...+

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเทศไทย พลาดไปที่การศึกษา ด้วยศรัทธาจึงจักได้คืน





โดย ชัยพันธุ์ ประภาสะวั

การเดินทางทำให้คนเราได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย อยู่ที่เรารู้จักเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านั้นไปใช้ประโยชน์อะไรกับชีวิต เราเสียเงินงบประมาณไปจำนวนมหาศาลในแต่ละปี สำหรับข้าราชการและนักการเมืองเพื่อนำไปใช้ในข้ออ้าง “ศึกษาดูงาน” ล่าสุดที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ก็คือการทัศนศึกษาของทีมงานประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ใช้งบหลวงเพื่อตอบแทนสื่อมวลชนคนเสื้อแดง การพาไปดูฟุตบอลนัดพิเศษก็เป็นหน้าที่สำคัญของประธานสภาไทย ถึงกับยอมละทิ้งงานสำคัญที่ประเทศจีนเขาได้จัดเตรียมไว้
       
         ผมได้มีโอกาสไปศึกษาดูการจัดการเรื่อง “การจัดการน้ำโดยชุมชน” ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาถึง 10 เดือน โดยทุนของมูลนิธินิปปอนฟาวเดชั่น ในช่วงที่ศึกษาดูงานและเก็บข้อมูลตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งข้าราชการไทยและนักการเมืองไทยจำนวนมากก็เคยไปที่นั่น ผมได้สอบถามเจ้าหน้าที่และได้ทราบข้อมูลมาว่า ส่วนมากมาดูแบบผิวเผิน คนแล้วคนเล่าไม่สนใจจริงจัง คนไทยไม่ค่อยมีการซักถามมากมาย ไม่นิยมที่จะจดบันทึก ดูเหมือนมาเที่ยวกันซะมากกว่า
       
         ไม่ใช่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นที่ผมเคยสอบถาม แม้แต่ที่เยอรมนี ออสเตรเลีย ฯลฯ สักแต่ว่าไป ไม่เคยเห็นรายงานเป็นชิ้นเป็นอันและนำผลการศึกษาดูงานเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์
       
         ถ้าการศึกษาดูงานทั้งหลายมีผลจริงในทางปฏิบัติเพื่อนำมาไว้ใช้แก้ปัญหาของประเทศ เราจะไม่เห็นภาพน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ในปี 2554 อย่างแน่นอน
       
         ผมยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า น้ำที่ไหลมาท่วมในปี 2554 นั้น เป็นน้ำตามธรรมชาติแน่นอน แต่การปล่อยให้ไหลเข้าท่วมเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ นั้นเป็นความบกพร่องของมนุษย์ นั่นก็คือข้าราชการและนักการเมืองอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน
       
         ฝนไม่ได้ตก พายุไม่ได้พัดถล่มกรุงเทพฯ แต่น้ำมาเห็นๆ ปล่อยให้ไหลเข้าบ้านเข้าเมืองโดยหมดสิ้นปัญญา ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมหาศาล แต่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ อ้างเป็นเรื่องของธรรมชาติ โทษฟ้าโทษดิน แต่สำหรับผม คนที่สมควรโดนกล่าวโทษคือ นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ซึ่งเคยพูดมาก่อนหน้านี้ว่าตนไม่มีความสนใจในเรื่องการเมือง แต่กลับมาอาสาที่จะเป็นนายกฯ ไม่เคยมีความรับผิดชอบอะไรเลยกับปัญหาทั้งหลายของบ้านเมือง เห็นบ้านเมืองเป็นของเล่น พี่ชายให้มาเล่นก็มาแค่นั้นหรือ?
       
         เรามีนักการเมืองที่ไต่เต้ามาจากดาวไฮปาร์ค ตลกจำอวด มือปืนรับจ้าง หัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ อดีตข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง ถูกตราหน้าว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง มาบริหารบ้านเมือง เราพาบ้านเมืองของเรามาถึงปากเหวแห่งความหายนะครั้งนี้ได้เพราะเหตุอันใด
       
         เรามีวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เรามีสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีสภาวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย มีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ มีสถาบันพระปกเกล้า ฯลฯ หน่วยงานเหล่านี้ช่วยให้บ้านเมืองเดินไปในทิศทางใด?
       
         เราประกาศตัวเองว่าประเทศนี้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ หนึ่งในศีลเพียงห้าข้อสำหรับฆราวาสธรรมดาที่ควรรักษา คือ ต้องไม่มุสา แต่เรามีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการระดับสูง ที่ล้วนแล้วแต่ชอบพูดโกหก แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็พลอยเทศนาโกหกพกลมไปกับเขาด้วย
       
         ช่วงที่อยู่ญี่ปุ่น ได้มีโอกาสค้นคว้าและอ่านหนังสือหลายเล่ม ได้พบเรื่องน่าสนใจอย่างมาก ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศญี่ปุ่น รากเหง้าสำคัญอยู่ที่การให้การศึกษาแก่คนในประเทศอย่างทั่วถึง
       
         มีงานศึกษาเปรียบเทียบระหว่างระบบและการพัฒนาการศึกษาระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราเริ่มต้นมาในช่วงพัฒนาประเทศพร้อมๆ กันในยุคเมจิของญี่ปุ่นกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 5 ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำไมทิศทางของประเทศไทยจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
       
         ในการศึกษาชิ้นนั้นได้ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาของญี่ปุ่นในยุคสมัยที่โชกุนเรืองอำนาจ เขาได้กระจายการศึกษาออกไปสู่ลูกหลานของเหล่าซามูไรและชาวไร่ชาวนาอย่างทั่วถึง แต่ในขณะที่ประเทศไทยได้จัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นมาชื่อว่า โรงเรียนสวนกุหลาบ เพื่อให้ลูกหลานข้าราชการและชาวบ้านทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ได้อย่างทัดเทียมกัน
       
         ก่อนหน้านั้นการศึกษาของไทยอยู่แต่ในรั้วในวัง และคนที่สนใจจริงก็มีโอกาสศึกษาได้ตามวัดวาอารามบางแห่ง ซึ่งก็ยังไม่ทั่วถึง รัชกาลที่ 5 ได้มอบหมายให้สมเด็จกรมพระวชิรญาณวโรรส ขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนทั่วไป โดยผ่านทางวัดที่พร้อมจะจัดการด้านการศึกษา แต่ก็ติดปัญหาที่ความรู้ความสามารถของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์มีไม่เพียงพอ อีกประการหนึ่ง ระบบไพร่ของไทยที่ยังไม่ได้ถูกยกเลิกไปเสียที่เดียวก็เป็นปัญหา เพราะชาวบ้านทั่วไปไม่เห็นความสำคัญที่จะให้ลูกหลานของตนได้รับการศึกษาตามสถานศึกษาสมัยใหม่
       
         คนไทยสมัยนั้นเพียงให้ลูกชายได้บวชเรียนเพียงแค่ 1 พรรษา (3 เดือน) ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว สำหรับผู้หญิงยิ่งล้าหลังใหญ่ เพราะไม่นิยมส่งลูกสาวเข้าเรียน
       
         คนญี่ปุ่นมิได้เพียงเรียนแค่อ่านออกเขียนได้ เขาปลูกฝังในเรื่อง ความมีวินัย ความรักชาติ ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อองค์กร และที่สำคัญคือ ความละอายต่อการทำชั่ว (หิริโอตตัปปะ)
       
         ญี่ปุ่นเป็นคนชาตินิยมอย่างมาก ไม่ค่อยสนใจภาษาต่างประเทศ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นนั้นมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาส่งคนไปศึกษาต่างประเทศทั่วโลกและแปลเอกสารวิชาความรู้ต่างๆ ทุกชาติเป็นภาษาญี่ปุ่น ให้คนญี่ปุ่นได้ศึกษาองค์ความรู้ที่หลากหลายจากทั่วโลก
       
         เราจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่เห็นว่าเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม แม่ทัพนายกองทั้งหลายของญี่ปุ่นจำนวนมาก ทำ “ฮาราคีรี” คือการคว้านท้องตัวเองด้วยดาบซามูไร เขามีคติที่ว่า “ตายเสียดีกว่าอยู่เป็นผู้แพ้”
       
         คตินี้ยังคงมีอยู่ในนักการเมืองญี่ปุ่น เมื่อทำงานผิดพลาดต่อบ้านเมือง หรือถูกจับได้ว่ากระทำทุจริต หลายคนมักฆ่าตัวตาย เนื่องจากเขาทนไม่ได้ที่จะอยู่อย่างอับอายผู้คนโดยสังคมญี่ปุ่นเป็นตัวกดดัน
       
         ต่างจากนักการเมืองไทยที่ก่อนหน้านี้ยังพอมีความละอายกันบ้าง อย่างน้อยก็ลาออกจากหน้าที่ แต่ปัจจุบัน “ด้านได้อายอด” เหมือนนักการเมืองอาวุโสบางคนเคยพูดว่า เป็นฝ่ายค้าน “อดอยากปากแห้ง” วันนี้เมื่อเป็นรัฐบาลจึงต้องหาเมกะโปรเจกต์สร้างให้มาก เช่น การสร้างเขื่อน งบประมาณเป็นหมื่นล้าน จะได้ “ปากมัน” โครงการรับจำนำข้าว (ซื้อข้าวโดยรัฐเพียงผู้เดียว) งบประมาณหลายแสนล้านจนอิ่มหมีพีมันกันถ้วนหน้า
       
         ในช่วงไปอยู่ญี่ปุ่น พาหลานอายุ 3 ขวบไปอยู่ด้วย เพื่อนที่ญี่ปุ่นฝากให้เข้าโรงเรียนอนุบาล เพียงแค่ 3 เดือนสิ่งที่เขาได้รับคือการรู้จักช่วยตัวเองในการรับประทานอาหารโดยใช้ตะเกียบ ระเบียบวินัย เข้าแถวรอรับอาหาร ทานเสร็จเอาของไปเก็บ สอนให้เด็กแยกขยะตั้งแต่ยังเล็ก ครูทุกคนต้องเล่นเปียโนและสอนร้องเพลง เขาเปิดสมองเด็กด้วยการสร้างปัญญาผ่านทางการละเล่นและศิลปะประกอบกับดนตรี แต่แทรกไปด้วยการฝึกทักษะความพร้อมทางกายภาพ และสอดแทรกเรื่องวินัย
       
         เมื่อผมพาหลานไปเที่ยวในห้างสรรพสินค้าที่ญี่ปุ่น เขาเข้าไปยืนต่อแถวเพื่อนเพื่อรอเล่น ถามว่าใครสอนเขา เขาบอกว่าคุณครูสอนให้ต้องรอต่อคิว ทั้งๆ ที่พูดกันคนละภาษาแต่เขาสอนให้ปฏิบัติได้
       
         ผมเจอเด็กนักศึกษาปริญญาโทในเมืองไทยที่ทำงานด้วยกัน พาไปขึ้นรถไฟฟ้า คนที่เขายืนกันอยู่ ต่างรอกันสองฝั่งซ้ายและขวาเพื่อให้คนจากในรถไฟฟ้าออก ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่ แต่แม่นี่กลับฝ่าสวนทางเข้าไปตรงกลาง
       
         ผมเข้าใจแล้วว่าบ้านเมืองเราที่สกปรกรกรุงรังทุกวันนี้ ทั้งถนนหนทาง ทั้งขยะเรี่ยราดตามถนน ถุงพลาสติกเกลื่อนบ้านเต็มเมือง จิตใจคนก็สกปรกไม่แพ้ถนนหนทาง ปากพูดพร่ำกันแต่คุณธรรมจริยธรรม ตาเถรยายชีทำอับปรีย์กันเต็มวัด ไม่มีใครจัดการได้
       
         ตำรวจก็เห็นแก่เงิน อัยการก็กินเงิน ศาลบางคนรับถุงขนม กลไกของกฎหมายทำงานอย่างเชื่องช้า แล้วประชาชนจะพึ่งใคร
       
         อย่าเรียกร้องอัศวินม้าขาว เพราะมันไม่มี อย่าบอกว่าแกนนำพันธมิตรต้องเป็นคนนำ เมื่อไรสนธิจะออก? ถามตัวคุณเองว่าเราจะอยู่อย่างทาสแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
       
         ผมเรียนทางด้านศิลป์ แต่ต้องมาเป็นนักเขียน มาเป็นวิทยากร คอยด่านักการเมืองจนปากจะฉีก เดินขบวนมาตั้งแต่หนุ่มจนผมสองสี ยังไม่ยอมหยุด ตราบเท่าที่บ้านเมืองเรายังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีที่ควรจะเป็น มีมากมายหลายเรื่องที่เราต้องแก้ไข การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ
       
         ต้องเปลี่ยนที่การเมือง กำจัดนักการเมืองชั่วทั้งหมดไปก่อน ยุติระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม เอาอำนาจรัฐมาสู่มือประชาชนโดยทุกคนต้องถือเป็นหน้าที่เพื่อลูกหลานเรา แลกตัวชีวิตก็ต้องยอม เตรียมตัวไว้ให้พร้อม ไม่มีประนีประนอมกันอีก
       
         ประเทศไทยไม่ใช่ของโคตรมันคนเดียว อย่าท้อถอยต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และศรัทธาในสิ่งที่คุณกำลังกระทำ ศิลปะที่สวยงามสร้างสรรค์จากจินตนาการ ถ้าต้องการบ้านเมืองที่สวยงามต้องสร้างฝันให้เป็นจริง แม้จักต้องถักทอฝันนั้นมาจากเลือดและน้ำตา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น