youtube.com/watch?v=8ZHLx7147JE



(๒๖) "สายลม แห่งการเปลี่ยนแปลง" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร

(๒๖) "สายลม แห่งการเปลี่ยนแปลง" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร
สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระ?บรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร ตอนที่ ๒๖ "สายลม แห่งการเปลี่ยนแปลง"
ในอดีต บนขุนเขาสูงตระหง่าน ชาวไทยภูเขาต่างยังชีพด้วยการถ่างป่าและปล?ูกฝิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนา?งเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้มีพระราชดำริให้จัดหาอาชีพทดแทนให้ สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มพัดสู่ขุ?นเขาแห่งนี้ นั่นคือ "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จ.เชียงใหม่" และด้วยพระวิริยะอุตสาหะที่จะทรงแก้ไขปัญห?า สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนิ?นมาเยี่ยมราษฎรที่นี้เพื่อทอดพระเนตรความเ?ปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จนถึงทุกวันนี้ชาวไทยภูเขามีความเป็นอยู่ท?ี่ดีขึ้นเพราะมีอาชีพและรายได้เพื่อมาจุนเ?จือครอบครัว ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร สายลมก็ยังคนพัดโอบล้อมดูแลปกป้องขุนเขาเห?ล่านี้ไม่เสื่อมคลาย
https://www.youtube.com/watch?v=CDXGY8mb9EU



วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

บาปมาก บาปน้อย ขึ้นอยู่กับ 3 ข้อต่อไปนี้ ....

บาปมาก บาปน้อย ขึ้นอยู่กับ 3 ข้อต่อไปนี้ ....

      1. เจตนาในการทำบาป    
      2. คุณธรรมของผู้ถูกกระทำ
      3. ผลของบาปที่ได้กระทำต่อผู้อื่น

ยกตัวอย่างจากการผิดศีล  ดังนี้

การฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต)   บาปมาก – บาปน้อย การฆ่าสัตว์ จะบาปมาก หรือ บาปน้อย นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ความพยายามในการฆ่า ถ้าใช้ความพยายามมากก็บาปมาก ใช้ความพยายามน้อยก็บาปน้อย ฆ่า สัตว์มีคุณมาก ก็บาปมาก เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ถ้าฆ่าสัตว์ที่มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็บาปน้อย ฆ่าสัตว์ตัวใหญ่บาปมาก ฆ่าสัตว์ตัวเล็กก็บาปน้อย ถ้าฆ่าคนที่มีคุณธรรมมาก บาปมาก ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้อย ก็บาปน้อยตามลำดับ

การลักทรัพย์ (อทินนาทาน)
การลักขโมยทรัพย์สิ่งของจะบาปมาก หรือ บาปน้อย (โทษมาก-โทษน้อย) ขึ้นอยู่กับราคาของทรัพย์และ เจ้าของทรัพย์ ถ้าเป็นของที่มีราคาแพง และเจ้าของเป็นผู้มีคุณธรรมมีศีลธรรม ก็ย่อมจะมีบาปมากโทษมาก ถ้าเป็นของที่มีราคาถูก และเจ้าของทรัพย์ไม่มีคุณธรรม หรือศีลธรรมก็ย่อมมีบาปน้อย โทษน้อย

การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
การจะมีบาปมาก หรือมีบาปน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับ คุณธรรมและความสมัครใจ ของผู้ล่วงเกินและผู้ถูกล่วงเกินด้วย

การพูดเท็จ (มุสาวาท)
การพูดโกหก  มีโทษมาก  หรือมีโทษน้อย  ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นมีคุณมาก หรือคุณน้อยและทำลายประโยชน์เขามากก็บาปมาก   ทำลายประโยชน์น้อยก็บาปน้อย   ไม่ว่าจะจำเป็นที่ต้องพูดโกหก  ขณะที่พูดโกหก  ขณะนั้นศีลข้อ  4  ก็ขาดแล้ว  ศีลของปุถุชน ไม่มั่นคง  ศีลของบางคนมีที่สุด   เพราะทรัพย์บ้าง    เพราะญาติ    เพราะลาภ    เพราะ ยศ  ฯลฯ

บาปมาก บาปน้อย

บาปมาก บาปน้อย

คำถาม: หลวงพ่อครับ ทหารตำรวจที่มีหน้าที่ป้องกันประเทศชาติ บางครั้งปราบปรามโจรผู้ร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งเป็นการกระทำบาปด้วยความจำเป็น อยากกราบเรียนหลวงพ่อว่า บาปกรรมที่เกิดขึ้นนี้น้อยกว่าการทำปาณาติบาตทั่วไปหรือไม่ครับ

คำตอบ: คุณโยม...การที่บาปมากบาปน้อย เอาหลักง่ายๆแบบชาวบ้านก็แล้วกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัด เมื่อจิตขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป นี่เป็นหลักเกณฑ์ที่พระองค์ตรัสเอาไว้ ในขณะที่ตรงกันข้าม เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นที่ไป พูดง่ายๆ การจะไปนรกจะไปสวรรค์ จะบาปมากบาปน้อย ขึ้นอยู่กับความขุ่นมัวของจิตใจกับความผ่องใสของจิตใจนี่เอง ไม่ว่าการฆ่านั้นจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม เมื่อเวลาไปลงมือฆ่ากัน ไปประกอบเหตุกัน จิตขุ่นมัวมากเท่าไหร่ก็บาปมากเท่านั้นถ้าขุ่นมัวน้อยเท่าไหร่ บาปก็น้อยเท่านั้น อันนี้เป็นกฎเกณฑ์ จากกฎเกณฑ์ตรงนี้...เราก็มาดูก็แล้วกัน...ความที่ต่อสู้ป้องกันตัว แล้วก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองกัน แต่ว่าเมื่อถูกบุกรุก ถูกรุกรานเข้ามา ทหารเป็นรั้วของประเทศชาติยังไงก็ต้องสู้ สู้เพื่อประเทศชาติด้วย สู้เพื่อชีวิตของตัวเองด้วย
แต่ในขณะที่สู้นั้น ถ้าสู้ด้วยความเคียดแค้นสู้ด้วยความฮึกเหิม ตรงนี้แน่นอนใจขุ่นมัวหนัก ตรงนี้ไม่ค่อยจะดี

แต่ว่าสู้เพราะจนใจจริงๆ ต้องสู้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ จะต้องเข่นต้องฆ่ากันไป...แต่...ใครที่พอยั้งมือได้ ก็ยั้ง ควรจะตายมากก็เลยตายน้อย ควรจะตายน้อยก็แค่บาดเจ็บ อะไรทำนองนั้นล่ะก็ตรงนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แล้วก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของทหารท่านนั้นตำรวจท่านนั้นเป็นเรื่องของรายบุคคลอันนี้ก็เป็นกรณีที่ 1

กรณีที่2 ที่จะต้องมาพิจารณาตามกันไปอีกก็คือ พอทำไปแล้ว รู้สึกอย่างไร ถ้ารู้สึกว่า...มันสะใจจริงๆ...ถ้าอย่างนี้ใจขุ่นหนักเลย คือ นอกจากใจขุ่นแล้ว ยังดีใจกับความขุ่นนั้นเข้าไปด้วย อันนี้แทบจะมืดสนิทกัน...ตรงนี้ก็บาปมากหน่อยนะ เพราะดีใจกับบาปกรรมที่ตัวทำ แต่ตรงกันข้าม...เราก็ไม่อยากจะทำ แต่ว่าถ้าไม่ทำ ไม่ฆ่า มันก็ฆ่าเรา และบ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ มันก็ต้องฆ่ากันไป...เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากไม่ได้ดีใจกับการฆ่านั้นแล้ว ยังคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก มาหาทางช่วยกันแก้ไข มาหาทางช่วยกันป้องกัน อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเพราะแค่นี้ใจเราก็แย่แล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มนุษย์ด้วยกัน
ที่ร้ายที่สุด ที่เขาลุยเข้ามานั้น มาลุยจะฆ่าทหารจะลุยเข้ามาฆ่าตำรวจนั้นบางทีพวกนี้ถูกหลอกมาด้วยถูกหลอกกันมากี่ทอดกี่ชั้นก็ไม่รู้ถูกจ้างถูกวานมา หรือบางทีก็ถูกมอมเมามาด้วยอาจจะมอมเมาด้วยยาเสพติด หรืออะไรก็ตามทีนึกเรื่องนี้แล้ว...แทนที่จะดีใจกับการเข่นฆ่าก็นึกเมตตาสงสารว่า เราไม่อยากจะทำ แต่ว่ามันจนใจต้องทำ แล้วก็มาหาทางคิดป้องกันกันต่อไป

ถ้าอย่างนี้...ใจประเภทนี้...ถามว่า บาปนั้นมีหรือไม่...ตอบว่า มี แต่ไม่เท่าประเภทแรก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฆ่ากันไปเรียบร้อยแล้ว...ส่งโรงพยาบาล...ส่งวัด...ส่งเมรุ ก็แล้วแต่ เรียบร้อยแล้ว นอกจากมาหามาตรการป้องกันแก้ไขกันในภายหน้าแล้ว ก็มีเรื่องฝากไว้อีก คือ ทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลอะไรกันได้ก็ทำไปเถอะกรวดน้ำให้ไปเลยว่า ที่ทำมาก็ไม่อยากจะทำหรอกนะ

และยิ่งกว่านั้น ถ้าจะให้ดี หลังจากทำบุญทำทานเรียบร้อยแล้วขอฝากไว้ก็แล้วกัน เรื่องอะไรร้ายๆนั้น จบแล้วให้มันจบไป อย่าไปหมั่นนึกถึงมัน มันมีหลักอยู่ นึกถึงบาป นึกเมื่อไหร่ บาปมันก็จะโตขึ้น ใจก็ขุ่นมัวมากขึ้นนึกถึงบุญ ใจก็จะใส ใสอยู่เท่าไหร่ แล้วก็ใสขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นฝากเลย เมื่อเรื่องไม่ค่อยจะดีนั้น มันจบไปแล้ว วางมาตรการแก้ไขจบเรียบร้อยแล้ว อย่าไปนึกถึงมันอีก ลบภาพนั้นทิ้งเสีย...ลบอย่างไร

ประการที่ 1. ลบด้วยการไม่พยายามจะนึกถึงมัน
ประการที่ 2.นึกภาพดีๆ เข้ามาแทน นึกภาพดีๆ เข้ามาแทนนึกอย่างไร...ก็นึกเรื่องบุญเรื่องกุศลที่เราทำ ถ้าจะให้ดี หมั่นทำสมาธิทุกคืน นึกถึงองค์พระ นึกถึงดวงแก้วใสๆ ให้เกิดขึ้นกลางกาย กลางใจ นึกไปเรื่อยๆ เป็นการเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ให้กับชีวิตของเรา อย่างนี้บาปไม่มีสิทธิ์โตขึ้น มีแต่บุญจะโตวันโตคืน...เจริญพร


http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=4170

การรู้จักให้อภัยตนเอง

การรู้จักให้อภัยตนเอง

การรู้จักให้อภัยตนเอง
และให้อภัยผู้อื่น
จะทำให้ใจเป็นสุข
และสมาธิตั้งมั่นได้ง่าย

♡ต้องรู้จักให้อภัยตนเอง
และให้อภัยผู้อื่น ใจจะได้เป็นสุข
จิตจะเกิดความเมตตา
เมื่อใจเราบริสุทธิ์ ใจจะเกลี้ยงๆ
เป็นสมาธิได้อย่างง่ายๆ

♡แต่ถ้าไม่รู้จักให้อภัย
จิตจะไม่มีความสุขเลย
คิดแต่จะมุ่งร้ายต่อผู้อื่น
อย่างนี้ขาดทุน
เพราะเราเกิดมาสร้างบุญ
ต้องให้ได้บุญกันอย่างเต็มที่

http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=5754

พระยิ้มได้ (ไม่ยิ้มก็ได้)

พระยิ้มได้ (ไม่ยิ้มก็ได้)



พระพุทธรูป 2 รูปนี้ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวกัน จะให้ยิ้มก็ได้ จะไม่ให้ยิ้มก็ได้ อยากให้ยิ้มก็ยืนห่างๆ หน่อย ถ้ายืนใกล้ท่านก็ไม่ยิ้ม ท่านชื่อว่าพระกกุสันโธพุทธเจ้า ท่านประทับอยู่ที่วิหารอานันทเจดีย์ เมืองพุกาม ประเทศพม่า

ภายในอานันทวิหาร เราสามารถเดินเข้าไปข้างในได้ โครงสร้างของเจดีย์จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขยื่น 4 ทิศ ประตูทางเข้าเป็นประตูโค้ง บางซุ้มประตูยังหลงเหลือจิตกรรมฝาผนังอยู่เลยครับ



ที่พัก ที่เที่ยว ที่เที่ยวพม่า Myanmar ย่างกุ้ง หงสาวดี เที่ยววัด เมืองพุกาม มัณฑะเลย์ เมืองอังวะ เมืองยองชเว ทะเลสาบอินเล พม่า ลุงเสื้อเขียว diaryaward2014 เว็บท่องเที่ยว เที่ยวต่างประเทศ ร้านอาหารต่างประเทศ ที่พักต่างประเทศ


ทั้ง 4 ทิศจะประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนแกะสลักจากไม้ ปิดทอง สูง 9.5 เมตร พระพุทธรูปทั้ง 4 องค์ประกอบด้วย ทิศเหนือ : พระกกุสันโธพุทธเจ้า ,ทิศตะวันตก : พระโคตมพุทธเจ้า (องค์ใหม่) โดยจะมีพระชินอรหันต์อยู่ข้าง ๆ ด้วย พระชินอรหันต์เป็นคนเอาศาสนาพุทธเข้ามาในพุกาม ,ทิศตะวันออก : พระโกนาคมน์พุทธเจ้า (องค์ใหม่) สร้างแทนองค์เดิมที่ถูกโจรกรรมไป (บางคนก็บอกว่าโดนไฟไหม้) และองค์สุดท้ายคือพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ เป็นพระพุทธรูป 1 ใน 2 ที่ยังเป็นองค์เดิมอยู่

ที่พัก ที่เที่ยว ที่เที่ยวพม่า Myanmar ย่างกุ้ง หงสาวดี เที่ยววัด เมืองพุกาม มัณฑะเลย์ เมืองอังวะ เมืองยองชเว ทะเลสาบอินเล พม่า ลุงเสื้อเขียว diaryaward2014 เว็บท่องเที่ยว เที่ยวต่างประเทศ ร้านอาหารต่างประเทศ ที่พักต่างประเทศ


พระกัสสปพุทธเจ้า จะมีความพิเศษต่างจากองค์อื่น ๆ คือเมื่อเรายืนใกล้ ๆ องค์พระ จะรู้สึกเหมือนท่านมีสีหน้าเรียบเฉย



ที่พัก ที่เที่ยว ที่เที่ยวพม่า Myanmar ย่างกุ้ง หงสาวดี เที่ยววัด เมืองพุกาม มัณฑะเลย์ เมืองอังวะ เมืองยองชเว ทะเลสาบอินเล พม่า ลุงเสื้อเขียว diaryaward2014 เว็บท่องเที่ยว เที่ยวต่างประเทศ ร้านอาหารต่างประเทศ ที่พักต่างประเทศ


แต่เมื่อเดินห่างออกจากองค์พระไป สีหน้าที่เรียบเฉยก็จะกลายเป็นยิ้ม (แป้น) เลยครับ ถือว่าเป็นความอัจฉริยะของช่างในการออกแบบในการเล่นกับแสง ถ้าเราอยู่ต่างตำแหน่ง ก็จะเห็นท่านต่างออกไป ในวิหารแห่งนี้ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ประตูไม้บานใหญ่มากที่พระเจ้าบุเรงนองได้สร้างขึ้น มีอยู่เพียงประตูเดียวครับ



ที่พัก ที่เที่ยว ที่เที่ยวพม่า Myanmar ย่างกุ้ง หงสาวดี เที่ยววัด เมืองพุกาม มัณฑะเลย์ เมืองอังวะ เมืองยองชเว ทะเลสาบอินเล พม่า ลุงเสื้อเขียว diaryaward2014 เว็บท่องเที่ยว เที่ยวต่างประเทศ ร้านอาหารต่างประเทศ ที่พักต่างประเทศ


http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/002013/lang/th/

ความแตกต่างระหว่างผู้นำ กับ ผู้จัดการ

ผู้จัดการยึดมั่นคุมบริหาร
ผู้นำสานสิ่งใหม่อย่างสร้างสรรค์
ผู้จัดการเลียนแบบทุกสิ่งอัน
ผู้นำนั้นดั้นด้นทำเป็นแบบ..

ผู้จัดการสนตระหนักแค่รักษา
ผู้นำแท้แน่หนารักษ์พัฒนา
ผู้จัดการเน้นคนเหลือระอา
ผู้นำหาทางรอมชอมให้เต็มใจ

ผู้จัดการล้อมกรอบเขตแค่ที่ใกล้
ผู้นำไซร้มองเหนือชั้นเพื่อก้าวไกล
ผู้จัดการมักไถ่ถามว่า How When
ผู้นำถามไม่เว้นว่า what why

ผู้จัดการงมงายทำแต่แนวดิ่ง
ผู้นำจริงทิ้งห่างไปทำแนวขนาน
ผู้จัดการแค่ทำตามกำหนดการ
ผู้นำตั้งเกณฑ์ก่อการจรรโลงตน

ผู้จัดการเน้นทำแค่ให้ถูกสิ่ง
ผู้นำจริงจะทำทุกสิ่งให้ชอบธรรม..

4 ข้อควรรู้ จาก สส.สภ.เมืองนนทบุรี

ดีมาก ควรรู้ไว้
คัดลอกจาก รอง ผกก. สส.สภ.เมืองนนทบุรี

1.ถ้ามือถือหายต้อง
ทำให้เคืรื่องใช้ไม่
ได้ แจ้ง serial
number ของเครื่อง
ไปยังศูนย์เพื่อบล็อค
เครื่อง(ดู serial
number กด *#06#)

2.ถ้าลืมกุญแจรีโมท
ไว้ในรถโทรเข้า
มือถือคนที่บ้าน
เอารีโมทกุญแจ
สำรองมากด un
lockที่หน้าโทร
ศัพท์โดยเราถือ
โทรศัพท์ให้ใกล้
จุดรับสัญญาณรี
โมทไม่เกินหนึ่ง
ฟุตจะปลด lock
ได้แม้อยู่ไกลเป็น
ร้อยกิโล

3.กรณีแบตเตอรี่มือ
ถือใกล้หมดให้กด
*3370#จะมีพลัง
สำรองเพิ่มขึ้นทัน
ที 50%

4.ในกรณีฉุกเฉิน
ต้องการความ
ช่วยเหลือกด
112ใช้ได้ทั่วโลก
แม้ในพื้นที่ที่ไม่มี
สัญญาน.......

ขอให้ทุกคนsave ไว้ เพื่อใช้ในเวลาจำเป็น
บอกต่อเพื่อนๆและคนที่คุณรักด้วย
ความห่วงใย

เสริมความเผ็ดให้พริกป่น

พืช)เสริมความเผ็ดให้พริกป่น มีรสชาติจัดจ้านขึ้น เพียงนำผลสุกดีปลีตากแห้ง 1 ส่วน คั่วร่วมกับพริก 5 ส่วน ด้วยไฟอ่อนๆ จนมีกลิ่นหอม แล้วนำไปป่น

.

คุณสมบัติของพระอุปัชฌาย์

คุณสมบัติของพระอุปัชฌาย์



พระอุปัชฌาย์ โดยความหมายแล้ว  หมายถึงผู้เข้าไปคอยชี้ให้เห็นโทษประการต่าง ๆ

ตามความเป็นจริง เมื่อผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา มีความประพฤติไม่เหมาะสม

อย่างไร พระอุปัชฌาย์ก็จะเป็นผู้คอยแนะนำในสิ่งที่ถูกที่ควร เพื่อความเป็นผู้ประพฤติ

ที่ดีงามยิ่งขึ้นในพระธรรมวินัย  รวมไปถึงถ้าเกิดความสงสัยในพระธรรมวินัยในส่วนใด  

พระอุปัชฌาย์ก็มีหน้าที่ในการให้ความเข้าใจในส่วนนั้น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว

พระอุปัชฌาย์ ก็จะต้องเป็นผู้มีความเข้าใจในพระธรรมวินัย เป็นผู้ฉลาดไม่โง่เขลา

รู้จักอาบัติเบาอาบัติหนัก   เป็นผู้ทรงจำพระปาฏิโมกข์ได้    และ จะต้องมีพรรษา ตั้งแต่

๑๐ พรรษาขึ้นไป ถ้ามีคุณสมบัติไม่ครบแล้วไปทำการอุปสมบทให้กับกุลบุตร  ย่อมต้อง

อาบัติทุกกฏ    มีโทษ

    ตามพระธรรมวินัยแล้ว พระอุปัชฌาย์ ไม่มีการสอบ  เพียงแต่ถ้ามีคุณสมบัติดังกล่าว

นี้แล้ว ที่ประชุมสงฆ์ (คณะสงฆ์) มีความเห็นชอบ ถ้ามีกุลบุตรผู้มีศรัทธาเข้ามาขอบวช

ในพระพุทธศาสนา ก็มอบหมายให้ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้

กับกุลบุตรคนนั้นได้ ครับ


ในพระไตรปิฎก แสดงคุณสมบัติของพระอุปัชฌาย์ ประการต่างๆ อย่างละเอียด

โดยตั้งแต่โดยนัยสูงสุด ครับ ซึ่ง โดยนัยสูงสุดแล้ว พระอุปัชฌาย์ที่ มีคุณสมบัติที่ดี

คือ เป็นพระอรหันต์ ที่ประกอบด้วยคุณความดีของพระอรหันต์ ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา

ของพระอรหันต์ และ ก็อธิบายโดยนัยอื่นๆ ถึงคุณสมบัติของพระอุปัชฌาย์ว่า จะต้อง

เป็นผู้มีคุณธรรมเป็นสำคัญ แม้จะยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ หรือ พระอริยบุคคล แต่

ก็ต้องเป็นผู้ทีประกอบด้วย ศรัทธา ศีล สุตะ การฟังมาก มีความละอาย และเกรงกลัว

ต่อบาป มีความเพียร และเจริญสติ และ มีปัญญา และ คุณสมบัติของ พระอุปัชฌาย์

ที่สำคัญ คือ จะต้องมีพรรษา10 ปี หรือ มากกว่า 10 ปี และที่สำคัญ พระอุปัชฌาย์ จะ

ต้องเป็นผู้มีศีลดี มีคุณธรรม มีคือ เป็นผู้เคารพในพระวินัยบัญญัติในสิกขาบทที่

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ มีทิฏฐิ ดี คือ มีความเห็นถูก มี สัมมาทิฏฐินั่นเอง และ

เป็นพหูสูต คือ เป็นผู้ได้สดับตรับฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าโดยมาก และมีความ

เข้าใจในพระธรรมด้วย จากการฟัง ศึกษา ครับ

    อีกประการหนึ่ง คือ รู้จัก ฉลาดที่จะรักษาพยาบาลผู้ป่วยไข้ หรือ ใช้ให้ผู้อื่นรักษา

ได้ถูกต้อง เป็นต้น และ ยังเป็นผู้สามารถที่จะทำให้ผู้อื่นที่อยากสึก กลับไม่สึกได้

ด้วยปัญญาของตน

  อีกประการหนึ่ง ก็คือ รู้จักอาบัติต่างๆอย่างละเอียด และ สามารถจะแสดงกล่าว

แนะนำ วิธีการออกจากอาบัติกับภิกษุรูปอื่นๆ ได้ และรอบรู้พระวินัย เมื่อเป็นผู้ที่รอบรู้

พระวินัย ก็จะสามารถรู้ได้ว่าใครสมควรบวช ใครไม่สมควรให้บวช ครับ

   อีก ประการหนึ่ง คือ ต้องเป็นผู้สามารถอธิบายกล่าวธรรมให้ลูกศิษย์ และ ผู้ที่บวช

ให้ เข้าใจพระธรรม ทั้งในส่วนของพระวินัย ในส่วนของการเจริญอบรมปัญญาที่เป็น

การเจริญวิปัสสนาได้ด้วย และเมื่อภิกษุนั้นเข้าใจธรรมที่ผิด มีความเห็นผิด ก็สามารถ

แก้ความเห็นผิดของภิกษุรูปนั้นได้ด้วย นี่คือ คุณสมบัติโดยละเอียดของพระอุปัชฌาย์

 ดังข้อความในพระไตรปิฎก

 พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้าที่ 502

บะหมี่สอนใจ

บะหมี่สอนใจ

ตอนยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ผมเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัว มีอะไรที่เป็นของดีๆ ผมก็
คิดถึงแต่ตัวผมเพียงผู้เดียว ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น ผลปรากฎว่าเพื่อนฝูงห่างหายไปจากผม ทีละคน ทีละคน กับเรื่องนี้แล้ว ผมกลุ้มใจมาก บ่อยครั้งที่ตำหนิผู้อื่นลับหลัง!!

คืนวันหนึ่ง คุณพ่อทำบะหมี่มาสองชาม ชามหนึ่งบนบะหมี่มีไข่อยู่ใบหนึ่ง ส่วนอีกชามหนึ่ง เมื่อมองดูแล้วไม่มีอะไรเลย
คุณพ่อถามผมว่า
" ลูกจะกินชามไหน ?"
เวลานั้น ไข่ไก่เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก หากไม่ตรงกับวันตรุษหรือวันเทศกาลแล้ว ยากนักที่จะได้กิน ผมย่อมไม่ละทิ้งโอกาสอันดีนี้ไป ฉะนั้นผมไม่ลังเลเลย ที่จะเลือกชามที่เห็นมีไข่อยู่ด้านบนบะหมี่  แท้จริงแล้ว สิ่งที่ผมได้เลือกมันคือความผิดพลาด ในยามที่ผมกำลังหลงดีใจกินไข่ใบนั้นอยู่ ผมประหลาดใจที่เห็นว่า ในก้นชามบะหมี่ของคุณพ่อ
นั้น ซ่อนไข่ไว้สองใบ ผมเสียใจมาก และโกรธตัวเองที่ใจร้อนเกินไป รีบ
เลือกโดยไม่ทันได้คิด

คืนวันที่สองคุณพ่อทำบะหมี่มาสองชามอีก ยังคงเหมื่อนเดิม ชามหนึ่งด้านบนเห็นมีไข่ใบหนึ่งวางอยู่ส่วนอีกชามดูไปแล้วไม่มีอะไร คุณพ่อให้ผมเลือกก่อน ครั้งนี้ผมฉลาดขึ้นแล้ว เลือกชามที่ด้านบนไม่มีไข่ คุณพ่อได้แต่จ้องมองฉัน ไม่พูดไม่จาสักคำ
ผมรีบหยิบตะเกียบขึ้นมา เขี่ยบะหมี่ให้แยกออก ผมคิดแต่เพียงว่า ข้างใต้บะหมี่ต้องซ่อนไว้ด้วยไข่ไก่สองใบ แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวังอย่างรุนแรง ก้นชามนอกจากน้ำซุปแล้ว อะไรก็ไม่มี
ยามนี้ คุณพ่อได้บอกผมว่า
" ลูกเอ๋ย...ลูกต้องจำไว้ว่า อย่าเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่ผ่านมาให้มากนัก เพราะว่า ชีวิตบางครั้งก็หลอกลวงเรา ทว่า ลูกอย่าเพิ่งโมโห และไม่ต้องเศร้าใจ ทั้งหมดนี้ ให้ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งลูกไม่สามารถเรียนรู้จากหนังสือได้

คืนวันที่สาม คุณพ่อทำบะหมี่เช่นเดิมอีกสองชาม ยังคงเป็นชามหนึ่งด้านบนมีไข่หนึ่งใบ ส่วนอีกชามมองดูแล้วไม่มีอะไรเลย คุณพ่อให้ผมเลือกก่อนเช่นเดิม ครั้งนี้ผมจะไม่เลือกอย่างผลีผลามอีกแล้ว แต่บอกกับคุณพ่อจากใจจริงว่า
" คุณพ่อ ท่านเป็นผู้อาวุโส อีกทั้งได้เสียสละให้แก่ผมและครอบครัวมากมาย ให้คุณพ่อเลือกก่อนเถอะ "
คุณพ่อไม่ได้ปฏิเสธ เลือกชามที่มีไข่อยู่ด้านบนโดยไม่ลังเล
ผมเดาว่า อีกชามที่เหลือต้องไม่มีไข่แน่ๆ แต่นอกเหนือการคาดเดา ผมโชคดีมาก ที่ก้นชามมีไข่อยู่ตั้งสองใบ คุณพ่อเงยหน้าขึ้น ในนัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดู ท่านบอกผมอย่างราบเรียบว่า
"ลูกเอ๋ย ! ลูกต้องจำให้มั่น ยามที่ลูกคิดเพื่อคนอื่นแล้ว ความโชคดีก็จะเข้ามาหาตัวลูกเอง "

คำพูดของคุณพ่อ ทำให้ผมละอายใจยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมนำคำสอนนี้มาเป็นเกณฑ์ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าต่อผู้คนหรือต่อหน้าที่การงาน สิ่งแรกที่ผมนึกคิดได้ก่อนอื่นใด ก็คือผลประโยชน์ที่ผู้อื่นจะได้รับก่อน ตรงตามที่ท่านพ่อได้สอนไว้ ความโชคดีได้ทยอยเข้าหาผม ทำให้หน้าที่การงานของผม เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้น


ขอบคุณที่มา

จาก FW Mail vvv [vxxxoh@gmail.com]

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 200 น้ำท่วมหาดใหญ่ พ้นภัยด้วยพระบารมี - โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 200 น้ำท่วมหาดใหญ่ พ้นภัยด้วยพระบารมี - โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

http://youtu.be/BtucAKGK2sQ
รายการรักพ่อ200 น้ำท่วมหาดใหญ่ พ้นภัยด้วยพระบารมี




ฟังรายการทั้งหมด http://www.youtube.com/playlist?list=PL381074716754C1A0


พบกับสารคดีเทิดพระเกียรติ "น้ำท่วมหาดใหญ่ พ้นภัยด้วยพระบารมี",
 ช่วงในหลวงในดวงใจ45,  บทกวีจากณุ บูรพา , ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง,
ฟังเพลงความขาดแคลนไม่ใช่ปัญหา ,รักพ่อ, พระภูมิพล,ฟิพทีนมูฟ , ออกอากาศทาง FM87.75 MHz คลื่นแห่งมิตรภาพ จ.นนทบุรี เมื่อ 26 พ.ค.2556



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

(๒๕) "ศิลปะไทย ที่ไอเฟล" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร


(๒๕) "ศิลปะไทย ที่ไอเฟล" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร
สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระ?บรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร ตอนที่ ๒๕ "ศิลปะไทย ที่ไอเฟล"
หอไอเฟล ๑ ใน ๑๐ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ใจกลางกรุงปารีส ซึ่งเคยต้อนรับผู้มาเยือนแล้วกว่าสองร้อยล?้านคน และในการต้อนรับครั้งสำคัญสำหรับคนไทยนั้น?คือศิลปะของไทยได้ไปจัดแสดงที่นั้น เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๔๐ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงเสด็จพ?ระราชดำเนินไปเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศก?ารของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตามคำกราบบัง?คมทูลเชิญของนางแบร์นาแด็ต ชีรัก ภริยาประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นเวลา ๒ เดือน นับเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของงาน?ศิลปาชีพที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีน?าถทรงนำสุดยอดผลงานศิลปะชั้นเอกของไทยไปจั?ดแสดงที่สุดยอดสถาปัตยกรรมระดับโลก ให้ชาวต่างชาติได้ประจักษ์แก่สายตาถึงวัฒน?ธรรม ประวัติศาสตร์และศิลปะไทยที่สืบสานมาจนถึง?ทุกวันนี้
https://www.youtube.com/watch?v=bd7S6XZEovY

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

เผิง ลี่หยวน ฝากข้อคิดถึงผู้หญิงทั่วโลก

เผิง ลี่หยวน First Lady ของประเทศจีน ฝากถึงผู้หญิงทั่วโลก

1. การลงทุนในตัวเอง
หากผู้หญิงคนใดทุ่มเวลาอันมีค่าที่สุดของตนให้แก่ผู้ชายคนหนึ่งอยู่หลายปี เพื่อให้ได้ผู้ชายคนนั้นมาเป็นคู่ชีวิตของตน อีกหลายสิบปีต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็ต้องหาทุกวิถีทางมาผูกมัดเขาไม่ให้หลุดไปจากคุณ แต่หากผู้หญิงทุ่มเทในการพัฒนาตนเอง คุณย่อมสามารถจะเก็บเกี่ยวรักแท้ซึ่งเป็นของคุณได้อย่างง่ายดาย ความรักเป็นความสุขทางใจและอารมณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของรสนิยมอันเลอเลิศที่เราสามารถสร้างขึ้นให้เป็นที่ดึงดูดใจได้ จงจำไว้มีแต่ผู้หญิงที่อยู่ในลักษณะที่สง่างามที่สุดเท่านั้นจึงจะมีเสน่ห์น่าหลงไหลในความรู้สึกของผู้ชาย

2. จงเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นตัวของตัวเอง
มีความคิดอ่านของตัวเอง มีทัศนคติที่มีต่อชีวิตของตัวเอง มีค่านิยมของตัวเอง มีความใฝ่ฝัน รู้จักขวนขวายเพื่อความเจริญก้าวหน้า ต้องไม่ละทิ้งอุดมคติของตัวเอง ประกอบอาชีพที่ตนชอบ มีความสุขกับตัวเอง มีความเปรมปรีดิ์กับความสำเร็จของตัวเอง ทำงานหาเงินโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร อย่าพึ่งพาผู้ชายเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงที่เข้มแข็งและมีความสามารถจะมีความเชื่อมั่นและมีเสน่ห์มากกว่า

3.ชาร์ตพลังชีวิตให้กับตัวเอง
สังคมพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เกิดการแข่งขันอย่างดุเดือด แล้วเราจะยืนโดดเด่นท่ามกลางกลุ่มคนได้อย่างไร ก็ต้องชาร์ตพลังงานให้กับตัวเองโดยการเรียนรู้สรรพความรู้และทักษะความสามารถทุกอย่าง เรียนรู้ไม่หยุดยั้งและพัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เพื่อว่าเราจะสามารถแสดงออกถึงความงามของผู้หญิงที่แท้จริงให้ปรากฏในสังคมได้

4.จงเป็นผู้หญิงที่มีความสง่างามน่าชื่นชม
“โลกนี้ไม่มีหญิงอัปลักษณ์ มีแต่หญิงขี้เกียจ” ผู้หญิงควรรู้จักแต่งตัวให้ดูสะอาด มีรสนิยม มีความทันสมัย จนใครเห็นใครชอบ ผู้หญิงสวยไม่สวยไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือต้องมีภาพลักษณ์อันสง่างาม หากย่อหย่อน ปล่อยปละละเลย เพราะเป็นคนเกียจคร้าน มอมแมม เสน่ห์ย่อมหดหายไป นั่นคือแม้แต่ตัวเองยังไม่รักตัวเองแล้ว จะหวังให้คนอื่นมารักเราได้หรือ!

5. เรียนรู้ที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา
มองทุกอย่างให้ทะลุปรุโปร่งแต่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา บางอย่างต้องให้มีความกระจ่างแจ้ง บางเรื่องต้องแกล้งไม่เดียงสาแต่อย่าถึงกับโง่ ขอแต่เพียงให้เขารู้ว่าเราชอบอะไร เรื่องบางเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ให้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดก็อย่าพูดออกมา หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่ขัดต่อหลักการแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเสีย นั่นเท่ากับว่าเป็นการที่เราได้ช่วยเขาแล้ว อย่าบีบบังคับจนอีกฝ่ายเข้าทางตันจนหาทางออกไม่ได้ นั่นไม่ใช่วิสัยของวิญญูชน

6.เสน่ห์ที่แท้จริง
ผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างแท้จริงนั้นคือผู้ที่สามารถแสดงความปราดเปรื่องในอาชีพการงานของตน สามารถทำให้สังคมรับรู้ถึงสติปัญญาและความสามารถของตน ผู้หญิงที่มีเสน่ห์นั้นเวลาพูดคุยกับผู้ชายจะรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม พูดจาอย่างมีเหตุผล ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ไม่อ่อนน้อมเกินควรจนดูต้อยต่ำ สามารถแสดงความเป็นผู้มีสติปัญญา มีไหวพริบปฏิภาณให้อีกฝ่ายประทับใจได้

7 .รู้จักสร้างความสมดุลให้ตนเป็นที่รักใคร่
ผู้หญิงควรจะรู้จักสร้างความสมดุลให้กับมนุษยสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ จะไม่เที่ยวไปแสวงหาในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ไปนินทาว่าร้ายจนสร้างความร้าวฉาน ต้องรู้จักประมาณตน ซึ่งได้เรียกว่าเป็นการตัดเสื้อให้เหมาะกับตัวเอง ควรรู้จักคำว่า พอเพียง เพื่อจะมีความสุขตลอดไป

8.ปัญญา
ปัญญาเป็นกระบวนการคิดที่เปี่ยมด้วยเหตุและผล เป็นวิธีการคิดและแสดงออกรูปแบบหนึ่ง ผู้หญิงเจ้าปัญญา จะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรและไม่ควรทำอะไร ไม่ควรอวดดีอวดอ้างการศึกษาและความรู้ของตัวเอง ที่สำคัญคือต้องรู้จักนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หญิงเจ้าปัญญาจะรู้จักแยะแยะผู้ชาย หญิงเจ้าปัญญาจะไม่เสียเวลากับผู้ชายที่ไม่คู่ควรกับการคบหากัน

9.ผู้หญิงที่อ่อนโยนและดีงาม
อ่อนโยนและดีงามไม่ได้มีความหมายเช่นเดียวกับอ่อนแอ ยิ่งไม่ใช่ไปยอมเขาตลอด เพียงแต่ไม่มุ่งหวังที่จะเอาแต่ทำร้ายคนหรือไม่รู้จักปล่อยวาง เป็นคนกัดไม่ปล่อย หากเป็นคุณลักษณะของ“การรู้จักหยุดเมื่อต้องหยุด” คบหากันต้องมีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์ ไม่หลอกลวง ไม่พูดปด นั่นคือจงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยเมตตาจิตนั่นเอง

10. อย่าเที่ยวโปรยเสน่ห์
ผู้หญิงไม่ควรมีนิสัยพอรู้สึกว้าเหว่ก็ออกไปจับผู้ชายมาแก้เหงา ทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมทั้งต่อตัวคุณและผู้ชายคนนั้น กับผู้ชายที่ไม่ถูกโฉลกหรือไม่ชอบก็ควรปฏิเสธเขาอย่างหนักแน่น หากคุณส่งเมล์ให้ผู้ชายที่คุณชอบ แล้วไม่ได้การคำตอบกลับมาก็ไม่ควรส่งเมล์ไปให้เขาอีก หากผู้ชายคนนั้นอ้างว่างานยุ่งไม่มีเวลาที่จะตอบข้อความของคุณ นั่นย่อมแสดงว่าเขาไม่มีใจให้คุณแล้วล่ะ จงกล้าที่จะตัดใจจากเขาเสีย เลิกความพยายามเสีย แล้วไปหาคนที่รักคุณจะดีเสียยิ่งกว่า

Cr : Pimlada Nitti

15 คุณสมบัติของคนคิดไกล ไปให้ถึงเป้าหมาย

คนที่คิดไกล ไปให้ถึง เป้าหมาย จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์

จะต้องเป็นคน
1.อยากรู้อยากเห็น - สสร .แส่สารพัดเรื่อง ในทางที่ดี
2. ชอบพิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริง
3.ลองวิธีการใหม่ๆสิ่งใหม่เสมอ รักการเปลี่ยนแปลง + การพัฒนา
4.เชื่อในความสามารถตนเอง ว่า ทำได้ เป็นไปได้เสมอในทุกๆเรื่อง
5.มีสมาธิ -คิดทีละเรื่อง - เป็นระบบ - มีขั้นตอน - ไม่ฉาบฉวย
6.อดทนรอผลสำเร็จ
- อย่าใจร้อนผลีผลามมากจนเกินไป
- อย่าใจเย็นจนเสียการ
7.มีวินัย + ปฏิบัติต่อเนื่อง
8.ฝึกคิด ทบทวนไม่หยุดนิ่ง หมั่นลับสมองอยู่เสมอ
9.จดจำสิ่งรู้ + ประสบการณ์ นำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม เกิดประโยชน์
10.สร้าง vision มองหลากหลาย มุมกว้าง ลึกซึ้ง
11.หาเหตุผลอธิบาย- แทนการทะเลาะตัดสินด้วยกำลัง +- อิทธิพล
12.กล้าเผชิญปัญหา -ท้าทาย - รักความก้าวหน้า
13.ไม่ปิดกั้นความคิด- ไปประชุม + สัมมนา + แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างฉลาด
14.ไม่พอใจวิธีทำ +สิ่งเดิมๆที่เป็นอยู่
15.ยอมรับความคิดคนอื่น - ให้เกียรติทุกคน

....

คุณภาพ + ความพึงพอใจของลูกค้า + สังคม ต้องใช้ใจทำ
1.Quality คุณภาพ
2.Cost ค่าใช้จ่าย + ต้นทุน
3. Delivery การส่งมอบ + รวดเร็ว + สร้างสรรค์
4.Safety ความเสี่ยง + ความปลอดภัย
5.Morale ขวัญกำลังใจ
6.Educational / Environment
7.Image ภาพพจน์
....

เทคนิคแก้ท้องเสียวัวควาย

สัตว์)แก้ท้องเสียวัวควาย ฝักคูณแก่บด4-5ฝัก+ใบฝรั่งบด1กำมือ+ใบทับทิมบด1กำมือ+น้ำตาล1กก. ต้มน้ำพอท่วม30นาที ให้กินยาที่ได้1แก้วผสมน้ำ15ลิตร

.

การกินอาหารวันละมื้อ เพื่อสุขภาพ..

Being Hungry Makes You Healthy

หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เขียนโดย นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo)

ในบทนำมีการเกริ่นว่า ผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อ เมื่ออายุ 45 ปี เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ

ผ่านไปสิบปี เมื่อเขาไปตรวจร่างกาย พบว่า อายุหลอดเลือดของเขา เท่ากับคนอายุ 26 ปี

เขาเล่าว่า มนุษย์ในอดีต ไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์ โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้

ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง

เมื่อเราหิว ไม่มีกิน เราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอินออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย

ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

ปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ

และที่สำคัญ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี

ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่า เขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ

เพราะว่า เขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซม และปรับตัวให้เยาว์วัย ด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายดังนี้

(1) ปากทางเข้าลำไส้เล็ก จะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่

ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา

ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก

เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่า หิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา

เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว

โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร

ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา

เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็นหนุ่มสาว”

นั่นหมายความว่า ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้น จากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว

ถึงท้องจะร้อง ก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาว

ที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา

นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน

จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า

ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว”

ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน

ดังนั้น การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิว จึงหมายถึง การมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์

มาทำให้ท้องร้องจ๊อก ด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็ว

พร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่า ความแก่ชราและโรคมะเร็ง ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน

ดังนั้น เราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว และป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง

มาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่า

การนอนที่ดีคือ นอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง สี่ทุ่มถึงตีสอง

หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ

(1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง

และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ…….”

นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่า

เมื่อตอนคุณหมอนะงุโมมีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม

ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปีอายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี

จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่า แค่เริ่มต้นไม่กี่วัน ก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว

กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ คือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้

หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่อังคาร 20 ม.ค. 2558

เทคนิคการต่อยไข่ แบบไข่แดงไม่แตก

สัตว์)ควรวางไข่ไก่ด้านแหลมลง ด้านป้านขึ้น เพราะไข่แดงมีน้ำหนักเบาเมื่อลอยขึ้นจะไม่กระทบกับอากาศและเปลือกไข่ เวลาต่อยไข่ ไข่แดงจะไม่แตกง่าย

จาก sms farmerInfo

12ข้อความรู้ เรื่องโภชนาการบำบัดโรค

17:04 Poolchai ความรู้ใหม่..เข้าใจตรงกันโภชนาการบำบัดโรค

1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค

2.กินไข่ลวกวันละสองฟอง ใส่พริกไทยดำตำเองหนึ่งช้อนชาจะห่างไกลจากอัลไซเมอร์ไม่ต้องไปหาหมอ

3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ

4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า

5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง

6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด

7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์) ทำให้หน้าอกโตด้วย

8.กล้วยน้ำว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน

9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมะพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)

10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด

11.กินน้ำมันหมูดีที่สุดเพราะซ่อม
สร้างเนื้อเยื่อได้ ที่เหลือขับทิ้งได้
ไม่เหมือนน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี
มีสารเคมีตกค้างมากมายมีอันตราย ต่อสุขภาพระยะยาวแน่นอน

12.กินหอมแดง,หอมใหญ่,กระเทียม และตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก2-3ชิ้นเพื่อดับกลิ่นเพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือดดีกว่ากินยาลดไขมันซึ่งมีผลข้างเคียงที่อันตรายมาก

ส่งต่อเป็นวิทยาทาน...นะพี่น้อง
17:04 Poolchai ใครคือเพื่อน18คนที่คุณจะไม่สามารถลืมได้เลยในชีวิต? ส่งให้แค่18คนนั้น แล้วคอยดูว่าคุณเองได้กลับมาเท่าไหร่. เริ่มส่งได้! แค่18คนนะ! วันนี้เป็นวันเพื่อนนานาชาติ ส่งให้เพื่อนคนพิเศษของคุณ (รวมถึงส่งกลับมาให้ฉันด้วย ถ้าฉันพิเศษ) คุณเป็นคนที่คนรักมากๆเลยนะ ถ้าคุณได้รับกลับมาอย่างน้อย5คน ลองดูเลย

บทกวี การต่อสู้.. เพื่อกู้ไทย

พกหัวใจที่แกร่งกล้า พาขึ้นเขา
ยึดป่าดงพงลำเนา เพื่อทวงถาม
ความเป็นธรรมความเป็นไท ในเนื้อนาม
เมื่อสยามคลุ้งคาวเลือด อันเดือดแดง

เป็นเดิมพันอันลึกสุด มนุษย์น้อย
หมดทางหนีที่ทางถอย ข้ามเส้นแบ่ง
ไฟสงครามด้วยน้ำมือ กระพือแรง
กายยิ่งแกร่งใจยิ่งกล้า ท้าเดิมพัน!

จากวันนั้นจวบวันนี้ มิสิ้นสุด
อุดมการณ์ฤาชำรุด หลุดจากฝัน
แม้ก้าวข้ามความดิบด้าน จากวารวัน
ยังยึดมั่นในแนวทาง กลางนาคร

อำนาจใหม่อันละมุน ทุนตระหง่าน
เผด็จการทุนนิยม สังคมร้อน
ไม่เกิดมีประชาธิปไตย ในวงจร
ยังไม่ถอนการต่อสู้...เพื่อกู้ไทย!

สุคม ศรีนวล
๒๗ มกราคม ๒๕๕๘

อันตรายจากโจร ชิงไอแพดกลางเมือง

โจรแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนพญาไทกระชากกระเป๋าสะพายของนายแพทย์ยุทธนา แสงสุดาแห่งโรงพยาบาลราชวิถี เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา23น.เมื่อวันศุกร์ที่23มกราคม2557ที่ผ่านมา. หมอยุทธนา แสงสุดาเล่าเพื่อเป็นบทเรียนดังนี้.:: ::"มีเรื่องอยากเล่าเฉียดตาย ให้เพื่อนๆฟัง ว่าเมื่อวานนี้หลังออกจากงานเลี้ยง ได้นั่งรถไฟฟ้าจากสะพานควายมาลงที่สถานีพญาไท เวลา 5ทุ่ม เดินมาคนเดียว หน้าปทุมวัน รีสอรท ริมถนนพญาไท มีรถมอเตอร์ไซร์มาจอดข้างๆ แต่ไม่ทันเห็น ชาย 2 คนสูง 170 ซม. มาจากข้างหลัง แล้วล็อคตัว มีมีดมาด้วย ได้กระชากเอาไอแพดที่ใส่ในกระเป๋าคล้องไหล่อยู่. ด้วยความตกใจ ก้อขัดขืน เพื่อจะได้หลุดออก แล้วจะได้วิ่งหนี แต่ สองคนนี้แข็งแรงมาก ดิ้นไม่หลุดเลย เหลียวมองเห็นมีดด้วย มันเร็วมาก เยื้อยุดจนล้มกลิ้ง พร้อมมีเเผลที่นิ้วหัวแม่มือขวา ประมาณ 1.5 นิ้ว. เลือดออกเปื้อนเสื้อ เปื้อนหน้า หยดบนพื้นฟุตปาทเลย แล้วสองคน ก็ขึ้นมอเตอร์ไซร์หนีไป ผม(นายแพทย์)ต้องเดินกลับไปคอนโดไปตามแฟน. กลับไปเย็บแผลที่ โรงพยาบาลราชวิถี 6 เข็ม ไปแล้ว" ::"ไปแจ้งความที่ สน.พญาไท มีชุดสอบสวน มาช่วยดูกล้องวรจรปิด ตำรวจเขามาช่วยติดตามเต็มที่ โจรใส่หมวกกันน๊อค เห็นหน้าไม่ถนัด. ชุดดำ อยากเล่าให้เพื่อนๆระวังไว้ด้วยนะครับ ตอนนี้เกิดบ่อย มากๆๆ ไม่นึกว่าใจกลาง กทม. จะอันตรายขนาดนี้ เสียไอแพดไป ช่างมัน มันเก่าแล้ว. ดีที่ไม่เสียชีวิต. เฉียดตายมากๆๆ." หากคุณหมอเป็นอะไรไป. คนไข้แย่แน่ๆ. หวังว่าตำรวจจะหาวิธีการที่จะจับพวกคนหนักสังคมเหล่านี้ให้ได้. ช่วยเล่าต่อส่งต่อให้ญาติๆ เพื่อนๆ. คนรู้จักให้มากที่สุด เพื่อจะได้ระวังตัวกันมากขึ้นนะครับ. ขอขอบคุณ. คุณหมอยุทธนา แสงสุดาที่เล่าสู่กันฟัง.

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

โลกความจริง

โลกความจริง
คำตอบ มิได้เป็นอย่างข้อสอบปรนัย....หรืออย่างที่เราคิดคนเดียว........เสมอไป
คำตอบอาจมีหลากหลาย..เพียงแต่เราคิดไม่ออก
แต่คนอื่น เขาคิดได้
ดังนั้น..การรับฟังที่ดี
เรียนรู้กับคนที่เขาตอบมา
แขวนคำพิพากษาไว้ก่อน
ดีที่สุดครับ

“รวยกับซวยมันใกล้ ๆ กันนะ....เอาดีดีกว่า "

“รวยกับซวยมันใกล้ ๆ กันนะ....เอาดีดีกว่า "
" คนสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นโทษของความสุขทางวัตถุเท่าไร เราเห็นว่าความสุขทางวัตถุหรือกามสุขสูตรเป็นของดีเลิศประเสริฐ ดังนั้นยิ่งรวยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น ความคิดแบบนี้เป็นทั้งรากเหง้าและแรงจูงใจให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากขึ้น เพราะเมื่อทุกคนอยากจะรวย ถ้ารวยด้วยวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมก็ไม่ก่อโทษต่อส่วนรวม แต่ปัญหาก็คือ คนจำนวนไม่น้อยอยากรวยทางลัด รวยโดยไม่เหนื่อย หรือรวยด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมักจะลงเอยด้วยการทุจริต
อย่างไรก็ตามแม้รวยด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ใช่ส่วนรวม
อาตมานึกถึงคำพูดของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จังหวัดอยุธยา ท่านเป็นหลวงพ่อที่มีคนเคารพนับถือทั้งประเทศ แต่ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว วันหนึ่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาขอเช่าพระอุปคุตที่วัดเพื่อไปบูชา ท่านถามว่าบูชาไปทำไม เขาตอบว่า “บูชาแล้วจะได้รวยครับ” หลวงปู่จึงเปรยขึ้นมาว่า “รวยกับซวยมันใกล้ ๆ กันนะ” แล้วท่านก็อธิบายว่า “จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ จะรักษามันก็ทุกข์ หมดไปก็ทุกข์อีก กลัวคนจะจี้จะปล้น ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอาดีดีกว่า”
เล่าโดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

สุขที่ไม่ยั่งยืน

สุขที่ไม่ยั่งยืน
อาตมารู้จักคุณหญิงท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนสนใจธรรมะ เธอเล่าเวลาออกงานจะรู้สึกเครียดมากเลย เพราะเสื้อผ้าเยอะไปหมด เวลาเปิดตู้ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาชุดไหนออกงานดี สุดท้ายถึงกับตั้งปณิธานว่า เห็นตัวไหนใส่ตัวนั้นเลย เพื่อให้ชีวิตมันง่ายขึ้น นี้เป็นทุกข์ของคนมีเงิน
ความสุขจากสิ่งเสพนั้นเป็นของชั่วคราว ไม่ต่างจากคนที่แต่งงานใหม่ๆ จะมีความสุข แต่พออยู่ด้วยกันสัก ๓-๕ ปี ความสุขก็ลดลง ไม่ว่าจะแต่งงานกับนางสาวไทย หรือนางงามจักรวาล หรือแต่งงานกับดาราเกาหลี หล่อแบบ ณเดชน์ ก็มีสุขเฉพาะช่วงแรกๆ อาจจะ ๓ เดือน ๖ เดือน หรือหนึ่งปี หลังจากนั้นก็จะรู้สึกเบื่อ นี่เป็นธรรมชาติของกามสุข
กามสุขนั้นเจือไปด้วยโทษ มันให้ความสุขแก่เราก็จริงแต่ก็มีโทษ เช่น ต้องเหนื่อยในการรักษา มันให้ความสุขเพียงแค่ชั่วคราว และไม่มีจิรังยั่งยืน .... มียายคนหนึ่งอายุ ๘๐ ปีแล้ว วันหนึ่งพบว่าทับทิมที่ตัวเองแสนรักแสนหวงตกพื้น แล้วถูกคนใช้กวาดลงถังขยะไป เธอถึงกับป่วยหนัก แทนที่จะเสียทับทิมอย่างเดียว ก็เสียศูนย์ จนแทบจะเสียชีวิต นี่คือโทษของทรัพย์ที่สามารถทำให้เราทุกข์หรือตายเพราะมันได้
@ สุขจากความเรียบง่าย เกิดจาก ใจที่สงบ
ความสุขจากชีวิตที่เรียบง่ายไม่ได้เกิดจากความสบาย แต่เกิดจากใจที่สงบ ไม่ว้าวุ่น เมื่อมีทรัพย์สมบัติไม่มาก ชีวิตก็มีความวุ่นวายน้อยลง เมื่อชีวิตวุ่นวายน้อยลง ใจก็สงบเย็นได้ง่ายขึ้น
คนทั่วไปที่ใจว้าวุ่น ชีวิตวุ่นวาย พอได้พบความสงบเพราะไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้า ไม่มีอะไรดึงความสนใจหรือแย่งชิงเวลาไปจากตัวเอง มีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ เขาจะเริ่มมีความสงบในจิตใจ จิตเกิดสมาธิ นี้คือเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนติดใจชีวิตที่เรียบง่ายในป่า แต่ไม่จำเป็นที่เราต้องเข้าป่าจึงจะพบชีวิตที่เรียบง่าย อยู่ในเมืองเราก็สามารถมีชีวิตที่เรียบง่ายได้ คนที่เข้าถึงความสุขจากที่ชีวิตที่เรียบง่ายนี่แหละที่สามารถหันหลังให้กับสิ่งเร้าเย้ายวน สามารถเมินเฉยกับสินบนที่มีคนมาเสนอให้ เพราะเขาเห็นว่า มีเงินมากๆ ก็ไม่มีความสุข อีกทั้งตัวเขาเองก็มีความสุขอยู่แล้วจากชีวิตที่เรียบง่าย
หยิบมาจากปาฐกถาธรรมโดย พระอาจารย์ไพศาลวิสาโล http://www.visalo.org

ปฏิบัติตนหนีนรก

ปฏิบัติตนหนีนรก

ตอนที่ 1
ปฎิบัติตนหนีนรกนี้ ยึดสังโยชน์ 3 ประการเป็นพื้นฐาน สังโยชน์ 3 ประการเป็นพื้นฐาน สังโยชน์ 3 ประการ คือ
1.สังกายทิฎฐิ
2.วิจิกิจฉา
3.สีลัพพตปรามาส
สังโยชน์ 3 ประการนี้ สำหรับข้อที่ 1 คือ สักกายทิฎฐิ ตามแบบท่านอธิบายไว้ในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท เป็นคำอธิบายถึงอารมณ์พระอรหันต์ ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้ว ต้องใช้อารมณ์ตามลำดับคือ ใช้อารมณ์ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด
อารมณ์ขั้นต้นนั้น ให้ใช้อารมณ์แบบเบา ๆ คือ มีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลในโลกนี้จะทรงชีวิตได้ตลอดกาลไปคู่กับฟ้าดิน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด แต่ท่านให้ใช้อารมณ์ให้สั้นเข้า คือ มีความรู้สึกไว้เสมอว่า ความตายไม่ใช่จะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิตจะได้รีบรวบรวดปฏิบัติความดีไว้ การทำความดีหมายถึง พูดดี ทำดี คิดดี รวม 3 ดีนี้ถ้ามีเป็นปกติประจำวัน เมื่อยังไม่ตาย ยังอยู่เป็นคนก็เป็นคนดี ถ้าตายเมื่อไหร่ ตายแล้วท่านเรียกว่า เป็นผี ก็เป็น ผีดี คือทิ้งความดีไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังยังบูชา
อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด ร่างกายคนและสัตว์ มีสิ่งที่น่ารังเกียจฝังอยู่ก็คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่มีใครบอกว่าเป็นของสะอาด แต่ก็มีประจำร่างกายทุกคน วัตถุต่าง ๆ ที่เราเห็นว่าเป็นของดีมีค่า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าไม่ค่อยทำความสะอาด เช็ด ล้าง มันก็เกิดอาการสกปรก มีแต่ความมัวหมอง เป็นของที่ไม่พึงปรารถนา เมื่อมีความรู้สึกตามนี้ ก็พยายามทำอารมณ์ให้ทรงตัวจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด ไม่ยึดถือว่าร่างกายใดเป็นที่น่ารักน่าปรารถนา
อารมณ์ขั้นสูงสุด มีความรู้สึกตามนี้ คือมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการวางเฉยในร่างกายทุกประเภทเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
ที่กล่าวมานี้ เพื่อบอกให้รู้ถึงลักษณะของสักกายทิฎฐิเท่านั้น ความมุ่งหมายคือต้องการความรู้สึกเพียงแค่อารมณ์ขั้นต้นเท่านั้น เพราะมีอารมณ์เพียงขั้นต้นทุกคนก็พ้นอบายภูมิแล้ว คือถ้าจะมีการเกิดอีก อย่างช้าก็เป็นมนุษย์อีก 7 ชาติ อารมณ์เข้มแข็งอย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์อีก 3 ชาติ ถ้าอารมณ์เข้มแข็งมากเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว ต่างก็ไปนิพพานหมด จะมีการเกิดได้เพียงมนุษย์สลับกับเทวดา หรือพรหมเท่านั้น ไม่มีการลงอบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน 4 ภูมินี้ไม่ลงไปอีก แม้บาปเก่าจะสั่งสมไว้เท่าไรก็ตามทีบาปไม่มีโอกาสจะดึงลงอบายภูมิได้ เพราะบุญคือความดี มีกำลังเข้มแข็งกว่า แต่ต้องปฏ่ิบัติให้ครบถ้วนทั้ง 3 ข้อของสังโยชน์ ความจริงก็ไม่มีอะไรหนัก ถ้าตั้งใจทำจริงและคอยระวังไม่ได้พลั้งพลาด ใหม่ๆ อารมณ์เก่ายังเกาะใจ ก็อาจจะมีการพลั้งพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าระวังไว้เป็นปกติ ไม่เกิน 3 เดือน อารมณ์ก็ทรงตัว ต่อไปนี้ก็ยิ้มเยาะอบายภูมิได้เลย บาปหมดหวังวที่จะทวงหนี้ เอาไปชดใช้หนี้สินในอบายภูมิอีกต่อไป มีทางเดียวคือ เดินทางไปนิพพาน

ปฏิบัติสังโยชน์ 3
[/b]ประการ

สังโยชน์ 3 ประการนี้มีการปฏิบัติอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับอ่อน กับ ระดับเข้มข้น จะพูดถึงการปฏิบัติระดับอ่อนก่อน ระดับอ่อนนี้พ้นอำนาจบาปแล้วไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะไปนรก เป็นต้น ให้ปฏิบัติกันดังนี้
1.ตื่นขึ้นเช้ามืด มีความรู้สึกประจำอารมณ์ว่า เราอาจจะตายวันนี้ก็ได้ เราต้องรวบรัดปฏิบัติเฉพาะความดี ทำตนหนีความชั่ว คือ
2.พิจารณาความดีของ พระพุทธเจ้า พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยปัญญา พิจารณาดูว่าท่านดีพอที่เราจะยอมรับนับถือไหม ถ้ามีปัญญาพิจารณาแล้วว่าดีพอที่จะยอมรับนับถือได้ ก็ตัดสินใจยอมรับนับถือ ด้วยความจริงใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน สิ่งใดที่ท่านให้เราละ เราไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำให้ทำ เราทำตามด้วยความเต็มใจ
3.สังโยชน์ข้อที่ 3 พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นหลักปฏิบัติ

สรุปอารมณ์หนีนรก

สรุปแล้ว อารมณ์ หรือการปฏิบัติตนหนีนรก จนนรกตามไม่ทันต่อไปทุกชาตินั้น มีอารมณ์โดยย่อดังนี้
1.มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายแน่
2.ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
3.ฆราวาสมีศีล 5 ทรงอารมณ์เป็นปกติ
เพียงเท่านี้ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราผ่านได้ไม่ต้องไปอยู่หรือเกิดในเขตนี้อีกต่อไป ถ้าจะถามว่า บาปกรรมที่ทำแล้วไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องตอบว่ายังอยู่ครบ แต่เอื้อมมือมาฉุดกระชากลากลงไม่ถึง เพราะกำลังบุญ มีกำลังสูงกว่าบาป บาปหมดโอกาสที่จะลงโทษต่อไป สาธ�

" ชีวิตที่ดี คือ การรู้จักชื่นชมในความไม่มีเสียบ้าง "

อ่านพบบทความดีๆเรื่องหนึ่งในPANTIP.COM..เอามาแบ่งปันครับ
" ชีวิตที่ดี คือ การรู้จักชื่นชมในความไม่มีเสียบ้าง "
เช้ามืดนี้ ออกไปวิ่ง หลังจากว่างเว้นมาหลายวัน
อันเนื่องจากฝนตก แฉะชื้น และพื้นที่อ้างอิงหมดสภาพ
นึกถึงหลายแห่ง น้ำท่วม น้ำนอง ลำบาก ยากเย็น ไม่ปกติ
ความทุกข์ร่วมต่อหน้าธรรมชาติอย่างถ้วนหน้า แผ่กว้าง ทางไกล
ปอดและหัวใจ ยามปกติ เราไม่รู้ถึงความมีอยู่ของมัน
ต่อเมื่อใช้ความพยายามใดๆ จึงรู้ว่ามี
และการทำงานของทั้งสอง สัมพันธ์กัน
ความตั้งใจ อยู่ที่ตรงกลางระหว่างปอดกับหัวใจ
แต่เราทำได้แค่ควบคุมการหายใจได้เท่านั้น
เมื่อหัวใจทำงานมากขึ้น อวัยวะส่วนอื่นก็ถูกขับเคลื่อนตาม
ลำไส้ขยับ ตับร่วมปลดปล่อยพลัง ภายใต้สัญญาณส่งจากต่อมหมวกไต
ความเป็นวัตถุของร่างกาย ชัดเจนที่โครงกระดูก
อาการปวดเมื่อยต่างๆ สัมพันธ์กับการคั่งตรึงของการไหลเวียนลมปราณ
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการป่วย เป็นตัวบ่งชี้ท่านั่งยืนเดินที่ไม่สอดคล้องกับสมดุลของโครงกระดูก
ลมเมื่อเข้าสู่ปอด ก็กลายเป็นลมปราณ ไปขับเคลื่อน โลหิต กลายเป็นแรงดันเลือด
ไหลเวียนไปทั่วร่าง นำและพาความเป็นร่างกายทั้งหมดให้เคลื่อนไหวไปยังที่ต่างๆได้
น้ำท่วมดุจแรงดันเลือดที่ไหลไปตามร่างโลก
ที่เป็นเช่นนี้ ก็มาจากพายุมรสุมอันเป็นพลังลมไปขับเคลื่อนน้ำ
น้ำที่มากเกินไป ก็ทำให้ชุ่มนองแฉะ ชำระหรือทำลายพื้นผิว
ทำให้ไม่มีระบบอ้างอิงที่เป็นแผ่นดินให้ยืนเหยียบหรือทำกิจกรรม เช่นปกติ
การจะควบคุมน้ำได้ ก็จะต้องหันกลับมาที่ การควบคุมอากาศหรือลมให้ปกติ
ความผิดปกติของลม ก็มาจากวงจรย้อนกลับของการเผาผลาญพลังงานจากกิจกรรมทั้งผองที่มนุษย์สร้างขึ้น
ซึ่งมีเครื่องจักรรองรับ ซึ่งสะท้อนความพยายามเอาชนะและหนีห่างจากธรรมชาติมาแต่ต้น
ว่าถึงที่สุดแล้ว มนุษย์ยังต้องอยู่ใต้พลังที่ไม่อาจเอาชนะได้ ....ธรรมชาติ
เราเพลินกับ ความเป็นตัวเราในท่ามกลางเรากันเอง ต่อสู้กันเอง อย่างไม่เห็นอื่น
เราคิดว่า ถ้าขยัน มีพวกมาก ก็สามารถเอาชนะได้ แม้กฏกติกาก็สามารถเปลี่ยนได้
โดยเสียงส่วนใหญ่ที่เอามาสร้างความชอบธรรม ในขณะที่สามารถใช้เงินไปซื้อความ
ชอบธรรมนั้น ก็ยังเป็นไปได้ ถ้ามีมากพอ
แต่จังหวะเหมาะๆ โดยไม่คาดคิด ธรรมชาตินั่นแหละ จะทำให้มนุษย์ไม่มีทางออกใดๆ
และทำให้มนุษย์เพียงคิดได้บ้างว่า ทั้งหลายทั้งปวง ก็แค่การให้โอกาสที่จะมีชีวิตเท่านั้น
ชีวิตที่ดี จึงไม่ใช่ความหน้ามืด และจุ่มจมแต่ในมุมมองพวกเดียวกัน
ชีวิตที่ดี จึงไม่ใช่แค่การเก็บกัก เอาแต่ได้ โดยถือตนเองเป็นใหญ่
ชีวิตที่ดี คือ การรู้จักชื่นชมในความไม่มีเสียบ้าง
และการตระหนักว่า เจ้านั้น เล็กน้อยเพียงใดในท่ามกลาง สายลม สายน้ำ และเปลวแดด"
ผู้เขียน :dicky5

" ค่าปรับ ตาม พ.ร.บ.จราจร มาแล้วนะครับ ฝากแจ้งเตือนกันด้วย"

เพื่อนๆแจ้งเตือนมา.....
" ค่าปรับ ตาม พ.ร.บ.จราจร มาแล้วนะครับ ฝากแจ้งเตือนกันด้วย"
1.ไม่ติดแผ่นป้ยทะเบียน / วางไว้ที่กระจก = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.11,ม.60)
2.แผ่นป้ายทะเบียนตัดต่ออัดกรอบใหม่เป็นป้ายขาว = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
3.ติดป้ายเอียง มีวัสดุปิดทับ = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
4.แผ่นป้ายทะเบียนปลอม = ป.อาญา ฟ้องศาล
5.โหลดเตี้ย (วัดจากกึ่งกลางไฟหน้ากับระดับพื้นถนนต้องไม่ต่ำกว่า 40cm) = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
6.ยกสูง (วัดจากกึ่งกลางไฟหน้ากับระดับพื้นถนนต้องไม่สูงกว่า 135cm) = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
7.ล้อยางเกินออกมานอกบังโคนข้างละหลายนิ้ว = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
8.ใส่ล้อใหญ่จนแบะล้อเพื่อหลบซุ้ม = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
9.ตีโปร่งขยายซุ้มล้อติดสปอยเลอร์ต้องมีการยึดติดอย่างแน่นหนา = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
10.ฝาประโปรง หน้า-หลัง ดำ เกิน50%ของสีหลัก = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.13,ม.60)
11.เปลี่ยนท่อไอเสียใหญ่เสียงดัง = ปรับไม่เกิน 1,000 บาท (ม.5(2),ม.58)
12.ไฟหน้าหลายสี เช่น เขียว แดง ฟ้า เหลือง = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)
13.ไฟหยุดต้องสีแดง(ไฟเบรค)เท่านั้น = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)
14.ไฟเลี้ยวต้องเป้นสีเหลืองอำพัน = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)
15.ไฟส่องป้ายต้องเป็นสีขาวเห็นไม่ต่ำกว่า 20 เมตร = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)
16.ไฟสปอร์ตไลน์ และโคมไฟตัดหมอกแสงพุ่งไกล = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)
17.เปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ = ปรับไม่เกิน 500 บาท กฏกระทรวง ข้อนี้เจอบ่อยสุด
18.ติดไฟนีออนใต้ท้องรถ ติดไว้กับป้ายทะเบียน = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)
19.ดัดแปลงเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
20.เปลี่ยนดีสเบรคหลัง = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
21.ใส่หลังคาซันลูป = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
22.ถอดเบาะหลังออกแล้วติดโรลบาร์ = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
23.ดัดแปลงเครื่องยนต์ วัดควันดำ = ปรับไม่เกิน 1,000 บาท (พรบ.ขนส่ง)

สารคดีฅนของแผ่นดิน : อยากเรียนหมอฯ

สารคดีฅนของแผ่นดิน : อยากเรียนหมอฯ
สารคดีแนวคิดสร้างสรรค์ จัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ?พระเจ้าอยู่หัว
"การพบกันของ 84 เจ้าความรู้ กับ 84 เจ้าหนูช่างสงสัย"
จัดทำโดย ชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
https://www.youtube.com/watch?v=kJTvZIaCakg



(๒๔) "ไหมไทย ในแดนไกล" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร

(๒๔) "ไหมไทย ในแดนไกล" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร
สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระ?บรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร ตอนที่ ๒๔ "ไหมไทย ในแดนไกล"
ภายหลังจากการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประช?าชนครบทุกภาคทั่วประเทศแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนา?งเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเริ่มเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ?อย่างเป็นทางการเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี สมเด็จพระราชินีได้เสด็จอย่างใกล้ชิดทั้งใ?นฐานะพระราชินีและผู้แทนกุลสตรีไทยของประเ?ทศ ทุกครั้งที่เสด็จจะทรงเตรียมพระองค์โดยทรง?ศึกษาและคิดค้นชุดไทยแบบต่างๆขึ้นใหม่ โดยทรงนำผ้าไหมไทยมาตัดเย็บเป็นฉลองพระองค?์ เพื่อทรงใช้ในหลากหลายโอกาส โดยรู้จักกันโดยทั่วไปว่า ชุดไทยพระราชนิยม นับได้ว่าชุดไทยประจำชาติไทยได้เดินทางไปอ?วดความสวยงามถึงแดนไกลได้ก็เพราะพระมหากรุ?ณาธิคุณของสมเด็จพระราชินีที่ต้องการอนุรั?กษ์ความเป็นไทยให้คงอยู่นานเท่านาน
https://www.youtube.com/watch?v=iDCDlSzaAwU



วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ครู 4 ระดับ

The Medicre teacher tells
ครูระดับปานกลาง มักบอกเล่า

The Good teacher explains
ครูชั้นดีมักอธิบาย

The Superior teacher demonstrates
ครูชั้นยอดมักมีตัวอย่างสาธิต

The Great teacher inspires
ครูผู้ยิ่งใหญ่มักปลุกเร้า.

คุณสมบัติสำคัญของ ยอดคน มัตสึชิตะ

มัตสึชิตะ ยอดกะทิ....คุณสมบัติของเขาในการที่ทำให้เค้าเป็นยอดคนของญี่ปุ่น...
- ใฝ่รู้
- หมั่นพัฒนาตนเอง
- ก้าวสู่ระดับสูง
- ไม่ท้อกับปัญหา อุปสรรค
- กล้าเสี่ยง
- เอาจริงเอาจัง
- ยอมรับข้อบกพร่อง
- เปิดใจ จริงใจ
- รักชาติ

5ข้อคิด ประจำวันที่ 26มค2558

1."เรื่องแย่ๆ" หรือ "คนแย่ๆ" ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ... หากเรา "ไม่เปิดใจ" รับมันเข้ามา !!

2.กด Enter2015 แล้ว อย่าลืมกด Delete เรื่องแย่ๆของ 2014 ทิ้งไปบ้าง..

3.เหตุผลที่เราควรพูด "ความจริง" เพราะความจริงมันสั้น ง่าย และไม่ต้องกลัวว่าจะลืม..

4.เราในสายตาใครจะเป็นยังไง มันขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจของคนนั้น ถ้าเค้าอคติ มองเราในแง่ร้าย ถึงเราจะยิ้มให้จริงใจ เค้าก็คิดว่า เสแสร้ง เยาะเย้ย..

5.ระยะทางพิสูจน์ม้า วาจาพิสูจน์คน..

Cr. SaraUpdate

เคล็ดลับแห่งความสุข : เรื่องน่าอ่าน

ehealth
บทความให้แง่คิดเรื่อง...ถ่ายทอดวิชาเคล็ดลับแห่งความสุข

พ่อค้าคนหนึ่งส่งลูกชายของเขาไปเรียนรู้เคล็ดลับของความสุขจากชายผู้ชาญฉลาดที่สุดในโลก เด็กหนุ่มใช้เวลาเดินทางไปในทะเลทราย ถึง ๔๐วัน ในที่สุดเขาก็มาถึงปราสาทสวยงาม ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือภูผาปราสาทนี้ เป็นที่พำนักของผู้ชาญฉลาดที่เขาตามหา แต่แทนที่เขาจะได้พบชายมีลักษณะเหมือนนักบุญ

เมื่อเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องโถงกลางปราสาท เขากลับเห็นว่าในห้องนั้นมีกิจกรรมต่างๆมากมายพ่อค้ากำลังเดินเข้าออก คนจับกลุ่มคุยกันตรงมุมห้องด้านหนึ่งมีวงดนตรีเล็กๆกำลังบรรเลงเพลงอยู่และบนโต๊ะก็วางอาหารที่อร่อยที่สุดชายผู้ชาญฉลาดสนทนากับทุกคน เด็กหนุ่มต้องรอนานถึง ๒ ชั่วโมง กว่าจะได้พูดคุยกับเขา ชายผู้ชาญฉลาดตั้งใจฟังเด็กหนุ่มอธิบายว่าเขามาที่นี่ทำไม และบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลาอธิบายเคล็ดลับ ของการมีความสุขให้ฟังชายผู้ชาญฉลาดแนะให้เด็กหนุ่มเดินดูรอบๆปราสาท และกลับมาหาเขาใหม่ใน ๒ ชั่วโมงหลังจากนั้น

"ระหว่างนั้นฉันอยากให้เธอทำอะไรบางอย่าง" ชายผู้ชาญฉลาดบอกเด็กหนุ่ม แล้วยื่นช้อนซึ่งมีน้ำมันสองหยดให้"ระหว่างที่เดินดูรอบๆประสาท จงถือช้อนนี้ไปด้วย แต่ระวังอย่าให้น้ำมันหกเสียล่ะ”
เด็กหนุ่มขึ้นและลงบันไดที่มีมากมายในปราสาทแห่งนั้น ตาของเขาจับอยู่ที่ช้อนและหยดน้ำมันสองชั่วโมงผ่านไป เขาก็เดินกลับมายังห้องที่ชายผู้ชาญฉลาดรออยู่"เอาล่ะ" ชายผู้ชาญฉลาดเอ่ย

"เธอเห็นผ้าทอเปอร์เซียที่ประดับอยู่ในห้องอาหารของฉันไหม รวมทั้งสวนซึ่งคนทำสวนที่เก่งที่สุดต้องใช้เวลาถึง ๑๐ ปีกว่าจะจัดเสร็จ และเอกสารที่คัดด้วยลายมืออันสวยงามในห้องสมุด เธอเห็นของพวกนั้น ไหม" เด็กหนุ่มรู้สึกอาย เขาสารภาพว่าไม่ได้มองอะไรเลย สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียว คือ หยดน้ำมันที่ชายผู้ชาญฉลาดสั่งให้เขาดูแล

"ถ้าเช่นนั้น เธอจงกลับไปใหม่ และดูความน่ามหัศจรรย์ทั้งหลายในโลกของฉัน"ชายผู้ชาญฉลาดบอก "อย่าไว้ใจใครหากเธอยังไม่รู้จักบ้านของเขา"เด็กหนุ่มรู้สึกสบายขึ้น เขาหยิบช้อน และเริ่มออกสำรวจปราสาทอีกครั้ง เขามองเห็นผลงานศิลปะชั้นเลิศบนผนังและเพดาน เห็นสวนและเทือกเขาที่ล้อมรอบเขาอยู่ เห็นความงามของดอกไม้ และรสนิยมของเจ้าของปราสาท ซึ่งสะท้อนผ่านสรรพสิ่งที่ถูกเลือกสรรมา เมื่อเขากลับมาหาชายผู้ชาญฉลาด เด็กหนุ่มเล่าทุกสิ่งที่เขาเห็นอย่างละเอียดละออ

"แล้วหยดน้ำมันที่ฉันให้เธอดูแลล่ะ" ชายผู้ชาญฉลาดถามขึ้นเด็กหนุ่มมองช้อนที่เขาถืออยู่ และพบว่าหยดน้ำมันหายไปแล้ว"สิ่งที่ฉันอยากบอกเธอมีอย่างเดียว" ชายผู้ชาญฉลาดที่สุดในโลกกล่า "เคล็ดลับของความสุข คือ การมองเห็นความมหัศจรรย์ทั้งปวงในโลก ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ ลืมหยดน้ำมันในช้อน"

ปราชญ์คนนั้นสอนให้รู้ว่า ครั้งแรกเด็กหนุ่มคนนั้นตั้งเป้าไว้กับชีวิตมากเกินไป เขาตั้งใจรักษาน้ำมันในช้อนไม่ให้หก จึงเดินผ่านสิ่งดีๆในชีวิตไป ไม่ได้หยุดชื่นชมเปรียบเหมือนกับเราตั้งหน้าตั้งตาทำงานลูกเดียว จนรู้สึกตัวอีกทีก็แก่ไม่ทันได้เที่ยวได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าซะแล้ว รอบที่สอง เพื่อสอนว่าถ้ามัวแต่เที่ยว ไม่สนใจการงานหรือหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ ก็ไม่ดีเช่นกัน

# ความสุขในชีวิต แท้จริงควรมาจากการที่เรารู้จักรับผิดชอบในชีวิตหน้าที่การงาน และรู้จักผ่อนคลาย แสวงหาความสุข ท่องเที่ยวบ้าง ให้ทำสองอย่างควบคู่กันไปอย่างลงตัว แล้วจะค้นพบว่านั่นเป็นความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง#

Cr: ข้อมูลจาก http://www.takecarehealthy.com
-----------------------------------------------------------------------------

การบริหารจัดการ 6 องค์ประกอบที่น่าสนใจ

การบริหารจัดการ 6 องค์ประกอบที่น่าสนใจ

1.Sense of Direction การกำหนดทิศทาง
2.Strategy การวางยุทธศาสตร์
3.System การจัดเรื่องระบบงาน
4.Staff บุคลากร
5.Structure โครงสร้าง - เตรียมงาน
6.Self Assessment ประเมินตนเองเพื่อพัฒนา.. นำไปสู่
- การบูรณาการ Integration = ทักษะ, ความรู้, ปัญญา
- นวัตกรรม Innovation = รูปแบบอิสระ, ไม่จำกัดเวลา, สถานที่
- ความเป็นสากล International = เปิด vision ให้กว้าง- รู้จักระดับสากล

สูตรทำแคบหมู

สัตว์)สูตรทำแคบหมู หนังหมูสด1กก. ต้มในน้ำเดือด30นาที หั่นเป็นเส้น คลุกเกลือ3ช้อนโต๊ะ หมัก30นาที ตากแดด1แดด นำไปทอดโดยใส่ใบเตยลงไปด้วย

วินาทีก่อนตาย มนุษย์จะเห็นอะไร

วินาทีก่อนตาย
มนุษย์จะเห็นอะไร!!!

(คัดลอกจากหนังสือ อำนาจพลังจิต) วศิน อินทรวงค์

ในวินาทีที่บุคลหนึ่งบุคคลใดกำลังจะถึงแก่ความตาย ปกติแล้ว เมื่ออยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จิตของผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนการภาวนาเลยจะควบคุมได้ยากมาก

ก่อนที่จิตสุดท้ายจะดับไปสู่ความตาย จิตจะต้องเข้าภวังค์เสียก่อน ภวังค์จิตก่อนตายนี้ มีลักษณะพิเศษ คือประสาทสัมผัสจะดับ หูไม่ได้ยิน ตาไม่เห็น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส กายไม่รู้สัมผัส พูดง่ายๆ ว่าร่างกายไม่ทำงานแล้ว แต่จิตยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นเองจะมีนิมิตปรากฏขึ้นในภวังค์จิต ได้แก่

1.กรรมอารมณ์ปรากฏ
คือสิ่งที่ทำไว้ใน ชาตินี้ หรือชาติก่อน จะมาปรากฏในภวังค์จิต เป็นลักษณะเหตุการที่ดำเนินไปเรื่อยๆ คล้ายดูภาพยนต์ ไม่ได้เจาะจงจุดใดจุดหนึ่ง

2.กรรมนิมิตอารมณ์ปรากฏ
กรณีนี้จะไม่ปรากฏเป็นภาพในภวังค์จิต แต่จะปรากฏเป็นภาพ กุศล หรือ อกุศล ที่ตนเคยทำไว้ในชาตินี้แทน ซึ่งจะมีความชัดเจนมาก เช่นเห็นภาพตอนที่ตนเองไปทำบุญทำกุศล (สร้างกรรมดี) ไปช่วยสร้างวัดฯ หรือเห็นสัตว์ตัวที่เคยฆ่าไว้ ซึ่งจะทำให้ ไปเกิดทันที่ ด้วยผลกรรมที่รุนแรง

3.คตินิมิตอารมณ์ปรากฏ
คือเกิดนิมิตเป็นผล แห่งกรรม เช่นเห็นเป็นภพภูมิตามผลกรรมที่ตนกระทำไว้ เห็นเป็น นรก สวรรค์ เป็นวิมาน เป็นเทวดา นางฟ้า หรือเปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉาน เป็นผลแห่ง กรรม จากการกระทำนั้นๆ เป็นต้น!!!

ซึ่งนิมิตทั้ง 3 นี้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ก่อนเสียชีวิตจะเกิดนิมิตแบบไหนขึ้น บางคนอาจคิดว่า จะใช้ประโยชน์จากจิตสุดท้าย ซึ่งเคยได้ยินว่า ในชีวิตจะทำอะไรมาก็ตาม ถ้าจิตสุดท้ายคิดดี ก็เป็นอันว่า ได้ไปเสวยสุขอยู่แดนสวรรค์ ก็ต้องขอบอกว่า

"กฏแห่งกรรม"
มิได้มีความโง่เขล่าถึงเพียงนั้น ความคิดเช่นนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก เพราะจิตที่กำลังจะปฏิสนธิจิต เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เป็นจิตที่มีความรุนแรง ควบคุมได้ยากมาก สมัยพุทธกาล มีสตรีผู้หนึ่ง กระทำความดีมาตลอดชีวิต อยู่ในศีลธรรมตลอด หากแต่วาระสุดท้าย จิตพลิกไปคิดถึงความผิดอันน้อยนิดที่เคยทำไว้ ยังบันดาลให้นางต้องไปชดใช้กรรมอยู่ในนรกภูมิชั่วระยะเวลาหนึ่ง

พลังจิตนี้เอง จะสามารถช่วยผู้ที่ฝึกจิตในช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้ได้ เพราะผู้ฝึกจิตทุกคนจะมีความคุ้นเคยกับการเข้าภวังค์ ยิ่งมีพลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสามารถควบคุมการทำงานของจิตในภวังค์

ซึ่งภวังค์ในสมาธิก็มีความคล้ายคลึงกับภวังค์ในจิตสุดท้ายมาก นักพลังจิตที่มีความรู้จะใช้โอกาสทองนี้ ยกจิตขึ้นสู่ฌานสมาธิ ส่งจิตไปสู่พรหมโลก หรือหากแม้ผู้ฝึกจิตมีความเชียวชาญในการทำวิปัสสนาอยู่แล้ว ก็อาจใช้ช่วงเวลาดังกล่าว พิจารณาธาตุขันธ์ จนเห็นความเกิดดับ ตัดตรงเข้าสู่นิพพานก็ยังได้ เรียกว่า เป็นการใช้ภวังค์แห่งความตาย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นคือใช้เพื่อการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวินาทีสุดท้าย นั่นเอง

ฉะนั้น ผู้ที่หวังไปสู่ สุคติ ภูมิฯ ไปสู่ทีดีมีความสุขในภพภูมิ ต่อไปข้างหน้า ต้องหมั่น ทำแต่ความดี ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ทำบุญสร้างกุศลสร้างแต่กรรม ดี !!! และหมั่นฝึกฝนวิปัสสนาฯ ให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะ เราไม่รู้ว่า เมื่อไหร่??? ที่เราหมดอายุขัย หมดเวลาในโลกนี้ !!!

เร่งสะสมบุญ สะสม กรรมดี กันดีกว่า !!! อนุโมทนาสาธุ

เทคนิครักษาไก่คอดัง

สัตว์)รักษาไก่คอดัง บอระพ็ด2.5กก.+ฟ้าทะลายโจร0.5กก.+กากน้ำตาล1กก. หมักในน้ำพอท่วม นาน1เดือน ให้ไก่กินน้ำหมัก5ซีซี ไม่เกิน5วัน อาการจะดีขึ้น

จาก farmerInfo

สัมมนา 3 กพ 58 : ภูมิปัญญาอาเซียน

กำหนดการสัมมนาวิชาการ เรื่อง“ภูมิปัญญาอาเซียน”จัดโดย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วันอังคารที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เวลา ๐๙ : ๐๐ น. – ๑๖ : ๐๐ น.ณ ห้องประชุมเธียเตอร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เวลา๐๘ : ๒๐ น. – ๐๘ : ๕๐ น.  ลงทะเบียน พิธีกร อาจารย์ วิโรจน์  ทองปลิว เวลา๐๘  : ๕๐ น. – ๐๙ : ๐๐ น. พิธีเปิดการประชุมกล่าวรายงานโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.กฤษฎา  พิณศรี
 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  สาขาวิชาสังคมศึกษา- กล่าวเปิด
โดยรองศาสตราจารย์ดร.ไพฑูรย์  มีกุศล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ที่ปรึกษาประจำหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา
๐๙ : ๐๐ น. – ๑๐ : ๐๐ น. การบรรยายนำ การเข้าสู่ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดย  อาจารย์ สาวิตรี สุวรรณสถิตย์
๑๐  : ๐๐ น. – ๑๐  : ๑๕ น. พักรับประทานอาหารว่าง
๑๐  : ๑๕ น. – ๑๒ : ๑๕ น. การอภิปราย เรื่อง “แนวทางการศึกษารากเหง้าภูมิปัญญาอาเซียน โดย ๑)  นายทองแถม นาถจำนง
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐ
๒)  Ms.Keomanivong  Phimmasene
The National University of Laos
Deputy Director of International Relations Office
๓) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประทีป  แขรัมย์ 
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา
๔) ดำเนินรายการโดย อาจารย์ ดร.ดำเกิง   โถทอง ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา
๑๒ : ๑๕ น. – ๑๓ : ๐๐ น. พักรับประธานอาหารกลางวัน ๑๓ : ๐๐ น. – ๑๖ : ๐๐ น. การอภิปราย เรื่อง “๑ ประชาคม ๑ วิสัยทัศน์ ๑ อัตลักษณ์  ก้าวต่อไปอาเซียน...? ”
โดย ๑)  นายชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต รองเลขาธิการมูลนิธิสโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล
๒)  Mr.Phouvong  Phimmakon
The National University of Laos
Deputy Director of International Relations Office
๓) นายเด่นชัย  ไตรยถา ประธานสภาวัฒฯธรรมวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม
๔)  ดำเนินรายการโดยอาจารย์ นัฑพร  สุพิชญ
อาจารย์ภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
หมายเหตุ   *   ๑๕.๐๐ น. มีบริการอาหารว่างในห้องประชุม** กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

เทคนิคเปลี่ยนรสชาติเปรี้ยวอมหวานของสัปปะรด

พืช)เปลี่ยนรสชาติเปรี้ยวอมหวานของสับปะรดได้ภายในพริบตา แค่นำเนื้อสับปะรดไปล้างน้ำผสมเกลือสักครู่ คุณจะได้เนื้อสัมผัสที่หวานฉ่ำลิ้นทันที

จาก sms farmer Info

คุณสมบัติของผู้นำ 11 ประการ

คุณสมบัติผู้นำ 11ประการ
1.มีความจริงใจ
2.ไม่ศักดินา
3.ใช้ปิยวาจา
4.อย่าหลงอำนาจ
5.เป็นแบบอย่างที่ดี
6.มีความยุติธรรม
7.ให้ความเมตตา
8.กล้าตัดสินใจ
9.อาทรสังคม
10.บ่มเพาะคนดี
11.มีใจเปิดกว้าง

จากหลักคิดของ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
หนังสือ CEO โลกตะวันออก: ฉบับลีลาบริหารสามมิติ

น้ำเอ๋ยน้ำใจ : บัตรแสดงความเป็นคน?

บนขบวนรถไฟคันหนึ่งที่มุ่งสู่มณฑลซีอัน
พนักงานเก็บตั๋วสาวสวยนางหนึ่งกำลังยืนจ้องชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวปอนๆเหมือนกรรมกรชนชั้นแรงงาน
“ตรวจตั๋ว!” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เชิดสูง
เขารีบคลำหาตั๋วรถที่กระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง และเมื่อเจอตั๋วก็กำไว้ในมือ
เธอมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจและก็ยิ้มเยาะ
“นี่มันตั๋วเด็กนี่นา!”
ชายวัยกลางคนหน้าแดงด้วยความอาย พูดออกมาด้วยเสียงสลดว่า
“”ตั๋วเด็กกับตั๋วคนพิการไม่ใช่ราคาเดียวกันหรือครับ?
เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“คุณเป็นคนพิการเหรอ!”
น้ำเสียงยังคงเชิดสูง
“เอาบัตรประตัวคนพิการออกมาให้ฉันดูหน่อยสิ!”
ประโยคนี้ของเธอ ทำให้เขาร้อนรนขึ้นมาทันที
“เอ่อ ผม เอ่อ ไม่มีบัตรคนพิการครับ ตอนที่ซื้อตั๋ว คุณเจ้าหน้าที่บอกผมว่าเมื่อไม่มีบัตรคนพิการก็จะออกตั๋วเด็กให้ครับ!”
เธอหัวเราะหึหึในลำคอ
“เมื่อไม่มีบัตรประจำตัวผู้พิการ แล้วเอาอะไรมายืนยันว่าคุณเป็นคนพิการล่ะ?”
เขาไม่ได้ตอบว่าอะไร ได้แต่ถลกขากางเกงให้เธอเห็นถึงขาของเขาที่ขาดไปข้างหนึ่ง
“ฉันต้องการบัตรยืนยัน ว่าคุณเป็นคนพิการจริงๆ!”
เธอพูดออกมาทั้งๆที่ก็เห็นว่าเขาขาขาด
เขามองเธออย่างวิงวอนขอความเห็นใจ
“ทะเบียนบ้านผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ทางการก็เลยไม่ออกบัตรให้กับผม ผมก็ทำงานที่โรงงานเล็กๆแห่งหนึ่ง พอเกิดเรื่องเจ้านายก็หนีหายหน้าไปไม่ยอมรับผิดชอบ ผมไม่มีเงินไปรักษาที่โรงพยาบาลก็เลยไม่มีหลักฐานยืนยันครับ”
เมื่อเจ้าพนักงานรักษารถซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้ยินเข้าก็เข้ามาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายวัยกลางคนได้บอกแก่เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นว่า ตนเองคือคนพิการและได้ซื้อตั๋วเด็กที่มีราคาเดียวกันกับตั๋วคนพิการ
“บัตรประจำตัวผู้พิการของคุณล่ะ?”
“ผมไม่มีบัตรคนพิการ”
จากนั้นก็ถลกกางเกงให้เจ้าหน้าที่ดู
เจ้าหน้าที่รักษารถไม่แม้แต่จะชายตาแลดู กลับกระแทกเสียงใส่ว่า
“เราต้องการหลักฐานยืนยันเท่านั้น หากคุณมีบัตรคนพิการมายืนยันคุณก็ไม่ต้องตีตั๋วเพิ่ม หากไม่มีคุณก็ต้องทำตามกฎ!”
ชายวัยกลางคนลุกลี้ลุกลน ควานหาเงินในกระเป็นกางเกงและกระสอบสัมภาระ แต่เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อตั๋วเพิ่มได้ เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ชายด้วยเสียงสะอื้น
“ตั้งแต่ผมถูกเครื่องจักรตัดขา ผมก็ไม่ได้ทำงานอีกเลย ผมไม่มีเงิน แม้แต่เงินซื้อตั๋วกลับบ้านผมยังไม่มีเลย ส่วนตั๋วเด็กใบนี้เพื่อนๆก็รวมเงินกันซื้อให้ผม ขอความกรุณาถือว่าทำทานกับคนพิการเถอะครับ...”
“ไม่ได้หรอก กฎก็ต้องเป็นกฎ!”
เจ้าหน้าที่ชายยืนยันคำเดิม
พนักงานตรวจตั๋วรีบพูดขึ้นแทรกว่า
“ให้เขาไปนั่งที่ห้องสัมภาระไหมคะ ถือว่าทำทาน คิดเสียว่าเขาเป็นพนักงานบนรถคนหนึ่ง”
พนักงานรักษารถได้ฟังดังนั้น ก็พยักหน้าบอกว่าได้
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามกับชายพิการนิ่งทนดูอยู่เป็นเวลานานก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขายืนขึ้นและก็จ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่ชายด้วยสายตารังเกียจ
“คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า?” ชายชราถามออกไป
“มันเกี่ยวอะไรกับผมเป็นผู้ชายหรือไม่เป็นผู้ชาย!” เขาถามออกไปแบบไม่เข้าใจ
“ก็บอกผมมาสิ ว่าคุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า” ชายชราเริ่มเสียงดัง
“ผมก็เป็นผู้ชายนะสิถามได้” เขาตอบเสียงดังออกไปเหมือนกัน
“แล้วคุณเอาอะไรมายืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย? ผมของดูหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชายให้ทุกคนบนรถนี้ดูหน่อยได้ไหม”
เสียงหัวเราะของผู้โดยสารก็ดังขึ้นมา
เจ้าหน้าที่มองชายชราอย่างงงๆแล้วพูดว่า
“คุณก็รู้ ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ผมจะเป็นผู้ชายปลอมได้ยังไง?”
ชายชราส่ายหน้าไปมา
“ผมก็เหมือนพวกคุณทั้งสองเมื่อสักครูนี้ ผมต้องการบัตรยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย มีบัตรยืนยันถึงเป็นผู้ชายแท้ ไม่มีบัตรยืนยันคุณก็ไม่ใช่ผู้ชายจริง!”
เจ้าหน้าที่ชายได้แต่ยืนมองชายชรา ไม่รู้จะพูดอะไร
พนักงานสาวเห็นหัวหน้าเริ่มจนมุม จึงเข้ามาช่วยเบี่ยงประเด็น
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ลุงมีอะไรพูดกับฉันก็ได้”
ชายชราชี้หน้าหญิงสาวแล้วพูดว่า
“เธอนี่ไม่น่าจะใช่คนนะ”
เธอได้ฟังก็ปรี๊ดแตก พูดออกมาด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า
“หน๊อย! ตาแก่ พูดให้ดีๆนะ ฉันไม่ใช่คนแล้วฉันจะเป็นอะไรห๊า? ”
ชายชรามองเธอด้วยสายตาแน่นิ่ง
“เธอเป็นคนเหรอ? ถ้างั้นขอดูบัตรยืนยันหน่อยได้ไหม”
คนทั้งขบวนหัวเราะพร้อมกันขึ้นมาอีกครั้ง
มีเพียงคนเดียวที่ตอนนี้ไม่ได้หัวเราะไปกับเขาด้วย เขาคนนั้นก็คือชายขาพิการ เขาได้แต่นิ่งมองการสนทนาของชายชราและเจ้าหน้าที่ จู่ๆน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้สึกอดสูใจ หรือซาบซึ้ง หรือเคียดแค้นชิงชัง
……………………………
น้ำเอ๋ยน้ำใจ อลุ่มอะหล่วยกันได้ก็จงมอบให้กันไป
อย่าเอากฎหมายมาบดบังมโนธรรม หากเป็นญาติของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
หัวโขนที่คุณสวมใส่อยู่นี้ จะอยู่กับคุณได้นานสักแค่ไหน?
จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา เคารพเขาเขาย่อมเคารพตอบ

อย่าร้างกัน : เรื่องน่าอ่าน

เขาและเธอแต่งงานกันมา 10 ปีแล้ว
เขารู้ตัวว่ายิ่งมาก็ยิ่งหมดความสิเหน่หาในตัวภรรยา สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือเธอคือของตายและน่าเบื่อ
และยิ่งตอนนี้ที่บริษัทรับพนักงานสาวสวยคนหนึ่งเข้ามาทำงาน ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกบ้า เธอทำให้เขารู้สึกกลับไปเป็นชายหนุ่มอายุ 16 อีกครั้ง เมื่อเขาใคร่ครวญจนถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจขอหย่ากับภรรยา
เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นสามีบอก ถึงกับยืนตัวชาไปนานสองนาน สุดท้ายก็ตอบตกลงยินยอมที่จะหย่าให้กบสามี
บ่ายวันต่อมา เขาและเธอจึงพากันไปที่อำเภอเพื่อทำการหย่า
ขั้นตอนทุกอย่างผ่านไปด้วยดีไม่มีอะไรติดขัด
หลังจากหย่ากันเสร็จแล้ว เขาขับรถพาเธอกลับบ้าน หลังจากนี้ต่างคนต่างอยู่ เขารู้สึกโหวงๆในใจพิลึก จึงเอ่ยบอกกับภรรยาว่า
“นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ไปทานข้าวเย็นส่งท้ายด้วยกันสักมื้อนะ”
เธอมองเขาครู่หนึ่ง
“ก็ดีเหมือนกัน รู้สึกแถวนี้จะมีร้านอาหารเปิดใหม่ ชื่อร้านว่า“อย่าร้างกัน” เป็นร้านที่เปิดเพื่อคู่สามีภรรยาที่เพิ่งหย่ากันได้ทานอาหารด้วยกันเป็นมื้อสุดท้าย ถ้างั้น เราไปทานที่ร้านนี้ดีไหม?”
เขาพยักหน้ารับ
เมื่อถึงร้าน“อย่าร้างกัน” ต่างคนก็ต่างเดินก้มหน้าเข้าร้านไปอย่างเงียบๆ
ในร้านจัดแต่งเป็นห้องๆ ให้เลือกเพื่อเป็นการส่วนตัว เขาเลือกห้องที่อยู่มุมในสุดของร้าน
“สวัสดีค่ะ” พนักงานบริการเข้ามาทักทาย
“คุณทั้งสองต้องการรับอาหารและเครื่องดื่มอะไรดีคะ?”
เขามองผู้กำลังจะเป็นอดีตภรรยา
“คุณเลือกก็แล้วกัน” เขาบอกออกไป
เธอส่ายหน้าไปมา
“ฉันไม่ค่อยได้ออกมาทานข้าวนอกบ้าน คุณก็รู้ คุณเลือกเถอะค่ะ”
“ขออภัยค่ะ ร้าน “อย่าร้างกัน”ของเรามีเงื่อนไขอยู่ว่า ให้คุณผู้หญิงเป็นคนเลือกอาหารให้คุณผู้ชาย ซึ่งเป็นอาหารที่คุณผู้ชายชอบทานที่สุด และให้คุณผู้ชายเป็นคนเลือกอาหารให้คุณผู้หญิง ซึ่งเป็นอาหารที่คุณผู้หญิงชอบที่สุด เมนูนี้เรียกว่า “ความทรงจำครั้งสุดท้าย”ค่ะ”
“ก็ดีคะ!”
เธอทำการรวบผมและหยิบเมนู
“จารเม็ดนึ่งบ๊วย เห็ดหอมน้ำมันหอย และก็ยำเห็ดหูหนูดำค่ะ เอ่อ!รบกวนบอกพ่อครัวด้วยนะคะว่าไม่ใส่ต้นหอมเลย เพราะว่าสามี..เอ่อ...คุณผู้ชายท่านนี้เขาไม่ทานนะคะ”
“คุณผู้ชายล่ะคะ?” บริกรสาวหันไปทางเขา
เขานิ่งไปนาน แต่งงานกันมา 10 ปี เขาไม่รู้จริงๆ ว่าภรรยาของเขาชอบทานอะไร เขาเม้มปากกัดริมฝีปากของตัวเอง
“เอาแค่นี้แหละค่ะ เพราะว่าเราชอบทานเหมือนกัน” เธอรีบตอบแทนว่าที่อดีตสามี
บริกรสาวยิ้มให้ทั้งสองคนและกล่าวว่า
“บอกตามตรงนะคะ ไม่ว่าคู่ใดที่มาทานข้าวที่ร้านของเรา ส่วนมากจะทานไม่ลงกันทั้งนั้นแหละค่ะ เราก็เลยเรียกเมนูนี้ว่าความทรงจำครั้งสุดท้าย เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ทางเรามีเมนูเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นเมนูสำหรับคู่ที่เพิ่งหย่ากันมา เป็นเครื่องดื่มเย็นๆ นะค่ะ ส่วนมากทุกคู่จะไม่ปฏิเสธค่ะ”
เขาและเธอพยักหน้าพร้อมกัน
“ก็ดีเหมือนกัน ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ดีกว่านะคะ” เธอพูดขึ้น
ครู่เดียว บริกรสาวก็ยกเครื่องดื่มมาเสริฟ
แก้วหนึ่งเป็นน้ำแข็งใสสีฟ้าอ่อนๆ อีกแก้วหนึ่งเป็นน้ำสีแดงร้อนๆ มีไอระอุออกมา
“เมนูนี้เรียกว่า “ภูเขาไฟกับน้ำทะเล”ค่ะ เชิญทั้งสองท่านตามสบายนะคะ” พูดเสร็จเธอก็เดินออกจากห้องไป
ในห้องตอนนี้เงียบสงัด เขาและเธอนั่งมองหน้ากันไปมา ต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น บริกรสาวถือถาดที่มีดอกกุหลาบสีแดงสดหนึ่งดอกเดินเข้ามา
“คุณผู้ชายคะ คุณยังจำความรู้สึกแรกที่ให้ดอกไม้แก่คุณผู้หญิงได้ไหมคะ ตอนนี้คุณทั้ง 2 ไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว แต่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราเตรียมดอกไม้ให้คุณมอบแด่คุณผู้หญิงเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ”
เธอมองดอกกุหลาบดอกนั้น อยู่ๆ ภาพที่เขามอบดอกไม้ให้แก่เธอครั้งแรกก็ผุดขึ้น
ตอนนั้น เธอและเขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เรียกว่าเริ่มนับศูนย์ก็ว่าได้
ตอนกลางวันเธอและเขาทำงานที่ร้านขายเสื้อผ้า พอตกตอนค่ำ เธอออกไปตั้งแผงขายของที่ตลาดนัด ส่วนเขาก็รับจ้างล้างชาม สี่ห้าทุ่มถึงจะกลับห้องเช่าที่แคบแสนแคบด้วยกัน เธอผ่านทุกข์ผ่านสุขร่วมกับเขามาโดยไม่เคยปริปากบ่น
วันวาเลนไทน์ในปีแรกที่มาอยู่ที่นี่ด้วยกัน เขาซื้อดอกกุหลาบสีแดงมอบให้เธอหนึ่งดอก วันนั้นเธอจำได้ดีว่าเธอดีใจจนร้องไห้ออกมา
10 ปีแล้วสินะ 10 ปีที่อะไรๆ ก็กำลังจะดีขึ้นมา แต่สองเรากำลังจะแยกทาง เมื่อเธอนึกถึงตรงนี้ เธอก็ร้องไห้ออกมา จากนั้นก็โบกมือบอกบริกรสาวว่า
“ไมต้องหรอกค่ะ คุณเก็บกลับไปเถอะ”
เขาเองก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลังเมื่อ10ปีที่แล้ว นานเกือบ 7-8 ปีแล้วสินะที่เขาเองก็ไม่ได้ซื้อกุหลาบให้เธอ จากนั้นเขาก็โบกมือร้องห้าม
“เดี๋ยวครับ ผมขอซื้อกุหลาบดอกนี้ครับ”
บริกรสาวหยิบดอกกุหลาบขึ้นมา แล้วฉีกกลีบดอกกุหลาบออกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน จากนั้นก็ใส่ลงไปในแก้วเครื่องดื่มของเขาทั้งคู่ แล้วกลีบกุหลาบก็ค่อยๆละลาย
“นี่เป็นดอกกุหลาบที่เราทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อมอบให้แก่คุณทั้ง 2 ซึ่งเป็นเมนูที่ 3 เรียกว่า “ความทรงจำอันสวยงาม”ค่ะ มีอะไรเรียกใช้ดิฉันได้นะคะ” พูดเสร็จเธอก็โค้งคำนับแล้วเดินออกจากห้องไป
“คุณ..ผม..เอ่อ..” เขาได้แต่ตะกุกตะกัก แล้วก็เอื้อมมือไปจับมืออดีตภรรยาไว้
เธอรีบดึงมือกลับ แต่เขาก็ยิ่งกำไว้แน่นกว่าเก่า เธอจึงปล่อยเลยตามเลย สองคนได้แต่กุมมือและมองตากันไปมา ไม่รู้จะพูดอะไร
“พรึ๊บ!” จู่ๆไฟก็ดับลง จากนั้นก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น แล้วก็มีกลิ่นควันลอยเข้ามาในห้อง
“เกิดอะไรขึ้น?” ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน
“ไฟไหม้ค่ะ ทุกคนรีบเดินออกมาทางหนีไฟคะ เร็วๆ” เสียงของคนที่อยู่ข้างนอกตะโกนดังขึ้นมา
“คุณคะ” เธอรีบเดินไปสู่อ้อมกอดของเขา
“ฉันกลัวค่ะ”
“ไม่ต้องกลัว” เขากอดเธอไว้แน่นเช่นกัน
“ที่รัก คุณไม่ต้อกลัว คุณยังมีผมอยู่ทั้งคน ไป เรารีบออกไปจากห้องนี้เถอะ”
เขากอดเธอและเปิดประตูหมายจะพาวิ่งออกไปข้างนอก
เมื่อเปิดประตูออกไป แสงไฟสว่างจ้า ด้านนอกเงียบสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บริกรหญิงคนเดิมเดินมาหาเขาและเธอ
“ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณทั้ง 2 ตกใจ ไฟไม่ได้ไหมร้านหรอกค่ะ กลิ่นและควันที่คุณได้กลิ่นเมื่อครู่นี้ เป็นสิ่งที่ทางร้านของเราเตรียมไว้ นี่เป็นอาหารเมนูที่ 4 ค่ะ เรียกว่า “เสียงเรียกจากหัวใจ” ตอนนี้เชิญกลับห้องได้ค่ะ”
เขากุมมือของเธอเดินเข้าห้องไปอย่างว่าง่าย
“ที่รัก น้องผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้พูดถูก เมื่อสักครู่นี้ คุณและผมต่างก็เผยสิ่งที่อยู่ในหัวใจออกมา ที่จริง คุณและผมเราแยกจากกันไม่ได้หรอก เพราะคุณยังรักผม และผมก็ยังรักคุณอยู่ พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนกันใหม่นะ!”
เธอเม้มปากพูดเสียงออกมาจากไรฟัน
“คุณยินดีที่จะทำอย่างนั้นเหรอค่ะ?”
“ผมยินดีที่สุดเลย ผมเข้าใจหัวใจของผมเองแล้วว่าผมต้องการอะไร พรุ่งนี้เราจะไปจดทะเบียนสมรสกันใหม่นะ”
“น้องๆ เช็คบิล”เขาตะโกนเรียกบริกรสาวให้เข้ามาเก็บเงิน
บริกรสาวเดินเข้าห้องมา พร้อมกับยื่นโฟลเดอร์บิล 2 โฟลเดอร์ให้แก่เขาและเธอ
“นี่คือบิลของคุณทั้ง 2 ค่ะ และเป็นของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายของทางร้าน เรียกว่า “บัญชีคู่ชีวิต” ขอให้คุณทั้ง 2 เก็บไว้ให้ดีที่สุดนะคะ”
เมื่อเขาเปิดอ่าน เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
“คุณเป็นอะไรไปคะ?” เธอรีบถามขึ้น
เขายืนโฟลเดอร์บิลให้แก่ภรรยา
“ที่รัก ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษ”
เมื่อเธอเปิดดู ในโฟลเดอร์บิลมีบิลเขียนว่า
“หนึ่งครอบครัวที่อบอุ่น
สองมือที่ตรากตรำร่วมกันมา
สามทุ่มแล้วยังคอยให้คุณกลับบ้าน
สี่ฤดูหนาวร้อนห่วงใยสุขภาพคุณ
ห้าฮ่าเสียงหัวเราะเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกัน
หกวันทำงานก็เพื่อครอบครัว
เจ็ดโมงอาหารเสร็จพร้อมให้ลูกสามีทาน
แปดตลบคิดคำนึงปกป้องสามี
เก้าเท้าเข้าครัวปรุงอาหารที่คุณชอบ
สิบปีทำเพื่อคุณเธอสูญวัยเยาว์ นี่คือภรรยาของคุณ”
เมื่อเธออ่านเสร็จ เธอก็เอ่ยพูดกับสามีว่า
“คุณก็ลำบากและเหนื่อยมาเพื่อฉันเหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมา ฉันไม่ได้ใส่ใจดูแลคุณให้ดีพอ ”
จากนั้น เธอก็หยิบบิลของเธอขึ้นมาอ่านบ้าง
“หนึ่งภาระของผู้ชาย
สองบ่าแบกหน้าที่ไว้แสนหนักอึ้ง
สามทุ่มยังตรากตรำทำงานเหน็ดเหนื่อย
สิ่ทิศท่องไปเหมือนคนไร้บ้านพเนจร
ห้าฮ่าหัวเราะกลบเกลื่อนความเหนื่อยล้า
หกริ้วรอยที่อยู่บนใบหน้า
เจ็ดโมงจากบ้านค่ำมืดคืนรัง
แปดภัยใดๆมิให้กล้ำกลาย
ก้าวหน้าการงานก็เพื่อครอบครัว
สิบปีเพื่อคุณเพื่อลูกเพื่อครอบครัว นี่คือสามีของคุณ”
อ่านจบ ทั้งสองคนต่างก็โผเข้ากอดกัน
หลังจากชำระเงินเสร็จ เขาและเธอต่างก็ขอบคุณผู้จัดการและบริกรหญิงอย่างสุดหัวใจ จากนั้นก็ขอตัวลากลับ
ผู้จัดการและบริกรหญิงต่างก็หันมายิ้มให้กัน ผู้จัดการถอนหายใจและพูดขึ้นว่า
“ร้าน "อย่าร้างกัน" ของเรา ช่วยให้คู่ชีวิตอีกคู่หนึ่งไม่ต้อง “หย่าร้างกัน”ได้อีกคู่หนึ่งแล้ว”
............................
โพสต์ขึ้นในคืนที่ข้าพเจ้าทราบข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของพี่นี่นับถือท่านหนึ่ง
ชีวิตคนเราเป็นอนิจจัง มีโอกาสอยู่ร่วมกันได้ ร่วมกันรักษาและถนอมบุญสัมพันธ์นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

การเลือกซื้อ "อาหารกระป๋อง"

การเลือกซื้อ "อาหารกระป๋อง"
ปัจจุบันอาหารกระป๋องเป็นที่แพร่หลายในท้องตลาด และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป หลายครอบครัวให้ความนิยมในการบริโภค แต่คุณทราบหรือไม่ว่าอาหารที่คุณบริโภคอยู่นั้นมีความปลอดภัยแค่ไหน ฉะนั้นการเลือกซื้ออาหารกระป๋อง จึงมีความจำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเลือกซื้ออาหารอื่นๆ
รายละเอียด :>> http://bit.ly/1kslxto

เจาะใจ กับ โปรเจคพิเศษ แสงแรก

ทำอย่างไรเราถึงจะมีความสุข ? ทำไมมนุษย์ต้องมีความทุกข์? อะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต? และอีกหลากหลายคำถาม...
ที่เราเชื่อว่าคุณเองก็อาจกำลังค้นหา หรือต้องการคำตอบ...

เนื่องในโอกาสครบรอบ 24 ปีรายการเจาะใจ !!
เตรียมพบกับ โปรเจ็คท์พิเศษ “แสงแรก” ที่จะเติมสติและแสงสว่าง สู่กลางใจผู้ชมทั่วประเทศ จาก 5 พระภิกษุผู้เป็นดังต้นแบบ !!
พระธรรมมงคลญาณ(หลวงพ่อวิริยังค์) , พระอาจารย์ชยสาโร , พระไพศาล วิศาโล พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ และพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ

และหากคุณมี “คำถาม” ที่อยากฝากถามพระอาจารย์ทั้ง 5 ท่าน ก็สามารถฝากไว้บนหน้า FB หรือ Inbox FB ของรายการเจาะใจ
หรือทาง Intragram :Johjai1991 ได้นะครับ

เราเชื่อว่าบางครั้งคำถามเพียงคำถามเดียว ก็อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ตลอดไป..!!

อย่าพลาดชมรายการเจาะใจ ทุกวันพฤหัสบดี ตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้ เวลา 22.20 น. ทาง ททบ.5

‪#‎เจาะใจ‬ ‪#‎แสงแรก‬ ‪#‎หลวงพ่อวิริยังค์‬ ‪#‎พระอาจารย์ชยสาโร‬ ‪#‎พระไพศาล‬ ‪#‎พระอาจารย์นวลจันทร์‬ ‪#‎พระอาจารย์เอกชัย‬ ‪#‎แรงบันดาลใจ‬
(from ONE Browser)

ผู้สูงอายุ อยู่อย่างไรไกลโรค

ผู้สูงอายุ อยู่อย่างไรไกลโรค
สาเหตุการเสียชีวิตของผู้สูงอายุ พบตามลำดับ 7 โรคดังนี้ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคปอดอักเสบ โรคเบาหวาน โรคตับ และอัมพาต มักมาจากปัจจัยหลัก 4 ประการคือ ความเสื่อมของอวัยวะตามวัย พฤติกรรมและ/หรือวิถีชีวิตที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ร่างกาย และปัจจัยทางพันธุกรรม ทั้งนี้หลายโรคสามารถป้องกันได้
รายละเอียด :>> http://bit.ly/1f9Ov3A

บทความน่าอ่าน....ลักษณะคนส่วนใหญ่ในยุคนี้

บทความน่าอ่าน....ลักษณะคนส่วนใหญ่ในยุคนี้
คนยุคนี้และยุคอนาคตจะมีลักษณะคล้ายๆ กันคือชอบฝัน แต่ไม่กล้าลงมือทำ
ผมเห็นคนหนุ่ม-สาวทั้งที่กำลังศึกษา เรียนจบมหาวิทยาลัยหรือมีงานทำแล้ว เวลารวมกลุ่มกันชอบถกเถียงถึงปัญหาว่าจะทำอาชีพอะไรดี
ต่างคนต่างฝัน ต่างพูด เมื่อคนช่างฝันมารวมกันก็กลายเป็นชมรมคนช่างฝัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ไม่กล้าลงมือทำตามความฝันนั้นหรอก
ทำไมน่ะหรือ? เป็นเพราะขาดความเชื่อและไม่ศรัทธาตัวเองมากพอที่จะลงมือทำตามที่ฝันที่พูดเอาไว้ หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเอง ทำให้เชื่อตัวเองในทางลบ ทำให้ขาดกำลังใจ ขาดแรงบันดาลใจและขาดพลังที่จะลงมือทำ
คนที่มีความเชื่อและศรัทธาตัวเองมากพอ จะทำตามที่ฝัน ที่พูดเอาไว้ ความศรัทธาทำให้เกิดความเชื่อ ซึ่งสำคัญกับชีวิตของคุณมาก
เช่น....ถ้าเชื่อว่าตัวเองเป็นคนขยัน คุณก็จะขยัน
ถ้าเชื่อว่าตัวเองเป็นคนมีน้ำใจ คุณก็จะเป็นคนมีน้ำใจ
ถ้าเชื่อว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ดีได้ ก็จะกล้าเปลี่ยนทัศนคติเหล่านั้น
ความเชื่อทำให้คนกล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทำตามความเชื่อนั้นได้
และความเชื่อนี้ก็ต้องมาจากความศรัทธาตัวเอง ศรัทธาเป้าหมายชีวิต ศรัทธาความรักตัวเองและผู้อื่น ศรัทธาพลังความสามารถของตัวเอง
จงศรัทธาตัวเองให้มากเข้าไว้แล้วจะเชื่อตัวเองได้มากขึ้น คุณจะกล้าลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
ลักษณะด้อยของคนยุคนี้ส่วนใหญ่คือไม่เชื่อไม่ศรัทธาตัวเองมากพอ ทำให้ไม่ลงมือทำอะไรๆ ที่เหมาะสม แม้แลดูว่าคนมีการศึกษามากขึ้น มีคนจบปริญญาตรี โท เอก มากขึ้น
มีคนจำนวนมากที่หันไปเชื่อสิ่งที่อยู่นอกตัว เช่น เชื่อข่าวสาร ข่าวลือทางอินเตอร์เนต ซึ่งข้อมูลและข่าวสารที่ได้รับนั้นก็ไม่มีการตรวจสอบ เป็นข่าวลือ ทำให้เป็นข้อมูลขยะเสียส่วนมาก
และมีอีกจำนวนมากที่ไปเชื่อศรัทธาสิ่งนอกตัวอื่นๆ เช่น เชื่อการทำนายโชคชะตา ดูดวง ฤกษ์ยาม แนวคิดทางไสยศาสตร์มาก มีคนตั้งตัวเป็นผู้รู้แนวเหนือจริง เกินวิทยาศาสตร์ แต่ไปโยงไสยศาสตร์มากมายเกลื่อนสังคมไปหมด ทำให้นวัตกรรมในเชิงสร้างสรรค์ที่เป็นแบบวิทยาศาสตร์มีน้อยมาก กลับเพิ่มนวัตกรรมแนวไสยศาสตร์มากขึ้นๆ ถือเป็นการฉุดรั้งการพัฒนาตนเองและสังคม คุณคงนึกภาพรวมของคนในสังคมทุกวันนี้และอนาคตได้ โดยเฉพาะเมื่อเราต้องแข่งขันกับคนในภาคพื้นเอเชียหรือประชาคมอื่นในโลก...ว่าเราจะเป็นอย่างไร
เมื่อไรที่คุณลดการเชื่อศรัทธาสิ่งนอกตัวลง แล้วหันมาเชื่อ ศรัทธา ตัวตนแท้จริงของคุณมากขึ้น คุณจะกล้าหาญมากขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ตามฝันที่สร้างสรรค์แนววิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น นวัตกรรมก็จะเกิดขึ้นมากมาย สังคมก็จะเจริญ คุณก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น
ถึงตอนนี้แล้วใครเชื่ออะไรก็ช่างเขาเถิด ขอให้คุณ (ผู้อ่าน) เชื่อและศรัทธาตัวเองแบบสร้างสรรค์ให้ได้ก่อน แล้วช่วยจุดประกายความเชื่อความศรัทธาที่ดีให้คนข้างๆ เพียง 1-2 คนก็ดีแล้ว สังคมเราจะมีความหวังมากขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คอลัมภ์ โลกและชีวิต ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ

มาถอน 15 พิษร้ายในตัวเรา ที่คอยบั่นทอนความสุขให้หมดไป

มาถอน 15 พิษร้ายในตัวเรา ที่คอยบั่นทอนความสุขให้หมดไป เพื่อชีวิตใหม่ที่สดใส ร่าเริง และเป็นสุข........
1. ความอิจฉาริษยา
ความอิจฉาริษยาเกิดจากความรู้สึกขาดบางสิ่งบางอย่างในชีวิต และเป็นเรื่องปกติที่บางครั้ง เราอาจรู้สึกอิจฉาใครบางคนในสิ่งที่เขามีหรือเป็น แต่อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนั้นเพิ่มพูนขึ้น จนถึงจุดที่ทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
พึงระลึกไว้เสมอว่า คนที่มีความสุขคือคนที่ไม่คอยอิจฉาผู้อื่น แต่พลอยยินดีกับความสุข และความสำเร็จของเขา
2. ความโกรธแค้น
ความโกรธแค้นเป็นเหมือนไฟสุมทรวงที่คอยเผาไหม้จิตใจให้ร้อนรุ่ม ไร้ความสุข และหากมันฝังแน่นอยู่ในใจ ก็จะเปรียบดังสนิมที่กัดกร่อนความสุขในชีวิตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันตาย
ความสุขจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณรู้จักปล่อยวางและให้อภัยอย่างแท้จริง
3. ความเห็นแก่ตัว
เคยมีคนบอกว่า “คนที่มีความสุขมากที่สุดนั้น มักหยิบยื่นสิ่งดีๆให้ผู้อื่นมากกว่าตัวเอง” แต่คนเห็นแก่ตัว ไม่เคยแม้แต่จะหยิบยื่นอะไรให้ใคร จึงกลายเป็นคนโดดเดี่ยวและไร้ความสุข และถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยด่วน แล้วจะพบว่า มิตรภาพและความสุขกำลังรออยู่ข้างหน้า
4. ความไม่ซื่อสัตย์
คนไม่ซื่อสัตย์ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่น่าไว้วางใจ ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย กลายเป็นคนที่ไร้ญาติขาดมิตร ชีวิตจึงดูเปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง แล้วจะหาความสุขได้อย่างไร
ยังไม่สายเกินไปที่จะปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เพื่อเรียกศรัทธาและความสุขกลับคืนมา
5. มีอคติ
ในพุทธศาสนาสอนว่า อคติ คือ ความลำเอียง ได้แก่ ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะกลัว ลำเอียงเพราะไม่รู้ ซึ่งทั้ง 4 อย่างนี้เมื่อเกิดกับใคร ก็จะทำให้มองเห็นทุกอย่างผิดไปจากความเป็นจริง และทำให้เกิดทุกข์
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จงพยายามถอนพิษอคติเหล่านี้ออกไปจากใจให้ไวที่สุด แล้วความสุขก็จะวิ่งเข้ามาแทนที่
6. มัวพึ่งพาคนอื่น
ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอในทุกๆเรื่องของชีวิต เช่น ไม่กล้าเดินซื้อของตามลำพัง หรือดูหนังคนเดียวไม่ได้ ก็คงยากที่จะหาความสุข
เพราะบ่อยครั้งที่คนอื่นไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้ทุกเรื่อง หรืออาจทำให้คุณรู้สึกเป็นสุขได้เพียงชั่วครู่ แต่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนนั้น เกิดจากภายในจิตใจ ซึ่งคุณต้องลงมือทำเองเท่านั้น
7. มองโลกในแง่ร้าย
เชื่อหรือไม่ว่า คนที่มีทัศนคติไม่ดี ชอบมองโลกในแง่ร้าย มักจะเจอแต่สิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต ที่เป็นเช่นนี้เพราะคำพูดและความคิดมีพลัง เมื่อคุณพูดหรือคิดแต่ในแง่ลบ เท่ากับการแผ่พลังไม่ดีออกไปให้คนรอบข้าง เสมือนโรคระบาด ที่จะย้อนเข้าหาตัวเองในที่สุด
8. ความกลัว
มีคำกล่าวว่า “ความกลัวคือสิ่งที่ทำให้คนพ่ายแพ้ มากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้” ความกลัวอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่หากคุณสามารถก้าวข้ามมันไปได้ ก็จะพบความสุขอย่างแน่นอน
9. จมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต
แน่นอนว่า ทุกคนเคยทำผิดพลาดในชีวิตมาบ้าง แต่ขอให้เรียนรู้จากมัน เพื่อจะไม่ทำผิดซ้ำอีก เพราะไม่มีประโยชน์เลยที่จะจมปลักอยู่กับความผิดนั้นๆ เพราะคุณไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือ เริ่มต้นใหม่ ให้ดีกว่าเดิม แล้วความสุขจะเกิดขึ้นตามมา
10. คาดหวังผู้อื่น
หากอยากให้คนอื่นทำสิ่งต่างๆตามที่คุณคาดหวัง คุณเองอาจต้องผิดหวัง เพราะคนเรานั้นมีวิถีชีวิตและความคิดที่ต่างกัน ทางที่ดี คุณต้องไม่คาดหวังผู้อื่นมากเกินไป เมื่อปราศจากจากความคาดหวัง ความสุขก็จะเกิดได้ในทันที
11. ต้องเป๊ะทุกเรื่อง
เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกต้อง ครบถ้วน ทุกครั้งไป และถ้าคุณคิดว่าต้องทำทุกอย่างให้เป๊ะ ผิดพลาดไม่ได้ละก็ คุณก็จะไม่มีความสุขในชีวิตเลย จำไว้ว่า ความไม่สมบูรณ์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตมีรสชาติ และช่วยเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
12. ชอบจัดการชีวิตคนอื่น
หากคุณชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น คุณจะไม่เหลือเวลาใส่ใจเรื่องของตัวเอง การพยายามจัดการกับชีวิตของผู้อื่น อาจทำให้คุณรู้สึกดีในบางครั้ง แต่ที่สุดแล้ว คุณก็ไม่สามารถจัดการกับชีวิตเขาได้ตลอดไป ซึ่งก็จะทำให้คุณเป็นทุกข์ ดังนั้น ควรเอาเวลามาหาความสุขเล็กๆน้อยๆใส่ตัวเอง น่าจะดีกว่า
13. ไม่รู้จักความพอเพียง
หากคุณเป็นคนที่ติดความหรูหรา ฟู่ฟ่า แต่ว่ารายได้น้อย บอกได้เลยว่า คุณกำลังวางยาพิษตัวเองทีละน้อย เพราะความต้องการที่ฉาบฉวย จะนำไปสู่ความไม่รู้จักพอที่เพิ่มขึ้น
ลองหันมาใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ “ในหลวง” ทรงสอนไว้ นั่นคือการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่มากไม่น้อยเกินไป ก็จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขอย่างยั่งยืนถาวร
14. ใช้ยาหรือสิ่งเสพติด
บางคนเมื่อมีทุกข์ ก็หันไปใช้ยาหรือสารเสพติด เพื่อช่วยให้มีความสุขได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อมันหมดฤทธิ์ ก็จะกลับไปสู่สภาพจิตเดิมที่เป็นทุกข์ จึงต้องหวนกลับไปเสพใหม่ ผลลัพธ์คือ กลายเป็นคนติดยาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเมื่อตกอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้แล้ว คุณจะได้เจอแต่ความสุขจอมปลอมที่เป็นภาพหลอนเท่านั้น
15. โรควิตกกังวล ซึมเศร้า
คนที่เป็นโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้า ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการใช้ชีวิต ภาวะเจ็บป่วยทางกายหรือใจ ยากที่จะหาความสุขในชีวิต หากวิตกกังวลเป็นครั้งคราว การพูดคุยกับเพื่อนสนิทอาจช่วยบรรเทาได้ แต่คนที่มีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 169 มกราคม 2558 โดย ประกายรุ้ง

แบกความเครียดกลับมาบ้าน..

 หลายท่านคงเคยอ่าน นิทานเซนเรื่องนี้ แต่บางท่านอาจจะลืมไปแล้ว
เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด ก็ยังแบกความเครียดกลับมาบ้าน..
จึงนำมาโพสต์อีกครั้งหนึ่ง....
อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง และเนื่องจากทัศนคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวล จิตใจไม่เป็นสุข
วันหนึ่ง อาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมา จึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง จากนั้นจึงโปรยลงไปในแก้วน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่ม พลางกล่าวถามว่า
“รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?”
“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก
จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือ โปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า
“ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ”
ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
“ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
“ไม่มี” ศิษย์ตอบ
อาจารย์เซนได้ฟัง จึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยต่อไปว่า
“ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”

เมตตาภาวนา...


“ความรักและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งจำเป็น หาใช่สิ่งฟุ่มเฟือยไม่ เพราะหากปราศจากสิ่งนี้แล้ว มวลมนุษยชาติมิอาจดำรงชีวิตอยู่ได้”
“หากคุณต้องการทำให้คนอื่นมีความสุข ต้องเจริญเมตตาภาวนา หากคุณต้องการทำให้ตัวเองมีความสุข ก็ต้องเจริญเมตตาภาวนา”
คำกล่าว องค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 161 พฤษภาคม 2557 )

ประจำเดือนมีสีดำ !!

ประจำเดือนสีดำค่ะ แต่ของเราเกิดจากฮอร์โมนไม่ปกติ บางเดือนไม่มา
ทำให้มีประจำเดือนค้างอยู่ภายใน พอเดือนไหนประจำเดือนมา มันก็จะออกมาด้วยทั้งใหม่และเก่า (แต่ของเราไม่มีกลิ่นเหม็นนะคะ)
ลองอ่านบทความนี้ดูก็ได้ค่ะ
        เมื่อมีสีคล้ำไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ปกติผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนตอนอายุประมาณ 12-13 ปี
แต่ในปัจจุบันมีเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีประจำเดือนเร็วกว่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประจำเดือนมาเร็วกว่าปกติก็คือ โรคอ้วน
เลือดประจำเดือนไม่ใช่เลือดเสีย แต่เป็นเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุมดลูก
เมื่อไม่ได้รับการปฏิสนธิ มีลักษณะและคุณสมบัติไม่ต่างไปจากเลือดปกติในร่างกาย
ปกติแล้วถ้าร่างกายมีสุขภาพดี อารมณ์ผ่องใส เลือดประจำเดือนจะออกมาในปริมาณมากตามปกติ และมักไหลออกมาเร็วตามรอบระยะเวลาโดยไม่มีการติดค้าง เลือดที่ออกมาก็มักจะเป็นสีแดง ข้นเล็กน้อย ไม่จับตัวแข็งเป็นก้อน

ประจำเดือนไม่ได้มีสีแดงสดเสมอไป!!
บางคนมีประจำเดือนออกมาเป็นสีน้ำตาล หรือสีดำคล้ำ ก็เกิดเป็นกังวล กลัวว่าจะเป็นเลือดเสีย หรือมีปัญหาข้างในมดลูก
แท้จริงแล้วประจำเดือนสีน้ำตาล หรือสีดำคล้ำก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด
การที่เลือดประจำเดือนเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้น เพราะไปติดค้างอยู่ในช่องคลอดเป็นเวลานาน
ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นตอนประจำเดือนเริ่มมาใหม่ ๆ ในวันแรก หรือช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะหมด
เลือดประจำเดือนที่ออกมามักจะมีน้อย และค่อย ๆ ไหลซึมออกมาช้า ๆ ทำให้เกิดการติดค้างอยู่ในช่องคลอดเป็นเวลานาน

เลือดสีคล้ำก็คือเลือดที่ออกมานานแล้ว และเกิดปฏิกิริยาแข็งตัวขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นสีดังกล่าว

ลองเปรียบเทียบกับตอนมีดบาด จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น หากลองสังเกตดูจะเห็นได้ว่า ตอนที่มีดบาดใหม่ ๆ
เลือดจะมีสีแดงสด ต่อมาก็จะค่อย ๆ แข็งตัว แล้วสีก็จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้น

ผู้หญิงหลายคนไม่เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสีของประจำเดือน คิดว่าประจำเดือนสีดำคือเลือดเสีย
บางรายถึงกับต้องไปหาสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย เพียงเพราะเป็นกังวลกับสีของประจำเดือนที่เปลี่ยนไปย้ำกันอีกสักครั้งว่า
ประจำเดือนสีน้ำตาลหรือสีดำคล้ำ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ คนเราไม่ได้ขับของเสียออกมาทางประจำเดือน
เพราะมดลูกไม่ได้มีหน้าที่ในการขับถ่ายของเสีย ไม่เหมือนไตกับตับที่จะขับของเสียออกมาทางปัสสาวะกับอุจจาระ

แต่ด้วยความที่ช่องคลอดอยู่ตรงกลางระหว่างท่อปัสสาวะกับทวารหนัก พอมีประจำเดือนออกมา
หลายคนก็เข้าใจว่าเป็นการขับถ่ายของเสียออกมาเช่นกัน

รู้อย่างนี้แล้ว คราวหน้าหากพบว่ามีประจำเดือนสีน้ำตาลหรือสีดำคล้ำมากกว่าปกติก็ไม่ต้องตกใจไป
เพราะสีประจำเดือนที่เปลี่ยนไปไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและก็ไม่ได้เป็นโรคภัยใด ๆ ทั้งสิ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

*** ถ้ามีกลิ่นผิดปกติ เราว่าควรไปพบสูติแพทย์ดีกว่านะคะ หมอใจดีเยอะค่ะ
ถ้าอยู่ กทม. แนะนำคลีนิกพิเศษ ตอนเย็นที่ศิริราช อาจารย์หมอพิชัย ใจดีและอธิบายดีมาก
ตอนแรกเราก็กลัวค่ะ แต่อาจารย์ชวนคุยทำให้เราคลายกังวลไปได้เยอะเลยค่ะ
เดี๋ยวนี้สูติ คนไปตรวจเยอะมากนะคะ ตั้งแต่วัยรุ่น-ผู้ใหญ่เลย คนใจใส่สุขภาพมากขึ้น
เท่าที่เราถามๆคนที่ไปตรวจพร้อมเรา ส่วนใหญ่ก็มาเรื่องประจำเดือนผิดปกติค่ะ
(from ONE Browser)