...+

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ปฏิบัติตนหนีนรก

ปฏิบัติตนหนีนรก

ตอนที่ 1
ปฎิบัติตนหนีนรกนี้ ยึดสังโยชน์ 3 ประการเป็นพื้นฐาน สังโยชน์ 3 ประการเป็นพื้นฐาน สังโยชน์ 3 ประการ คือ
1.สังกายทิฎฐิ
2.วิจิกิจฉา
3.สีลัพพตปรามาส
สังโยชน์ 3 ประการนี้ สำหรับข้อที่ 1 คือ สักกายทิฎฐิ ตามแบบท่านอธิบายไว้ในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท เป็นคำอธิบายถึงอารมณ์พระอรหันต์ ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้ว ต้องใช้อารมณ์ตามลำดับคือ ใช้อารมณ์ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด
อารมณ์ขั้นต้นนั้น ให้ใช้อารมณ์แบบเบา ๆ คือ มีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลในโลกนี้จะทรงชีวิตได้ตลอดกาลไปคู่กับฟ้าดิน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด แต่ท่านให้ใช้อารมณ์ให้สั้นเข้า คือ มีความรู้สึกไว้เสมอว่า ความตายไม่ใช่จะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิตจะได้รีบรวบรวดปฏิบัติความดีไว้ การทำความดีหมายถึง พูดดี ทำดี คิดดี รวม 3 ดีนี้ถ้ามีเป็นปกติประจำวัน เมื่อยังไม่ตาย ยังอยู่เป็นคนก็เป็นคนดี ถ้าตายเมื่อไหร่ ตายแล้วท่านเรียกว่า เป็นผี ก็เป็น ผีดี คือทิ้งความดีไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังยังบูชา
อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด ร่างกายคนและสัตว์ มีสิ่งที่น่ารังเกียจฝังอยู่ก็คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่มีใครบอกว่าเป็นของสะอาด แต่ก็มีประจำร่างกายทุกคน วัตถุต่าง ๆ ที่เราเห็นว่าเป็นของดีมีค่า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าไม่ค่อยทำความสะอาด เช็ด ล้าง มันก็เกิดอาการสกปรก มีแต่ความมัวหมอง เป็นของที่ไม่พึงปรารถนา เมื่อมีความรู้สึกตามนี้ ก็พยายามทำอารมณ์ให้ทรงตัวจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด ไม่ยึดถือว่าร่างกายใดเป็นที่น่ารักน่าปรารถนา
อารมณ์ขั้นสูงสุด มีความรู้สึกตามนี้ คือมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการวางเฉยในร่างกายทุกประเภทเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
ที่กล่าวมานี้ เพื่อบอกให้รู้ถึงลักษณะของสักกายทิฎฐิเท่านั้น ความมุ่งหมายคือต้องการความรู้สึกเพียงแค่อารมณ์ขั้นต้นเท่านั้น เพราะมีอารมณ์เพียงขั้นต้นทุกคนก็พ้นอบายภูมิแล้ว คือถ้าจะมีการเกิดอีก อย่างช้าก็เป็นมนุษย์อีก 7 ชาติ อารมณ์เข้มแข็งอย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์อีก 3 ชาติ ถ้าอารมณ์เข้มแข็งมากเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว ต่างก็ไปนิพพานหมด จะมีการเกิดได้เพียงมนุษย์สลับกับเทวดา หรือพรหมเท่านั้น ไม่มีการลงอบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน 4 ภูมินี้ไม่ลงไปอีก แม้บาปเก่าจะสั่งสมไว้เท่าไรก็ตามทีบาปไม่มีโอกาสจะดึงลงอบายภูมิได้ เพราะบุญคือความดี มีกำลังเข้มแข็งกว่า แต่ต้องปฏ่ิบัติให้ครบถ้วนทั้ง 3 ข้อของสังโยชน์ ความจริงก็ไม่มีอะไรหนัก ถ้าตั้งใจทำจริงและคอยระวังไม่ได้พลั้งพลาด ใหม่ๆ อารมณ์เก่ายังเกาะใจ ก็อาจจะมีการพลั้งพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าระวังไว้เป็นปกติ ไม่เกิน 3 เดือน อารมณ์ก็ทรงตัว ต่อไปนี้ก็ยิ้มเยาะอบายภูมิได้เลย บาปหมดหวังวที่จะทวงหนี้ เอาไปชดใช้หนี้สินในอบายภูมิอีกต่อไป มีทางเดียวคือ เดินทางไปนิพพาน

ปฏิบัติสังโยชน์ 3
[/b]ประการ

สังโยชน์ 3 ประการนี้มีการปฏิบัติอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับอ่อน กับ ระดับเข้มข้น จะพูดถึงการปฏิบัติระดับอ่อนก่อน ระดับอ่อนนี้พ้นอำนาจบาปแล้วไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะไปนรก เป็นต้น ให้ปฏิบัติกันดังนี้
1.ตื่นขึ้นเช้ามืด มีความรู้สึกประจำอารมณ์ว่า เราอาจจะตายวันนี้ก็ได้ เราต้องรวบรัดปฏิบัติเฉพาะความดี ทำตนหนีความชั่ว คือ
2.พิจารณาความดีของ พระพุทธเจ้า พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยปัญญา พิจารณาดูว่าท่านดีพอที่เราจะยอมรับนับถือไหม ถ้ามีปัญญาพิจารณาแล้วว่าดีพอที่จะยอมรับนับถือได้ ก็ตัดสินใจยอมรับนับถือ ด้วยความจริงใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน สิ่งใดที่ท่านให้เราละ เราไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำให้ทำ เราทำตามด้วยความเต็มใจ
3.สังโยชน์ข้อที่ 3 พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นหลักปฏิบัติ

สรุปอารมณ์หนีนรก

สรุปแล้ว อารมณ์ หรือการปฏิบัติตนหนีนรก จนนรกตามไม่ทันต่อไปทุกชาตินั้น มีอารมณ์โดยย่อดังนี้
1.มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายแน่
2.ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
3.ฆราวาสมีศีล 5 ทรงอารมณ์เป็นปกติ
เพียงเท่านี้ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราผ่านได้ไม่ต้องไปอยู่หรือเกิดในเขตนี้อีกต่อไป ถ้าจะถามว่า บาปกรรมที่ทำแล้วไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องตอบว่ายังอยู่ครบ แต่เอื้อมมือมาฉุดกระชากลากลงไม่ถึง เพราะกำลังบุญ มีกำลังสูงกว่าบาป บาปหมดโอกาสที่จะลงโทษต่อไป สาธ�

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น