...+

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Why do we love the king? ทำไมพวกเราถึงรักในหลวง


....แม้จะต่างกันในบางมุมของความรัก
แต่สิ่งที่เหมือนคือ เรารู้สึกรัก...
หากคุณรู้สึกรักแล้ว.....
คุณอาจจะมีคำถามต่อไปว่า .....

“รักแล้วต้องทำยังไง”...

รายการในหลวงในดวงใจ ภาค 2 ภาษา  (อังกฤษ-ไทย) ในตอน
Why do we love the king?
 ทำไมพวกเราถึงรักในหลวง

เพลิน เพลินกับการบอกเล่าด้วยความสุข สนุกสนาน สบายๆ แถมความรู้ คำศัพท์ใหม่ๆอีกด้วย
หนึ่งในความตั้งใจที่จะบอกเล่าให้ชาวต่างประเทศได้รับรู้....

อีกหนึ่งความตั้งใจจาก "กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ"



วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

VDO พาเี่ที่ยวบึงพลาญชัย ร้อยเอ็ด แบบขำขำ น่ารักๆ 24 ธ.ค.2555

        รายการพิเศษ จากกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ แนะนำแหล่งท่องเที่ยว อย่างบึงพลาญชัย โดย คุณธิดา วงศ์สมุทร เมื่อ 24 ธันวาคม 2555



     นำมาฝากให้ชมกัน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ครับ

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เปิดปูมวิถีการตักบาตร ทำอย่างไรได้บุญ…เต็มร้อย




การตักบาตร คือ การถวายอาหารแด่พระภิกษุสามเณร รูปเดียวหรือหลายรูป จะปฏิบัติเป็นประจำหรือเป็นครั้งคราวก็ได้

วัตถุประสงค์ของการตักบาตร นอกจากจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการให้ทาน เพื่อบูชาคุณแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เฉพาะดังนี้

1. ธำรงส่งเสริมและสืบทอดพระพุทธศาสนา
2. ส่งเสริมและบำรุงพระภิกษุสามเณร ผู้ทรงศีล ทรงธรรม
3. ส่งเสริมคุณความดีของผู้ปฏิบัติ ทั้งผู้ตักบาตรและพระภิกษุสามเณรผู้รับบิณฑบาตร

การตักบาตรจึงเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติ เพราะเป็นการให้กำลังแก่พระภิกษุสามเณร ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฎิบัติธรรมตามพระธรรมวินัย และสั่งสอนประชาชน เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไป ทั้งนี้จะเป็นผลดีแก่ผู้ปฏิบัติด้วย เพราะทำให้เป็นผู้มีใจบุญกุศลและเป็นการส่งเสริมผุ้ทรงคุณธรรม

ประวัติการทำบุญตักบาตร
การทำบุญตักบาตรนี้ มีมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวชใหม่ๆ ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงประทับที่สวนมะม่วง พระองค์เสด็จบิณฑบาตผ่านกรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ชาวเมืองเห็นพระมาบิณฑบาต ก็ชวนกันนำอาหารมาตักบาตรเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมา การตักบาตรจึงถือเป็นประเพณีมาจนบัดนี้ และเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ควงไม้เกด มีพ่อค้า 2 คน นำข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง ซึ่งเป็นเสบียงสำหรับเดินทางเข้าไปถวาย พระพุทธองค์ทรงรับไว้ด้วยบาตร นี่ก็เป็นที่มาของการตักบาตรทางพระพุทธศาสนาด้วยประการหนึ่ง

บาตรเป็นภาชนะจำเป็นของพระภิกษุจะขาดเสียมิได้ นับเข้าในจำนวนบริขารอย่างหนึ่งในบริขาร 8 ตามปกติพระจะไปอยู่ที่ใด ต้องมีบาตรประจำตัวไปด้วย และการออกบิณฑบาตก็ออกในเวลาเช้า ตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าองค์ ทรงบำเพ็ญเป็นพุทธกิจประจำวัน โดยปกติ พระภิกษุสามเณร จะเดินเรียงลำดับอาวุโสไปบิณฑบาตตามละแวกบ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านที่ชาวบ้านกำลังรออยู่ ก็จะยืนเรียงเป็นแถว แต่ในกรุงเทพฯ หรือในบางจังหวัด พระภิกษุสามเณรมักไปตามลำพัง ไม่ได้เดินเรียงแถว ทั้งนี้เพราะพระภิกษุสามเณรในกรุงเทพฯ มีเป็นจำนวนมาก จึงไม่สะดวกที่จะเดินเรียงแถวกันไป และผู้ที่จะนำอาหารมาตักบาตรได้ไม่ครบทุกรูป

เมื่อพระภิกษุสามเณร ต้องออกบิณฑบาตตอนเช้าทุกวัน ชาวบ้านก็ตักบาตรทุกวัน แต่บางคนตักบาตรเฉพาะในรอบวันเกิดประจำปี และมักจะตักบาตรพระจำนวนเท่าอายุ หรือเกินกว่าอายุ ถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนา ก็มักจะพากันไปทำบุญตักบาตรที่วัด แต่บางคราวเช่นในเทศกาลปีใหม่ และตรุษสงกรานต์ จะมีการชุมนุมตามที่ที่กำหนดไว้ เช่น สนามหลวง พุทธมณฑล ในโรงเรียน ในสถาบัน หรือ ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง แล้วแต่จะนัดหมายกัน นอกจากนี้ยังมีการตักบาตรที่มีชื่อเฉพาะอีก เช่น ตักบาตรเทโว ตักบาตรข้าวสาร ตักบาตรดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น

วิธีปฏิบัติในการตักบาตร
โดยปกติพระภิกษุสามเณร จะเดินเรียงลำดับอาวุโส ไปบิณฑบาตตามละแวกบ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านที่ชาวบ้านกำลังรออยู่ ก็จะยืนเรียงเป็นแถว แต่ในกรุงเทพฯ หรือในบางจังหวัด พระภิกษุสามเณรมักไปตามลำพัง ไม่ได้เดินเรียงแถว ทั้งนี้เพราะพระภิกษุสามเณรในกรุงเทพฯ มีเป็นจำนวนมาก จึงไม่สะดวกที่จะเดินเรียงแถวกันไป และผู้ที่จะนำอาหารมาตักบาตรได้ไม่ครบทุกรูป

การตักบาตรเป็นสังฆทาน คือการถวายโดยไม่เจาะจง จึงควรตั้งใจว่าจะทำบุญตักบาตร แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนา โดยไม่เจาะจงว่าเป็นรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อพระภิกษุสามเณรรูปใดผ่านมา ก็ตั้งใจตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณรรูปนั้นและรูปอื่นๆ ไปตามลำดับโดยปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. จัดเตรียมอาหารที่สะอาด ถูกสุขลักษณะใส่ภาชนะเรียบร้อย มากหรือน้อยตามความต้องการ
2. นำอาหารที่เตรียมไว้ไปคอยตักบาตร ก่อนที่จะตักบาตรควรตั้งจิตถวายด้วยศรัทธา และความเคารพ ตั้งความปรารถนา เพื่อทำกิเลสให้ลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้นไป
3. ขณะที่ตักบาตร ควรอยู่ในอาการสำรวมและเคารพ
4. เมื่อตักบาตรเสร็จแล้ว ควรแสดงความเคารพด้วยการไหว้
5. หลังจากตักบาตร ควรอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล

คำอธิษฐาน ในการตักบาตรจะใช้ภาษาบาลี หรือภาษาไทยหรือใช้ทั้งสองภาษาก็ได้ ดังนี้
“สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ” ถอดความว่า “ทานของเราให้แล้วด้วยดี ขอจิตข้านี้จงสิ้นอาสวกิเลสเทอญ”

คำกรวดน้ำ แบบย่อ “อิทัง เม ญาตินัง โหตุ “ ถอดความว่า “ขอส่วนแห่งบุญกุศล จงสัมฤทธิ์ผลแก่ญาติข้าดั่งตั้งใจ “

ที่มา : ข้อมูลข่าว สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

กฎแห่งกรรม : ขูดรีดขูดเนื้อ













มีพุทธศาสนสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏํ” แปลว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง
     
       เพราะขึ้นชื่อว่าความชั่วนั้น เมื่อทำแล้ว ย่อมต้องให้ผลชั่วตอบแทนแก่ผู้ทำแน่นอน อย่าคิดว่าทำกรรมชั่วเล็กๆน้อยๆเลย เพราะถ้าทำบ่อยๆ ก็จะสั่งสมมากขึ้นได้ และเมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะได้โอกาสสนองแก่ผู้กระทำให้ประสบภัยพิบัติเคราะห์ กรรมนานาประการ เพราะฉะนั้นจงอย่าเข้าใจว่ากรรมชั่วนั้นไม่ให้ผล ทำแล้วก็แล้วกันไป กรรมชั่วจะต้องให้ผลแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งในภายหลัง
     
       ดังเรื่องราวของครูวันชัย ครูใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่งในโคราช ที่ต้องรับผลแห่งการกระทำชั่วของตัวเอง
     
       วันชัยจัดอยู่ในฐานะมีอันจะกิน เพราะพ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้จำนวนหนึ่ง ดังนั้น นอกเหนือจากอาชีพเป็นครูสอนหนังสือแล้ว เขายังทำมาหากินด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้านด้วย ถือเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีทีเดียว เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้น มากกว่าเงินเดือนครูเกือบสองเท่า
     
       ทำให้วันชัยมีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างคล่องมือ และเข้าสังคมกับคนรวยๆได้อย่างสบาย ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับ “โสภา” สาวคนรักที่ทำงานบัญชีในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอก็ได้เข้ามาช่วยสามีทำบัญชีกู้ยืมเงิน
     
       ไม่นานทั้งสองก็มีทายาทคนโตเป็นเด็กผู้ชายอ้วนจ้ำม่ำ กินจุ วันชัยเห็นว่าเมื่อมีลูก ก็มีค่าใช้จ่ายตามมามาก ประกอบกับภรรยาก็ต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว
     
       วันหนึ่งวันชัยนำเอกสารการกู้ยืมทั้งหมดมานั่งดูในห้องรับแขก แล้วก็พูดคุยกับ “โสภา” ผู้เป็นภรรยา ว่า
     
       “ช่วงนี้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ลดลง เพราะคนไม่ค่อยมากู้ ถ้าหากคนที่กู้ชุดนี้ใช้ต้นใช้ดอกหมด เราก็จะแย่ เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เยอะขึ้น”
     
       “ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงบ้างก็ได้นี่คุณ อย่างการไปกินอาหารนอกบ้าน หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆที่ซื้อให้ตัวเอง ให้ฉัน ให้ลูกทุกเดือนจนเต็มตู้ไปหมด แล้วก็เล่นกอล์ฟ เข้าสังคมกับคนรวยๆน่ะ ลดลงหน่อยก็พอช่วยได้”
     
       วันชัยได้ยินภรรยาเสนอเช่นนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจ
     
       “โอ๊ย..จะลดได้ไง พวกนี้เป็นหน้าตาศักดิ์ศรีของผม ไม่งั้นคนเขาจะนินทาว่า สงสัยครูวันชัยย่ำแย่ คงหมดเงินแล้วล่ะซิ...ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะไม่มีใครมากู้เงินเรา”
     
       โสภาได้ยินสามีพูดดังนั้น เธอก็เงียบไป ขณะที่วันชัยก็นั่งมองเอกสารเงินกู้ เริ่มครุ่นคิดถึงวิธีที่จะหาเงินมาให้ได้มากขึ้น แล้วในที่สุดเขาก็มองเห็นช่องทาง
     
       “ผมรู้แล้วว่าทำยังไง ที่จะได้เงินมากขึ้น” แล้วเขาก็อธิบายให้ภรรยาฟังถึงวิธีการที่ตัวเองคิดขึ้นมา
     
       โสภาฟังแล้วไม่เห็นด้วยกับสามี เพราะเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงเตือนสติสามีว่า
     
       “ฉันว่าอย่าทำเลย มันไม่ดีหรอกแล้วฉันก็ไม่อยากทำด้วย เพราะมันบาป”
     
       “โอ๊ย..มันจะบาปตรงไหนกัน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย เธอนี่โง่ไปได้ ถ้าเธอกลัวบาปมากนัก ก็ไม่ต้องทำ ฉันจะทำเอง”
     
       แล้ววันชัยก็ลุกขึ้นหอบเอกสารทั้งหมดไปที่โต๊ะทำงาน เขาค่อยๆเลือกเอกสารที่ต้องการแยกออกมาไว้กองหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือปรับเปลี่ยนแก้ไขบางสิ่งบางอย่างจนเสร็จทั้งหมด วันชัยตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเก็บเอกสารใส่ลิ้นชัก
     
       เช้าวันรุ่งขึ้น นายเด่น พ่อค้าขายผักในตลาด ได้มาที่บ้านครูวันชัย
     
       “สวัสดีครับครู ผมเอาดอกเบี้ยงวดแรกมาจ่าย นี่ครับ 275 บาท”
     
       “คุณกู้ผมไป 8,500 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน มันก็ต้อง 425 บาท”
     
       “อะไรกันครู ผมกู้ไปแค่ 5,500 บาทเท่านั้นนะครับ”
     
       “แน่ใจนะ”
     
       “แน่ซิครับ”
     
       วันชัยจึงเดินไปหยิบเอกสารกู้ยืมมายื่นให้ดู “เอ้า..ดูซะ นี่ไง เงินกู้ 8,500 บาท วันที่คุณมากู้น่ะ คุณรีบร้อนมาก แล้วดูเบลอๆชอบกล เหมือนคนคิดหนัก ผมบอกให้นับเงิน คุณก็บอกไม่เป็นไร แล้วก็รีบไป”
     
       เด่นนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ครูวันชัยบอก แต่เขาก็ยังยืนยันว่ากู้ไปเพียง 5,000 บาท วันชัยจึงย้ำว่า
     
       “คุณก็ลงลายมือไว้เป็นหลักฐานกู้ยืมแล้วนี่ ถ้าไม่ใช่ 8,500 บาท คุณจะเซ็นทำไม ผมเป็นครู ไม่เคยโกงใคร คุณเคยได้ยินว่าผมโกงใครรึเปล่า ไปถามคนที่ตลาดดูก็ได้ มีคนกู้ผมหลายคน เพราะถ้าผมโกงใคร คุณคงไม่มาขอกู้ผมหรอก ใช่มั้ย”
     
       คำพูดของวันชัย ทำให้เด่นนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็บอกว่า
     
       “ไม่เป็นไรครับครู ผมจะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามที่ครูบอก เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน” เด่นพูดจบก็ควักเงินเพิ่มให้กับวันชัย แล้วเดินจากไป
     
       วันชัยยิ้มด้วยความดีใจที่วิธีการของเขาเป็นผลสำเร็จ และไม่ใช่เพียงนายเด่น พ่อค้าผักเท่านั้นที่มีปัญหาเช่นนี้ คนอื่นๆอีกนับสิบคนก็เป็นเหมือนกัน และทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล
       
       ด้วยกลโกงในการแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเลขเงินกู้อย่างแนบเนียน ทำให้วันชัยเริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้ามาเหมือนเดิม และเขาก็ใช้วิธีการนี้กับคนใหม่ๆที่หลงมากู้เงิน และหากเขารู้ว่าคนไหนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็จะทำสัญญาฉบับพิเศษด้วยการยึดที่ยึดบ้าน หากไม่ใช้เงินต้นคืนตามกำหนด ซึ่งมีหลายรายที่ต้องสูญเสียที่ดินไป
     
       วันชัยมีความสุขได้ไม่นาน กรรมก็ติดจรวดมาถึงบ้าน ช่วงนั้นเป็นปลายฝนต้นหนาว แต่อากาศกลับหนาวๆร้อนๆผิดปกติ วันชัยรู้สึกคันทั่วร่างกาย และจามอยู่ตลอด หมอบอกว่าเขาเป็นโรคภูมิแพ้ จึงให้ยากินและยาทา แต่อาการไม่ทุเลาลงเลย ตรงข้ามกลับเป็นหนักกว่าเก่า
     
       ทั่วตัวของวันชัยเต็มไปด้วยรอยผื่นคัน เขาเกาๆๆๆจนเลือกออกซิบๆ แต่ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน คันจนกระทั่งบางครั้งต้องใช้ฝาจุกน้ำอัดลมมาช่วยเกา ซึ่งก็ยิ่งทำให้ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลถลอก เลือดไหลซึม อยู่ตลอดเวลา
     
       แม้ภรรยาจะพาไปหาหมอหลายแห่ง ใครบอกว่าหมอคนไหนเก่งก็พาสามีไป ทั้งกินยาและทายาหลายขนาน หมดเงินค่ารักษาไปมากมาย แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย เนื้อตัวของวันชัยตกอยู่ในสภาพเน่าเฟะจากเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจาก แผลที่เกา และติดเชื้อ จนกระทั่งต้องส่งโรงพยาบาล
     
       วันชัยใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลราว 2 สัปดาห์ก็สิ้นใจ เพราะติดเชื้ออย่างหนักจากแผลถลอก ซึ่งเขาไม่ยอมหยุดเกา เพราะรู้สึกว่าคันจนทนไม่ได้ หากได้เกาก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนตายเขาก็ยังเกาไม่หยุด และตายในสภาพที่มือยังเกาหน้าอก ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดทรมาน
     
       ในงานศพของวันชัย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะกรรมที่เกิดจากการขูดรีดขูดเนื้อคนอื่น ทำให้ต้องมาขูดรีดขูดเนื้อตัวเองจนกระทั่งตาย
     
       ขณะเดียวกัน โสภากับลูกซึ่งมีส่วนในการใช้เงินบาปที่ได้มาจากการคดโกงขูดรีดคนอื่น ก็ต้องพลอยรับกรรม ตกระกำลำบากในที่สุด
     
       ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่ง กรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญ คุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป
     
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย บัว บุษรา)

รักษาใจให้ดีที่สุด รักษาความคิดที่จะเกิดขึ้นในใจให้ดีที่สุด






อย่าให้เป็นความคิดที่จะนำให้ทำบาปอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น มีสติอย่าให้ความคิดไม่ดีเกิดได้ในจิตใจ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้พูดไม่ดีได้ สามารถป้องกันไม่ให้ทำไม่ดีได้ และการไม่พูดไม่ดีก็ตาม การไม่ทำไม่ดีก็ตาม เป็นคุณสมบัติวุดวิเศษของความเป็นมนุษย์

ดังนั้น การรักษาใจให้งดงามด้วยความคิดที่งดงาม จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งของเราท่านทั้งหลายผู้เกิดแล้วเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจของบุญ เพราะการรักษาใจให้งดงาม มีความคิดที่งดงาม ก็เท่ากับเป็นการควบคุมกายวาจาให้งดงามด้วย

ใคร่ขอให้เข้าใจความหมายของคำงดงาม ที่นำมาใช้ในที่นี้ ว่ามิได้มีความหมายธรรมดาๆ เหมือนความสวยงาม อะไรทำนองนั้น แต่มีความหมายที่ลึก กว้าง มิใช่งดงามธรรมดา

ซึ่งความถูกต้องเป็นเช่นนั้น ใจที่พ้นจากความคิดที่จะนำให้เกิดบาปอกุศล คือเกิดการพูดชั่วทำชั่ว ต้องเป็นใจที่งามพิเศษอย่างแท้จริง ควรที่ผู้ใฝ่ดีมีปัญญาทั้งหลายจะพากันพยายามรักษาใจของตนให้มีความงามนั้น เพื่อได้เป็นผู้งามพร้อมในวันหนึ่ง ได้มีตนเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ที่ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเปรียบได้

: แสงส่องใจ มาฆบูชา พ.ศ. ๒๕๔๕
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13039

บริหารกาย เพิ่มคอเลสเตอรอลให้สูง ร้ายกลายเป็นดี by นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล




นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob@balavi.com http://www.balavi.com

บริหารกาย เพิ่มคอเลสเตอรอลให้สูง ร้ายกลายเป็นดี

ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็นมาแล้ว
ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :

คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ"
คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กลับกลายเป็น
"โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?

ความกลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน
แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ
คนขายยายังไงเล่า

การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000
ล้านดอลลาร์ต่อปี

คอเลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา
เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ สร้างฮอร์โมนเพศ
สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด

ต่อมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า
ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรคหัวใจหลอดเลือด
แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า
คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้

และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ



นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก
ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ
ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า
"บริษัทยาถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น
แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง
คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"

แปลฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า
ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอลให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ
เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น

คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้โต๊ะ"
กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลในเลือด
ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200
ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001

ผลก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป
ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก
ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว
ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990
จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน
ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ
(ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว

ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน
ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงินกับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9
ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์ใหญ่
มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ
จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่

ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค"
พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ



คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน

คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน
250 ม.ก./ด.ล. แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า
"มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล.
เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล.
ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ
เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลสเตอรอลให้คุณละนะ ไหนๆ
คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น

แต่คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย
ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ในการกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง
ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้

ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า
ไขมันที่คุณกินเข้าไปอย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด

คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ
ให้ตับเก็บรับคอเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง

ผลก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด
แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการกลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล
เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ

จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี
ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว

แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา
แต่บอกผู้ป่วยว่า "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"

เรื่องของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย
และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อของการแพทย์พาณิชย์
นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้



ส่วนประเด็นที่สองก็คือ คอเลสเตอรอลสูงแท้ที่จริงไม่สำคัญเท่ากับว่า
เป็นคอเลสเตอรอลชนิดไหนที่สูง และชนิดไหนที่ต่ำ
เราทราบมาจากสัปดาห์ที่แล้วว่า HDL-Chol เป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี
เราต้องการให้มันสูง ส่วน LDL-Chol เป็นไขมันชนิดไม่ดี
เราต้องการให้มันต่ำ ดังนั้น การตรวจพบว่าคอเลสเตอรอลรวม (Total Chol)
สูงแล้วมัวนั่งปริวิตกนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ต้องดูว่าเป็นชนิดไหน

ในที่นี้ขอแนะนำตัวเลขสัดส่วนของคอเลสเตอรอล
เพื่อใช้คำนวณว่าสภาพไขมันในเลือดดีหรือไม่ดีกันแน่
มีสัดส่วนของไขมันอยู่สองค่าที่ควรรู้จัก กล่าวคือ :

1) Total Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 4.6

2) LDL-Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 3

นั่นหมายความว่า ถ้าคุณพบว่า Total-Chol ของคุณสูง แต่ถ้าคุณมีค่า
HDL-Chol สูง เมื่อหารกันแล้วก็อาจจะต่ำกว่า 4.6 แปลว่า
การสูงของคอเลสเตอรอลรวมของคุณนั้น ที่แท้แล้วมาจากการสูงของไขมันที่ดี

หรืออีกนัยหนึ่ง ดูว่าไขมันที่เลวกับไขมันที่ดี ต่างกันไม่เกินสามเท่า
แปลว่าสัดส่วนของไขมันในตัวคุณนั้น อยู่ในสภาพเยี่ยมยอด
เราจะพบกรณีเช่นนี้ในผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ในคนที่กินผักได้รับเบต้าแคโรทีนเหลือเฟือ หรือคนที่กินข้าวกล้อง
ถั่วต่างๆ มีวิตามินอีเหลือเฟือ

ยกตัวอย่างผู้รักสุขภาพรายหนึ่ง เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปั่นจักรยาน
ว่ายน้ำ เล่นเวต ภาพลักษณ์ของไขมันในเลือดเป็น :

T-Chol 231 ม.ก./ด.ล. Trigly 91 ม.ก./ด.ล.

HDL-Chol 54 ม../ด.ล. LDL-Chol 160 ม.ก./ด.ล.

มองดูเผินๆ คนนี้มีคอเลสเตอรอลสูง และค่า LDL-Chol ก็สูงกว่าปกติ (<150 p="p">ม.ก./ด.ล.) แต่ถ้าหาสัดส่วนไขมันจะเห็นว่า

T-Chol 231 หารด้วย HDL-Chol 54 = 4.28

LDL-Chol 160 หารด้วย HDL-Chol 54 = 2.96

ถือว่าสุขภาพดี

ตัวอย่างครูโยคะรายหนึ่ง รูปร่างดี หน้าตาสะสวย เธอมีภาพลักษณ์ไขมันในเลือดดังนี้ :

T-Chol 234 H ม.ก./ด.ล. Trigly 60 ม.ก./ด.ล.

HDL-Chol 85 ม.ก./ด.ล. LDL-Chol 137 ม.ก./ด.ล.

เนื่องจากเธอถูกตรวจด้วยเครื่องอัตโนมัติในโรงพยาบาลมันก็จะตีตัว H
บอกมาในเลือด แปลว่าไขมันเลือดสูงแล้วนะ ทำให้เธอไม่สบายใจ
อยู่มาวันหนึ่งเธอได้พบกับผม แล้วเอาตัวเลขมาดูกัน ถ้าดูสัดส่วนจะพบว่า :

T-Chol 234 หารด้วย HDL-Chol 85 = 2.75

LDL-Chol 137 หารด้วย HDL-Chol 85 = 1.61

ถือว่าสุขภาพดีอย่างเยี่ยมยอดเพราะผลจากการฝึกโยคะสม่ำเสมอของเธอนั่นเอง
เสียดายที่ว่าระบบตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ใช้เครื่องตรวจไม่มีโอกาสพบแพทย์เลย
ปัญหาจึงเกิดขึ้นเนืองๆ

10 ข้อ .. เพื่อชีวิตที่มีความสุข






1. เราต้องคิดก่อนว่า ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนมีค่าพอที่คุณจะต้องเสียน้ำตาให้ ส่วนคนที่มีค่าพอนั้น เขาย่อมจะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้เพราะเขาเป็นอันขาด (ยก เว้นเรื่องที่ทะเลาะกันไร้สาระนะคะ)


2. ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดรักใครสักคน คุณควรให้เขาอยู่รอบตัวคุณ แทนที่คุณจะนำเข้ามาใส่ไว้ในใจ เพราะไม่วันใดก็ วันหนึ่งหัวใจสามารถแตกสลายได้ แต่ถ้าคุณให้เขาอยู่รอบตัวคุณ เขาก็จะอยู่กับคุณอย่างนั้นตลอดไป


3. ทุกคนได้ยินสิ่งที่คุณพูด เพื่อนรอบตัวคุณก็ได้ยินสิ่งที่คุณพูด แต่เพื่อนแท้เท่านั้นแหละที่จะคอยรับฟังว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไง


4. ถ้าเพื่อนของคุณพร้อมใจกันกระโดดลงจากสะพาน คุณไม่จำเป็นต้องกระโดดตาม แต่คุณควรจะอยู่ที่ก้นเหวเพื่อรอที่จะรับพวกเขา


5. อย่าทำหน้าบึ้งตลอดเวลา เพราะจะทำให้คุณขาดเสน่ห์และพลาดโอกาสที่จะได้รู้ว่ายังมีคนอีกมากชื่นชมในร้อยยิ้มของคุณ



6. ถ้าคุณมัวแต่ตัดสินผู้อื่นว่าเป็นยังไง คุณก็จะไม่มีเวลาพอที่จะรักและเข้าใจพวกเขา


7. ควรจะเป็นคนที่มีจิตใจดี และมองโลกใจแง่ดี เพราะทุกคนที่คุณเห็นอาจจะกำลังประสบปัญหาที่หนักหนากว่าที่คุณเผชิญอยู่ก็ได้


8. คุณอาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีชอบใครสักคน หรือไม่กี่ชั่วโมงนึกรักใครสักคน อาจจะใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวรักใครสักคน แต่อาจจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตของ คุณเพื่อที่จะลืมใครสักคน


9. คุณต้องไม่ยึดติดคิดซะว่าเมื่อวานเป็นแค่อดีต พรุ่งนี้เป็นแค่ปริศนา ส่วนวันนี้คือของขวัญ เราถึงเรียกว่าปัจจุบันว่าของขวัญ (Present) สู้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดี กว่านะ


10. เต้นให้สนุกสุดเหวี่ยงเหมือนไม่มีใครจ้องมองเราอยู่ และรักโดยที่ไม่กลัวว่าจะเจ็บปวด


มันคงไม่ยากถ้าเราจะเปิดใจรับกับทุกสิ่ง อยู่กับปัจจุบันอย่าจมอยู่กับอดีตที่เราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้ คงไม่มีใครดีถูกใจเราไปซะหมด แต่เราต้องมอง ด้านดีที่เขามี และและอย่ารักใครโดยที่ไม่รักตัวเอง เพราะถ้าคุณไม่รักตัวเอง ก็คงไม่สามารถที่พูดได้เต็มปากว่าคุณรักใคร เชื่อเถอะว่าถ้าคุณรู้จักที่จะรักตัวเอง คนอื่นที่คุณ รักเขา เขาก็จะเห็นค่าของคุณเอง...

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

....หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงปัจจุบันเก็บไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่ เมืองเว้


....หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก
ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงปัจจุบันเก็บไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่
เมืองเว้


*หลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก พระโพธิสัตว์ที่ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต*
ที่มา : *http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3338*
****
 ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ช่างภาพคือ มัลคอล์ม บราวน์
ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
*หลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก พระโพธิสัตว์ที่ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต
ในวันที่ ๘ พ.ค. ๒๕๐๖***
 *ความดีของท่านยังคงอยู่ ....... ชื่อท่าน เป็นอมตะตราบเท่านาน ........
อยู่คู่ชาวพุทธ ผู้ใฝ่ในชีวิตอันปกติสุข *
*Heart**....หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิง
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในสถูปทองคำ ที่วัดเทียนมู่* เมืองเว้
ประเทศเวียดนาม.........ผู้ส่งเมล์นี้มาให้อ่าน
ไม่มีเจตนาเป็นอื่น  มีเพียงเจตนา
…ขอเชิญชวนท่านชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย......... ได้ร่วมลงนาม
ต่อต้านการทำลายพุทธสถาน Mess Aynak
ในประเทศอัฟกานิสถาน.....ผ่านอินเตอรเน็ตข้างล่างนี้
เพียงกรอก…
1.     …ชื่อ นามสกุล และ …
2.     .ใส่รหัส   code 1000
3.     copy คัดลอกข้อความด้านข้างซ้ายมือทั้งหมด post วาง ใส่ชื่อ นามสกุล
ของท่าน ท้ายสุดด้านล่างจ้า  ……….ขัอมูลจะส่งตรงถึง องค์กรยูเนสโก UNESCO
****
  Note to forward to your friends:  แล้วร่วม ส่งต่อให้เพือนๆ
ได้มีโอกาสที่ดี ได้ร่วมลงนามจ้า

Hi!

I just signed the petition "Save our Past-Ask UNESCO to include Mess Aynak
on the list of endangered sites" on Change.org.

It's important. Will you sign it too? Here's the link:

http://www.change.org/petitions/save-our-past-ask-unesco-to-include-mess-aynak-on-the-list-of-endangered-sites

Thanks!

I am Natyakul   Tht….To….  All  my pure loves
*....นี้คือโอกาสที่ดี ที่สุดในชีวิตของท่าน
ที่จะได้ช่วยกันรักษาพุทธสถานเอาไว้ รูปปั้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธสถานที่ได้ถูกสร้างโดยท่านชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย*
*ที่มีศัรธาในพระพุทธศาสนา ที่ได้เคยอาศัยในประเทศอัฟกานิสถาน*
...ชาวไทยก่วา 95 % ท่านเขียนว่านับถือพระพุทธศาสนา *
ถึงเวลาแล้วที่จะแสดงตนปกป้องรักษา**พุทธสถาน มาร่วมกันแสดงพลัง  เพื่อรักษา
ทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา ให้คงอยู่เป็นวัตถุถาวร*
*ชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ 120 ปี หรือมากก่วา อาจน้อยก่วา
แต่วัตถุถาวรของพระพุทธศาสนาจะคงอยู่นานหลายพันปีเพื่อยืนยันให้สังคมมนุษย์รุ่นต่อๆไปได้เห็น
เกิดความรู้ เกิดศรัทธา มีความมั่นใจ ว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาเคยมีอยู่จริง จะได้กระทำตามคำสอนของพระพุทธองค์
เกิดประโยชน์กับสังคมมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตราบนานเท่านาน*
*........ผลบุญนี้จะส่งให้ท่านได้รับการปกป้องคุ้มครองที่ดีที่สุด
ถูกต้องเป็นธรรม แม้จะเคยถูกเอาเปรียบก็สามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง
ให้เกิดความเป็นธรรมกับตัวท่านและสังคมมนุษย์ ......
ที่ถูกต้องอยู่แล้วจะประสบความสำเร็จอย่างไม่คาดฝัน
แล้วทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมเพื่อท่านเสมอ ด้วยพลังพุทธานุภาพ.....***
*......ขอเชิญท่านทั้งหลายมาพิสูจน์ สัมผัสด้วยตัวท่านเองจ้า* *...**^___^**...
* Natyakul

=================================================================
 v  ที่มา * **หลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก** **ได้**ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต
* :  *http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3338*
 ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ช่างภาพคือ มัลคอล์ม บราวน์
ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์**
สมัยที่ประเทศเวียดนามใต้มีประธานาธิบดี คือ นาย *โง ดินห์ เดียม*
ช่วงนั้นพระพุทธศาสนาในเวียดนามใต้ถูกทำลายเป็นอย่างมาก
เนื่องจากโง ดินห์ เดียม มาจากครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด พี่ชายของเดียม คือ*โง
เดียม ถึก* เป็นสังฆราชคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิกในเวียดนามใต้ และน้องชาย คือ
*โง ดิน นูห์** *เป็นหัวหน้าตำรวจลับผู้มัวเมาในอำนาจ
ชอบกดขี่ข่มเหงประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ
 รัฐบาลของเดียมได้ออกนโยบายบังคับให้ประชาชนหันมานับถือศาสนาคริสต์
พอถึงวันวิสาขบูชาที่ ๘ พฤษภาคม ปี ๒๕๐๖ โง ดินห์ ถึก
ซึ่งเป็นสังฆราชคริสเตียน
สั่งให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนของศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิกขึ้น
และออกคำสั่งห้ามชาวพุทธชักธงธรรมจักร
ถ้าพุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะนำธงลงจากเสา
แล้วนำไปเผาทิ้ง
เมื่อชาวพุทธจัดงานวันวิสาขาบูชา รัฐบาลได้ส่งตำรวจบุกเข้าไปก่อกวน จนทำให้ผู้หญิง
๑ คนกับเด็กตายไป ๘ คน
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวพุทธในประเทศเวียดนามโกรธและออกมาเดินขบวนประท้วงเป็นจำนวนมาก
พอบาทหลวงโรมันคาทอลิกรู้เรื่อง
จึงโทรเลขด่วนไปยัง โง เดียม ถึก ที่วาติกัน โง เดียม ถึก
จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" (ปราบปรามอย่างรุนแรงขั้นเด็ดขาด)
กับพุทธศาสนิกชนในฐานะศัตรูพระเจ้า
 เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียน ได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน
อันมีพระภิกษุสงฆ์และแม่ชีซึ่งอยู่แถวหน้า ถูกรถทับตาย ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย
๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน *รัฐบาลเดียมกล่าวหาว่า** **
มีคอมมิวนิสต์แทรกซึมปลอมตัวเป็นพระในศาสนาพุทธ** **
จึงทำการปราบปรามชาวพุทธหนักขึ้น** *พระสงฆ์ถูกฆ่ามรณภาพมากมาย
วัดทางพุทธศาสนาถูกเผาทำลาย นอกจากนี้แล้วยังออกกฎห้ามสร้างพระพุทธรูปบูชา
ให้นำรูปพระเยซูมาตั้งแทน ใครทำหายหรือทำลายจะได้รับโทษสถานหนัก
เมื่อมีการอบรมข้าราชการ ต้องให้บาทหลวงมาทำการอบรมข้าราชการด้วย
มีนโยบายเปลี่ยนคำสอนของพุทธศาสนาและพระไตรปิฏก
เป็นต้น
*ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้สักหน่อยนะครับ*

สมัยที่เกิดเหตุการณ์นี้นั้น อยู่ในช่วงสงครามเย็น (Cold war)ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์
โดยสหภาพโซเวียต และจีน
และฝ่ายประชาธิปไตย โดยสหรัฐอเมริกา
กำลังขับเคี่ยวทำสงครามกันอยู่ ผ่าน "สงครามตัวแทน"

เวียดนามในสมัยนั้น ก็เป็นสมรภูมิหนึ่ง ในสงครามตัวแทนนี้
โดยการถูกแบ่งเป็น ๒ ประเทศ

เวียดนามเหนือ ก็เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับลาว และกัมพูชา
โดยการนำของ "โฮจิมินห์" ที่ทุกท่านน่าจะรู้จักกันดี

ส่วนเวียดนามใต้ ก็เป็นฝ่ายประชาธิปไตย
โดยการควบคุมของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับประเทศไทยในสมัยนั้น
ที่สหรัฐอเมริกามีอำนาจกำหนดนโยบายได้อย่างเต็มที่
 และให้การสนับสนุนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในเวียดนามใต้ครับ
และส่งผลให้ชาวเวียดนามใต้ ไม่พอใจการปกครองเผด็จการของ โง ดินห์ เดียม
ซึ่งส่งผลให้นายโง ดินห์ เดียม ถูกรัฐประหารโดยการสนับสนุนของ US
และเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน

สงครามยังดำเนินมาอีกหลายปี
จนสุดท้าย เวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้รับชัยชนะ
ความพ่ายแพ้ก็ตกเป็นของทางเวียดนามใต้ US และพันธมิตร
(ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย)

ปัจจัยที่เวียดนามเหนือชนะ ก็มีอยู่หลายประการ
สงครามนี้ดำเนินอยู่ในเวียดนาม ซึ่งฝ่ายเจ้าบ้าน คือเวียดนามเหนือ
ได้เปรียบในด้านภูมิประเทศ เนื่องจากรบในพื้นที่ของตัวเอง
อาศัยความชำนาญในภูมิประเทศ เอาชนะฝ่าย US และพันธมิตร
 ก็เป็นปัจจัยประการหนึ่ง

และทาง US เอง ก็เริ่มถอนตัวจากเวียดนามใต้ เนื่องจากความไม่คุ้มค่า
เนื่องจากสถานการณ์เป็นรองฝ่ายเวียดนามเหนือ
 ประกอบกับการทำสงครามยืดเยื้อนาน ๆ
ก็ย่อมทำให้เศรษฐกิจของ US เกิดปัญหาขัดข้องต่าง ๆ ไปด้วย
 พลเมืองอเมริกันก็เริ่มไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามนี้
ก็เป็นปัจจัยอีกประการหนึ่ง

สุดท้าย US ก็ยอมทำสนธิสัญญาสันติภาพ ในปี ๒๕๑๖
 ให้กองทัพถอนกำลังออกจากเวียดนาม
และเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
ก็รวมเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศเดียว มาจนปัจจุบันครับ
ป.ล. พอดีผมได้อ่านข้อมูลประกอบเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เพิ่มเติม
ก็เลยมาปรับปรุงแก้ไขให้ข้อมูลสมบูรณ์ขึ้นสักหน่อย
 ผมคิดว่าที่พิมพ์ ๆ มา ก็น่าจะจบเพียงเท่านี้แหละครับ
วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ พระภิกษุในพุทธศาสนา นามว่า *ติช กวาง
ดึ๊ก** (**Thích
Qu**ả**ng Đ**ứ**c**)* อายุ ๗๓ ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้าย
ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ไหว จึง
ได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหยุดเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตั้งใจมอบชีวิตแก่พระพุทธศาสนา
จุดประสงค์ท่านต้องการให้รัฐบาลหยุดปราบปรามชาวพุทธ
มอบความเท่าเทียมต่อประชาชนที่ต่างศาสนา

ท่านได้เขียนจดหมายถึง รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ในการเสียสละตนเองครั้งนี้ว่า
๑. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ
๒. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ แม่ชี และคนทั่วไปในประเทศ
๓. ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย
ในคณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนา
พระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกจับขังอยู่ในขณะนี้
๔. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนอีก
๕.
ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวงปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา
หลัง จากได้เขียนข้อเรียกร้องเสร็จ ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ ๑,๐๐๐
คนด้วยความสงบ ไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี
และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนเสียชีวิตในวันที่
๘ พ.ค. ๒๕๐๖ ที่ผ่านมา จากนั้นขบวนชาวพุทธศาสนิกชนก็ เดินต่อไปอย่างสงบ
โดยมีรถนำพระภิกษุติช กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง พระภิกษุผู้เสียสละวัย ๗๓
ปีได้ก้าวลงจากรถ ไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวงใหญ่

บริเวณแยกไซ่ง่อน หลวงพ่อทิจ กวาง ดึ๊ก นั่งขัดสมาธิ สำรวมจิต
 มี ผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ
ติช กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นท่านติช กวาง
ดึ๊กก็หยิบไม้ขีดไฟมาจุดไฟเผาร่างตนเอง
ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างของพระภิกษุผู้เสียสละ ขณะ ที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่
ปรากฏว่าพระภิกษุวัย ๗๓ ยังคงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง
ไม่แสดงอาการทุกขเวทนาในสังขารแต่อย่างใดเลย
เปลวไฟอันร้อนระอุได้เผาจีวรและผิวหนังไหม้เกรียมอยู่ประมาณ
๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ

นี่คือพระ ภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์พุทธศาสนา
นับเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
การพลีชีพของท่านนั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามคำประกาศในนามพุทธศาสนิกชน
ที่จะสละชีวิตรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นจากการกลั่นแกล้งบีบคั้น
และปราบปรามจากรัฐบาล
โง ดินห์ เดียมแล้ว ยังแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของพุทธศาสนิกชนด้วย

สรีระของท่านถูกห่อหุ้มด้วยธงธรรมจักร พุทธบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ คน
พากันอัญเชิญสรีระของท่านไปไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย ในเมืองเว้ *ร่าง** **ท่านติช
กวาง ดึ๊ก** **ได้มีการนำไปทำพิธีใหม่** **
แต่หัวใจที่ได้จากศพของท่านไม่ไหม้เป็นเถ้าถ่าน** **
พุทธศาสนิกชนในเวียดนามยกย่องให้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์*

*หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก** **ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิง**
**ปัจจุบันเก็บไว้ในสถูปทองคำ** **วัดเทียนมู่** **เมืองเว้***

หลังจากเหตุการณ์ที่ท่านติช กวาง ดึ๊ก อุทิศชีวิตเผาตนเองแล้ว รัฐบาล โง ดินห์
เดียม ประกาศว่าจะทำตามข้อเรียกร้องในจดหมายของท่านติช กวาง ดึ๊ก
แต่นั่นก็เป็นเพียงคำพูดที่กลับกลอก
หาความจริงใด ๆ ไม่ได้
เพราะสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิกเร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัด
ทำการฆ่าและทำร้ายพระภิกษุ และพุทธบริษัทรุนแรงหนักขึ้นไปอีก

- วัดกลายเป็นที่ต้องห้ามของการทำศาสนพิธี
โดยมีลวดหนามและสิ่งกีดขวางปิดกั้นตามถนนในเมืองใหญ่ ๆ
- พระภิกษุหรือผู้ใส่ชุดขาว คือผู้สวมเครื่องแบบของผู้ทำลายความมั่นคงของรัฐบาล
- พระภิกษุสงฆ์โกนศีรษะโล้นห่มผ้ากาสาวพัสตร์
คือเป้าหมายของตำรวจเวียดนามที่เป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิก
- ภาพของพระสงฆ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง จนกระทั่งมรณภาพบนบาทวิถี
กลายเป็นภาพที่ประชาชนเห็นเป็นปกติ

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์พระ ภิกษุอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนานั้น
ทำให้นายทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นนายทหารส่วนใหญ่ของกองทัพ
ไม่พอใจและเสียใจต่อการกระทำของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ทหารเวียดนามทั้งกรมผูกผ้าสีเหลืองที่คอ
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสนับสนุนพระพุทธศาสนา
โดยแถลงว่า *"**
พวกเขาไว้ทุกข์ให้พระภิกษุที่เผาตนเองเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา"**
*และ ประกาศว่าพวกเขาพร้อมที่จะรบ
และพร้อมที่จะตายเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา
และแจกจ่ายแถลงการณ์ข่าวการอุทิศชีวิตของพระติช
กวาง ดึ๊ก ไปยังสาธารณชน พร้อมเปิดเผยการกระทำอันไม่ถูกต้องของรัฐบาล
แต่ถูกตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก สั่งเก็บเอกสารทั้งหมด
แต่ก็ยังมีภาพที่หลุดออกไปสู่สายตาประชาโลกได้
ขณะที่คนทั่วไปต่างพากันตกตะลึงกับภาพการเผาตนเองของท่านติช
กวาง ดึ๊ก ก็มีการถ่ายทอดข่าวว่า*มาดามนูห์*
น้องสะใภ้ของเดียมได้กล่าวประโยคที่ทำร้ายจิตใจชาวพุทธว่า
*“**ให้พระพวกนั้นเผาตัวเองไป
ฉันจะปรบมือให้**” *และเรียกเหตุการณ์นั้นว่า *บาบีคิวโชว์*

*วันที่ ๑** **พฤศจิกายน** **๒๕๐๖** **คณะทหารกลุ่มหนึ่งนำโดยนายพลเดือง
วันมินห์** **ที่ปรึกษาทางทหารของเดียม** **ร่วมกับนายพลเหงียนคาห์น** **
นำกำลังเข้าทำการยึดอำนาจจากประธานาธิบดีเดียม* โง ดินห์ เดียมและโง ดิน นูห์
ถูกสังหารโดยพลขับในรถเกราะระหว่างเดินทางหลบหนี โง เดียม
ถึกและครอบครัวเดียมได้หนีไปอยู่อเมริกาและเสียชีวิตที่นั่น
*ผลกรรมไม่ดี ........ของคนที่พยายามทำลายพระพุทธศาสนา ได้รับผลกรรมไม่ดี
ในปจัจุบันชาติ ในยุคกลาง พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นเช่นนี้***
  มีผู้ลงคลิปวีดีโอหลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก เผาตนเองในเว็บไซต์ยูทูบ
บางคนเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์จริง แต่บางท่านก็แย้งว่า
น่าจะมีการถ่ายทำวีดีโอนี้ขึ้นมาทีหลัง แต่อย่างไรก็ดี
ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการปกป้องพระพุทธศาสนา
ไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิตของของท่าน
ทำให้พุทธศาสนิกชนหลายท่านอนุโมทนาในกุศลครั้งนี้ค่ะ
 ที่มา : http://www.photoontour9.com/outbound...6/xvn06_25.htm
 http://www.thaijustice.com/webboard....b=0&id=1753260



 ใจดวงนี้ของผู้ส่ง ไร้สิ้นความริษยา มีเพียงความปราถนาดีเท่านั้นจ้า.


...^___^... ผู้ส่งต่อรักทุกชีวิตนะตัวเอง ...^__^...


Natyakul    Thaumthanan
Drafts women Auto Cad operator .

Power Line Engineering - Qatar W.L. L.
Po box: 47270 IBN Mahmound Area, Fujaa Street. Doha Qatar

......อาชีพที่ดีที่สุดในโลก...^___^



เป็นบทความที่น่าสนใจดีครับ

น้ำหยดเล็ก ๆ มันทำให้เกิดผืนป่า ป่าย่อย ๆ มันช่วยฟอกอากาศให้สดชื่น

อากาศเพียงน้อยนิดทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต

ชีวิตมนุษย์พักพิงอยู่บนผืนแผ่นดิน หรือแม้แต่จุลินทรีย์ที่ดูไร้ค่า

มันยังช่วยย่อยสลายสิ่งต่าง ๆให้เกิดสมดุล

เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกนะว่าสิ่งไหนมันสำคัญที่สุดในโลกนี้

แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป

โลกใบนี้มันก็จะไม่เป็นโลกอีกต่อไป

แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละที่ดีที่สุดหรือสำคัญที่สุด

มันอยู่ที่ตัวเราจะมองจะตัดสินใจต่างหาก

อย่าตัดสินใจอะไรเพียงเพราะบรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป

เราเก่งในสิ่งที่เราเป็น

แม้ว่าหน้าที่นั้นมันจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยต้อยต่ำเพียงใดก็ตาม

อย่าไปดูถูกใครหรือดูถูกอาชีพใด ๆ เพียงเพราะเราคิดว่าเขา "โง่" หรือต้อยต่ำ

ในโลกนี้ไม่เคยมีคนโง่ ทุกคนล้วนแต่เป็นคน "อัจฉริยะ"

เพราะถ้าเราไป "ตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปีนต้นไม้

ทั้งชีวิตมันก็จะคิดว่ามันโง่"

"ใจเราเป็นเช่นไร โลกเราก็จะเป็นเช่นนั้น

ถ้าใจเราแคบโลกของเรามันก็แคบ  ถ้าใจเรากว้างโลกของเรามันก็กว้าง

และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซักแค่ไหนก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ

อย่าไปดูถูกใคร อย่าไปดูถูกอาชีพใด

เพราะถ้าขาดใครไป โลกนี้มันก็คงไม่น่าอยู่อีกต่อไป

ในโลกนี้ไม่เคยมีคนที่ "ไร้ค่า"

มีเพียงแค่คนที่ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" คุณค่าในตนเอง

จดหมายข่าว GotoKnow ครั้งที่ 1 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีค่ะ สมาชิก GotoKnow ทุกท่าน

ในจดหมายข่าวฉบับนี้ทีมงานขอนำเสนอข่าวที่น่าสนใจจาก GotoKnow ดังนี้ค่ะ

# รางวัล สรอ. ขอความรู้ - เชิญร่วมประกวดคลิปวีดิโอ รูปถ่าย หรือ เขียนเรื่อง "ความรักของพ่อ" ลุ้นรับเงินสด 2,500 บาท 2 รางวัล หมดเขต 15 ธค. นี้ค่ะ (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/510627)

# ข่าวประชาสัมพันธ์จากศูนย์เรียนรู้ สสส. และ ภาคี สสส. #

- เชิญเข้าร่วมประชุมวิชาการ "SHA Conference & Sharing" 19 -21 ธค. นี้ ณ โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค อ่านรายละเอียดที่http://www.gotoknow.org/blogs/posts/504536

- เชิญร่วมมหกรรม KM เบาหวาน 25-27 ธค. นี้ ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ อ่านรายละเอียดที่ http://www.gotoknow.org/blogs/posts/505753

- ส่งบทคัดย่องานประชุมนานาชาติด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ครั้งที่ 21 โดย สสส. ได้ตั้งแต่บัดนี้ - 20 ธค. 55 http://www.gotoknow.org/classified/ads/3319

- สสส. ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ เลขที่ 99 ซอยงามดูพลี แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ http://www.thaihealth.or.th/about/announcement/31204

ขอบคุณค่ะ

GotoKnow - คนทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้

พรหมวิหาร กับการวางใจไว้ให้ถูกที่ ให้สวยงาม




การใช้พรหมวิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในที่นี้ย่อมเหมาะสมยิ่ง ผู้ได้รับกรรมถึงเป็นถึงตาย หรือได้รับความทรมานบาดเจ็บมากน้อยหนักเบา สูญเสียต่างๆ ก็ตาม ในฐานะผู้ดูเราต้องปลงใจลงว่า นั่นเขาได้รับผลแห่งกรรมที่เขาเองต้องเคยทำมาแล้ว

ส่วนผู้ทำกรรม ก่อความทุกข์ความทรมานเสียชีวิตเสียเลือดเนื้อ หรือทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้อื่นนั้น ในฐานะผู้ดูเราต้องพยายามคิดให้พอเข้าใจว่า เขาตามกันมาเพื่อทวงหนี้กรรม จิตใจของทั้งสองฝ่ายทุกข์ร้อนด้วยกัน ไม่มีฝ่ายใดเป็นสุขได้เลย

เราต้องไม่เข้าไปร่วมความร้อนรนนั้นด้วย ถ้าเราไปมองผู้ทำกรรมอย่างโกรธแค้นเกลียดชังในความร้ายกาจโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา เราก็จะทำร้ายตนเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ พึงใช้เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เมตตาที่เขาต้องทุกข์ด้วยกัน

เราทำบุญกุศลใดไว้ ก็ตั้งความกรุณาอุทิศให้ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาทั้งสองฝ่าย ให้ตัวของเขาด้วย เพื่อให้พอมีความสงบเย็นแม้เท่าที่กำลังจิตของเราสามารถช่วยได้ ขณะเดียวกันมีมุทิตายินดีกับตัวเองกับใครทั้งหลายอื่น ที่ไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นคู่กรณี

ไม่ต้องมีจิตใจที่เร่าร้อนทนทุกข์ทรมาน และมีอุเบกขาคือ พยายามวางใจเป็นกลาง ไม่เอียงไปเมตตากรุณาฝ่ายหนึ่งจนทำให้คิดไม่ดีในอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ใจตั้งอยู่ในเมตตาทั้งสองฝ่าย

ที่สำคัญการวางใจนี้ต้องให้เป็นไปอย่างจริงใจ เมตตาอย่างจริงใจ กรุณาอย่างจริงใจอุเบกขาอย่างจริงใจ นั่นแหละจึงจะเป็นกรรมดีที่สมบูรณ์จริง อันจักให้ผลดีได้จริง

: ธรรมเพื่อความสวัสดี
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก









http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5357

หลงตน..หลงคน..หลงอำนาจ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)







ผู้มีโมหะมาก คือ มีความหลงมาก มีความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร ในตน ในคน ในอำนาจ

ผู้หลงตน เป็นคนมีโมหะ มีความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควรในตนเอง คนหลงตนจะมีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีความดี ความสามารถ ความพิเศษเหนือใครทั้งหลายเกินความจริง เป็นความรู้สึกในตนที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร

เมื่อมีความรู้สึกอันเป็นโมหะ ความหลง ราคะ หรือโลภะและโทสะก็จะเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงตนว่า ดีวิเศษเหนือคนทั้งหลาย ความโลภให้ได้มาซึ่งสิ่งอันสมควรแก่ความดี ความดีวิเศษของตน ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความโกรธด้วยไม่ต้องการให้ความดี ความวิเศษนั้นถูกเปรียบถูกลบล้าง ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

ผู้หลงคน จะมีความรู้สึกว่าคนนั้น คนนี้ที่ตนหลง มีความสำคัญมีความดีวิเศษเหนือคนอื่น เกิดความมุ่งหวังเกี่ยวกับความสำคัญ ความดีความวิเศษของคนนั้นคนนี้ ความมุ่งหวังนั้นเป็นโลภะและเมื่อมีความหวังก็มีได้ทั้งสมหวังและความผิดหวังเป็นธรรมดา ความผิดหวังนั้นเป็นโทสะ

ผู้หลงอำนาจ เป็นผู้มีโมหะมีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร ในอำนาจที่ตนมี ผู้หลงอำนาจจะมีความรู้สึกว่า อำนาจที่ตนมีอยู่นั้นยิ่งใหญ่ เหนืออำนาจทั้งหลายเกินความจริง เป็นความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร

ผู้หลงอำนาจของตนว่ายิ่งใหญ่เหนืออำนาจทั้งหลาย ย่อมเกิดความเห่อเหิมทะเยอทะยานในการใช้อำนาจนั้น ให้เกิดผลเสริมอำนาจของตนให้ยิ่งขึ้น ความรู้สึกนี้จัดเป็นโลภะ และแม้ไม่เป็นไปดังความเหิมเห่อทะเยอทะยาน ความผิดหวังนั้นจักเป็นโทสะ


: ผู้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8752

คุณค่าของกาลเวลา







      อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ ติฯ
     
      กาลเวลาเป็นของมิใช่จะให้ประโยชน์แก่โลกทั่วไปเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้มีปัญญาสนใจในธรรมปฏิบัติ รีบเร่งฝึกหัดใจของตนๆ ให้ทันกับกาลเวลาอีกด้วย แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลาทั้งนั้น เช่น ดินฟ้าอากาศ ฤดู ปี เดือน ต้นไม้ ผลไม้ และธุระการงานที่สัตว์โลกทำอยู่ แม้แต่ความเกิด ความแก่ และความตาย ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นอยู่ตามหน้าที่ของเขาก็ตาม แต่ต้องอยู่กับกาลเวลา ถ้าหากกาลเวลาไม่ปรากฏแล้ว สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ก็จะไม่ปรากฏเลย จะมีแต่สูญเรื่อยไปเท่านั้น
     
      กาลเวลาได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกนี้มิใช่น้อย ชาวกสิกรก็ต้องอาศัยวัสสานฤดู ปลูกพืชพันธุ์ในไร่นาของตนๆ เมื่อฝนไม่ตกก็พากันเฝ้าบ่นว่าเมื่อไรหนอพระพิรุณจะประทานน้ำฝนมาให้ ใจก็ละห้อย ตาก็จับจ้องดูท้องฟ้า เมื่อฝนตกลงมาให้ต่างก็พากันชื่นใจระเริงด้วยความเบิกบาน แม้ที่สุดแต่ต้นไม้ซึ่งเป็นของหาวิญญาณมิได้ ก็อดที่จะแสดงความดีใจด้วยอาการสดชื่นไม่ได้ ต่างก็พากันผลิดอกออกประชันขันแข่งกัน ชาวกสิกรตื่นดึกลุกเช้าเฝ้าแต่จะประกอบการงานของตนๆ ตากแดด กรำฝน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเย็นร้อนอนาทร
     
      ชาวพ่อค้าวาณิชนักธุรกิจ ก็คอยหาโอกาสแต่ฤดูแล้ง เพื่อสะดวกแก่การคมนาคมและขนส่ง เมื่อแล้งแล้วต่างก็พากันจัดแจงเตรียมสินค้าไม่ว่าทางน้ำและทางบก
     
      ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในบุญกุศล ก็พากันมีจิตจดจ่อเฉพาะเช่นเดียวกันว่า เมื่อไรหนอจะถึงวันมาฆะ-วิสาขะ-อาสาฬหะ เวียนเทียนประทักษิณนอบ น้อมต่อพระรัตนตรัย เมื่อไรหนอจะถึงวันเข้าพรรษา-ออกพรรษา-เทโวโรหนะตักบาตรประจำปี
     
      วันทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เนื่องด้วยกาลเวลา ทั้งนั้น และเป็นวันสำคัญของชาวพุทธเสียด้วย เมื่อถึงวันเวลาเช่นนั้นเข้าแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายไม่ว่าหญิงชายน้อยใหญ่ แม้จะฐานะเช่นไร อยู่กินกันเช่นไรก็ตาม จำต้องสละหน้าที่การงานของตน เข้าวัดทำบุญตักบาตร อย่างน้อยวันหนึ่ง หากคนใดไม่ได้เข้าวัดทำบุญสังสรรค์กับมิตรในวันดังกล่าวแล้ว ถือว่าเป็นคนอาภัพ
     
      ส่วนนักภาวนาเจริญสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นอายุสังขารของตนเป็นของน้อยนิดเดียว เปรียบเหมือนกับน้ำตกอยู่บนใบบัว เมื่อถูกแสงแดดแล้วพลันที่จะเหือด แห้งอย่างไม่ปรากฏ แล้วก็เกิดความสลดสังเวช ปลงปัญญาสู่พระไตรลักษณญาณ
     
      กาลเวลาจึงว่าเป็นของดีมีประโยชน์แก่คนทุกๆ ชั้นในโลกนี้และโลกหน้า ดังพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั้นว่า
     
      อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ
      แปลว่า โอ้ชีวิตเป็นของน้อย ย่อมรุกร่นเข้าไปหาความตายทุกที เหมือนกับน้ำในรอยโค เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์แล้ว ก็มีแต่จะแห้งไปทุกวันฉะนั้นฯ
     
      โดยอธิบายว่า ชีวิตอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีอายุอยู่ได้ตั้งร้อยปี ก็นับว่าเป็นของน้อยกว่าสัตว์จำพวกอื่นๆ เช่นเต่าและปลาในทะเลเป็นต้น ซึ่งเขาเหล่านั้นมีอายุตัวละมากๆ เป็นร้อยๆ ปี ตั๊กแตน แมลงวัน เขามีอายุเพียง ๗-๑๐ วันเขาก็ถือว่าเขามีอายุโขอยู่แล้ว แต่มนุษย์เราเห็น ว่าเขามีอายุน้อยเดียว
     
      ผู้มีอัปมาทธรรมเป็นเครื่องอยู่ เมื่อมาเพ่งพิจารณาถึงอายุของน้อย พลันหมดสิ้นไปๆใกล้ต่อความตายเข้ามาทุกที กิจหน้าที่การงานของตนที่ประกอบอยู่จะไม่ทันสำเร็จ ถึงไม่ตายก็ทุพพลภาพเพราะความแก่ แล้วก็ได้ขวนขวายประกอบกิจหน้าที่ของตนเพื่อให้สำเร็จโดยเร็วพลัน กาลเวลาจึงอุปมาเหมือนกับนายผู้ควบคุมกรรมกรให้ทำงานแข่งกับเวลา ฉะนั้นฯ
     
      ทาน การสละวัตถุสิ่งของของตนที่มีอยู่ให้แก่บุคคลอื่น นอกจากผู้ให้จะได้ความอิ่มใจ เพราะความดีของตน แล้ว ผู้รับยังได้บริโภคใช้สอยวัตถุสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนอีกด้วย นับว่าไม่มีเสียผลทั้งสองฝ่าย แต่กาลเวลาที่สละทิ้งชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายแล้วไม่เป็นผลแก่ทั้งสองฝ่าย คือกาลเวลาก็หมดไป ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมสูญไป ยังเหลือแต่ความคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งระทมทุกข์ อันใครๆไม่พึงปรารถนาทั้งนั้น นอกจากบัณฑิตผู้ฉลาดในอุบาย น้อมนำเอาความเสื่อมสิ้นไปแห่งชีวิตนั้นเข้ามาพิจารณา ให้เห็นสภาพสังขารเป็นของไม่เที่ยง จนให้เกิดปัญญาสลดสังเวช อันเป็นเหตุจะให้เบื่อหน่าย คลายเสียจากความยึดมั่นในสังขารทั้งปวง
     
      ฉะนั้น ทาน การสละให้ปันสิ่งของของตนที่หามาได้ในทางที่ชอบให้แก่ผู้อื่น ในเมื่อกาลเวลากำลังคร่าเอาชีวิตของเราไปอยู่ จึงเป็นของควรทำเพื่อชดใช้ชีวิตที่หมดไปนั้นให้ได้ทุน (คือบุญ)กลับคืนมา
     
      การรักษาศีล ก็เป็นทานอันหนึ่ง เรียกว่า อภัยทาน นอกจากจะเป็นการจาคะสละความชั่วของตนแล้ว ยังเป็นการให้อภัยแก่สัตว์ที่เราจะต้องฆ่า และสิ่งของที่เราจะต้องขโมยเขาเป็นต้นอีกด้วย นี้ก็เป็นการทำความดี เพื่อชดใช้ชีวิตของเราที่กาลเวลาคร่าไปอีกด้วย
     
      ผู้กระทำชั่วพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีหนี้ติดตัว ผู้มีหนี้ติดตัวย่อมได้รับความทุกข์เดือดร้อน ฉะนั้น บาปกรรมชั่วเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ แต่ผู้ใดทำลงไปแล้วแม้คนอื่นทั้งโลกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่ความชั่วที่ตนกระทำลงไป แล้วนั่นแล เป็นเจ้าของมาทวงเอาหนี้ (คือความเดือดร้อน ภายหลัง) อยู่เสมอ ยิ่งซ้ำร้ายกว่าหนี้ที่มีเจ้าของเสียอีก
     
      เป็นที่น่าเสียดาย บางคนผู้ประมาทแล้วด้วยยศด้วยลาภก็ตาม ไม่ได้นึกคิดถึงชีวิตอัตภาพของตน กลัวอย่างเดียวแต่กาลเวลาจะผ่านพ้นไป แล้วตัวของเขาเองจะไม่ได้ทำความชั่ว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของดีแล้ว เช่น สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ฯลฯ เป็นต้น นำเอาชีวิตของตนที่ยังเหลืออยู่นั้น ไปทุ่มเทลงในหลุมแห่งอบายมุขหมดบุญกรรมนำส่งมาให้ได้ดิบได้ดี มีสมบัติอัครฐานอย่างมโหฬาร เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขัดสน แต่เห็นความพร้อมมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องความทุกข์ไป สู้ความชั่วอบายมุขไม่ได้

ที่มา  http://www.kammatan.com/board/index.php?PHPSESSID=94b835eb2af09c95f684e27893d965df&topic=1368.0

ความน่ากลัวของสังสารวัฏ




บางครั้งในหมู่คนที่มีความสุขสบายในชีวิต เกิดความขี้เกียจเจริญสติ

บางครั้งในหมู่คนที่มีความสุขสบายในชีวิต พรั่งพร้อมด้วย ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตา และสติปัญญา ครั้งแรกๆ ก็สนใจ ใคร่รู้ในการปฏิบัติธรรม แต่เมื่อปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง สมใจอยากแล้ว บางครั้งก็ละเลย เบื่อและเกียจคร้าน ในการปฏิบัติ ขอให้ท่านฉุกคิดขึ้นมาว่า

โลกมีสิ่งที่ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ มากมาย

เรามีสิ่งที่เราเกลียด เช่น แมลงสาบ หนูสกปรก หมาขี้เรื้อน ....

"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า เราไม่ต้องไปเกิดเป็นสิ่งเหล่านั้น"
เว้นเรื่องชาตินี้ ชาติหน้าไปเสีย บางครั้งเราพบเห็น คนที่ประสบอุบัติเหตุ หน้าตาเละ เสียโฉม ตาบอด พิกลพิการ หรือบางคนยากจนค่นแค้น พ่อแม่หรือลูกเมียสร้างหนี้สินภาระไว้ให้มากมายมหาศาล บางคนพลั้งพลาด ถูกหลอกลวง เจ็บแค้นเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส

......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า เราไม่ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น"

เว้นเรื่อง ไกลตัวที่ยังไม่มีไม่เกิด มาดูสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่เช่น ...บ้านอันแสนอบอุ่น ...ครอบครัวที่เรามีอยู่ ...เครื่องใช้อำนวยความสะดวกสบายและบันเทิงทั้งหลายทั้งปวง ...คอมพ์ตัวโปรดที่ใช้เล่นเน็ต หรือแม้แต่ลมหายใจแห่งชีวิตของเรา เมื่อวันใดวันหนึ่งมาถึง สิ่งเหล่านี้ก็ต้องพลัดพรากจากเราไป หรือเราเองนี่แหละที่ต้องพลัดพรากจากมันไป

......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า ความพลัดพรากใดๆ จะไม่เกิดขึ้น"

เว้นเรื่องชีวิต มนุษย์ ไปเสีย ด้วยจิตที่มีกำลังบุญอย่างใหญ่ หรือตั้งมั่นในฌานสมาบัติอันแก่กล้า มีความมั่นใจในอนาคตของตน ที่เห็นสุขคติและความสุข รออยู่เบื้องหน้า แต่ด้วยพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ได้ทรงสอนไว้แล้วว่า แม้แต่เทวดา หรือ พรหม ใดๆ ก็มีความเสื่อมและต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่พ้นไปได้

นี่ไม่ใช่การคิดหรือเห็นโลกในแง่ร้าย แต่นี่คือความจริงของโลกที่เรามิอาจปฏิเสธ เราอาจจะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่คิดถึง ไม่พูดไม่นึก พร้อมทั้งสร้างสิ่งที่จะสามารถรักษาสิ่งที่ดีดี เหล่านี้ไว้ให้มี นานที่สุด แต่ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเราพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่นึกถึงนั้น ก็ยังคงเป็นความจริงอย่างที่สุด ที่เรามิอาจหลีกเลี่ยง

เป็นโชคอันมหาศาลอย่างที่สุดที่มี มหาบุรุษผู้เจนโลก ผู้หยั่งรู้แล้วซึ่งความเป็นไปทั้งปวง มาช่วยเหลือเรา ให้พ้นจากวงจรแห่งความไม่แน่นอน จากความมีความเป็น แล้วเราจะเสียเวลา และประมาทอยู่ทำไม???


"ในทางโลก เขาแข่งกันมี
แต่ทางธรรม เรามุ่งที่ความไม่มี"









ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=60908&sid=edde2034afc581b2632ad1f7c3eb419c

จดหมายข่าว GotoKnow ครั้งที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555




สวัสดีค่ะ สมาชิก GotoKnow ทุกท่าน

ในจดหมายข่าวฉบับนี้ทีมงานขอนำเสนอข่าวที่น่าสนใจจาก GotoKnow ดังนี้ค่ะ

# เชิญร่วมกิจกรรมออนไลน์ลุ้นรับรางวัล #

- ชวน SHA 55 ถอดบทเรียนก่อนเข้าร่วมงาน 19-21 ธค. นี้ (http://www.gotoknow.org/posts/512332)
- New Year New You: ชวนเขียนสิ่งที่อยากทำ 10 อย่างเพื่อการปรับปรุงพัฒนาตนเองในปีใหม่ปีนี้ (http://www.gotoknow.org/posts/512358)
- ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านบล็อกกับรางวัลสุดคะนึง (GotoKnow Writer of the Month) (http://www.gotoknow.org/posts/486853)

# อัพเดตกันหน่อย #

- ผู้ได้รับรางวัลสุดคะนึง พฤศจิกายน 2555 ได้แก่ คุณอักขณิช ศรีดารัตน์ มากกว่า 300 บันทึกคุณภาพ กับ 1 ปีใน GotoKnow (http://www.gotoknow.org/profiles/users/akkhanich)
- ดาวน์โหลดคำถามที่พบบ่อยในการใช้ GotoKnow (http://www.gotoknow.org/posts/512354)
- ดาวน์โหลด GotoKnow Express สำหรับ Google Chrome บันทึกเร็ว เก็บง่าย ไม่ต้องจำ (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/503939)
- สถิติ GotoKnow ล่าสุด
  - เว็บไซต์อันดับที่ 29 ของประเทศ
  - สมาชิกกว่า 180,000 คน
  - บันทึกกว่า 500,000 รายการ
  - ไฟล์กว่า 790,000 รายการ
  - ความเห็นกว่า 2,600,000 รายการ

ขอบคุณค่ะ

GotoKnow - คนทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สู่บูรณาการงานกับชีวิต
สนุบสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้ สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) http://thaihealthcenter.org/

ไฟ 11 กอง




อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา
ได้ถูกไฟ 11 กอง เผาอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ

1.ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มีรูปเป็นต้น

2.ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ

3.ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง
โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์

4. ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์

5. ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์

6. มรณธ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์

7. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก

8. ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน

9. ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ

10.โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ

11.อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ

ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้ต้องพากันงมงาย เวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ


: หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
: วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่

คัดลอกจาก:
http://www.baanjomyut.com/10000sword/homily/09.html

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการทำถั่วฝักยาวให้ตรงและกรอบนาน


เทคนิคการทำถั่วฝักยาวให้ตรงและกรอบนาน เพียงแช่ถั่วในน้ำละลายสารส้มนาน 10 นาที นำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ แล้วห่อด้วยกระดาษ ก่อนนำเข้าตู้เย็น
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 5 ธค 2555

ดาวโหลด "สู่จุดจบ"ของชาติไทย? (The Coming Collapse of Thailand)


"สู่จุดจบ"ของชาติไทย? (The Coming Collapse of Thailand) หนังสือที่ถูกทักษิณยึด เก็บออกจากแผงหมด ไม่มีวางขาย
แจกมาให้อ่านฟรี โดย ดร. ไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำธนาคารโลก
http://www.mediafire.com/?7r8v52ggq7g5d72

การปลูกตะไคร้หอมรอบแปลงผัก


การปลูกตะไคร้หอมรอบแปลงผักและตัดใบออก 1 ซม ตีใบให้เกิดกลิ่นช่วงเย็นทุกวัน คือ เทคนิคในการป้องกันแมลงเข้าทำลายพืชผักได้เป็นอย่างดี
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 8 ธค 2555

กำจัดเห็บ-หมัดให้สุนัขหรือแมว


กำจัดเห็บ-หมัดให้สุนัขหรือแมว ใช้น้ำส้มควันไม้ 1ส่วน ผสมแชมพูอาบน้ำสัตว์ 2 ส่วน แล้วนำไปอาบให้สุนัข แมว ใช้ต่อเนื่อง เห็บ หมัดจะหายไป
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 8 ธค 2555

สูตรเด็ด อาหารเสริมปลา


สูตรเด็ด อาหารเสริมปลา ใช้ข้อไก่สด 50 กก. รำละเอียด 5 กก. เกลือ 1 กก. คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่เครื่องบดแล้วให้ปลาโตกินวันละ 2 มื้อ
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 9 ธค 2555

ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ภายใน 10 วัน


ปั่นมะระขี้นก (เอาเมล็ดออก) 3 ลูก+คึ่นฉ่าย 1 ต้น ดื่ม 1 แก้วก่อนทานอาหารเช้าเป็นประจำ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ภายใน 10 วัน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 9 ธค 2555

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กรณีปกคู่สร้างคู่สม กับการโปรยหัวหนังสือ ถ้าเจอ "พ่อ" ทีไหน ฉันจะถ่มน้ำลายรดทีนั่น



       กลายเป็นกระแส ลบ ทันที สำหรับหน้าปกใหม่ ของ "คู่สร้าง คู่สม " ดังภาพ  กับการโปรยหัว  " ถ้าเจอ "พ่อ" ทีไหน ฉันจะถ่มน้ำลายรดทีนั่น"

     ชาวเฟสบุค ที่เห็นภาพปก ก็ต้องสะดุดกับข้อความนี้ แล้วโพสประนาม ถามหาความรับผิดชอบทันที โดยที่ยังไม่ได้เปิดอ่านเนื้อหาในเล่ม คงเนื่องมาจากกระแส  นสพ.มติชน กับบทอาเศียรวาท

     ลองมาอ่าน ข้อความ จากคนที่เิปิดอ่าน เนื้อหาในเล่มนี้ดูบ้าง




        Tiamö Nunä คือ เป็นคำพูดของนักร้องดัง อเดล ( Adele) ที่คู่สร้างคู่สม ลงรายละเอียดของเธอนะค่ะ (เธอไม่ค่อยชอบพ่อเธอเท่าไร เพราะว่าทิ้งเธอไปตั้งแต่เธอยังเล็ก แต่กลับมาหาเธอตอนเธอมีชื่อเสียง แล้วก็เอาไปให้สำภาษณ์เกี่ยวกับตัวเธอกับนักข่าว แบบว่าเอาชื่อเสียงของเธอไปหากิน อะไรทำนองนี้นะค่ะ) นาว่าไม่น่าจะเป็นประเด็นนะค่ะ เพราะในหนังสือคู่สร้างคู่สม ก็ลงบทความเกี่ยวกับในหลวง มาหลายสัปดาห์แล้ว อย่างเล่มนี้ก็ลง ต้นมะม่วงที่ในหลวงไปปลูกที่ ปากีสถาน ตัวคุณดำรงเองเท่าที่ทราบประวัติ ก็เทิดทูนสถาบันนะค่ะ ตัวหนังสือหน้าปก ก็ไม่ได้เป็นสีแดงแจ๋ แบบที่เห็นนี่นะค่ะ ตัวหนังสือ คู่สร้างคู่สม เล่มนี้เป็นสีเหลือง-ส้มค่ะ(แต่ละสัปดาห์จะลงสีไม่เหมือนกัน) คำว่าต้นมะม่วงในหลวง ก็เป็นสีเหลือง-ส้มค่ะ ไม่ได้เป็นสีแดงแจ๋ แบบที่ถ่ายลงมาแบบนี้เลย นาว่าอย่าเอามาเป็นประเด็นเลยค่ะ เดี๋ยวจะเหมือนกรณี ทราย เจริญปุระ (เข้าใจค่ะว่า รักในหลวง นาก็รัก และเทิดทูน) แต่กรณีนี้ นาว่า เขาไม่ได้ จงใจนะค่ะ (ความเห็นส่วนตัวค่ะ) คือในรายละเอียด เขาโค๊ด คำพูดนี้ในเล่มอีกครั้ง แล้วก็ถามว่า "อะไรที่ทำให้เธอโกรธถึงกล้ากล่าวประโยคนี้ออกมา...หลายคนอาจข้องใจ" แล้วเขาก็เล่ารายละเอียดค่ะ ดังที่นาพิมพ์บอกไป..
18 นาทีที่แล้ว

       Tiamö Nunä แต่ก็ต้องขอติง คู่สร้าง คู่สม ว่า สำหรับเดือนมหามงคลแบบนี้ คู่สร้างคู่สม ไม่น่าจะโปรย หัว แบบนี้เลย มันขัดต่อความรู้สึกของคนไทยที่รักพ่อหลวงค่ะ

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เหตุใดเรารักในหลวง - รู้ได้ยังไงว่ารัก -“รักแล้วต้องทำยังไง”






คุณเคยนึกสงสัยกับคำถามที่ว่า "เหตุใดเรารักในหลวง" หรือไม่

    สำหรับตัวฉันเองแล้ว กลับมีคำถามมากมายเกี่ยวกับผู้ที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ถ้าคำถามนี้ออกจากชาวต่างชาติ อาจจะไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกเท่าใดนัก เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะไม่เคยพบเห็น พบเจอ หรือเข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไปของความรักนี้ แต่หากมาจากคนที่อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่านอยากให้ ฉันอยากให้ทุกคนลองย้อนกลับมามองที่ตนเองว่า เหตุใด เราจึงตั้งคำถามนี้ขึ้นมา บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำถามว่า ทำไมเราถึงรักผู้หญิงคนนั้น ผู้ชายคนนู้น หลายครั้งที่คำตอบที่เราได้รับคือ "ไม่มีเหตุผล" นั่นแปลว่า "ความรัก" ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเหตุผล หากแต่เรามีเพียงความรู้สึกที่เรียกว่า "รัก"
"ความรู้สึก" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากข้างใน ไม่สามารถมีใครมาบังคับเราได้ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบหนึ่งซึ่งเกิดจากจิตสำนึก หรือภายใต้จิตสำนึกของเราเอง

แล้วความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” เป็นใช่ไร เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรารักแล้ว
     เพียงแค่คุณมองสิ่งรอบตัวคุณเอง ว่า มีคนไหนรอบข้างคุณ ที่คุณสามารถบอกว่า รัก ได้จริงๆหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ที่มีต่อพ่อแม่ ความรักที่มีต่อญาติพี่น้อง ความรักที่มีต่อเพื่อน ความรักที่มีต่อคนรัก หรือจะรักในตัวศิลปิน แม้จะต่างกันในบางมุมของความรัก แต่สิ่งที่เหมือนคือ เรารู้สึกรัก หากคุณรู้สึกรักแล้ว คุณอาจจะมีคำถามต่อไปว่า

“รักแล้วต้องทำยังไง”
     คำตอบนี้มีอยู่รอบตัวคุณเช่นกัน คุณอยากทำอะไรให้คนที่คุณรักเช่น คุณรักพ่อแม่ คุณอยากให้ท่านสบาย มีอาหารการกิน ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คุณจะต้องทำยังไง แน่นอน คุณก็จะต้องทำในสิ่งที่ท่านทำให้คุณมาก่อน คือ ทำงานเพื่อจะมีรายได้ในการดูแลท่าน แม้ว่างานนั้นอาจจะลำบาก เราก็พร้อมยินดีที่จะทำเพื่อคนที่เรารัก แม้ท่านจะบอกว่า ไม่เป็นไร ท่านยังสามารถดูแลตัวเองได้ก็ตาม แม้ท่านอาจจะปฏิเสธในสิ่งที่คุณให้ท่าน ซึ่งบางครั้งท่านเห็นเราเหนื่อยเพื่อได้มันมาและไม่อยากให้เราลำบาก แต่เราก็ยินดีที่จะพูดว่า ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ให้มากกว่านี้ก็ทำได้ ทั้งหมดนี้อาจจะเพียงเพื่อเห็นแค่รอยยิ้ม และสายตาแห่งความภาคภูมิใจที่ได้รับกลับมา นั่นคือสิ่งที่ลูกทุกคนอยากได้ มันไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่กลับมีมูลค่าทางจิตใจ นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยเงินตราแต่กลับมีค่าสูงสุดสำหรับผู้ให้เช่นเรา เฉกเช่นเดียวกันกับคนที่รักในพระเจ้าอยู่หัว ออกมาทำดีเพื่อพระองค์ ออกมาทำสิ่งเล็กๆที่บางคนอาจจะมองว่าไม่มีประโยชน์ มองว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้ผลตอบแทนมากกว่า มองว่าทำให้พระองค์ พระองค์ไม่เห็น ไม่รู้ เราจะทำเพื่ออะไร เช่น กวาดเศษใบไม้ข้างลานพระบิดา ในโรงพยาบาลศิริราช ทำไปทำไม เดี๋ยวถึงเวลาก็มีคนมาทำ ทำตอนนี้เดี๋ยวใบไม้ก็ล่วงหล่นมาอีก พระองค์ไม่ทรงทอดพระเนตรลงมาตอนที่เราทำอยู่หรอก หากแต่ผู้ที่ช่วยกันทำนั้น กลับคิดว่า ถ้าปราศจากเศษใบไม้ จะทำให้สดชื่น เผื่อว่าพระองค์ทอดพระเนตรลงมา พระองค์จะได้รู้สึกผ่อนคลายกับต้นไม้ ใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม หากแต่พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรลงมาในเวลานั้นก็ไม่เป็นอะไร เพราะผู้ป่วยที่ผ่านมาทางนั้นพอดี ก็จะเห็นและทำให้รู้สึกผ่อนคลายกับอาการป่วยของตนได้ก็ยังดี เป็นส่วนเล็กๆในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ได้คำนึงถึงว่า ณ ขณะที่ตนทำนั้น แดดจะร้อนเพียงใด แต่กลับมองเห็นถึงว่า เมื่อทำเสร็จแล้ว จะมีใครบ้างที่ได้รับ ดังเช่น ที่พระองค์ ทรงงาน หลายครั้งที่พระองค์ ทรงเสด็จไปในถิ่นทุระกันดาน โดยไม่ได้คำนึงถึงความลำบากขณะที่พระองค์เสด็จ เพียงแต่พระองค์อยากที่จะช่วยเหลือ ประชาชนที่พระองค์รักดั่งลูกของตน บางครั้งหากทุกคนเลือกที่จะทำแต่สิ่งที่ให้ทุกคนมองเห็นดังเช่นปิดทองพระประธานแต่ด้านหน้า ด้านหลังไม่มีผู้ปิด พระประธานจะสง่างามได้อย่างไร

Maliwan Pukka Keewiriyakul
๗ ธ.ค. ๒๕๕๕

(หมายเหตุ  บทความที่น้องปุ๊ก ส่งมาให้อ่าน เมื่อเห็นว่า เข้าที น่าอ่าน จึงขอเผยแพร่ แปะใน facebook กว่า ร้อยเฟส)

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์



คลิกฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
ที่: http://youtu.be/956FSrg2Bds


ครั้งแรกและครั้งเดียวกับรายการวิทยุที่เสียงของป้ามีดบินและลุงพงศ์อยู่ในรายการเดียวกัน
ครั้งสุดท้ายกับการให้ความรู้ของลุงพงศ์ เรื่องการปลูกมะนาว บันทึกไว้ 20 ชั่วโมงก่อนเสียชีวิต

หลากหลายคำถามที่ลุงสุเวศน์ ถามแทนหลายคน เกิดอะไรขึ้นกับลุงพงศ์, แล้วตอนนั้นป้า เป็นยังไง? จะสานต่องานลุงพงศ์หรือไม่,
ชีวิตต่อไปของป้า วางแผนยังไง, งานทำบุญ 100 วัน จะจัดที่ไหน ฯลฯ หลายคำถาม ฟังจากป้ามีดบินในรายการ

 หลายคน สงสารป้ามีดบิน แต่การพุดคุยกับป้าในรายการ "อยู่กับปัจจุบัน และอนาคตเท่านั้น"
อยู่ที่แฟนคลับ คนรู้จักลุงพงศ์ จะนั่งสงสารป้า หรือ จะก้าวเดินต่อไปกับป้า ...อยู่ที่แต่ละท่านแล้ว...


คลิกฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
ที่: http://youtu.be/956FSrg2Bds

สูตรอาหารเสริมปลาดุก


สูตรอาหารเสริมปลาดุก ผลปาล์มน้ำมัน 15 กก.  หมักในถัง 100 ลิตร ใส่น้ำเกือบเต็ม หมักไว้ 3-4 วัน  ใช้ผลปาล์มดองเป็นอาหารปลาดุกกินได้เลย
Sms FarmerInfo by DTAC-  11.15 น. 25  พ.ย.2555

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง


 มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง

มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้ หากอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ไม่นานก็จะรู้สึกกระสับกระส่าย หรือถูกความเหงาเกาะกุมจิตใจ คนจำนวนไม่น้อยจึงพยายามหนีตัวเอง ด้วยการทำตนให้วุ่นกับสิ่งต่างๆที่อยู่นอกตัว เช่น เที่ยวเตร่สนุกสนาน ช็อปปิ้งเล่นเกมออนไลน์ หรือไม่ก็วิ่งหาผู้คน สนทนาไม่หยุด อยู่ห่างจากโทรศัพท์ (และแบล็คเบอรี่) ไม่ได้ หลายคนยอมแลกอิสรภาพและความสุขสงบ เพื่อมีใครสักคนเป็นเพื่อนหรือคู่รัก แม้จะถูกเขาทำร้ายจิตใจก็ยอม ทั้งนี้เพียงเพื่อจะได้หายเหงาเท่านั้นเอง

เรารักตนเองแต่เหตุใดจึงทนอยู่กับตนเองไม่ได้ หากเรารักตนเองจริง เราย่อมพอใจและมีความสุขที่ได้อยู่กับตัวเอง แต่เหตุใ ดเราจึงรู้สึกเหงาในยามที่ไม่มีใครนอกจากตัวเองใช่หรือไม่ นั่นเป็นเพราะเรายังไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ในส่วนลึกเรายังทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับตัวเอง จึงพยายามหนีตัวเองตลอดเวลา จะว่าไปแล้วความทุกข์ส่วนใหญ่ของผู้คน ล้วนมีรากเหง้ามาจากการที่ไม่สามารถเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างแท้จริง
โดย พระไพศาล วิสาโล

อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า



อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์.
ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น.
เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง
หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น,
อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.
ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์
จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น
เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ?
...ไม่ทราบ พระเจ้าข้า...
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง
ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้
ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้...

พรหมชาลสูตร ๙/๓


อย่าดีใจตื่นเต้นเมื่อใครชมเชยพระพุทธเจ้า

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวชมเชยเรา
ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ท่านทั้งหลายไม่พึงแสดงความชื่นชมโสมนัส
หรือความรู้สึกตื่นเต้นในบุคคลเหล่านั้น
เพราะถ้าท่านทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัส
มีความตื่นเต้นในบุคคลที่กล่าวชมเชยเรา
ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
อันตรายเพราะเหตุนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงรับรองเรื่องที่เป็นจริง ให้เห็นว่าเป็นจริง
ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นจริง ข้อนั้นแท้
ข้อนั้นมีในพวกเรา ข้อนั้นปรากฏในพวกเรา ดังนี้...

พรหมชาลสูตร ๙/๔

คัดลอกจากหนังสือ...พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
ย่อความจากประไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ๔๕ เล่ม...
โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ

เดิน : วิถีแห่งสติ ติช นัท ฮันห์ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล


เดิน : วิถีแห่งสติ
ติช นัท ฮันห์ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล

เธอจะต้องทำได้

การเดินจงกรม คือวิธีทำสมาธิโดยการเดิน วิธีนี้จะนำสันติสุขมาให้เธอในขณะปฏิบัติ เมื่อเธอฝึกเดินจงกรม จงก้าวช้าๆ ด้วยอาการผ่อนคลายและสงบ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า เธอควรเดินเหมือนคนที่มีเวลาว่างอย่างยิ่ง และไม่มีอะไรต้องทำเลย ในขณะก้าวแต่ละก้าวจงสลัดทิ้งความกังวลและความเศร้าทั้งหลาย เพื่อที่จะอยู่อย่างสันติสุข เธอควรไปแต่ละก้าวด้วยอาการเช่นนี้ สิ่งนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับเธอเลย เธอจะต้องทำได้แน่นอน ทุกคนสามารถทำได้ หากเขาหรือเธอต้องการอยู่ในความสุขสันติ

ไปโดยปราศจากการถึง

ในชีวิตที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรามักจะรู้สึกรีบร้อนด้วยเรื่องบีบคั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรามักจะต้องรีบเสมอ แต่เราจะรีบร้อนไปไหนเล่า? นี่เป็นคำถามที่เรามักไม่ค่อยถามตัวเอง

การเดินจงกรมก็เหมือนกับการเดินเล่น เราจะไม่กำหนดเป้าหมายแน่นอนที่จะต้องไปถึง หรือกำหนดเวลาที่จะไปถึง เป้าหมายของการเดินจงกรมก็คือการเดินจงกรม จุดสำคัญก็คือ การเดินโดยไม่มีการไปถึง การเดินจงกรมไม่ใช่วิธีการ แต่คือเป้าหมาย แต่ละก้าวคือชีวิต แต่ละก้าวคือความสุขสันติ นี่คือเหตุผลที่เราไม่ต้องเดินอย่างเร่งร้อน นี่คือเหตุผลของการก้าวอย่างเนิบช้า เดิน แต่อย่าเอาแต่เดิน เดิน อย่าให้ความมุ่งหมายใดผลักเราไปข้างหน้า ด้วยวิธีนี้ เมื่อเราเดิน จงเดินพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า

ก้าวอย่างผ่อนคลาย

ในชีวิตประจำวัน ย่างก้าวของเราจะถูกถ่วงทับอยู่ด้วยความวิตก ความกังวล และความกลัว อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของเรา ก็คือ เดือนปีแห่งความวิตกกังวล ด้วยเหตุนี้ ย่างก้าวของเรา จึงไม่สามารถเป็นย่างก้าวแห่งความผ่อนคลาย

โลกนี้ช่างงดงามไปด้วยเส้นทางที่น่าตื่นใจมากมาย มีเส้นทางเล็กๆ ที่มีต้นไผ่ขึ้นอยู่สองข้างทาง มีเส้นทางที่ถูกอาบไล้ด้วยกลิ่นละมุนของทุ่งนาข้าว ยังมีเส้นทางแห่งสีสันอันงดงามของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงแต่เราไม่ค่อยได้รับรู้ หรือชื่นชมเส้นทางเหล่านี้ เนื่องด้วยเราไม่รู้สึกผ่อนคลาย และย่างก้าวของเราก็ไม่ผ่อนคลายเช่นกัน

การเดินจงกรมคือการฝึกเดินอย่างผ่อนคลายอีกครั้งหนึ่ง สมัยเมื่อเราอายุได้หนึ่งขวบครึ่ง เราเริ่มต้นเดินอย่างไม่มั่นคง มาบัดนี้ เมื่อเราฝึกเดินจงกรม เราจะเริ่มต้นเดินอย่างไม่มั่นคงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังการฝึกสักไม่กี่อาทิตย์ เราจะเริ่มก้าวได้อย่างมั่นคง สงบ และเป็นธรรมชาติ ข้อความต่อไปนี้ เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้เธอเริ่มการฝึกนี้ ฉันหวังว่าเธอจะพบกับความสำเร็จ

สลัดทิ้งความกังวล

หากฉันมีดวงตาดังพระเนตรของพระพุทธเจ้า ฉันก็จะสามารถมองเห็นรอยเท้าของเธอ ที่จารึกร่องรอยแห่งความกังวล และความเศร้า ที่เธอฝากไว้บนพื้นโลก ขณะที่เดินผ่านไปได้อย่างชัดเจน ราวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้แว่นขยายส่องเห็นจุลินทรีย์ ที่ปรากฏอยู่ในน้ำซึ่งนำมาจากทะเลสาบ ความลับของการเดินจงกรม ก็คือ การเดินด้วยอากัปกิริยาที่จะจารึกแต่ความสุขสงบไว้บนรอยเท้าของเธอเท่านั้น หากเธอปรารถนาที่จะเดินในลักษณะนี้ เธอจะต้องเรียนรู้การสลัดทิ้่งความเศร้า และความกังวลทั้งหลาย

เดินอยู่บนดินแดนบริสุทธิ์

หากฉันมีเท้าดังพระบาทของพระพุทธเจ้า ฉันจะพาเธอไปสู่ดินแดนบริสุทธิ์ของพระอามิตตพุทธ ทิวทัศน์ ณ ที่นั้น สวยสดงดงามและสุขสงบยิ่งนัก หากเธอมีโอกาสไปยังดินแดนแห่งนั้น เธอจะเดินด้วยท่วงทีอย่างไร? เธอแน่ใจหรือว่า เธอจะไม่ฝากร่องรอยแห่งความกังวล และความเศร้าของชีวิตทางโลกไว้บนรอยเท้าของเธอ ณ ดินแดนบริสุทธิ์แห่งนั้น

หากเธอนำความเศร้า และความกังวลไปกับเธอ และฝังรอยเหล่านั้นบนดินแดนบริสุทธิ์แห่งนั้น เธอก็จะทำให้ดินแดนแห่งนั้นมัวหมอง การที่จะสามารถอยู่ในโลกแห่งสันติสุข เธอจะต้องสามารถเดินด้วยฝีเท้าที่มีความสงบสุขเสียตั้งแต่ที่นี่ บนโลกแห่งนี้

ตราประทับแห่งกษัตริย์

เลือกทางเดินที่เรียบสม่ำเสมอ เพื่อฝึกเดินจงกรม อาจจะเป็นริมฝั่งน้ำ สวนสาธารณะ ลานบ้าน ในป่า หรือทางเดินเล็กๆ ระหว่างต้นไม้ ยังมีคนฝึกเดินจงกรมในค่ายกักกัน แม้แต่ในคุกอันคับแคบ และมืดทึบ จะเป็นการดีหากว่าทางเดินนั้นไม่ขรุขระหรือชันเกินไป เดินให้ช้าลงและจดจ่อความสนใจของเธอลงไปในแต่ละก้าว มีสติรู้อยู่ในการก้าวแต่ละก้าว ก้าวอย่างระมัดระวังและสงบ ก้าวด้วยอาการดำเนินแห่งพระพุทธองค์ เมื่อเธอก้าวจงประทับรอยเท้าของเธอ ลงบนพื้นโลกอย่างระมัดระวัง และด้วยความมั่นใจ ประดุจดังกษัตริย์ที่ทรงประทับตราประจำพระองค์ลงบนโองการแผ่นดิน

ตราประทับของกษัตริย์บนโองการแผ่นดิน อาจนำความสุขหรือความทุกข์มาให้แก่ประชาชน ฝีเท้าของเธอก็เป็นเฉกเช่นกัน โลกแห่งความสันติสุขขึ้นอยู่กับว่า เธอจะสามารถก้าวอย่างสุขสันติได้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับก้าวแต่ละก้าวของเธอ หากเธอสามารถก้าวหนึ่งก้าวได้อย่างสันติสุข เธอก็จะสามารถก้าวอีกสองก้าว จนกระทั่งสามารถก้าวได้ ๑๐๘ ก้าวอย่างสันติสุข

* กำหนดอนุสสติ คลายกังวลและนิวรณ์ ๕ ด้วยกระบวนความคิดที่ทำให้จิตเกิดความเบา ปลอดโปร่ง และมีปีติ

การก้าวของเธอคือการกระทำที่สำคัญที่สุด

การกระทำใดบ้างที่เป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ? สอบไล่ผ่าน ซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือการได้เลื่อนตำแหน่งการงาน? มีคนจำนวนมากที่สอบไล่ผ่าน ซื้อรถ และได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เขาเหล่านั้นไม่เคยอยู่กับความสงบสุข เขาไม่เคยรู้สึกเต็มเปี่ยม ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ การอยู่อย่างสันติสุขกับตัวเอง และแบ่งปันสันติสุขนั้นกับผู้อื่น (เจริญพรหมวิหาร ๔) แต่การที่เธอจะสามารถอยู่ได้อย่างสันติสุขนั้น เธอจะต้องมีสติกับการก้าวแต่ละก้้าว การก้าวของเธอ เป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดของเธอ มันจะชี้ชะตาในทุกสิ่ง ฉันได้จุดธูปขึ้น แล้วพนมมือเข้าหากัน พร้อมกับตั้งความปรารถนาให้เธอได้พบกับความสำเร็จ

สายลมสดชื่นปรากฏขึ้นจากเท้าแต่ละก้าว

ในวัดแห่งหนึ่ง ที่จุดเริ่มของทางเดินจงกรม มีคำจารึก ๕ คำ บนแผ่นหินขนาดใหญ่ว่า "โบ โบ ทัน ฟอย กอย" ซึ่งมีความหมายว่า สายลมสดชื่น ปรากฏขึ้นจากเท้าแต่ละก้าว เธอไม่รู้สึกหรือว่า มันช่างเป็นคำพูดที่ไพเราะ ..

.. สายลมสดชื่น คือความแจ่มใส ความสงบสุข และอิสระที่พัดพาเอาความเศร้าของชีวิต และความตายออกไปให้สิ้น และนำเอาความสดชื่นแห่งสันติสุขมาสู่จิตใจของเรา เมื่อเธอก้าวด้วยอาการเช่นนี้ เธอจะสามารถช่วยโลกได้

จงตื่นขึ้นเพื่อที่จะปล่อยวาง

ความกังวลและความเศร้า มักจะเกาะตรึงอยู่กับชีวิตของเรา เราจะสลัดมันทิ้งได้อย่างไร? ก้าวอย่างผ่อนคลายและมั่นคง ตื่นขึ้น และมีความมุ่งมาดอันหนักแน่น ตื่นขึ้นเพื่อจะได้เห็นว่า เธอได้แบกเอาความกังวลและความเศร้าไว้หนักอึ้งเพียงไร มีความมุ่งมาดอันหนักแน่นเพื่อจะละวางความกังวลและความเศร้านั้นเสียอย่างเด็ดเดี่ยว ความกังวลและความเศร้าเกิดขึ้นเมื่อเธอถูกครอบงำด้วยอดีตและอนาคต เมื่อใดที่เราแลเห็นความกังวลและความเศร้า เมื่อนั้นเราก็ได้ตื่นขึ้น ขอให้เรามีความเมตตาต่อตัวเราเอง เราจะรู้สึกเมตตาตนเอง เมื่อเราได้แลเห็นว่า เราถูกจำกัดอยู่ด้วยโครงสร้างของเวลา ถูกจำกัดอยู่ด้วยความกังวลและความเศร้า หากเราต้องการ เราก็สามารถปล่อยวางมันเสียแต่เดี๋ยวนี้ เหมือนดังเราถอดเสื้อฝนออกสะบัด ให้หยาดฝนที่เกาะอยู่นั้นหลุดออกไป

ยิ้ม ดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์

เมื่อเธอสลัดความกังวลและความเศร้าออกไป จงปล่อยให้รอยยิ้มปรากฏออกมาแทนที่ ยิ้มน้อยๆ และถนอมรอยยิ้มนั้นไว้บนริมฝีปาก ดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์ จงเรียนรู้ที่จะก้าวดุจการดำเนินแห่งพระพุทธองค์

ยิ้มดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์ เธอสามารถทำได้ เธอไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง แต่เธอสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ในขณะปัจจุบันนี้เลยทีเดียว

การยิ้มน้อยๆ นี้ไม่เพียงแต่เป็นผลจากสติและสันติสุขเท่านั้น แต่การยิ้มน้อยๆ ยังมีผลในการหล่อเลี้ยงและรักษาสติด้วย นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ขอเธออย่าได้ละเลยเป็นอันขาด เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเธอ มันจะนำความสงบสุขและสติมาให้แก่เธอ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้คนรอบข้างของเธอได้พบสันติสุขและสติด้วยเช่นกัน สิ่งนี้จะเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นดินแดนบริสุทธิ์

ในขณะเดินจงกรม ขอให้เธออย่าลืมรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้ มันจะช่วยให้เธอก้าวได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น สงบและมีสติมากขึ้น

สายร้อยแห่งมุก

รอยยิ้มน้อยๆ และก้าวที่สุขสงบ อาจเปรียบได้กับประกายแสงแห่งไข่มุกแต่ละเม็ด ลมหายใจของเธอคือเชือกร้อยไข่มุกทั้งหลายเข้าด้วยกันเป็นสาย ไม่มีการแยกขาดระหว่างไข่มุกสองเม็ด

ขอให้เธอหายใจอย่างมีสติ เช่นเดียวกับเวลาเธอเดินจงกรม การตามรู้ลมหายใจเป็นวิธีที่วิเศษในการประคองสติและความสุขสงบเอาไว้ และด้วยวิธีนี้ เธอได้หล่อเลี้ยงการก้าวแต่ละก้าวของเธอไว้ด้วย

การนับลมหายใจ และการก้าวเดิน

 การหายใจอย่างมีสติแตกต่างจากการหายใจตามธรรมดา การหายใจอย่างมีสติ หมายความว่า เมื่อเธอหายใจ เธอรู้ว่าเธอกำลังหายใจ เมื่อเธอหายใจยาว เธอย่อมรู้ว่า เธอกำลังหายใจยาว และเช่นเดียวกัน เมื่อเธอหายใจสั้น เธอย่อมรู้ว่า เธอกำลังหายใจสั้น เมื่อเธอหายใจละเอียด เธอย่อมรู้อยู่ว่า เธอกำลังหายใจละเอียด เธออาจจะถามว่า เธอจะกำหนดรู้ทั้งการหายใจและการเดินในเวลาเดียวกันได้อย่างไร มันทำได้ หากว่าเราเชื่อมประสานการหายใจและการเดินเข้าด้วยกัน เราสามารถทำได้ โดยอาศัยวิธีนับ เรานับจำนวนก้าว หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือ เราวัดความยาวของลมหายใจด้วยจำนวนก้าว เช่น เราก้าวได้กี่ก้าว เมื่อหายใจเข้า และก้าวได้กี่ก้าว เมื่อเราหายใจออก

สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์


> บทความที่ดีที่อยากให้อ่านกันค่ะ
>
> สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
>
> "ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมคณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมาช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่าไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไปเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วลาออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"
> (เรื่องขำขันเสียดสีจากอินเตอร์เน็ตจีน)
>
> เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำนวนกำลังภายในบรรยายความรู้สึกว่า
> "หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้" เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวนขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป
> คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ"
> ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวัติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเท่าไร
> ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลงตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น
> เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมากกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า
> สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโตในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือ
> ตำแหน่งบริหารในองค์กร ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง
> แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟังทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ
> กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบดบังเนื้อแท้จนหมดสิ้น
> เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นตัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ความเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
> ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขรอะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่มเติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออยู่ จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูกใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตนาอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทนให้สาสม เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน
> ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีวิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือนมดเล็กๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้านๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น และหากจะเปรียบกับความยืนยาวของประวัติศาสตร์หรืออายุของกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น
> เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล่าว เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอย่างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เพราะโดยแก่นแท้แล้ว เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสารด้วยกันทั้งสิ้น
> ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงจนกว่าจะ
> ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกลางเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง...
>
> (บทความจาก CEO ซีพี ออลล์)
>
>
> Sent from my iPad

อรรถกถา อุลูกชาดก ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่


อรรถกถา อุลูกชาดก
ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการทะเลาะของกาและนกเค้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺเพหิ กิร ญาตีหิ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น กาทั้งหลายพากันกินนกเค้าทั้งหลายในตอนกลางวัน ฝ่ายนกเค้าทั้งหลาย จำเดิมแต่พระอาทิตย์อัศดงคต ก็พากันเฉี่ยวศีรษะของพวกกาที่นอนอยู่ในที่นั้นๆ ทำให้พวกกาเหล่านั้นถึงความสิ้นชีวิตไป. ศีรษะกาแม้มากมายเปื้อนเลือดประมาณ ๗-๘ ทะนานหล่นจากต้นไม้ ภิกษุรูปหนึ่งผู้อยู่ในบริเวณแห่งหนึ่งท้ายพระวิหารเชตวัน ต้องเก็บทิ้งในเวลากวาด.
               ภิกษุนั้นจึงบอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
               ภิกษุเหล่านั้นนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในเวลาที่ภิกษุรูปโน้นกวาดจะต้องทิ้งศีรษะกาทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ทุกวันๆ
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นน่ะ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน กากับนกเค้าก็ได้กระทำการทะเลาะกันมาแล้ว.
               ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กากับนกเค้าก่อเวรแก่กันและกันขึ้นในคราวไร พระเจ้าข้า?
               พระศาสดาตรัสว่า จำเดิมแต่กาลอันเป็นปฐมกัปทีเดียว แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป มนุษย์ทั้งหลายประชุมกัน คัดเลือกบุรุษคนหนึ่งผู้มีรูปงาม ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม สมบูรณ์ด้วยมารยาท บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แต่งตั้งให้เป็นพระราชา.
               ฝ่ายสัตว์ ๔ เท้าก็ประชุมกันตั้งราชสีห์ให้เป็นพระราชา.
               พวกปลาในมหาสมุทรก็ได้ตั้งปลาอานนท์ให้เป็นพระราชา.
               ลำดับนั้น หมู่นกพากันประชุมที่หินดาดแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ ปรึกษากันว่า ในหมู่มนุษย์พระราชาก็ปรากฏ ในสัตว์ ๔ เท้าและปลาทั้งหลายก็ปรากฏเหมือนอย่างนั้น แต่ในระหว่างพวกเรา พระราชายังไม่มี ธรรมดาว่า การอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง ย่อมไม่ควร แม้พวกเราก็ควรจะได้พระราชา พวกเราจงกำหนดนกตัวหนึ่งผู้สมควรตั้งไว้ในตำแหน่งพระราชา. นกทั้งหลายพิจารณาหานกเช่นนั้น เห็นนกเค้าตัวหนึ่งก็ชอบใจ จึงกล่าวว่า เราชอบใจนกตัวนี้.
               ลำดับนั้น นกตัวหนึ่งจึงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เพื่อต้องการหยั่งดูอัธยาศัยใจคอของนกทุกตัว. เมื่อนกตัวนั้นร้องประกาศอยู่ ๒ ครั้ง ก็ยังสงบเงียบอยู่.
               ในเวลาจะประกาศครั้งที่ ๓ กาตัวหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า ก่อนอื่น ในเวลาอภิเษกเป็นพระราชาครั้งนี้ หน้าของนกเค้าผู้ยังไม่โกรธ ยังเห็นปานนี้ก่อน เมื่อเขาโกรธ หน้าจักเป็นเช่นไร ก็พวกเขาผู้ถูกนกเค้าตัวนี้โกรธ แลดูแล้วจักแตกตื่นกันในที่นั้นทันที เหมือนเกลือที่ใส่ในกระเบื้องร้อนฉะนั้น การตั้งนกเค้านี้ให้เป็นพระราชา ข้าพเจ้าหาพอใจไม่.
               เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               ได้ยินว่า พวกญาติทั้งปวงจะตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ถ้าพวกญาติอนุญาต ฉันจะขอพูดสักคำหนึ่ง.

               ความของคาถานั้นว่า ฉันได้ฟังการกล่าวประกาศ ซึ่งกำลังเป็นไปอยู่นั้น จึงขอกล่าว. ได้ยินว่า พวกญาติที่มาประชุมกันนี้ทั้งหมด จะตั้งนกเค้าตัวนี้ให้เป็นพระราชา ก็ถ้าพวกญาติจะอนุญาตฉันไซร้ ฉันขอกล่าวอะไรๆ สักคำหนึ่งที่จะพึงกล่าวในสมาคมนี้.

               ลำดับนั้น นกทั้งหลาย เมื่อจะอนุญาตกานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ดูก่อนสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้ ท่านพูด แต่จงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถและธรรมอย่างเดียว เพราะว่านกหนุ่มๆ ที่มีปัญญาและทรงญาณอันรุ่งเรือง ยังมีอยู่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณ สมฺม อนุญฺญาโต ความว่า ดูก่อนกาผู้สหาย พวกเราอนุญาต ท่านจงพูดสิ่งที่ควรพูดเถิด.
               บทว่า อตฺถํ ธมฺมญฺจ เกวลํ ความว่า ก็เมื่อท่านจะกล่าวจงกล่าวอย่าให้ละเลยเหตุ และคำอันมีมาตามประเพณีเสีย.
               บทว่า ปญฺญวนฺโต ชุตินฺธรา ความว่า พวกนกแม้หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์ด้วยปัญญา และทรงแสงสว่างแห่งญาณความรู้ยังมีอยู่เหมือนกัน.

               กาตัวนั้นอันพวกนกอนุญาตอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :--
               ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ท่านจงมองดูหน้าของนกเค้าผู้ไม่โกรธเถิด นกเค้าโกรธแล้วจักทำหน้าตาอย่างไร.

               เนื้อความของคาถานั้นนั้นว่า
               ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายทำการอภิเษกนกเค้าด้วยการประกาศ ๓ ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ก็ท่านทั้งหลายจงมองดูหน้าของนกเค้านี้ผู้ดีใจยังไม่โกรธขณะนี้ เราไม่รู้ว่า ก็นกเค้านี้โกรธแล้วจักกระทำหน้าอย่างไร การตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่นี้ ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบโดยประการทั้งปวง.
               กานั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วบินร้องไปในอากาศว่า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ. ฝ่ายนกเค้าก็บินขึ้นไล่ติดตามกานั้นไป ตั้งแต่นั้นมา กากับนกเค้าจึงได้ผูกเวรกันและกัน.
               นกทั้งหลายตั้งหงส์ทองให้เป็นพระราชา แล้วพากันหลีกไป.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ คนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันเป็นต้น.
               หังสโปดกผู้ได้รับอภิเษกให้เป็นพระราชาในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาอุลูกชาดกที่ ๑๐              

               รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. ปทุมชาดก ว่าด้วย ไม่ควรพูดให้เกินความจริง
                         ๒. มุทุปาณิชาดก ว่าด้วย ความปรารถนาสมประสงค์ในกาลมีของ ๔ อย่าง
                         ๓. จุลลปโลภนชาดก ว่าด้วย หญิงทำบุรุษให้งงงวย
                         ๔. มหาปนาทชาดก ว่าด้วย ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
                         ๕. ขุรัปปชาดก ว่าด้วย ถึงคราวกล้าควรกล้า
                         ๖. วาตัคคสินธวชาดก ว่าด้วย มิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ
                         ๗. สุวรรณกักกฏกชาดก ว่าด้วย ปูทอง
                         ๘. อารามทูสกชาดก ว่าด้วย เหตุที่นายอุยยานบาลจะถูก
                         ๙. สุชาตาชาดก ว่าด้วย ถ้อยคำไพเราะทำให้คนรัก
                         ๑๐. อุลูกชาดก ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่

               จบ ปทุมวรรคที่ ๒              
               -----------------------------------------------------        
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=409

คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking, Positive Life


คิดบวก ชีวิตบวก
Positive Thinking, Positive Life

เวลาเจองานหนัก  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือโอกาส
ในการเตรียมพร้อม
สู่ความเป็นมืออาชีพ



เวลาเจอปัญหาซับซ้อน  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือบทเรียน
ที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือความฝึกหัด
ที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
 



เวลาเจอนายจอมละเมียด  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือการฝึกตน
ให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ



เวลาเจอคำนินทา  
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
กำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต



เวลาเจอความป่วยไข้  
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่า
ของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลักพราก  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง



เวลาเจอลูกหัวดื้อ  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือโอกาสทอง
ของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือความเป็นอนิจจัง
ที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ




เวลาเจอคนที่ใช่
แต่เขามีคู่แล้ว  
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่า
ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือความเป็นอนันตา
ของชีวิตและสรรพสิ่ง
 



เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิต
ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
 

เวลาเจอคนเลว  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือตัวอย่าง
ของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
 



เวลาเจออุบัติเหตุ  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือคำเตือนว่า
จงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
 

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือบททดสอบที่ว่า
"มารไม่มีบารมีไม่เกิด


เวลาเจอวิกฤต  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือบทพิสูจน์ธรรม
"ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
เปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต



เวลาเจอความตาย  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือฉากสุดท้าย
ที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
Reference: D-Life (magazine of  Life)
 ประชาชาติธุรกิจ :  
1 ตุลาคม 2550 ฉบับที่ 13
หน้าที่ 22  D I Dhamma Intrend
เรื่อง...ว.วชิรเมธี

หนังสือคนพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกโดย หมอเขียว


หนังสือคนพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกโดย หมอเขียว : ใจเพชร กล้าจน แพทย์วิถีธรรมและครูฝึกแพทย์แผนไทย ศูนย์สุขภาพสวนป่านาบุญนักวิชาการสาธารณสุขชำานาญการ โรงพยาบาลอำานาจเจริญคำานำาแท้จริงแล้วสิ่งที่ดีที่สุดสำาหรับคนทุกคนก็คือ ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุก ซึ่งตามความคิดของคนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ความรวยเท่านั้น ที่จะทำาให้ได้มาซึ่งสิ่งดังกล่าว แต่พระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน กลับมีความคิดและความจริงที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วไป คือ ท่านเหล่านั้นล้วนพบตรงกันว่า การมีกินมีใช้ส่วนตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่พอดี เท่าที่จำาเป็น เท่าที่ไม่ทรมานตน ในส่วนที่เกินความพอดี เกินความจำาเป็นก็แบ่งปันเสียสละไปยังบุคคล/สถานที่ที่ควรให้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เป็นสิ่งที่จะทำาให้ชีวิตมั่นคง มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก ผู้เขียนได้ทดลองฝึกฝนปฏิบัติทั้งสองแนวคิด จึงได้พบว่า การที่จะได้ชีวิตที่มีสภาพดังกล่าวนั้นเกิดจากการปฏิบัติตามแนวคิดของพระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อผู้เขียนพยายามทำาให้ตัวเองรวยมากขึ้นๆ กลับให้ผลตรงกันข้าม ผู้เขียนได้สังเกตและเก็บข้อมูลจากการปฏิบัติตัวของท่านอื่นๆก็ให้ผลทำานองเดียวกัน จึงได้นำาข้อมูลเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ฝึกฝน มาเล่าให้ผู้เข้าอบรมค่ายสุขภาพวิถีธรรม ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ อำาเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ได้ทราบข้อมูล หลังจากอบรมก็มีหลายท่านต้องการเนื้อหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้จัดทำาเป็นหนังสือเล่มนี้ ด้วยการถอดเทปและปรับปรุงเนื้อหาการบรรยายเพิ่มเติม เพื่อให้เนื้อหาสมบูรณ์และเป็นประโยชน์กับผู้อ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะพอเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้าง
Page 2
จริงใจ ไมตรี มีอภัย ไร้ทุกข์ใจเพชร กล้าจน คนพอเพียง คนพอเพียง จะเลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละ จึงทำาให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างคนจน เพราะยิ่งให้ แบ่งปัน เสียสละ ในสิ่งที่เกินความจำาเป็นของชีวิตออกไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหลือทรัพย์สมบัติของกินของใช้ส่วนตัวน้อยลงเท่านั้นๆ ถ้ามองเผินๆการปฏิบัติดังกล่าว น่าจะทำาให้ชีวิตมีแต่ความทุกข์ ลำาบาก ขาดแคลน เสียเปรียบ โง่ที่สุดในโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนที่ขยันทำากิจกรรม/การงาน/กุศลธรรม/สิ่งที่ดีงามต่างๆอย่างเต็มที่ ตัวเองก็กินน้อยใช้น้อยแค่พอดีสบาย ไม่มากหรือน้อยเกินจนทรมานตน เก็บสิ่งที่จำาเป็นไว้เท่าที่จะสามารถดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงานไปได้ ที่เหลือทำาการให้ แบ่งปัน เสียสละ ไปในบุคล/สถานที่ที่ควรให้ อันเป็นคุณสมบัติ/คุณลักษณะของคนพอเพียงที่แท้จริง กลับเป็นสุดยอดแห่งความชาญฉลาดของการปฏิบัติตน ที่ทำาให้ชีวิตมั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก พระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน ล้วนเป็นต้นแบบของคนพอเพียงที่แท้จริง เพราะแต่ละท่านล้วนขยันกระทำาในสิ่งที่ดีงาม แต่กินใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมของภิกษุ (ผู้ปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์) ซึ่งเป็น ผู้สันโดษ (ยินดีในความมักน้อยอย่างพอเหมาะ) อยู่เสมอ ด้วยปัจจัย (สิ่งที่จำาเป็นในการยังชีพ)ที่น้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ว่าเป็นองค์ (องค์คุณองค์ประกอบ) แห่งความเป็นสมณะ (ผู้สงบจากทุกข์ผู้พ้นทุกข์)” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๘๑) จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าค้นพบว่า ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องใช้สิ่งจำาเป็นในการยังชีพที่น้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ดังนั้น วิธีการที่ประหยัด เรียบง่าย จึงเป็นคำาตอบของการพ้นทุกข์ พระองค์ท่านทรงค้นพบว่า การดับทุกข์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้สิ่งที่หาได้ง่าย อยู่ในตัวหรือใกล้ตัวเรา มาปรับสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจสอดคล้องกับพระราชดำารัสเศรษฐกิจพอเพียง (๔ ธ.ค.๓๔) “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำาก็แนะนำาได้ ต้องทำาแบบ “คนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำารวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว”“แต่ถ้าเรามีการบริหาร แบบเรียกว่าแบบ “คนจน” แบบไม่ติดกับตำารามากเกินไป ทำาอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากันก็จะอยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำางานตามวิชาการ จะต้องดูตำารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำาอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำารา ปิดตำาราแล้ว ไม่รู้จะทำาอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่
Page 3
ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ ตำาราแบบ “คนจน” ใช้ความอะลุ่มอล่วยกัน ตำารานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้าเรื่อยๆ ” จะเห็นได้ว่า ในหลวงทรงพบว่า การแก้ปัญหาหรือพัฒนาที่ก้าวหน้าที่สุดนั้น ต้องกระทำาอย่างประหยัดที่สุดคือใช้เงินหรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้น้อยที่สุด (ทำาแบบ คนจน) แต่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อส่วนตัวกินใช้เพียงเล็กน้อย ทำากิจกรรมการงานด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่ายที่สุด แต่เกิดประโยชน์สูงที่สุดเท่าที่จะทำาได้ ซึ่งก็เหมือนกับการใช้ชีวิตแบบคนจน ที่เหลือก็แบ่งปันเกื้อกูลผู้อื่น ก็จะทำาให้เราและผองชนได้ประโยชน์สุขในชีวิต ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ให้ของดี ย่อมได้ของดี” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๔), “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๕), “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๕๖), “ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๖), “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) ซึ่งเราต้องทำาสิ่งดังกล่าวด้วยตัวของเราเอง ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)ดังนั้นการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มีคุณค่าและผาสุก ก็คือชีวิตที่เกิดมาเพื่อพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ นี้คือคุณค่าแท้ของชีวิต ดังนั้น ภารกิจที่ดีที่สุดในโลก คือ ทำาอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตตนมีความผาสุกอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย แล้วทำาให้เพื่อนร่วมโลกผาสุกอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย เท่าที่จะทำาได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์จากดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มาคุยกับผมว่าที่หมอเขียวมาบ่นๆว่าโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ไม่ค่อยได้สอนเรื่องความผาสุกที่แท้จริงเลย อาจารย์ท่านนั้นก็เล่าให้ผมฟังว่า ก็มีหลายท่านพยายามทำาอยู่ เราก็ดีใจนะ มีหลายท่านพยายามทำาอยู่ ไม่ใช่เราทำาคนเดียว มีคนบุญมีเทวดามาช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาจเพราะหูตาเราไปไม่ถึงก็ได้ จริงๆก็พอเห็นอยู่บ้าง แต่ผู้ที่จะสอนวิชาให้คนผาสุกอย่างยั่งยืนนั้นมีน้อย เพราะแต่ละท่านที่ทำาอยู่มันจะยากมาก แต่สอนวิชาให้เก่งนั้นง่ายและมีมาก แต่เมื่อไม่มีคุณธรรมแล้ว ความเก่งจะเป็นความโง่ที่ทำาร้ายตัวเองและผู้อื่น คนที่ไม่มีคุณธรรม เขาจะเอาความเก่งมาทำาร้ายตัวเองและสังคม ไม่มีประโยชน์อะไร เก่งแล้วไร้ค่า ถ้าไม่มีคุณธรรม ความจริงแย่กว่าไร้ค่า เพราะเลวร้ายกว่าไร้ค่า วันนี้ผมจะพูดถึงชีวิตที่มีความผาสุกอย่างยั่งยืนว่าจะทำาได้อย่างไร ลองปฏิบัติพิสูจน์ดู การทำาความดีจะทำาให้ได้ความผาสุกที่ยั่งยืน ความดีที่สำาคัญอันหนึ่งคือความจน ความจนคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำาหรับชีวิต ชีวิตใครจนได้ ชีวิตนั้นมีความผาสุกได้ ชีวิตใครจนไม่ได้ ชีวิตนั้นก็ไม่มีความผาสุกที่แท้จริง ครูบาอาจารย์ของผมยกให้ในหลวงองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่จะมาบำาเพ็ญให้ผองชนมีความผาสุกมากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ นั่นคือหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ในเมื่อท่านมาบำาเพ็ญเพื่อให้มนุษย์เป็นอยู่อย่างผาสุก แล้วทำาไมท่านตรัสเรื่องความจนเอาไว้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า การใช้สิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย จะทำาให้พ้นทุกข์ ก็แปลว่าจนนั่นแหละ ซึ่ง
Page 4
สอดคล้องกับที่ในหลวงตรัสไว้ ต้องทำาแบบคนจน ประหยัด ไม่ต้องกินใช้มากก็ได้ ถ้าพี่น้องฟังเข้าใจจะเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยจนแบบในหลวงน่ะ จนแบบมีอยู่มีกินนะ ไม่ใช่ไม่มีอยู่ไม่มีกิน ไม่ใช่จนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก หลายคนเข้าใจว่าเป็นความจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่นะ เป็นความจนอีกแบบ จนแบบมีอยู่มีกิน เหลืออยู่เหลือกิน(มีเหลือแบ่งปัน) จนแบบมีความสุขที่สุดในโลก สุขกว่าคนรวย สุขกว่าคนจนที่สิ้นไร้ไม้ตอก สุขกว่าคนที่มีฐานะปานกลางแบบทั่วไป สุขแบบคนจนที่ไร้กังวล เป็นคนจนที่มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก“อุตสาหกรรม ถ้ามีมากเกินไปจะเป็นภัย” ในหลวงท่านตรัสเลยว่า ประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้ามากเกินไปมีปัญหาแน่ๆ ไม่ใช่จะไม่มีอุตสาหกรรมเลยนะ ให้มีแบบสมควร แต่ถ้ามีมากไปจะเป็นภัยเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ ที่เขาไม่บอกว่าให้ทำาอย่างไร ก็เพราะว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำาอย่างไร นักวิชาการทั้งหลายที่เด่นๆ อยู่ในโลก เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาจึงเปิดๆ ปิดๆ ตำาราอยู่นั่นแหละ เพราะเป็นตำาราที่แก้ทุกข์ไม่ได้นั่นแหละแบบเก่า แต่ในหลวงท่านตรัสว่า ถ้าใช้ตำาราแบบคนจน ใช้แบบอลุ้มอล่วยกัน จะก้าวหน้าเรื่อยๆ ทำาไมในหลวงผู้เป็นประมุขของประเทศจึงมีปรัชญาแนวคิดนโยบายให้ประชาชนมาจน แล้วบอกว่าจะก้าวหน้าเรื่อยๆ ถ้าคนฟังไม่เข้าใจ จะหูหักเลยจริงๆ แล้วบอกว่ามาจนนะดี ถ้าจนอย่างมีคุณค่าและผาสุก คือ จนอย่างมีชิวิตที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุก ซึ่งเป็นคนจนอีกประเภทหนึ่งที่ในระบบปกติทั่วไปไม่รู้ จึงไม่สอนกัน แต่ถ้าใครทำาได้จะมีความสุขที่สุดในโลกจนอย่างไร คือ ฝึกให้และฝึกทำางานฟรี ซึ่งเป็นคนจนที่มีคุณสมบัติ/คุณธรรม ๕ ประการ ได้แก่๑. พึ่งตน พึ่งตนในปัจจัย ๔ ได้ พึ่งตนในการดับทุกข์ของตัวเองได้๒. เรียบง่าย มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่รบกวนใคร ไม่รบกวนโลก สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อแก้ปัญหาชีวิตหรือให้เกิดประโยชน์ในการดำารงชีวิตหรือให้เกิดประโยชน์ในการดำาเนินกิจกรรมการงาน จึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เขาจะอยู่ได้อย่างผาสุก๓. ประหยัด จะกินน้อยใช้น้อย เท่าที่จะไม่ขาดแคลน ไม่ทรมานตน หรือเท่าที่จะสมบูรณ์แบบที่สุด๔. ขยัน เพียรเต็มที่และพักพอดี๕. แบ่งปัน จากการปฏิบัติคุณธรรมทั้ง ๔ ข้อ คือ พึ่งตน เรียบง่าย ประหยัด ขยัน จะทำาให้มีเหลือ ในส่วนเหลือถ้าเก็บเอาไว้จะเป็นภาระเป็นภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าแบ่งปันออกไปก็จะเป็นบุญทั้งต่อตนเองและผู้อื่น คุณสมบัติ/คุณธรรมข้อนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำาให้ชีวิตความสุขมากที่สุด และเป็นหลักประกันที่แท้จริงของความมั่นคงในชีวิต“ความสุขที่ซื้อไม่ได้ คือการแบ่งปัน/เสียสละ” คุณจะไม่มีความรู้สึกสุขแบบนี้ได้เลย ถ้าคุณไม่แบ่งปัน คือแม้คุณจะมีเงินเป็นล้านๆ แต่คุณก็จะไม่มีความสุข หรือได้ความรู้สึกว่าสุขที่สุดได้เลย ถ้าไม่แบ่งปัน คุณจะไม่มีความสุขเลย “ต้องให้ จนไม่มีอะไรจะเอา” จึงจะเกิดสภาพ “ให้ จนไม่มีอะไรจะทุกข์” ชีวิตที่มั่นคง คือ ชีวิตที่ให้และเสียสละอย่างแท้จริง เรามาเรียนรู้ว่า ผู้ที่ให้จะมีความสุขอย่างไร ผู้ที่ให้จะยิ่งมีความสุขที่สุดในโลก ผู้ที่ให้คือผู้ทำางานฟรี อาชีพทำางานฟรี คือ เป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลก เป็นอาชีพที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก
Page 5
ประโยชน์ของการเสียสละ ของการทำางานฟรี จะมีอานิสงค์อย่างน้อย ๗ ประการขออนุญาตยกตัวอย่างตัวผมเอง อาจจะดูไม่งามนักที่ยกตัวอย่างตัวเอง แต่ก็เป็นความจริงที่สุดที่ผมเชื่อถือได้มากที่สุด เพราะสิ่งนั้นเกิดกับตัวผมเอง ผมได้ฝึกทำางานฟรีมา ๑๕ ปี ไม่เอาค่าตอบแทนใดๆมาเป็นของตัวเอง ถ้าเขาให้เราก็เอาเข้ากองบุญ ทุกวันนี้ไม่มีเงินส่วนตัวสักบาท มีศูนย์บาท กรรมการกองบุญเขาให้ก็ใช้ เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไรผมได้พบ อานิสงส์(ประโยชน์) ๗ ประการ คือ๑. ไม่ตกงาน คนจะใช้งานเราอย่างตะบี้ตะบัน ช่วยทำาให้หน่อย ต่อให้มีวิชาล้างจานอย่างเดียว เราก็ไม่ตกงาน คนทำางานฟรีจะมีงานทำาทุกวันทั้งปีทั้งชาติ๒. จะพอกินพอใช้ ถ้าเราไปทำางานฟรีๆ ไปช่วยเหลือคนฟรีๆ ไปเข้าบ้านไหน บ้านนั้น บ้านนี้ ไปขอล้างจานฟรี เชื่อว่าจะไม่อดตาย แม้ว่าจะไม่ขอของกินของใช้ก็ตาม เชื่อมั๊ยว่าเราจะพอกินพอใช้ กินใช้ไม่หมด ต่อให้เราไม่ต้องขอ ถ้าเราไปล้างจาน เขาจะให้เอง เขาไม่ให้ก็ไม่เอา ผลจากการทำางานฟรีผมอยากให้ท่านลองทายว่า จะเป็นข้อไหน ถ้าเรากินทั้งหมดที่เขาให้โดยไม่ต้องขอของกินของใช้ แต่ถ้าเขาให้ก็เอาเพราะชีวิตก็ต้องกินต้องใช้ ระหว่างอดตายกับพุงแตกตาย จะเกิดผลข้อไหน ผมรับรองว่าพุงแตกตาย อย่าว่าแต่พอกินพอใช้เลย จะเหลือกินเหลือใช้ด้วย ซึ่งเป็นอานิสงค์ข้อที่ ๓๓. เหลือกินเหลือใช้ จะมีคนเอามาให้ตลอด อย่างผมไม่มีปัญญาซื้อรถ ก็จะมีคนเรียกร้องให้ขึ้นรถตลอด ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นจนเมื่อยเลย ยิ่งกว่ารัฐมนตรี คนเขาเรียกร้องให้ไปขี้น ขึ้นจนเมื่อยเลยนะ คนหลายคนเขาคงแปลกๆงงๆ คนนี้ไม่มีรองเท้าใส่ แต่ก็ขึ้นเครื่องบินประจำาเลยที่พอกินพอใช้ เหลือกินเหลือใช้ เพราะคนจะเลี้ยงไว้ ถ้าเราทำางานเสียสละ คนจะเลี้ยงเราไว้ เขาเลี้ยงเอาไว้ใช้งานไง คนอย่างนี้อย่าเพิ่งให้ตาย เขาไม่อยากให้เราตาย เขาจะรักและถนอมเรามาก จะได้ใช้งานนานๆหน่อย เราก็ทำางานเต็มที่ เต็มใจ สุดฝีมือ คนเขาก็ยิ่งชอบ ทำางานฟรี บางทีเราทำางานล่วงเวลา บรรยายจนคนฟังเมื่อยเลย คนฟังแทบแย่ แต่คนพูดยังมีพลังลุยเต็มที่ การทำางานฟรีในอนาคตจะเป็นอาชีพของผู้เสียสละ อาชีพของผู้ฉลาดและผู้ประเสริฐที่แท้จริง๔. จะมีมิตรเต็มเมือง ผู้ที่ให้จะมีมิตรเต็มเมือง จะมีญาติพี่น้องทางธรรมเยอะไปหมด ตอนนี้ผมไปนอนจังหวัดไหนก็ได้ ไปจังหวัดไหนก็มีญาติพี่น้องทางธรรมทุกจังหวัด เพราะมาเข้าค่ายทุกจังหวัดแล้ว ญาติพี่น้องทางธรรมก็ขอให้ผมไปอยู่ไปกินไปใช้ในทรัพย์สมบัติของท่านเหล่านั้น ทุกจังหวัดทุกเวลา ก็ต้องขอขอบพระคุณในน้ำาใจของพี่น้องทางธรรมทุกท่าน แต่ผมก็ไม่มีปัญญา ไปอยู่ไปกินไปใช้ได้ทั้งหมดทุกที่ ไปได้แค่บางที่บางเวลาที่เหตุปัจจัยจัดสรรให้ได้ไปทำาประโยชน์ให้ประชาชนเท่านั้น ๕. แม้เราทำาเป็นอย่างเดียว แต่ก็จะได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ ต่อให้คนที่ให้เขามีความสามารถเพียงอย่างเดียว ถ้าเขาเป็นผู้ให้อย่างสุดความสามารถเลยนะ เขาจะได้หลายอย่างเลย ตรงกันข้ามถ้าคนที่มีความสามารถทำาได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ให้ไม่แบ่งปันใครเลย เขาจะไม่สามารถได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน อย่างเรามีความสามารถอย่างเดียว แต่เราไปช่วยคนขับรถ คนสอนหนังสือเป็น คนดำานาเป็น ช่วยคนทำาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็น เวลาเราเดือนร้อน เขาก็จะมาช่วยเรา ต่อให้ไม่เดือนร้อน เขาก็อยากช่วยเรา นี้เป็นสัจจะ เป็นสังคมศาสตร์ธรรมดา
Page 6
แต่ที่ลึกซึ้งกว่านี้ก็มี คือเมื่อเราให้สิ่งที่ดีไปแล้ว ต่อให้คนๆนั้นไม่ตอบแทนคุณ ถามว่าเราได้มั๊ย เราได้สิ่งที่ดี ทำาความดี ได้วิบากดีแล้ว วิบากดีจะส่งผลดีให้เรา ซึ่งเป็นผลดีหลากหลายรูปแบบที่เราคาดคิดไม่ถึง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้ของดี ย่อมได้ของดี” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๔), “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๕), “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๕๖), “ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๖), “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ พอไปทำาความดีให้เขาแล้ว เขาไม่ตอบแทนความดีให้เรา แล้วเราก็น้อยใจ เจ็บใจ ฉันอุตส่าห์ทำาดีกับเขา เขาก็ไม่ตอบแทนบุญคุณเรา แถมหักหลังเราอีกต่างหากความจริงเขายอมให้เราทำาความดีกับเขา ก็ต้องขอขอบคุณเขาอย่างมากแล้ว เพราะเราได้ทำาดีแล้ว ได้วิบากดีๆ แล้ว รอรับผลดีอย่างเดียวแล้ว คนยอมให้เราทำาดีนั้นดีที่สุดแล้ว เราได้ทำาแล้ว ได้สั่งสมพลังงานดีแล้ว ทำาวิบากดี วิบากดีก็รอส่งผลดีให้เราแล้ว เราจะไปเอาอะไรกับเขาอีก ทำาไมเราเป็นคนโลภจัง จะไปเอาอะไรกับเขาอีก ถือเป็นความกรุณาอย่างสูงส่งแล้ว ถือเป็นการสั่งสมพลังงานดี และถ้ายิ่งโดนเขาด่าอีก ยิ่งได้สองต่อ เพราะเราได้รับสิ่งที่ไม่ดีเท่าไหร่ เวรกรรมเราก็หมดเท่านั้นๆ เขาช่วยทำาให้วิบากที่ไม่ดีของเราหมดไป เราจะไปโกรธเขาทำาไมล่ะ อย่าไปทุกข์เลย ได้สองต่อเลย ความดีก็ได้ เวรกรรมก็หมด ขาดทุนตรงไหน มีแต่กำาไร ทำาดีมีแต่กำาไร ไม่มีอะไรขาดทุนเลย ชีวิตจะไม่มีอะไรขาดทุนเลย ถ้าทำาดีจะมีแต่กำาไร ผมยังไม่เคยเห็นอะไรขาดทุนเลย คนไม่ทำาดีซิ ไม่ให้ ไม่แบ่งปันใครๆ คนๆนั้นไม่มีกำาไรเลยมีแต่ขาดทุนอย่างเดียวถามว่า ถึงเรามีความสามารถหลายอย่างมากมาย แต่ไม่เคยให้ใครเลย ถามว่าเราสามารถทำาทุกอย่างในเวลาเดียวกันได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม เรามีความสามารถมากมาย แต่ไม่เคยให้เลย เราก็จะไม่ได้ในสิ่งดีที่ควรได้ “คนที่ให้คือคนที่ได้” “คนที่ไม่ให้คือคนที่ไม่ได้” คนโง่ที่แท้จริง คือ คนที่มีความสามารถแต่ไม่เคยให้ใคร ก็จะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คุณก็จะซวยตลอด นี่เป็นสัจจะนะ ฟังยากนะ มีโรงเรียนไหนสอนแบบนี้มั๊ย ส่วนใหญ่มีแต่จะสอนให้มีอาชีพสังคมบอกว่าสูง ค่าตอบแทนเยอะๆ สอนให้รวย มาที่นี่นะสอนกลับกันเลย ที่นี่สอนว่า ทำาอย่างไรจะจนได้ ลูกศิษย์ผมมุ่งมาจนทั้งนั้น สอนวิชาจน อย่างมีชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก นี่เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ๖. ธุรกิจจะมั่นคง ไม่ว่าจะทำาธุรกิจที่เป็นสัมมาอาชีพอะไร ธุรกิจนั้นจะมั่นคง ทำาไมถึงมั่นคง เพราะคนที่เราเกื้อกูลไว้เขาจะช่วยไว้ จะไม่ให้ล้ม เช่น เรามีร้านขายของชำาร้านโชห่วย ร้านสิ้นค้า/บริการเล็กๆ แล้วมีห้างร้านทุนนิยมใหญ่ๆ เช่น Big C, Makro, Lotus, 7-11 มาตั้งข้างบ้าน เราจะไล่เขาได้มั๊ย ไม่ได้ แต่ละจังหวัดยกธงไล่ทั้งนั้น ไล่ได้แต่ปาก แต่เขาไม่ไป เขาซื้อกรรมการ ซื้อผู้มีอำานาจเซ็นอนุมัติได้หมดแล้ว เซ็นปุ๊บลงกลางเมืองเลยนะ ชาวบ้านที่ค้าขายสิ้นค้าและบริการที่เล็กๆก็เกิดความตกใจกลัว เพราะเขา ไม่รู้วิธีสู้กับทุนนิยม สู้กับทุนนิยมนั้นไม่ยากหรอก ก็อยู่แบบคนจน ถ้าเราไม่มีทุนมากเราจำาเป็นต้องขายของแพงกว่าร้านใหญ่ๆบ้าง แต่เราไม่ได้เอามากเกินไป มันจำาเป็น เราไม่อยากขายแพงหรอก เราก็บวกเท่าที่เราพออยู่ได้ มันก็สูงกว่าร้านยักษ์ใหญ่/นายทุนใหญ่ๆ ถามว่าร้านเราจะเจ้งมั๊ย ไม่เจ้ง เพราะคนที่เราเกื้อกูลไว้ เขาจะเกื้อกูลเรา เขาจะช่วยเราไว้ เขาบอกว่าให้เราเจ้งไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้มีน้ำาใจให้เขา ถ้า
Page 7
เราให้ แบ่งปัน ร้านเราก็ ไม่เจ้ง เราจะอยู่กับทุนนิยมได้ การทำาธุรกิจอย่างมั่นคง ไม่มีอะไรยากหรอก คือ ฝึกให้ ครูบาอาจารย์ของผมบอกว่า วิชาธุรกิจไม่ต้องไปเรียนในสถาบันการศึกษาให้เสียเงินเสียเวลาหรอก(บางทีเสียคนด้วย) ทำาแค่ ๔ ข้อ แนวบุญนิยม ธุรกิจจะเจริญและมั่นคงได้แล้ว คือ ๑. ของดี เอาของที่ดีๆ มาให้ เอาสิ่งที่ปลอดภัย มีประโยชน์มาให้บริการ๒. ราคาถูก จำาหน่ายหรือให้บริการในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เอาแค่พออยู่ได้ อย่าไปขายของแพง เอาแค่เลี้ยงชีวิตได้ ๓. ซื่อสัตย์ อย่าไปโกหก บอกคุณสมบัติของสินค้า/บริการตามจริง เอาของดีๆ มาให้ของหมดก็บอกว่าหมด พอไม่มีก็บอกอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่มี อย่าเอาของ ไม่มีคุณภาพมาให้ ต้องมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ บอกไปตรงๆ เลยว่าซื้อมาเท่านี้ ขายเท่านี้ บอกไปเลยว่าเราต้องขายเท่าไร เช่น ซื้อมา 10 บาท ขาย 12 บาท ต้องเลี้ยงชีพบ้าง มีค่าแรงค่ารถ ถึงจะอยู่ได้ ซื่อสัตย์ไปเลย๔. มีน้ำาใจ “แบ่งปัน” ดังเป็นคำาตรัสของพระพุทธเจ้า ว่า “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) และคำาตรัสของในหลวง เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการแบ่งปัน ถ้าไม่แบ่งปันเศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่มีทาง ไม่แบ่งปันไม่มั่นคงในชีวิต ยิ่งถ้าแบ่งปันจะยิ่งมั่นคงในชีวิต ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยเริ่มจากซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือ การพึ่งตนเอง อย่าไปรบกวนคนอื่น ขยัน อดทน มีสติปัญญา และแบ่งปัน จะทำาให้ชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม สมดุลมั่นคงอย่างยั่งยืน ๗. ชีวิตมั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก เมื่อเรามีคุณธรรมถึงขั้นพึ่งตน เรียบง่าย ประหยัด ขยัน และแบ่งปันแล้ว เราจะเป็นคนที่มีคุณค่า มีความประเสริฐ มีกุศล มีความสุข นั่นคือ ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกหลายคนไม่รู้ว่าจะทำาอย่างไร ให้ชีวิตพอเพียงอย่างผาสุก นักวิชาการจำานวนมากที่ไม่รู้จริง เขาทำาไม่ได้หรอก เพราะเขายังไม่รู้เคล็ดแท้ๆ ที่ผมพาพี่น้องทำาค่อยๆ บอกเคล็ดมาตั้งแต่วันแรก คือ กินข้าวกับเกลือ ความเป็นจริงก็ไม่ใช่กินข้าวกับเกลืออย่างเดียวหรอกใช่ไหม กินอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เป็นการใช้ชีวิตที่กินอยู่อย่างประหยัดเรียบง่าย เป็นการกินใช้ที่น้อยที่สุดแต่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่น้อยเกินจนขาดแคลน ไม่มากเกินจนสิ้นเปลืองและเป็นภัย เคล็ดของการทำาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงของเรา เราเน้นการสร้างสุขภาพดีวิถีธรรมตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง องค์ประกอบที่จะทำาให้มีสุขภาพที่ดี ก็ต้องทำาทุกเรื่องที่สำาคัญของชีวิต การกินการใช้สิ่งต่างๆรวมถึงการทำาหน้าที่กิจกรรมการงานที่ดีงามอันเป็นกุศลและการพักผ่อน ที่ได้สมดุลกายใจและสิ่งแวดล้อม มันเป็นวิชาทักษะของการดำาเนินชีวิตให้ผาสุกต่อไปผมจะเล่าให้ฟังว่า คนรวยคือคนที่ซวยและน่าสงสารที่สุดในโลก ประเด็นที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าคนรวยซวยและน่าสงสารได้อย่างไร ประเด็นนี้ถ้า กศน.เข้าใจ และเผยแพร่สัจจะอันประเสริฐนี้ให้คนอื่นๆเข้าใจตามได้ พลิกฟ้าเลยนะ ความผาสุกสูงสุดจะกลับมาสู่โลกใบนี้ทันที ความรวย คือความซวยและน่าสงสารที่แท้จริงของชีวิต โดยสัจจะเลย ยิ่งรวยเท่าไร ยิ่งซวยและน่าสงสาร
Page 8
เท่านั้นๆ คนยิ่งรวยยิ่งก่อให้เกิดความซวย เดือดร้อน ทุกข์ทรมานและความเลวร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่น เดี๋ยวเราก็จะได้เรียนรู้กันว่า รวยจะทำาให้ซวย เดือดร้อนทุกข์ทรมานหรือเลวร้ายได้อย่างไร ถ้าท่านฟังไปเรื่อยๆ จนเข้าใจเหตุผลด้วยปัญญาที่ชาญฉลาดแท้ในการดำารงชีวิตให้ผาสุกที่สุด ท่านจะไม่อยากรวย ความรวยคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต เพราะความรวยจะนำาความซวยและเดือดร้อนทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตมาให้เรา ดังนี้คนที่มีใจอยากรวย ก็ทุกข์ตั้งแต่เริ่มอยากแล้ว นั่นคือ ความซวยและน่าสงสารอันดับแรก ต่อมาการพยายามทำาให้รวย ก็ต้องทุกข์ เหนื่อย ต่อให้ทำาด้วยความสุจริต ก็เหนื่อย ยิ่งอยากได้มากจนต้องหาวิธีคดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบให้ได้มากๆ ยิ่งเหนื่อยสุดเหนื่อย เพราะต้องคิดหาวีธี ต้องลงมือทำาและต้องระมัดระวังคนจะจับได้ การทำาให้รวยจึงทุกข์ยากลำาบากกว่าการไม่ต้องทำาให้รวย พอได้ทรัพย์สมบัติมามากๆแล้ว จะรักษาไว้ก็ลำาบาก ว่าต้องเอาทรัพย์สมบัติไปเก็บไว้ไหน จะดูแลรักษาอย่างไร ไม่ให้เสียหาย ไม่ให้ถูกลักขโมยฉ้อโกง ก็ทุกข์กายทุกข์ใจอีก ยิ่งพยายามจะให้รวยกว่าเดิมก็ยิ่งทุกข์กายทุกข์ใจหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เงินทองเป็นอสรพิษ” สมมติว่าเรามีเงินทองล้นฟ้า เราก็กินใช้ไม่หมด คนที่อยากมาอยู่ใกล้เงินทองมากๆ คือ คนโลภ ซึ่งคนโลภจะเป็นคนไม่ดี เงินทองของเราเอง จะพาคนไม่ดีเข้ามาอยู่ใกล้เรา เขาจะทำาร้ายเราลักขโมยฉ้อโกงเราได้มั๊ย บางทีก็คนข้างตัวนั่นแหละที่ทำาเช่นนั้น มีข่าวให้เราได้รับรู้อยู่บ่อยๆไม่ใช่หรือ คนใกล้ตัวที่มีความโลภ โกรธ หลง ก็จะรู้ความลับของคนรวยคนนั้นหมดเลย วางแผนทำาร้ายได้อย่างเก่ง บางทีใส่ยาเบื่อในน้ำาในอาหาร ตายมาเยอะแล้ว หรือคนรวยรวมถึงครอบครัวของคนรวย พอเดินทางไปที่โน่นที่นี่ โอกาสที่คนรวยหรือคนจนจะถูกเรียกค่าไถ่ได้มากกว่ากัน คำาตอบก็คือคนรวย ดังนั้นคนรวยเดินทางไปนั่นไปนี่จะสบายใจมั๊ย เดี๋ยวนี้คนแต่งตัวดีๆมีมาก ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นโจร โอกาสที่คนรวยจะมีอันตรายก็มากกว่า น่าสงสารนะ เงินที่เขามี เขาก็กินใช้ไม่หมด ในขณะที่เขาก็กินใช้ไม่หมด ส่วนเกินของเขาจะเป็นประโยชน์หรือโทษแก่เขา ก็เป็นโทษ เพราะเงินส่วนเกินจะดึงคนไม่ดี คนที่มีพิษมีภัยมาอยู่ใกล้ตัว คนโลภมาอยู่ใกล้ตัวเขา อันตรายก็อยู่ใกล้ตัวเขา เงินทองตัวเองกินใช้ก็ไม่หมด แต่ก็สร้างภาระและภัยให้กับตัวเองและครอบครัวคนรวยกินใช้ไม่หมด กินจนท้องแตกตาย ก็กินใช้ไม่หมด คนจะรวยได้ ก็ต้องดึงเอามาจากคนอื่นให้มากๆ โดยความจริงทรัพย์สินเงินทองในโลกนั้นมีจำากัด คนรวยมากๆ ก็ต้องดูดมาจากคนอื่นมากๆ คนอื่นก็ขาด คนขาดเดือดร้อนมั๊ย คนขาดก็เดือดร้อน คนรวยมีความคิดอย่างไร คนรวยก็จะภูมิใจจัง ที่เรากินใช้ไม่หมด คนอื่นอดตาย ชาตินี้กินใช้ไม่หมด ดีใจจัง แต่คนอื่นขาดแคลน คนอื่นอดตาย คนอื่นลำาบาก เราดีใจ มันประเสริฐตรงไหน มันน่าภูมิใจตรงไหน เพราะเราเอามามาก คนอื่นก็ขาดมาก ภูมิใจตรงไหน คนอื่นก็เดือดร้อนมาก ถามว่าเป็นบุญตรงไหน ต่อให้หามาด้วยความซื่อสัตย์ ถามว่าเป็นบุญตรงไหน มันไม่มีบุญเลย มีแต่บาป ความรวยจึงคือความซวยและน่าสงสารที่สุด เพราะทำาให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนที่สุดสมมติว่าคน ๒ คน ขยันทำางานเท่ากัน มีฝีมือเท่ากันไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ได้เงินทองทรัพย์สมบัติมาเท่ากัน นาย ก. สร้างบ้านใหญ่โต นาย ข. สร้างบ้านแค่พออยู่ แล้วที่เหลือก็แบ่งปันให้กับผู้ที่ควรให้ด้วยปัญญา
Page 9
ถ้าเกิดสึนามิ เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง เกิดพายุ แผ่นดินถล่ม ฟ้าผ่า ไฟไหม้ น้ำาท่วม ภัยพิบัติอะไรก็ได้ ทำาให้บ้าน ๒ คนนั้นเสียหาย แต่รอดตายทั้งคู่ หนีออกมาได้ ถามว่าใครจะมีกินมีใช้ ใครจะอยู่รอด นาย ก. ไม่แบ่ง นาย ข. แบ่งปัน ใครจะอยู่รอด คำาตอบคือ นาย ข. เพราะ เขาแบ่งปันไว้มาก นาย ก. ไม่ได้แบ่งปัน ระหว่างการเลือกช่วย นาย ก. และนาย ข. ท่านจะเลือกช่วยใครก่อน ช่วยนาย ข. แต่ละท่านต่างก็ตอบตรงกันว่าช่วยนาย ข.ก่อน นี้เป็นสัจจะชัดๆ เลยนะ ทรัพย์สมบัติคุ้มครองไม่ได้ วัตถุคุ้มครองเราไม่ได้ แต่ความดีคุ้มครองเราได้ “มิตรแท้ของเราคือความดีของเรา” เกิดอะไรขึ้นมาคนที่แบ่งปัน บุญ/ฟ้าจะส่งมาให้เลยนะ จะรอด ใครหวงไว้เยอะ ตัวเองกินใช้ก็ไม่หมด คนอื่นก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้สิ่งนั้น อยู่ก็ไม่มีบุญ ตายไปก็ไม่มีบุญ เกิดภัยพิบัติ ความเดือดร้อน ก็ไม่มีใครอยากช่วยเหลือ หรือได้รับการช่วยเหลือเป็นลำาดับท้ายๆ แต่ถ้าเราแบ่งปัน เดี๋ยวคนนั้นก็ช่วย คนนี้ก็ช่วย แม้เราไม่เกิดอุบัติภัย คนก็ช่วย แม้เกิดอุบัติภัย คนก็ช่วย ใครไม่ช่วย ฟ้าก็ช่วย แล้วขาดทุนตรงไหน คนที่ไม่แบ่งปันคือคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก “ศรัทตรูที่แท้จริงของเราคือความชั่ว/ความเห็นแก่ตัวของเรา”เคยฟังนิทานในสมัยพุทธกาลมั๊ย มีลุงคนหนึ่งร่ำารวยมากแต่ขี้เหนียวมาก ไม่เคย แบ่งปันใครเลย ชาติไหนๆ ก็ไม่แบ่งปัน พอเกิดอุบัติภัยขึ้นมา จากเศรษฐีกลายเป็นคนจนเลย ไม่มีกิน จะไปขอข้าวขอแกง รอรับของแจก จากเศรษฐีใจดีที่ตั้งโรงบุญ จะแจกของกินของใช้ ๓ วัน ด้วยวิบากกรรมที่ไม่ดีจึงรู้ช้า ทำาให้ไปถึงทีหลัง ไปต่อท้ายแถว พอเขาแจกมาถึงท้ายแถวก่อนจะถึงลุงขี้เหนียวคนนั้นก็หมดพอดี วันรุ่งขึ้นไปรับใหม่ ลุงขี้เหนียวตั้งใจตื่นแต่เช้าตี๓ตี๔ ไปรอแถวหน้าเลย เศรษฐีผู้ใจบุญบอกว่าเมื่อวานคนข้างหลังท้ายแถวไม่ได้ของกินของใช้ ให้แจกจากข้างหลังมาข้างหน้า พอมาถึงข้างหน้าก่อนถึงลุงขี้เหนียวก็หมดอีก มารอข้างหน้า ก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้อีก ลุงขี้เหนียวคิดว่าอีกวันคงได้ของกินของใช้ วันก่อนมานั่งข้างหลังไม่ได้กินไม่ได้ใช้ วันนี้มานั่งข้างหน้าก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้อีก ลุงขี้เหนียวจึงมานั่งตรงกลางในวันที่ ๓ หวังว่าจะได้ของกินของใช้ เศรษฐีผู้ใจบุญก็บอกว่า วันแรกคนที่อยู่ข้างท้ายก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ก็น่าสงสาร วันที่ ๒ คนที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ก็น่าสงสาร เอาอย่างนี้วันที่ ๓ วันสุดท้ายให้แจกจากหัวจากท้ายเข้ามาดีกว่า เลยแจกจากหัวจากท้ายเข้ามา ก่อนถึงตรงกลางหมดพอดี ๓ วันลุง ขี้เหนียวก็ไม่ได้ของกินของใช้เลย ไม่แบ่งไม่ปันก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ ฟ้าเขาพยายามช่วยแล้วนะ แจกถึง ๓ วัน กรรมลิขิตแปลว่าวิบาก(ผล)กรรมของแต่ละคนเป็นผู้เขียนเรื่องให้กับชีวิตแต่ละคน ชีวิตใครที่ไม่แบ่งปัน อันตราย วัตถุไม่ได้คุ้มครองเรา เราอาศัยวัตถุแค่ประมาณหนึ่ง ชีวิตไม่ได้ต้องอาศัยวัตถุมากมายหรอก ใช้ไม่มากหรอก ใช้เพียงเล็กน้อยก็มากพอที่จะเลี้ยงชีพได้อย่างเป็นสุขแล้ว อยู่ที่เงื่อนไขเราทำางานเต็มที่ กินใช้เพียงเล็กน้อยแค่พอดีไม่ขาดแคลน กินใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะสมบูรณ์แบบที่สุด ก็จะเหลือกินเหลือใช้ ที่เหลือจะจัดการอย่างไรกับทรัพย์สมบัติของเรา เมื่อเราทำางานเต็มที่เราก็เก็บวัตถุไว้แค่พอกินพอใช้ก็พอ โดยให้พอกินพอใช้ เป็น ๒ ส่วนนะ๑. ส่วนของการเลี้ยงชีพ๒. ส่วนของการดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงาน เราทำาหน้าที่กิจกรรมการงานอะไร ก็เก็บเอาไว้ใช้ เพราะเราต้องใช้ทุนรอน อาจเผื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมั่นคงที่สุด เท่าที่ที่จะดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงานไปได้ โดยไม่ฝืดเคืองเกินไป เก็บไว้แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าเก็บเอาไว้เกินนี้ ที่เหลือแบ่งปัน
Page 10
ไปในที่หรือคนที่ควรแบ่งปัน เก็บไว้ก็เป็นภาระเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่น สละออกไปเป็นบุญทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โลกก็ได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ เรายิ่งแบ่งปัน ต่อให้คนไม่ช่วย ฟ้าก็จะช่วย เพราะฟ้า(วิบากกรรมทั้งดีและไม่ดี)มีหน้าที่เขียนบทให้กับทุกชีวิตตามกรรม(การกระทำา)ของผู้นั้นๆผมพยายามช่วยคนไปเรื่อยๆ ช่วยฟรีๆ กรรมดีก็เขียนบทให้ทางโรงพยาบาลอำานาจเจริญ ร่วมบำาเพ็ญบุญในการทำาประโยชน์สุขให้กับประชาชน ด้วยการช่วยสร้างศูนย์สุขภาพที่เรียกว่า ศูนย์แพทย์วิถีธรรม ที่จังหวัดอำานาจเจริญ เป็นศูนย์สุขภาพคล้ายกับศูนย์สวนป่านาบุญ โดยประสานให้ผมเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำาในการดำาเนินงานที่ศูนย์ดังกล่าว เราช่วยคนในค่าย แม้คนที่มาเข้าค่ายจะไม่มาช่วยเราเลย ที่พูดนี้ก็ไม่ได้พูดเพื่อให้คนที่มาเข้าค่ายมาช่วยนะ เขาจะมาช่วยหรือไม่มาก็ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา แต่เรามีหน้าที่ช่วยเขาให้ได้สิ่งที่ดีในชีวิตเท่าที่เราจะทำาได้ เมื่อเราทำาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้คนที่เราช่วยเขาไม่ได้มาช่วยเรา ฟ้า(กรรมดี)ก็จะช่วยเราเอง ความดีที่เราทำาก็จะเขียนบท/ดลบันดาลให้เราได้รับสิ่งที่ดีเอง ถ้าเราทำาดีมากๆ เราจะได้รับสิ่งที่ดีหลากหลายลักษณะ หลายอย่างเป็นสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านมีพระปรีชาญาณอันยิ่ง สุดยอดแห่งความชาญฉลาด ท่านตรัสรู้พบว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงให้ผลจริง ท่านจึงหยุดชั่วและทำาแต่ความดี ท่านสละออก ยิ่งสละยิ่งได้ ยิ่งทำาความดี ยิ่งได้สิ่งที่ดี คนที่ยิ่งให้ยิ่งได้ ขนาดชาติสุดท้าย ท่านไม่เอาแล้วนะ ท่านสละบ้านสละเมืองออกไป บุญของท่านก็เขียนบท/ดลให้พระเจ้าพิมพิสารขอยกเมืองให้ มากกว่าใหญ่กว่าเมืองเดิมที่พระองค์เคยครองมาอีก ยิ่งให้ยิ่งได้ แล้วเราจะเอามาให้มากทำาไม เอามาก็เป็นภาระเป็นภัยเปล่าๆ ถ้าเราไม่จำาเป็นต้องกินต้องใช้เราก็ไม่ต้องรับมาเป็นภาระเป็นภัยเปล่าๆ ผมพยายามทำาความดีเสียสละช่วยเหลือคนฟรีๆมาแค่สิบกว่าปี ทำาโดยไม่ได้คิดว่าจะได้อะไรตอบแทน แต่กรรมดีที่เราทำาก็พยายามส่งผลให้ผมเห็นบ้างอยู่ อย่างเช่นมีเทวดา(ผู้มีจิตใจดีงาม)หลายท่าน แจ้งกับผมว่า ให้ผมช่วยไปใช้พื้นที่ บ้าน รีสอร์ท ของท่านหน่อย จะใช้ชั่วคราวหรือใช้ทั้งชีวิตก็ได้ ผมเคยคำานวณคร่าวๆในที่ๆเทวดาอนุญาตให้ผมไปใช้ มีมูลค่าไม่ต่ำากว่า หมื่นล้าน ผมก็ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผมก็ไม่ได้เอา แหมทำาไมไม่ให้ก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าให้ก่อนหน้านี้รับรองไม่เหลือ เราเอาแน่ๆ แต่ตอนนี้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่ได้อยากได้สิ่งเหล่านั้น นอนกระท่อมหลังเล็กๆมุงด้วยหญ้าคา พื้นทำาด้วยเศษไม้เก่าๆแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว ผมมีเพียงแค่นี้ก็แทบจะไม่มีเวลาเก็บกวาด แทบจะไม่มีเวลาดูแลแล้ว คนเรามีกินแค่พออิ่ม มีที่นอนเล็กๆพอหลับสบายและมีพื้นที่หรือมีคนให้เราได้ทำาความดี แค่นี้ก็เป็นสุขที่สุดในชีวิตแล้ว ดังนั้นทรัพย์สมบัติที่เทวดายกให้ใช้ ผมก็ขออนุญาตใช้บางที่บางแห่งบางเวลา ที่เหตุปัจจัยจัดสรรให้สามารถทำาประโยชน์สุขให้กับผองชนได้ ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วสำาหรับชีวิตธรรมดาๆของผม ผมคิดว่าคนที่จะเป็นสุขที่สุดในโลก ก็คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาๆ ให้มีคุณค่าและผาสุกที่สุดถ้าเราจำาเป็นต้องกินต้องใช้ เราก็รับมาแค่พอกินพอใช้ ตอนนี้มีเทวดายกที่ดินใจกลางกรุงเทพฯให้ผม ท่านถามผมว่าหมอเขียวเอามั๊ย ผมพิจารณาดูแล้ว คนกรุงเทพฯจำานวนมากที่กำาลังเดือดร้อนทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ ผมจึงรับไว้เพื่อสร้างศุนย์สุขภาพ จะได้เพื่อช่วยเหลือคนในเมือง ผมสงสารเขา แต่ยังไม่ได้ทำาตอนนี้ เพราะยัง ไม่มีคนมากพอที่จะช่วยกันทำาเอาไว้ผมสร้างคนให้เสียสละให้ได้มากพอก่อน แล้วจะไปสร้างศูนย์สุขภาพไว้ช่วยคนกรุงเทพฯเขา เขาทุกข์มาก
Page 11
การที่เราทำาความดีแล้วต้องการเบิกบุญมาใช้ ก็มีวิธีเบิกบุญนะ มันมีเคล็ดอยู่ อย่าไปอยากได้นั่นอยากได้นี่ จะเอาเร็วๆ ฟ้าเขาจะขวางไว้ เขาจะแกล้งให้เราบรรลุธรรม ถ้าเรามีบุญนะ ฟ้าจะขวางไว้ ถ้าเราทำาความดีมากๆ เรามีบุญจริงๆ ความลับวิธีเบิกบุญ คือ ให้ตั้งจิตไว้ว่า เราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อจะทำาบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งนั้นจะมาเร็วก็ได้ มาช้าก็ได้ หรือไม่มาเลยก็ไม่เป็นไร จะมาแบบไหนหรือไม่มาเลยก็สุดแล้วแต่บาปบุญของโลก เรามีหน้าที่จัดสรรสิ่งที่กระทบหรือรับเข้ามาตามจริง ณ ปัจจุบัน ให้เป็นประโยชน์กับโลกให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำาได้เท่านั้น ถ้าเราและโลกมีบุญจริงเมื่อถึงเวลาอันควร เขาก็จะให้มาเอง ถ้าไม่มีบุญก็จะไม่มา สัจจะ(กรรม) จะจัดสรรให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมผมเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเรามีเครือข่ายทั้งประเทศ จะเป็นอย่างไร พี่น้องที่มาครั้งละ ๓๐๐-๔๐๐ ท่าน แล้วท่านนั้นท่านนี้ไปช่วยจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ไปช่วยคนนั้นคนนี้ให้มีสุขภาพดี คงจะดีนะ คิดไปคิดมา พี่น้อง กศน. ก็พากันมาอบรมที่นี่ทั้งภาคอิสานเลย ความฝันของผมอาจจะเป็นจริงก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรม ครูอาจารย์ได้สอนผมไว้ว่า เราทำาเหตุปัจจัยที่ดีงามไปเรื่อยๆ ถึงเวลาอันควรมันก็จะปรากฏผลเอง ดอกไม้จะบานมันก็จะบานของมันเอง ไม่มีใครทำาให้มันบานได้หรอก เราทำาได้แค่ใส่ปุ๋ยรดน้ำาพรวนดินไปเรื่อยๆอย่างพอเหมาะพอดีเท่านั้นจะมีหรือไม่มีการรวมบุญก็ได้ ผมวางใจแล้วนะ เพราะไม่มีวี่แววเลย เห็นตรงนั้นตรงนี้มา หลอมแหลม แต่เขาไปทำาจริงนะ ที่จังหวัดน่านมีอสม. มากับทีมสาธารณสุข(หมออนามัย) มาแค่ ๑๐ คน พอเขากลับไป เขาไปลงหมู่บ้านทุกวัน เพราะเขามีอาวุธแล้ว มีอาวุธใช้ อาวุธนี้ไม่แพง แล้วก็ปราบโรคได้ ที่ผ่านมาอาวุธมันแพง แต่แก้ปัญหาหลายอย่าง ไม่ค่อยได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราช่วยไม่ไหวก็ส่งโรงพยาบาล มีบางเรื่องที่โรงพยาบาลทำาได้ดีกว่า อสม.และหมออนามัยเขาลงหมู่บ้านทุกวันแก้ปัญหาได้ เขาบอกว่าตอนนี้มีความสุขมาก เพราะแก้ทุกข์ได้ ลงหมู่บ้านทุกวัน กัวซา/ขูดพิษได้ จะใช้กะลา ใช้ช้อนก็ได้ ไปขอยืมเหรียญบาทใครก็ได้ มีความสุข ไปสอนกดจุด สอนคนนั้นคนนี้ มีวิชาตั้งเยอะแยะ ผมว่า กศน.นี่แหละจะมีความสุข อาจจะถึงเวลาแล้วที่บุญเขาอั้นไว้นาน เหมือนที่ครูบาอาจารย์ว่าไว้ บุญเขาอั้นไว้นาน ถึงเวลาแล้วที่จะให้ผล บุญเขาสะสมมานานแล้ว รอวันระเบิด รอวันกระจาย ผมไม่รู้จะอธิบายยังไรแต่ผมเข้าใจนะกศน.เป็นผู้ที่ทำางานเสียสละ เพราะคนที่ตั้งใจทำางานจริงๆนะ เขาเหนื่อยนะ เหนื่อยช่วยคน เพราะเขาให้เราไปสอนคนด้อยโอกาส เพราะคนหัวดีๆ สอนง่ายๆ ฉลาดๆ เขาเอาไปสอนหมดแล้ว เหลือแต่คนอะไรก็ไม่รู้ให้เรา เขียน ก เขียนอยู่ครึ่งวัน ดูซิให้เราเหนื่อย เรายาก ค่าตอบแทนนิดเดียว แถมถูกดูถูกอีกต่างหาก ถ้าเขาไม่มีบุญในใจ เขาไม่อดทน อยู่ไม่ได้ บางคนอยู่ด้วยความสุขด้วยซ้ำา เพราะเขาเลี้ยงชีพเขาได้ แม้ถูกดูถูกเขาไม่แคร์ เขาอยู่ได้เพราะว่าเขามีคุณธรรม คนมีใจสูงจึงจะถูกเหยียดหยามได้ คนที่มีใจสูงเท่าไร ก็จะถูกคำาติ ถูกเหยียดหยามได้ โดยใจไม่ทุกข์รู้มั๊ยพระราหุลพระราชโอรสของพระพุทธเจ้า ลูกกษัตริย์ท่านคิดดูเอาเองแล้วกัน ก่อนจะบรรลุธรรม มีอัตตามานะหยิ่งยโสโอหัง พระสารีบุตรสอนจนเหนื่อยเมื่อยเลย สอนไม่ไหวแล้ว จึงขอพระบารมีของพระพุทธเจ้าให้ช่วยสอน พระพุทธเจ้าสอนพระราหุลว่า เธอจงทำาตัวเหมือนแผ่นดิน เท่านั้น พระราหุลบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลย การทำาตัวให้เหมือนแผ่นดิน ก็คือการทำาให้ตัวหนักแน่น ไม่สะดุ้ง
Page 12
สะเทือน ไม่หวั่นไหว ทำาตัวให้ต่ำา แต่มีคุณค่า ให้คนเหยียบได้ ให้คนถ่มน้ำาลายรดได้ ให้คนขี้รด เหยี่ยวรดก็ได้ คนมีภูมิ ธรรมนะโดนอะไรก็ไม่หวั่นไหว อยู่อย่างต่ำาแต่กระทำาอย่างสูง อยู่เกื้อกูลคนให้คนได้อาศัย กศน. อยู่ได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม เขาจะอยู่ไม่ได้หรอก อกแตกตาย จริงๆนะไม่ต้องไปน้อยใจหรอก เวลาโดนอะไรมากระทบในทางที่ไม่ดี เชื่อมั๊ยว่าพระพุทธเจ้าก็ถูกคนด่าว่า สมณะโล้นอย่างนั้นอย่างนี้ มนุษย์ประเสริฐที่สุดยังถูกด่าว่า ยิ่งเราถูกด่าเท่าไรเวรกรรมเรายิ่งหมด ยิ่งโดนเวรกรรมก็ยิ่งหมด อย่าไปเสียดายเลยเวรกรรม ชดใช้ไป ยิ่งชดใช้เวรกรรมก็ยิ่งหมด ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้า ถูกวิบากบาปจัดสรรให้ใช้เวรใช้กรรมที่เคยหลงพลาดทำามาก่อน เวรกรรมก็ยิ่งหมดไปเท่าที่ได้รับผลของวิบากบาป ทำาให้วิบากบุญแสดงผลได้มากเพราะไม่มีวิบากบาปกั้น ดังนั้นหลังจากที่พระพุทธเจ้าถูกด่าว่าหรือได้รับวิบากที่ไม่ดีต่างๆ เวรกรรมนั้นๆก็จะลดหรือหมดไป วิบากบุญจะเปล่งประกายแสดงผลมากขึ้นทันที เพราะท่านทำาแต่ความดี โดยไม่ทำาบาปเพิ่ม เมื่อถูกใส่ร้ายด้วยคำาที่ไม่จริง ๗ วัน พระพุทธเจ้าและสาวก บิณฑบาตรแทบไม่ได้ของใส่บาตรเลย พอพ้น ๗ วัน วิบากบาปถูกชดใช้หมด ผู้คนจึงรู้ความจริงว่าท่านและสาวกไม่ได้ทำาสิ่งที่ไม่ดี ตามที่เขากล่าวหา พอบิณฑบาตรของที่คนมาทำาบุญเพียบเลย ไม่มีคนดีคนใดที่ไม่เคยทำาชั่วมา ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนดีจะไม่ถูกด่า ไม่ถูกว่า ไม่ถูกดูถูก ไม่ถูกสิ่งไม่ดีสารพัด ถ้าใครอยากเป็นคนดีที่มีความสุข ทำาดีถูกด่าให้ได้ ทำาดีถูกดูถูกให้ได้ ทำาดีถูกนินทาให้ได้ ทำาดีถูกเข้าใจผิดให้ได้ ทำาดีถูกแกล้งให้ได้ ทำาดีถูกทำาไม่ดีตอบสารพัดเรื่องให้ได้ คุณจะเป็นคนดีที่มีความสุขขนาดพระพุทธเจ้าท่านทำาดีท่านยังโดนแกล้งโดนสิ่งไม่ดีสารพัดเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ทุกข์ใจใดๆเลย เพราะท่านรู้ว่าไม่มีคนดีคนใดไม่เคยทำาชั่วมา เพราะถูกด่าเวรกรรมมันก็หมด รับเสร็จก็หมด พอวิบากบาปหมดบุญก็ขึ้นนี่อย่าคิดว่าผมไม่โดนนะ หลายคนคิดว่าหมอเขียวทำาดีไม่ถูกด่า คงมีแต่คนชม ความเป็นจริงโลกธรรมเขาส่งมาครบเครื่องนะ มีครบทั้งคนชมคนด่า มีคนเขานินทา มีคนจะคว่ำากระดาน ใส่ร้ายหนักๆ จนลูกศิษย์ผมบางคน หงุดหงิด โมโห ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ใน คนที่ใส่ร้ายผมเลยนะ ขึ้นเลย อาจารย์เราทำาดีขนาดนี้มาทำากับอาจารย์ได้ไง มีคนจะไปซัดเขาเลย แต่ผมว่าอย่าๆ อย่าไปทำาเขา ผมทำาดีขนาดนี้ ยังโดนขนาดนี้ แปลว่าอะไร แปลว่าผมแสบมาก ชาติใดชาติหนึ่งผมคงไปทำากับเขาหรือกับใครๆมามาก ไม่รู้เท่าไหร่ เพราะทำาดีขนาดนี้ยังโดนซะเละเลย ยังโดนซัดขนาดนี้ ยังต้านไม่อยู่ ถ้าไม่ทำาดีขนาดนี้ เชื่อมั๊ยว่า เละหนักกว่านี้แน่นอนถ้ารู้ตัวว่าเรากำาลังทำาดีอยู่ สิ่งหนึ่งที่พึงมีสติ พิจารณาระลึกรู้เลยว่า สิ่งไม่ดีที่เราโดนนั้น เราได้รับน้อยกว่าที่เราทำาไม่ดีมาจริง เพราะขนาดมีความดีมาช่วยต้านไว้ ยังโดนเลย แต่ก็โดนน้อยกว่าสิ่งไม่ดีที่เราทำามาจริง ไม่ดีหรือไง ถ้าเราโดนเท่าที่ทำามาจริง จะเป็นไง หนักว่าที่รับอยู่แน่ๆแต่คนที่มาซัดเราน่ะซวยเลยนะ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อใครกระทำาสิ่งใดด้วยเจตนา สิ่งนั้นจะสั่งสมลงเป็นพลังงานวิบากกรรมทันที รอวันรับผลจากการกระทำานั้นทันที ดังข้อมูลในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๗ ข้อ ๑๖๙๘ “พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่
Page 13
กล่าวความที่กรรมอันเป็นไปด้วยความจงใจ ที่บุคคลทำาแล้ว สะสมแล้วจะสิ้นสุดไป เพราะมิได้เสวยผล แต่กรรมนั้นแล จะให้ผลในภพนี้ หรือในภพถัดไป หรือในภพอื่นสืบๆ ไป”เหมือนกับพระเทวทัต คิดฆ่าพระพุทธเจ้า และลงมือกลิ้งหินทับ แต่ก็ฆ่าไม่ได้ สะเก็ดหินโดนพระบาทห้อเลือด ด้วยวิบากกรรมนั้นของเทวทัต จึงดลให้แผ่นดินสูบเทวทัตตาย ซึ่งเหตุเกิดจาก ในชาติที่พระพุทธเจ้ายังไม่บำาเพ็ญ ได้ไปฆ่าน้องชายต่างมารดาซึ่งก็คือเทวทัตนั่นเอง ดังพระไตรปิฎกเล่ม ๓๒ ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เองข้อ ๓๙๒ พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่า อันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำาแล้วของเรา ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือดจะเห็นได้ว่า ในชาติก่อนพระพุทธเจ้าไปฆ่าเทวทัตซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดามาก่อน พอมาถึงชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าก็ดลดึงให้เทวทัตมาฆ่าคืน แต่ก็ฆ่าคืนไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านทำาความดีมาเยอะ ความดีก็บรรเทาสิ่งที่ไม่ดีให้เบาบางลง จึงโดนแค่พระบาทห้อเลือด ท่านรู้ว่าท่านทำามา ท่านจึงไม่ได้โกรธเทวทัต แต่เทวทัตสิน่าสงสารจะตาย มาเอาคืนก็เอาคืนได้ไม่มาก เพราะพระพุทธเจ้าทำาดีมากแล้ว แถมวิบากบาปของเทวทัตหนักกว่าเก่าอีก เพราะเขามีเจตนาทำาแล้วไปทำาไม่ดีกับคนดี วิบากก็หนักสิ ซวยเลย ถูกธรณีสูบ พระพุทธเจ้าไม่ตายแต่เทวทัตตายเลย ที่ผมทำามาอาจจะหนักก็ได้ คงไปฆ่าเขาหรือฆ่าใครๆมาก็ได้ แต่ชาตินี้เขาไม่ได้มาฆ่าเราก็ ดีนักหนาแล้ว แค่เตะเราหรือแค่ใส่ร้ายเราก็ดีนักหนาแล้ว น่าสงสารเขา เราช่วยเขาไม่ได้ เขาเอาคืนก็เอาคืนได้ไม่มาก วิบากเขาจะหนัก เพราะมาทำาไม่ดีกับเราตอนที่เราบำาเพ็ญบุญ เราช่วยเขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาลงนรกไป ถ้าทำากับเราตอนที่เราทำาไม่ดี เราก็คงได้รับวิบากบาปรุนแรงพอๆกับที่เราทำามา ท่านกลับจากอบรมไป แม้จะไปทำาดีได้เท่าไรก็ตาม ถ้าเราทำาเต็มที่ นั่นคือความสุข ความสุขคือทำาเต็มที่ ความสุขไม่ใช่ทำาสำาเร็จ ย้ำาความสุขไม่ใช่ทำาสำาเร็จ และความสุขไม่ใช่ทำาเสร็จ สุขแท้คือทำาเต็มที่ ทำาเต็มที่แล้วก็สุขเต็มที่ได้แล้ว ทำาดีที่สุดแล้วก็สุขที่สุดได้แล้ว สุขได้เลย เพราะมันดีที่สุดได้แค่เต็มที่ ไม่ใช่ดีที่สุดที่สำาเร็จ และไม่ใช่ดีที่สุดที่เสร็จ ทำาเต็มที่แล้วสุขได้เลย ทุกอย่างดีที่สุดได้แค่เต็มที่ ไม่ใช่ดีที่สุดที่สำาเร็จ เพราะงานบางงานไม่เสร็จง่ายๆหรอก แล้วคุณจะไปสุขตอนเสร็จหรือ แล้วทำาไมไม่สุขตอนทำาเต็มที่หล่ะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “วิริเยนะ ทุกขมะเจติ” คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร เพียรเต็มที่ก็สุขแล้ว ย้ำาเพียรเต็มที่ก็สุขเต็มที่แล้วนี่คือสัจจะพี่น้อง กศน. ไม่ต้องไปน้อยใจนะ จงภาคภูมิใจที่เราทำาดี แล้วคนดูถูก เวรกรรมเราก็หมดนะ เราถูกดูถูกดูแคลน เวรกรรมเราก็หมด ขนาดพระพุทธเจ้าท่านทำาดีมากกว่าเราก็ยังถูกบางคนดูถูกเราเป็นขวัญใจของคนที่มีปัญญาแท้ก็พอแล้ว ทำาไมต้องเป็นขวัญใจของคนไม่มีตา ทำาไมต้องไปเป็น
Page 14
ขวัญใจของคนไม่มีปัญญา ทำาไมต้องการรับคำาชมจากคนที่ไม่มีปัญญา ไม่มีตา เขาจะไปชื่นชมอะไรที่ไร้สาระก็ช่าง คนที่มีปัญญาแท้เขาจะรู้สาระประโยชน์ที่แท้จริง คนที่มีปัญญาแท้ ๑ คน รู้เข้าใจและเห็นค่า ชื่นชม เชิดชู และสนับสนุนสิ่งดีที่เราทำาดีกว่าคนตอแหลล้านๆ คน มีแต่คำาตอแหล จะไปเอาทำาไม ให้มันเป็นไปตามสัจจะนั้นแหละดีที่สุด อย่าไปอยากได้จากคนไม่มีตา แม้ว่าเราจะถูกดูถูกดูแคลน จงจำาไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่ทำามา ชาติใดชาติหนึ่งเราไปดูถูกดูแคลน กศน.หรือดูถูกใครๆมาก่อนชาตินี้ต้องมาชดใช้กรรม อย่างผมเคยไปดูถูกแพทย์ทางเลือกมาก่อน ชาตินี้ต้องมาเป็นแพทย์ทางเลือกเสียเอง ก็ถูกดูถูก มันก็ถูกต้องเหมาะสมตามธรรมแล้ว เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าแพทย์ทางเลือกก็มีสิ่งที่ดี ตอนนี้เรารู้ว่าดี เราก็ทำาซิ ผมเคยไปดูถูก กศน. มาก่อน เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่า กศน. ก็มีสิ่งที่ดี นอกระบบนั้นแหละดี มันไม่มีกรอบขวาง เราสามารถทำาสิ่งที่ดีได้มากได้หลากหลาย เราน่ะโชคดีแล้ว มันไม่มีกรอบขวาง ทุกวันนี้อย่าไปคิดว่าในระบบจะดี มันมีกรอบมีตอขวางเต็มไปหมด จะทำาสิ่งสร้างสรรที่ดีๆได้ลำาบาก แต่โดยสัจจะแล้วไม่ใช่ว่าอยู่ในระบบหรือนอกระบบจะดีกว่ากันหรอก อยู่ที่ว่าใครจะมีสาระที่เป็นประโยชน์แท้ต่อตนเองและผองชนมากกว่ากัน เพียงแต่ทุกวันนี้โดยส่วนใหญ่ในระบบไม่ค่อยจะมีสาระแท้เท่านั้นเอง จึงต้องอาศัยนอกระบบเพื่อเข้าสู่สาระประโยชน์ที่แท้จริง บางท่านได้สัจจะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูถูกดูแคลน ความจน ความรวย ถ้าท่านใดฟังแล้วเลิกอยากรวย สาธุคุ้มเลย จะอยากรวยอยากซวยไปทำาไม ความรวยไม่ใช่ความสุข ความรวยไม่ใช่ความมั่นคง ยิ่งรวยยิ่งทุกข์ ยิ่งรวยยิ่งไร้ค่า ยิ่งรวยยิ่งไม่ปลอดภัย ยิ่งรวย ยิ่งอันตราย ยิ่งรวย ยิ่งทุกข์ ยิ่งเหนื่อย ไม่มีประโยชน์อะไรซักอย่าง อย่าคิดว่าคนรวยมีความสุข จริงๆ ชีวิตมันควรจะอยากอะไร จริงๆ ชีวิตอยากมั่นคง ปลอดภัย มีคุณค่า ประเสริฐ และผาสุก นี้คือคนพอเพียง เป็นคนจนที่ไร้กังวล ไร้ทุกข์เราขยันทำามาหากินเต็มที่ เก็บไว้เท่าที่ต้องกินต้องใช้ ที่เหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งปัน พอแบ่งปันไปเราก็จะไม่รวย เราจะเป็นคนจนอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนบ้าน ไม่เหมือนเมือง ไม่เหมือนคนอื่นเขา แบ่งปันก็ไม่รวย แต่จนอย่างมีคุณค่าเพราะแบ่งปัน ไม่รวย แต่จะ ไม่เป็นคนจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก จะไม่ใช่คนฐานะกลางๆแต่ยังอยากรวยอยู่ และไม่ใช่คนรวยที่ไม่รู้จักพอหรือไม่รู้จักแบ่งปัน ความจริงแล้วขอทานก็ทุกข์พอๆกับคนรวย แต่ขอทานไม่ทุกข์เท่าคนรวย เพราะขอทานก็ทุกข์แค่อยากมีกินมีใช้พอประทังชีวิต แต่คนรวยทุกข์มากกว่าขอทาน เพราะมีสมบัติมากกว่าจึงต้องกังวลมากกว่าในการดูแลรักษา กังวลเพราะอยากมีมากยิ่งขึ้นก็ทุกข์มากขึ้น คนรวยก็จะมีความอยากได้อยากเป็นอยากมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มากกว่าขอทาน จึงทุกข์มากกว่าขอทาน หลายคนในโลกนี้คิดว่าคนรวยมีความสุขกว่าคนฐานะอื่นๆ ก็เชิญลองรวยดูแล้วจะรู้ซึ้งว่ารวยแล้วเป็นทุกข์จริงๆอยากให้มีคนทำาวิจัยความสุขความทุกข์ของคนรวย มีเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องจริงอจินไตย(เข้าใจได้ยาก รู้ตามได้ยาก) คนรวยเอาไปกักตุนไว้มากๆ ก็จะมีวิบากที่ทำาให้คนอื่นเดือดร้อน ขาดแคลน ลำาบาก วิบากกรรมนั้นจะเขียนเรื่องให้เขาเดือดร้อน บางครั้งจนเขาต้องฉีดยานอนหลับ มีความกังวลมีภาระที่ต้องแก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลย ถ้าคนเข้าใจกรรมเข้าใจจิตวิญญาณจะเข้าใจชัด เหมือนเมื่อเราสมัยก่อนเมื่อเรายังไม่มีงานทำาคิดว่ามีงานทำาจะมีความสุข พอมีเงินเดือนแล้วเป็นไง ทุกข์กว่าเก่า/หนักกว่าเดิมอีก ชาวบ้านมองคุณครูว่าคงมีความสุขนะ มีเงินเดือนมีหน้ามีตา แล้วจริงๆคุณครูมี
Page 15
ความสุขต่างจากตอนเป็นชาวบ้านมั๊ย เผลอๆทุกข์หนักกว่าชาวบ้านอีก บางทีชาวบ้านยังอยู่เฉยๆ แต่เจ้านายใช้เราให้ส่งงานเร็วๆ ชาวบ้านเขาจะรู้กับเรามั้ย ว่ามีเรื่องไหนบ้างที่กดดันเราอยู่ พอๆกับเราที่คิดว่าเราเป็นเจ้านายจะมีความสุข พอเป็นเจ้านายแล้วเป็นไง ทุกข์หนักกว่าเดิมอีก ทุกข์จากหน้าที่ที่ต้องบริหารรับผิดชอบ ทุกข์จากลูกน้องคาดหวัง ทุกข์จากเจ้านายที่เหนือกว่ากดดัน ทุกข์จากต้องรักษาต้องหวงแหนผลประโยชน์ตำาแหน่งลาบยศสรรเสริญ แท้จริงแล้วความสุขไม่ได้อยู่ที่เป็นอะไร แต่ความสุขอยู่ที่ใช้ชีวิตเป็น มีทักษะการดำาเนินชีวิตที่ผาสุก เป็นอะไรก็ไม่มีค่าเท่ากับเป็นสุขหรอกเป็นอะไรก็เป็นสุขได้ถ้าใช้ชีวิตเป็น เป็นอะไรก็ไม่เป็นสุขถ้าใช้ชีวิตไม่เป็น ต่อให้เป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องก็ไม่สุขหรอกถ้าใช้ชีวิตไม่เป็น ถ้าอยากเป็นคนรวยให้ลองไปอยู่กับคนรวยสัก ๑ เดือน ก็จะรู้เห็นว่าเขาทุกข์แค่ไหนอย่างไร เพียงแต่เขาไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปรู้เท่านั้น ถ้าเขาเปิดเผยออกมานะ มีปัญหาอะไรเยอะแยะมากมาย เช่น คนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจ ลูกคนนั้นก็เลวอย่างนั้นอย่างนี้ ญาติคนนั้นก็มายืมเงินไม่คืน บางคนมายืมเงินเราไม่ให้เขาเขาก็โกรธเรา เป็นศัตรูกับเราอีก ก็วุ่นวาย จะมาฆ่าเราหรือไม่ มันจะทะเลาะ กลัวคนจะคดโกงแย่งชิงสมบัติตรงนั้นตรงนี้ กลัวสมบัติที่ดูแลไม่ทั่วถึงจะเสียหาย มีเรื่องมากมายให้คนรวยทุกข์ มันจะปรุงจะคิดมาก จะฝันฟุ้งไม่สงบ กรรมเขาจะเขียนเรื่องให้ทุกข์กังวลวุ่นวายเยอะแยะไปหมดถ้าความรวยทำาให้มีความสุขจริง พระพุทธเจ้าไม่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปสู่การ ไม่เอาอะไรหรอก แต่ท่านก็จนอย่างมีความสุข ไม่ใช่จนอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่จนแบบงอมืองอเท้า ไม่ใช่จนอย่างไม่สุข แต่จนอย่างมีคุณค่า เราทำางานเต็มที่แล้วเราจนแบบแบ่งปัน เราพอกินพอใช้ก็พอ แล้วเราก็แบ่งปัน จนเพราะเราตั้งใจจน จนเพราะเรากล้าจน ทำาไมเราจึงกล้าจน เพราะเรารู้ว่าจนมีค่า จะประเสริฐที่สุด คนอื่นจะไม่ขาดแคลนเพราะเราคนรวยคือคนที่ไม่มีค่าในโลก ถ้าคนรวยอยากมีค่าต้องทำายังไงครับ เขาต้องจนต้องแบ่งปันซิ แบ่งปันเมื่อไหร่ก็มีค่าเมื่อนั้น แบ่งปันแล้วจะรวยมั๊ย แล้วจะรวยอย่างไร มันจะจน แต่ก็จะมีสภาพซ้อน แบ่งปันแล้วจน แต่มันก็จะรวย มันจะซ้อน แบ่งปันแล้วจะจนลง แต่เดี๋ยวจนสักพัก ก็จะรวยอีกแล้วยิ่งสลัดออกไปมันยิ่งกลับมา คนอื่นได้ประโยชน์ มันก็จะยิ่งกลับมา มันก็จะหมุนวนออกไป ยิ่งหมุนวนออกไป ยิ่งมาก ยิ่งมาก ยิ่งสลัดออกไปได้ คนได้ประโยชน์อีกแล้ว บุญก็จะมา บุญก็จะยิ่งมา พระพุทธเจ้าจึงรวยขึ้นทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๕๒ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำาเนิดก่อน เมื่อตรวจดูมหาชนที่ควรสงเคราะห์... แล้วทำากิจเป็นประโยชน์อันพิเศษในบุคคลนั้นๆ ในกาลก่อนๆ ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะกรรมนั้น อันตนทำาสั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ ฯลฯ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจึงได้รับผลข้อนี้ คือ เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก...” จะเห็นได้ว่ายิ่งให้ยิ่งได้ เหตุแห่งการรวยคือการให้ ให้โดยไม่เอาอะไรเลยยิ่งรวย ไม่รู้สอนให้รวยหรือสอนให้จน ทั้งรวยทั้งจน ถ้าเรารู้สาระเรารวยด้วยสัจจะ รวยด้วยสิ่งที่มั่นคงปลอดภัยและผาสุก รวยด้วยวิบากดี วิบากที่เรารวยนั้นแหละ รวยคุณงามความดี รวยด้วยวิบากดี วิบากดีจะสั่งสมในจิตวิญญาณ
Page 16
เราไปข้ามภพข้ามชาติ ดลให้เราได้รับสิ่งที่ดีๆหลายท่านทำาความดีสะสมมาหลายชาติ ไม่งั้นท่านไม่ได้เกิดมาในเมืองไทยหรอก ไม่มีผืนดินเป็นของตัวเองหรอก แค่มีผืนดินไร่สองไร่ก็เลี้ยงชีพได้ ที่ที่มีดินน้ำาลมไฟเหมาะ คือเมืองไทย ที่ที่เหมาะสมที่สุดคือเมืองไทย พื้นที่ไม่กี่ไร่ก็เป็นสวรรค์ได้ ที่เหมาะสมที่สุดในโลกคือเมืองไทย ดังนั้นเราจึงควรพากเพียรเติมบุญเข้าไปอีกเพื่อให้ก่อเกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นๆจริงๆหลายท่านก็ไม่ได้อยากมาเข้าค่ายหรอกใช่มั๊ย ถ้าบุญไม่ถึงรอบ ก็คงไม่ได้มา บางท่านบุญเต็มๆเลยอยากมาบุญถึงเลย บางท่านบุญถีบ เพราะท่านทำาบุญมาท่านก็ต้องได้ดี บุญถีบมาถึงไปไหนก็ไม่ได้ ไปได้เหมือนกันไปตลาด แต่ก็ยังฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้าหูไว้ บุญของท่านเขาบังคับให้ พอถึงเวลาที่จะได้ บางสิ่งบางอย่าง เขาจะบังคับให้ ผมเองก็ไม่ได้อยากมาเป็นแพทย์วิถีธรรม มากินจืดๆไม่อร่อย อยากไปซื้อของกินอร่อยๆ บุญก็บังคับมา บุญก็ส่งความรู้มาให้ บุญส่งมาให้กินข้าวกับเกลือ เมื่อเพิ่งรับราชการได้ ๓ ปี เพิ่งเริ่มได้เงินได้ทอง บุญก็ไม่ยอมให้หลงนรกนาน(สวรรค์ลวงหรือนรกจริง) เราก็ไม่ได้อยากมาทำา แต่พอมาทำาแล้วก็มีความสุข ถึงเวลาแล้วก็เอาสัจจะไป บุญเขาส่งให้เราพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน “มหาปทานสูตร” ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงสวดพระปาติโมกข์ในที่ประชุมพระภิกษุสงฆ์ดังนี้ ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำาร้ายผู้อื่นผู้เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย การไม่ทำาบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทำาจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำาร้าย ๑ ความสำารวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ หกอย่างนี้ เป็นคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๕๔)จะเห็นได้ว่า สาระแท้ของการปฏิบัติธรรมตามคำาตรัสของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการปฏิบัติที่ทำาให้เกิดประโยชน์สุขที่แท้จริงทั้งต่อตนเองและผู้อื่นไปพร้อมๆกันเสมอสอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน “โกสัมพิยสูตร” ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำาอย่างไรของเพื่อน สหพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วยชำาเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๕๔๗)จะเห็นได้ว่า การขวนขวายในกิจน้อยใหญ่/การชำาเลืองดูลูกด้วย ก็คือการทำาประโยชน์สุขให้กับท่าน(ผู้อื่น) ส่วนการเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา/เล็มหญ้ากิน ก็คือ
Page 17
การทำาประโยชน์สุขให้กับตน เพราะศีลสมาธิปัญญา จะทำาให้ตนพ้นทุกข์ ดังนั้น การปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างแท้จริงนั้น จะต้องปฏิบัติประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านพร้อมกันเสมอ พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ ใน”อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร” ว่า “...พึงพิจารณาเนืองๆว่า...เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่...เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่...บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น...เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำากรรมใดดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ...วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำาอะไรอยู่...ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำาจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ...” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๔๘)จะเห็นได้ว่า คำาว่า “เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น” “วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำาอะไรอยู่” เป็นการที่พระพุทธเจ้าให้สติกับสาวก ไม่ให้ประมาทในชีวิต ให้เร่งปฏิบัติศีลโดยการละชั่ว บำาเพ็ญความดี พร้อมกับทำาจิตใจให้ผ่องใสด้วยการกำาจัดกิเลส คือความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ซึ่งเป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมกัน ประโยชน์ตนทำาอย่างไรก็ได้ ให้ชีวิตเราผาสุกอย่างยั่งยืน ด้วยการพึ่งตน ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้า ว่า “หากว่าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ พึงรักษาตนนั้นไว้ ให้เป็นอัตภาพอันตนรักษาดีแล้ว บัณฑิตพึงประคับประคองตนไว้ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง บุคคลพึงยังตนนั้นแลให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน พึงพร่ำาสอนผู้อื่นในภายหลัง บัณฑิตไม่พึงเศร้าหมอง หากว่าภิกษุพึงทำา ตนเหมือนอย่างที่ตนพร่ำาสอนคนอื่นไซร้ ภิกษุนั้นมีตนอันฝึกดีแล้วหนอ พึงฝึก ได้ยินว่าตนแลฝึกได้ยาก ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่าพึงเป็นที่พึ่งได้ เพราะว่าบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งอันได้โดยยาก ความชั่วที่ตนทำาไว้เองเกิดแต่ตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำายีคนมีปัญญาทรามดุจเพชร ย่ำายีแก้วมณีที่เกิดแต่หิน ฉะนั้น ความเป็นผู้ทุศีล ล่วงส่วน ย่อมรวบรัดอัตภาพของบุคคลใด ทำาให้เป็นอัตภาพอันตนรัดลงแล้ว เหมือนเถาย่านทรายรวบรัดไม้สาละให้เป็นอันท่วมทับแล้ว บุคคลนั้นย่อมทำาตนเหมือนโจรผู้เป็นโจกปรารถนาโจรผู้เป็นโจก ฉะนั้น กรรมไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำาได้ง่าย ส่วนกรรมใดแล เป็นประโยชน์ด้วยดีด้วย กรรมนั้นแลทำาได้ยากอย่างยิ่ง ผู้ใดมีปัญญาทราม อาศัยทิฐิอันลามก ย่อมคัดค้านคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้อรหันต์ เป็นพระอริยเจ้า มีปกติเป็นอยู่โดยธรรม การคัดค้านและทิฐิอันลามกของผู้นั้น ย่อมเผ็ดเพื่อฆ่าตน เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น ทำาชั่วด้วยตนเอง ย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง ไม่ทำาชั่วด้วยตนเอง ย่อมหมดจดด้วยตนเอง ความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัวคนอื่นพึงชำาระคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ บุคคล ไม่พึงยังประโยชน์ของตนให้เสื่อม เพราะประโยชน์ของผู้อื่นแม้มาก บุคคลรู้จักประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตนฯ (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)และในขณะเดียวกัน ทำาอย่างไรก็ได้ให้เพื่อนร่วมโลกของเราได้ประโยชน์จากเรามากที่สุดเท่าที่เราจะทำาได้ ดังในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๐๘ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์
Page 18
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย คืออะไรบ้างคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดูกรจุนทะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล อันเราแสดง แล้วด้วยความรู้ยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่บริษัททั้งหมดเทียว พึงพร้อมเพรียงกันประชุม รวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ โดยวิธีที่พรหมจรรย์ นี้จะพึงตั้งอยู่ตลอดกาล ยืดยาว ตั้งมั่นอยู่สิ้นกาลนาน พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายฯ”จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ทำาประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมๆกัน ก็คือผู้ที่พึ่งตนและแบ่งปัน ผลบุญนั้นก็จะเขียนบท/ดลให้เกิดสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เป็นคุณสมบัติของคนพอเพียง อันเป็นชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกท้ายนี้ผู้เขียนขอส่งกำาลังใจ ให้พี่น้องผองเพื่อนร่วมโลก ประสบความสำาเร็จในการเรียนรู้ฝึกฝนให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขกันทุกท่านครับจริงใจ ไมตรี มีอภัย ไร้ทุกข์ใจเพชร กล้าจนเอกสารอ้างอิงกรมการศาสนา. พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. กรุงเทพมหานคร : สำานักพิมพ์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๑๔.คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง. คำาพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาท และพระราชดำารัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงเทพ, ๒๕๕๒