...+
▼
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
> บทความที่ดีที่อยากให้อ่านกันค่ะ
>
> สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
>
> "ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมคณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมาช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่าไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไปเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วลาออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"
> (เรื่องขำขันเสียดสีจากอินเตอร์เน็ตจีน)
>
> เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำนวนกำลังภายในบรรยายความรู้สึกว่า
> "หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้" เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวนขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป
> คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ"
> ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวัติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเท่าไร
> ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลงตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น
> เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมากกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า
> สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโตในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือ
> ตำแหน่งบริหารในองค์กร ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง
> แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟังทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ
> กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบดบังเนื้อแท้จนหมดสิ้น
> เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นตัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ความเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
> ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขรอะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่มเติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออยู่ จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูกใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตนาอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทนให้สาสม เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน
> ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีวิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือนมดเล็กๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้านๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น และหากจะเปรียบกับความยืนยาวของประวัติศาสตร์หรืออายุของกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น
> เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล่าว เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอย่างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เพราะโดยแก่นแท้แล้ว เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสารด้วยกันทั้งสิ้น
> ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงจนกว่าจะ
> ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกลางเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง...
>
> (บทความจาก CEO ซีพี ออลล์)
>
>
> Sent from my iPad
เป็นบทความที่งงมากค่ะ เพราะคนเราไม่ว่าความรุ้สูงเป็น ดร. หรือ ความรู้น้อยจนอาจจะไม่จบอะไรเลย ต่างก็มีโอกาสที่จะมีสนิมจับด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้แต่เพียงอย่างเดียว บางคนเป็นนักธุรกิจใหญ่ ร่ำรวยเงินทอง มีคนมาป้อยอชมเชย ก็หลงเป็นสนิมไปได้ค่ะ ขึ้นอยุ่กับการเลี้ยงดู ปลูกฝังค่านิยมมากกว่าค่ะ
ตอบลบนอกจากนั้นคนที่เรียนสูงๆ ลองถามดูเถอะค่ะ ว่าเค้ารู้สึกเหมือนตัวเล็กนิดเดียว เพราะเค้ารู้มากว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ที่เราเห็น เราเปรียบได้เป็นแค่เถ้าธุลีของจักรวาล เล็กนิดเดียว คนที่เรียนสูงอย่าง ดร. หมอ ทนาย วิศวะ ที่เป็นคนดี ทำดี และยอมเป็นอาจารย์ที่มีรายได้น้อย จึงมีอยู่มากมาย เพราะสิ่งที่สูงสุดสำหรับเค้าไม่ใช่ "เงิน" อย่างที่นักธุรกิจเส่วนใหญ่ป็นกันอยู่ แต่เป็นการใช้ความรู้ในทางที่มีคุณค่า ให้คนอื่นโดยไม่หวังผลว่าเค้าจะมาตอบแทนบุญคุณหรือไม่ต่างหากค่ะ