...+

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ยึดติดถือมั่น

.......ที่สุดของการถือสา......
เคยมีคนกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ถ้าหากจะย่อหลักธรรมของพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ ทว่าครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา จะสรุปได้ว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น ก็ขอสรุปว่าใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า

‘ สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น ’ ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์ ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์ ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ การปล่อยวาง ’
ทำไมจึงต้องปล่อยวาง เพราะทุกอย่าง ‘ มีความว่าง ’ มาแต่เดิม คนที่หลงกอด ‘ ความว่าง ’ โดยคิดว่าเป็น ‘ ความมี ’ ทำไมจะไม่ทุกข์ล่ะ หลายคนชอบกอดไว้หมดทุกเรื่อง ทุกปัญหา ทุกคน แล้วยกขึ้นไปแบกไว้บนบ่า จากนั้นก็มานั่งเป็นทุกข์ว่าทำไมชีวิตถึงได้เหนื่อยล้าขนาดนี้ หมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนโลกทั้งโลกกำลังกดทับ ก็เล่นถือเอาทุกเรื่องเป็นเรื่องของตัวหมดเลยนี่ ถ้าไม่แบกเอาไว้ก็คงไม่หนัก ถ้าไม่ถือเอาไว้ก็คงไม่เหนื่อย แต่ก็นั่นแหล่ะ บางคน ‘ วาง ’ ไม่เป็น มีจิตฟุ้งซ่านต้องการจะเป็นธุระไปเสียทั้งหมด ก็ต้องแลกเอากับผลลัพธ์ที่ทำให้เหน็ดเหนื่อย

มีเรื่องเล่าชวนคิดเรื่องหนึ่งว่า
พระบวชใหม่รูปหนึ่งเดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณเพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั่นเอง จู่ๆ มีชายผู้หนึ่งใส่สูท ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำ เดินเข้ามาหาท่าน พร้อมชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย พระรูปนั้นตกตะลึง รีบเดินหนี แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าทอของเขายังก้องอยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อกลับมาถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตนซึ่งเป็นพระ และตนก็จำได้ว่าตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด คิดมาถึงขั้นว่าตนไม่ผิด แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ
เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตรเดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พบ ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด
ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่ง สวมสูท ผูกเนคไท ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า
“ อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์ ”
ภาพที่เห็นคือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่ง ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่ พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นท่านเท้านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า
“ ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ บัดนี้พระองค์ทรงกลับมาครองพาราณสีอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ …” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบๆ พลันที่ท่านประเมินได้ว่าชายแต่งตัวดี คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้น ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนอยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวันก็อันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย
ทำไมเราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน แต่กับคนปกติ ทำไมเราจึงมีความรู้สึกว่าต้อง...เอาเรื่องราว...ให้...ถึงที่สุด
เราบ้าหรือเปล่า ?

คำสอนของหลวงตามหาบัว สอนสั่งฆราวาสที่สวนแสงธรรม

คำสอนของหลวงตามหาบัว สอนสั่งฆราวาสที่สวนแสงธรรม
กลับเป็น "ธรรมควรค่าและควรจำ"ใช้ได้คุณค่าทุกเวลา
ใครเป็นใครล้วนเป็นนายกท่าน....ทำระยะตำบอนประเทศชาติ
ใครเป็นใครทำอย่างไรให้เรามอง....หลวงตาบัวล้วนสอนนายกไทย
....................................................
(กงล้อธรรมมักย้อนรอยเดิม) กงกรรมกงเกวียน จนได้
จากด่านายกทักษิณ...สู่ นายกอภิสิทธิ์....ธรรมะของหลวงตาบัว
พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม ในหัวข้อ “เตือนรัฐบาลถ้าไม่อยากจม”

โดย ความตอนหนึ่งของการเทศนา หลวงตามหาบัว กล่าวว่า “เมืองไทยเราเวลานี้ รัฐบาลมันจะกลายเป็นรัฐประหาร เป็นเพชฌฆาต เวลานี้รัฐบาลเรานี้กำลังร้อนมากนะ ร้อนตัวเอง ร้อนเพราะความโลภมาก เป็นบ้า บ้าอำนาจ บ้าโลภจนไม่ฟังเสียงใคร เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดว่าตัวมีอำนาจบาตรหลวงใหญ่โต มองดูคนทั้งโลกเห็นเป็นหมาไปหมด รัฐบาลที่เป็นอย่างนี้แล้วรัฐบาลนี้จะเป็นหมาทันทีนะ ไม่มีใครเหลียวแลแหละรัฐบาลอย่างนี้”

หลวงตามหาบัว กล่าวด้วยว่า เวลานี้รัฐบาลไทยเรากำลังก้าวเข้าสู่ความวิปริตพิสดารที่ จะพาชาติบ้านเมืองให้ฉิบหาย ไม่สมชื่อสมนามเขาหย่อนบัตรให้แทบเป็นแทบตาย คนทั้งแผ่นดินมาหย่อนบัตรให้เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วเป็นอย่างไร ความต้องการของประชาชนเขาต้องการอย่างไร เขาต้องการเพื่อความสงบร่มเย็นเพื่อความเป็นธรรมจากผู้ใหญ่

“เวลานี้เขาเอือมระอา เราพูดจริงๆ นี่ภาษาของธรรม เขาเอือมคณะนายกรัฐมนตรีไทย"
(จากส่วนหนึ่งของคำสอนหลวงตาบัวที่สวนแสงธรรม)

ก.ท่องเที่ยวฯ จัดใหญ่ 10 ปี “ตรุษจีนเมืองเพชร”

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมจัดงานครบรอบ 10 ปี “ตรุษจีนเมืองเพชร” อย่างยิ่งใหญ่
หวังให้เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีน

เป็นที่ทราบกันดีว่า มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่ต่างแดน แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด เช่น การไหว้บรรพบุรุษ (เชงเม้ง), การไหว้พระจันทร์, และเทศกาลปีใหม่ของจีน (ตรุษจีน) เป็นต้น

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับเทศบาลเมืองเพชรบุรี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสหสมาคม-มูลนิธิชาวจีนเพชรบุรี 7 คณะ เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทศกาลตรุษจีน ได้จัดกิจกรรม “ตรุษจีนเมืองเพชร” ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งครั้งนี้ครบรอบ 10 ปี และเป็นโอกาสอันดีที่ชาวไทยเชื้อสายจีนเมืองเพชรบุรีจะได้ร่วมถวายพระพรใน โอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2554 ณ บริเวณถนนสุรินทร์ฤาไชย

ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และกระตุ้นการท่องเที่ยวและ เศรษฐกิจของจังหวัดเพชรบุรี โดยมุ่งหวังให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษ จีน ซึ่งในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 จะมีนายยุทธพล อังกินันทน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาเป็นประธานในพิธีร่วมเดินนำในขบวนแห่สิงโต-มังกร และร่วมผัดหมี่มงคลมอบให้แก่ผู้มาร่วมงานเพื่อเป็นศิริมงคล

สำหรับไฮไลท์ของงานนี้ ได้อัญเชิญเทพเจ้า 22 เทพเจ้ามาประดิษสถาน และได้มีการอัญเชิญพระสังขจายขนาดใหญ่เพื่อให้ชาวจังหวัดเพชรบุรีและนักท่อง เที่ยวสักการะบูชา พร้อมการไหว้เทพเจ้าด้วยไข่ต้มแดงจำนวน 10,084 ฟอง รวมทั้งมีมังกรทองเฉลิมพระเกียรติที่มาร่วมอวยพรและ มาโชว์ในงานอีกด้วย ภายในงานยังคงมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิเช่น การจุดประทัด 19,999 นัด พร้อมพลุ ดอกไม้ไฟและไฟน้ำตกตัวอักษร “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้”, การจุดเทียนชัยถวายพระพร, การแสดงเชิดสิงโตกายกรรม, การประกวดมิสไชนิสเมืองเพชร, การประกวดอาตี๋ อาหมวยเมืองเพชร, การประกวดร้องเพลงจีน, คอนเสิรต์จากศิลปินชื่อดัง เป็นต้น

นอกจากนี้ในงานนี้ผู้เข้าร่วมงานสามารถร่วมกิจกรรมมากมายที่ ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดขึ้น พร้อมสัมผัสบรรยากาศที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมประวัติความเป็นมาอันยาวนานของชาว ไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดเพชรบุรี

มุกดาหารชวนเที่ยวงาน “ตรุษจีน 4 แผ่นดิน 4 วัฒนธรรม”

เหล่าสาวงามที่มาร่วมในงานตรุษจีนมุกดาหาร
จังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับ ททท.นครพนม จัดงานตรุษจีน 4 แผ่นดิน 4 วัฒนธรรม ในวันที่ 3-10 กุมภาพันธ์ 2554 ณ บริเวณตลาดอินโดจีน จังหวัดมุกดาหาร พบกับกิจกรรมน่าสนใจมากมาย

โดยงานตรุษจีนครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ภายใต้แนวคิด “เส้นทางการค้า เส้นทางวัฒนธรรม 4 อารยธรรมลุ่มน้ำโขง” ซึ่งประเทศที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศจีนตอนใต้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และประเทศไทย

ชาญวิทย์ วสยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า จัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในแถบลุ่มน้ำ โขง และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดมุกดาหารในด้านการค้า การท่องเที่ยว ร่วมไปถึงการขยายการคมนาคมขนส่งและความร่วมมือด้านอื่นๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาค ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข และความเป็นสีริมงคลเช่นนี้
ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ การจำหน่ายสินค้า EWEC EXPO 2011 การแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมของทั้งสี่ประเทศ และการแสดงต่างๆอีกมากมาย จากทีมนักแสดงมนต์รักลูกทุ่ง เจ เจตริน มอส พลพล ปาน ธนพร ยิ่งยง ยอดบัวงาม ฯลฯ และการจัดแสดงศิลปะ อาทิ การแสดงคนหน้าขาว การแสดงโบโซ่ การแสดงมายากล เป็นต้น
นายวิชุกร กุหลาบศรี ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนครพนม กล่าวว่า จังหวัดมุกดาหาร เป็นจังหวัดที่น่าจับตามองในเรื่องการท่องเที่ยว ที่สามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อีกไกล เนื่องจากมีภูมิอากาศที่เย็นสบาย มีทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะริ่มฝั่งโขง ร่วมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความเป็นอยู่แบบ Slow live ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ที่นิยมพักผ่อนในสถานที่ที่มีความเรียบง่าย งดงามตามแบบฉบับของผู้คนในจังหวัดนั้นๆ

"งานตรุษจีนไชน่าทาวส์เยาวราช" : 3-4 ก.พ. 54 ณ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม.

"งานตรุษจีนไชน่าทาวส์เยาวราช" : 3-4 ก.พ. 54 ณ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ร่วมรับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพฯ นิทรรศการตรุษจีนเยาวราช การแสดงจากจีน การแสดงมังกรเชิด เทิดพระเกียรติ การแสดงศิลปวัฒนธรรมจีน คอนเสิร์ตศิลปินจากแกรมมี่ ออกร้านจำหน่ายอาหาร สอบถามได้ที่สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ โทร.0-2237-4541

เรื่องของผี

นานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาภรรยาเกิดล้มป่วยหนักจะไม่รอดแล้ว จึงได้
ขอร้องสามีว่า ถ้านางตายจากไปแล้วขออย่าได้ไปมีหญิงอื่นอีก ถ้าไม่เชื่อนางก็จะเป็นผีมารบกวนไม่
หยุด หลังจากภรรยาตายไปแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้ปฏิบัติตามคาขอร้องด้วยดี จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3
เดือน ก็ได้พบรักกับหญิงคนใหม่จนถึงกับทาการหมั้นหมายกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น พอตกกลางคืนผี
ภรรยาเดิม ก็มาตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานา แม้ชายผู้นั้นจะชี้แจงอย่างไร ผีภรรยาเดิมก็ไม่ยอม เขาไปทา
อะไรๆ มาแม้จะลับอย่างไรผีภรรยาก็รู้หมด เป็นเช่นนี้ทุกคืน เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบ
ผอม ญาติมิตรก็ได้แต่ปลอบโยน แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้จนสุดที่จะทน ชายผู้นั้นจึงได้ไป
หารือกับอาจารย์เซ็น ซึ่งอยู่วัดใกล้ๆ บนเขา ท่านอาจารย์นั่งฟังอย่างเห็นใจ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผี
ภรรยาที่มาหาเขาทุกคืนนั้นคืออะไร แต่จะอธิบายให้เขาฟังคงยาก
"โอ ผีเมียเจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยรึ ตอนนี้ถ้ามันมาอีกเจ้าลองให้มันทายปัญหาดู และ
สัญญาไว้เลยว่า ถ้าหากผีตอบปัญหาได้เจ้าจะยอมถอนหมั้นและอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต"หลวงพ่อ
แนะ
"จะให้ผมถามอะไรล่ะครับ ?" ชายผู้นั้นสงสัย
"เจ้าจงหาเมล็ดถั่วไว้กามือใหญ่ แล้วให้ผีทายว่ามีกี่เมล็ด หากผีทายไม่ได้เจ้าจะได้รู้เสียที
ว่าผีที่เจ้ารู้เห็นนั้นคืออะไร"
ตกคืนนั้นผีก็มาอีก ชายผู้นั้นก็กล่าวยกย่องว่าผีฉลาด รู้อะไรไปเสียหมดทุกอย่าง
"แน่ละซี วันนี้เธอไปหาอาจารย์บนเขาฉันยังรู้เลย" ผีรับคา
ชายผู้นั้นจึงรีบถามคาถามที่หลวงพ่อแนะนามา
"เธอรู้ดีอย่างนั้น ลองบอกมาซิว่า ถั่วในกามือนี้มีกี่เมล็ด ?"
ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ทราบว่า "ผี" ที่มาหลอกทุกคืนนั้นคืออะไร ผีตอบไม่ได้เพราะตัวเขาเอง
ไม่ได้นับถั่วไว้ก่อนนั่นเอง
คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/
ผู้คัดลอกและเรียบเรียง

รวมเรื่องเศร้า-ซึ้ง-ประทับใจในปี พ.ศ.2510

  
    ในวันหนึ่ง ๆ เรามักมีอารมณ์แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา... และ 1 ปี ที่ผ่านมา ก็มีเรื่องราวมากมายเข้ามาทักทายชีวิตให้ได้รับรู้ถึงรสชาติของความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา โดยบ่อยครั้ง เราได้รับรู้เรื่องราวของบุคคลที่เป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนของ พลังใจ แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักพวกเขาเหล่านั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาล้วนสร้างความประทับใจ และก่อกำเนิดมุมคิดดี ๆ อยู่เสมอ


อภิรักต์ แซ่ฮ้อ

 อภิรักต์ แซ่ฮ้อ : คนจนผู้ยิ่งใหญ่ 

          ผู้คนเกือบทั้งประเทศได้อมยิ้มกับความน่ารัก ซื่อ ๆ ของเขาผ่านทางรายการ ตีสิบ หนุ่มคนนี้อาจเป็นคนธรรมดา ๆ ที่แทบไม่มีความน่าสนใจในตัวเองเลย ด้วยภาพลักษณ์ของคนเก็บขยะ แต่งตัวมอซอ หาเช้ากินค่ำ มีชีวิตซ้ำ ๆ ในรูปแบบเดิม ๆ ทุกวัน หากแต่ชีวิตของเขากลับมีเรื่องราวมากกว่าที่มองเห็น

          อภิรักต์ ดำเนินอาชีพเก็บขยะของเขามามากกว่า 16 ปีแล้ว เช่นเดียวกับการที่เขาแบ่งเงิน 20 บาท จากรายได้ต่อวันประมาณ 50-100 บาท นำไปฝากธนาคาร เพื่อสะสมทีละเล็กทีละน้อย เป็นค่าผ่าตัดหัวใจให้กับแม่ที่ป่วยเป็นโรคหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน เก๊า และโรคหัวใจ

          จากความมุมานะของ อภิรักต์ ในการเข็นรถขยะหาเงินทุกบาททุกสตางค์ให้แม่ ทำให้เขาได้รับความรักจากสังคม และได้รับการคัดเลือกเป็นลูกกตัญญู ประจำปี 2553 นอกจากนี้ อภิรักต์ กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกของชีวิต ในเรื่อง "ยายสั่งมาใหญ่" จากผลงานการกำกับของ นุ้ย เชิญยิ้ม อีกด้วย


มาร์ค สุดยอดเด็กกตัญญู


มาร์ค - ปาน สุดยอดเด็กกตัญญู 

          สองเด็กหญิง-ชายต่างครอบครัวในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ชีวิตของพวกเขาไม่ได้สนุกสนานอย่างเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่กลับมีความเด่นชัด ในความกตัญญูอย่างยากที่จะเห็นได้ในสังคมเมืองปัจจุบัน

          ในทุก ๆ วันของ มาร์ค สรวิศ ไชยสัจ เด็กหนุ่มวัย 14 ปี แห่งบ้านดงพลอง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เขาต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลป้อนอาหารให้ ปู่ ที่ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ และทำหน้าที่เป็นหมอคอยฉีดอินซูลินให้ ย่า ป่วยโรคเบาหวานขั้นรุนแรง ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่ว่างเว้นจากการเรียนหนังสือและดูแลปู่กับย่า เด็กชายคนนี้จะไปรับจ้างทำงานร้านเชื่อมเหล็ก เพื่อแลกเงินวันละ 140 บาท มาประทัง 3 ชีวิตให้อยู่รอด ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเหนื่อย มาร์ค จะบอกตัวเองเสมอว่า ปู่และย่า ที่เขาเรียกว่า พ่อและแม่ ยังดูแลเขามาตั้งแต่เล็กได้ ดังนั้น นี่คือเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณพวกท่านบ้าง

          ขณะที่ น้องปาน - ณมล เทพโสภา เด็กหญิงวัย 12 ปี ใน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เธอต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลตัวน้อย คอยเฝ้าดูแลพ่อที่ล้มป่วยอัมพาตมาตั้งแต่เธออายุได้เพียง 6 ขวบ หลังจากผู้เป็นแม่ทิ้งเธอไปขณะที่พ่อของปานเริ่มป่วย ทำให้ ปาน ต้องเป็นผู้จัดการดูแลทุกอย่างในบ้าน เป็นทั้งแม่บ้าน เป็นพยาบาล และหากมีเวลาว่าง ปาน ก็จะช่วยพ่อทำเปล หารายได้เสริม ซึ่งแม้ว่าภาระที่เด็กหญิงคนนี้ต้องทำทุก ๆ วัน จะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่น ทั้งยังบอกด้วยว่า "เป็นบุญของเธอที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ"

วันที่แม่กลับบ้าน รายการ คน ค้น ฅน
ต้อม เด็กชายยอดกตัญญู ดูแลแม่ป่วยเอดส์


ต้อม เด็กชายยอดกตัญญู ดูแลแม่ป่วยเอดส์ 

          เด็กที่ไม่ได้เติบโตในครอบครัวพร้อมหน้า พ่อ-แม่-ลูก ย่อมใฝ่ฝันถึงวันที่จะได้อยู่กับพ่อหรือแม่ของเขาบ้าง เช่นเดียวกับ ต้อม เด็กชายแห่ง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย พ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่อายุได้เพียง 6 ขวบ ต้อมเคยยินดีที่แม่กลับมาหาบ้าง แม้จะเติมเต็มความทรงจำและความผูกพันระหว่างต้อมกับแม่ได้ไม่มากนัก ทว่าเมื่อแม่กลับมาอยู่กับเขาอย่างถาวร กลับเป็นการเปลี่ยนชีวิตของ "ต้อม" ไปอย่างสิ้นเชิง

          แม่ของต้อม ในวัย 33 ปี กลับมาด้วยสภาพคนป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนแขนขาด้วยตัวเอง และทานได้เพียงน้ำเพียงเล็กน้อยต่อวันเท่านั้น ทำให้ ต้อม ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ต้องทิ้งชีวิตแบบเดิมที่เคยเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ มารับภาระอันหนักอึ้งในการดูแลแม่ แม้ว่าเขาจะต้องร้องไห้กับโชคชะตาชีวิตมากสักเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดทิ้งหน้าที่ของลูกที่ดีเลย

น้องวิว คนค้นคน

น้องวิว เด็กหญิงที่เติบโตในโลกเงียบ


น้องวิว เด็กหญิงที่เติบโตในโลกเงียบ 

         โลกเงียบของน้องวิว ไม่ได้หมายความว่า เธอหูหนวกหรือเป็นใบ้ หากแต่เด็กหญิงคนนี้ต้องเติบโตขึ้นมาภายในห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ โดยที่แทบจะไม่เคยเห็นโลกภายนอกว่าเป็นไปอย่างไร ไม่เคยรู้จักผู้คนที่นอกเหนือจากพ่อแม่ของตัวเอง ไม่เคยมีเพื่อน ไม่ได้รับการศึกษา...โลกของเธอไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น 

         เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่น้องวิวอายุได้เพียง 2 ขวบ เธอถูกขังไว้ในห้องขณะที่พ่อและแม่ออกไปทำงานหาเงิน โดยมีตุ๊กตาเพียงตัวเดียวเป็นเพื่อนคนสำคัญ ครั้นเมื่อโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ น้องวิว ก็มีกิจกรรมคลายเหงาอย่างการซักผ้า ล้างจาน และทำงานบ้านอื่น ๆ

         รายได้วันละ 100 บาท จากอาชีพแม่บ้านของแม่ ผู้ซึ่งไม่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ รวมถึงสติปัญญา รวมกับอีก 200 บาท อันได้จากการใช้แรงงานของพ่อ ซึ่งเป็นรายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ทำให้น้องวิวได้รับรสชาติอาหารชั้นดีอย่าง "ไข่เจียว" ไม่บ่อยนัก แต่ภายหลังจากที่เรื่องราวของครอบครัวนี้ถูกนำเสนอผ่านรายการคนค้นฅน ก็มีคนจำนวนมากแสดงความประสงค์เข้าช่วยเหลือ ...นั่นแสดงให้เห็นว่า น้ำใจคนไทย ยังคงสวยงาม และอาจช่วยพลิกชะตาชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้


น้องกัน - น้องกี้ ผู้ป่วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง



อาลัย น้องกัน ผู้ป่วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง 

         กัน และกี้ เด็กชายสองพี่น้องจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี พวกเขาป่วยด้วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง หรือ โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ซึ่งเป็นความผิดพลาดตั้งแต่กำเนิด และไม่มีทางรักษาให้หายได้ นอกจากต้องรอช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต พวกเขาสองพี่น้องดูจะเข้าใจกับโรคที่กำลังรุมเร้า โดยเฉพาะ กัน เด็กชายผู้พี่วัย 18 ปี ที่ยอมรับกับสภาพของตัวเอง และเฝ้ารอวันสุดท้ายของชีวิตอยู่ทุกลมหายใจ

         ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่า กัน จะไม่เคยฟูมฟายกับอาการป่วยของตัวเอง เขารับไม่ได้อยู่เป็นปี จากที่เคยเดินเหินได้ปกติ มีวัยเด็กอันสนุกสนานกับน้องกี้และเพื่อน ๆ แต่เมื่ออาการป่วยเริ่มสำแดงฤทธิ์จนเขาไม่สามารถเดินหรือขยับร่างกายของตัว เองได้อีกต่อไปแล้ว วิทยุและซีดีธรรมะจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสงบให้กับชีวิตที่ รุ่มร้อนทั้งกายใจ

         กระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง น้องกัน ได้ไปร่วมงานเปิดมูลนิธิช่วยเด็กป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ที่เจ้าตัวปรารถนาตั้งขึ้น ก่อนจะอาการทรุดหนักและจากไปในวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ซึ่งผู้เป็นแม่บอกว่า ขอให้น้องกันไปดี ไปในที่ที่ปรารถนาอย่างที่เขาพูดเสมอว่า อยากไปเกิดใหม่เป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ขณะที่ น้องกี้ น้องชายวัย 13 ปี กล่าวทั้งน้ำตาว่า... "พี่กัน ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ หายามารักษากี้ให้หายด้วยนะ"

         จะเห็นได้ว่า...ท่ามกลางความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ครอบครัวนี้เรียนรู้ที่จะค้นหาความสุขบนโลกใบนี้ภายใต้เงื่อนไขที่มี อยู่จำกัด


น้องโมเน่ต์

น้องโมเน่ต์ 

เอาใจช่วย น้องโมเน่ต์ หนูน้อยไร้แขนแต่กำเนิด 


         เรื่องราวของหนูน้อยผู้โชคร้าย เกิดมาไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกบอกเล่าโดยผู้เป็นพ่อผ่านทางเว็บไซต์ pantip.com เขาและภรรยาไม่คาดคิดเลยว่า ลูกน้อยในครรภ์ที่ไม่เคยแสดงอาการผิดปกติใด ๆ จะคลอดออกมาด้วยน้ำหนักเพียง 1,500 กรัม และถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียูทันทีพร้อมเครื่องช่วยหายใจ ก่อนจะได้รับคำตอบว่า น้องโมเน่ต์ เป็นโรค CDLS (Cornelia de Lange Syndrome) ซึ่งเกิดจากการจับคู่ผิดของโครโมโซม ทำให้เด็กหยุดการเจริญเติบโตในท้องมารดา หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว โดยเด็กที่เกิดมา จะมีอาการปัญญาอ่อน เจริญเติบโตช้า และอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาวะแทรกซ้อน ซึ่งโรคนี้มีโอกาสพบได้ 1 ต่อ 10,000-30,000 คนเท่านั้น

         แม้จะเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด แต่ผู้เป็นพ่อและแม่พยายาม ทำใจยอมรับให้ได้ พวกเขาต้องพาลูกน้อยเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เพื่อรักษาชีวิตของน้องโมเน่ต์ กระทั่งตัดสินใจว่า จะไม่ให้แพทย์เจาะ หรือผ่าตัดอะไรที่จะทำให้ลูกสาวเจ็บต่อไปอีกแล้ว พร้อมกับขอให้แพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิตหนูน้อยไว้ หากเกิดอาการอะไรหนัก ๆ ที่จำเป็นต้องปั๊มหัวใจ

         ด้วยอาการป่วยของน้องโมเน่ต์ ทำให้เธอต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่าเด็กเล็กทั่วไป แต่แม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ครอบครัวนี้ก็สัญญาว่าจะดูแลน้องโมเน่ต์ อย่างดีที่สุด และร่วมต่อสู้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่เพียงกำลังใจอันเข้มแข็งในครอบครัว พวกเขายังได้รับแรงใจมากมายจากชาวพันทิปที่ร่วมส่งกำลังใจ และสิ่งของจำเป็นมากมายไปให้น้องโมเน่ต์ ...และเราขอร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ...สู้ต่อไปนะ น้องโมเน่ต์


แบรท - ไมเคิล วูล์ฟ



ความรักของพ่อ ที่ความตายมิอาจพราก 

         เป็นข่าวน่าเศร้าเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่าน มา แบรท วูล์ฟ หนุ่มชาวมะกัน ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ และพยายามปั๊มหัวใจ "ไมเคิล" ลูกชายวัย 4 ขวบ แต่ก็ไม่เป็นผล หลังพลั้งเผลอปล่อยลูกเล่นใกล้ระเบียง จนพลัดตกจากคอนโดมิเนียมชั้น 10 กลางเมืองพัทยา และ วูล์ฟ ก็ไม่สามารถผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปได้ 3 วัน หลังการจากไปของไมเคิล เขาตัดสินใจกินยาปลิดชีวิตตนเอง โดยทิ้งโน้ตข้อความว่า... "I love my son Michael" ผมรักลูกของผม ไมเคิล

         ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อาจพบกุญแจสำคัญว่าทำไม วูล์ฟ จึงเลือกทางออกด้วยวิธีการนี้... วูล์ฟ แต่งงานกับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ มีลูกหนึ่งคน ก่อนจะหย่าร้างกัน และเขาได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก โดยในขณะที่ไมเคิลอายุได้เกือบ 2 ขวบ วูล์ฟ ต้องพบกับฝันร้าย เมื่อพี่เลี้ยงสาววัย 15 ปี พาลูกน้อยของเขาหายไปจากบ้านเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกมากพอที่ FBI จะให้ความร่วมมือกับตำรวจท้องที่ จนสามารถหาตัว ไมเคิล กลับมาสู่อ้อมกอดของพ่ออีกครั้ง หลังจากนั้น วูล์ฟ ก็หอบลูกมาอยู่พัทยา ก่อนจะมาพบกับจุดจบของชีวิตในที่สุด

         พ่อ...แม้จะเป็นเพศที่เข้มแข็ง แต่เมื่อต้องแบกรับความรู้สึกแห่งการสูญเสียลูกอันเป็นที่รัก ที่ผู้เป็นพ่อคิดว่าตัวเองมีส่วนด้วยแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้...และขอสดุดีกับความรักของพ่อ คนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การฆ่าตัวตาย ก็ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายในการแก้ปัญหาชีวิต


ลินดา พิริยะปัญญาพร
ลินดา พิริยะปัญญาพร



ลินดา สาวหัวใจแกร่ง แม้กายป่วยหนัก

         คุณลินดา พิริยะปัญญาพร คือผู้ป่วยลำไส้ทะลักออกมาอยู่นอก ตัวตั้งแต่แรกเกิด แต่เธอกลับมีชีวิตรอดมากว่า 30 ปีแล้ว ด้วยกำลังใจจากคนในครอบครัว และการมองโลกในแง่ดี ทว่าหลายสิบปีมานี้เธอก็ต้อง เข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำจากอา กาiปวดท้อง และความเจ็บปวดซ้ำซากเช่นนี้ ทำให้คุณลินดา ตัดสินใจผ่าตัดเรียงลำไส้ แม้จะเสี่ยงต่อชีวิตสูงมาก แต่การผ่าตัดในครั้งนั้นเธอก็รอดชีวิตมาได้ แม้อาการจะไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่อาการปวดท้องจะลดน้อยลงก็เท่านั้น

         จากนั้นแพทย์ แนะนำให้เธอผ่าตัดสร้างตาข่ายเทียม เพื่อยึดให้เกิดผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ขึ้น แต่ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ คุณลินดา จำเป็นต้องผ่านการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาก่อน ซึ่งเธอได้รับการช่วยเหลือ จากเพื่อนชายนักธุรกิจชาวต่างชาติเป็นผู้บริจาค น้ำเชื้อให้ และตั้งครรภ์ลูกแฝด ทว่าข่าวดีนี้มาพร้อมกับข่าวร้าย เมื่อเธอตรวจเจอมะเร็งต่อมไทรอยด์ จนสุดท้ายต้องแท้งลูกไป และผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปได้สำเร็จ

         ทั้งนี้ ในขณะที่คุณลินดากำลังรักษาตัวอยู่ เธอก็เดินหน้าสานต่อความฝันที่อยากก้าวไปเป็นช่างผมระดับโลกต่อไป ด้วยการไปศึกษาเรื่องการทำผมที่สหรัฐอเมริกา และเข้าร่วมการประกวดช่างผมระดับโลก ปี 2009 เธอต้องต่อสู้กับการกลั่นแกล้งสารพัดจากเวทีประกวด ก่อนจะได้รับรางวัลที่ 4 และรางวัล Best Perfomance Award ซึ่งแม้จะโกรธมากกับจนแทบไม่อยากได้รางวัล แต่เธอยังคงตั้งปณิธานว่า "จะเป็นที่ 1 ในเวทีโลกให้ได้ก่อนตาย" เพื่อสร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้จงได้



มะกุด ต่ออำนาจ
มะกุด พิการแต่ตัว หัวใจยังเข้มแข็ง



มะกุด พิการแต่ตัว หัวใจยังเข้มแข็ง

         แม้ว่า มะกุด ต่ออำนาจ จะเกิดมาโดยไร้แขน ไร้ขา แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อแต่อุปสรรค มะกุด ทำงานทุกอย่างทั้งถักโครเชต์ ขายผลไม้ และยังจับมือกับเพื่อนอีก 2 คนซึ่งคนหนึ่งตาบอดเลือนราง ขณะที่อีกคนร่างกายฝั่งขวาไม่มีแรง ตระเวนไปทั่ว อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อรับซื้อของเก่า พอเป็นรายได้ประทังเลี้ยงชีพ และหากมีเงินเหลือมากกว่า 100 บาท มะกุด ก็จะนำเงินก้อนนั้นมาให้มารดา

         มะกุด บอกตัวเองเสมอว่า จะไม่ท้อถอยกับชีวิต ต้องมองโลกในแง่บวกและพยายามที่จะนำพาชีวิตของตัวเองและคนใกล้ชิดให้ก้าวไป ข้างหน้าด้วยกัน เช่นนั้นแล้วใครที่กำลังสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ ลองนำเรื่องราวของ มะกุด ไปเป็นข้อคิดเตือนสติตัวเองว่า ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกมาก แต่เขาไม่เคยท้อแท้ หรือนั่งยอมแพ้กับให้กับโชคชะตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเลย


ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก

ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก 

         ยายยิ้ม หญิงชราวัยใกล้ร้อย จะเดินลงจากบ้านกลางป่าเขาระยะทาง 7-8 กิโลเมตร เป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันพระ จนเป็นภาพชินตาของชาวบ้านบ้านท่าหนอง จ.พิษณุโลก ซึ่งแม้ว่าระยะทางไกลเต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่องขรุขระ หรือฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายยิ้ม ก็ไปถึงวัดไม่เคยขาด

         ทุกวันนี้แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง 83 ปี แต่ ยายยิ้ม ยืนยันว่าร่างกายยังแข็งแรงดี และก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่ต้องอยู่บ้านกลางป่าเพียง ลำพังมากว่า 20 ปีแล้ว และหลายครั้ง ลูกชาย 2 คน ที่คอยดูแลแม่คนนี้อยู่ห่าง ๆ จะพยายามรบเร้าให้แกไปอยู่ด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะเอาชนะใจแม่ได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุว่า บ้านกลางป่าของแก ทำให้ชีวิตไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก ถึงจะต้องอดบ้างยามฝนตกลงจากเขาไม่ได้ แต่ยายยิ้ม ก็ยืนกรานว่า จะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย

         ด้วยความเป็นคนจริงเรื่องการทำบุญ รายได้ประจำตัวจากเบี้ยคนชราเดือนละ 500 บาท จึงมักหมดไปกับการทำบุญเสียทุกคราวที่ยายยิ้มไปวัด รวมไปถึงเงินที่ลูกหลานแบ่งไว้ให้ใช้ยามมาเยี่ยม ก็ร่อยหรอไปกับกิจกรรมในทางธรรมเช่นกัน โดยยามว่างยายยิ้มจะลงมือสร้างฝาย (คันกั้นน้ำ) เพื่อรักษาผืนป่าให้คงอยู่แบบธรรมชาติที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ยายยิ้ม สามารถสร้างฝายจากสองมือได้ถึง 11 ฝายแล้ว และตั้งเป้าจะทำให้ถึง 14 ฝายด้วย

         วิถีชีวิตกลางป่าแบบ ยายยิ้ม ใช่ว่าจะเป็นทางเดินไร้ทางเลือก หากแต่ ยายยิ้ม ได้ตัดสินใจสละความทุกข์ยากในสังคมเมืองอันวุ่นวาย หันหน้าสู่ธรรมชาติและสรรหาความสุขที่แท้จริง จนมีชีวิตในแบบ ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก...ชีวิตที่มีครบทุกสิ่ง...จะขาดก็เพียงแต่ ไม่รู้ว่า "ความทุกข์" หน้าตาเป็นอย่างไร

         จากเรื่องราวชีวิตที่ถ่ายทอดผ่านตัว บุคคลทั้งหมดนี้ ต่างสะท้อนความรู้สึกหลากอารมณ์ ทั้งเศร้า ซึ้ง และประทับใจ ซึ่งไม่แน่ว่า อาจทำให้กำลังใจดี ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของคุณ และสำรองไว้เป็นภูมิคุ้มกันความท้อแท้สิ้นหวัง เพื่อต้อนรับกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้...


credit postjung
พ่อ สระอู

ฟันธงดวง 12 ราศี ปี 2554 ... โดย หมอลักษณ์ ฟันธง

ราศีเมษ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 13 เมษายน - 13 พฤษภาคม)

                                                              ปี 2554 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ...ฟันธงครับ
 การเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตจากร้ายกลายดี เนื่องจากดาวประจำตัวของท่านที่เกิดราศีเมษคือ “ดาวอังคาร” ในปีที่ผ่านมาดาวอังคารโคจรวิปริต เดินหน้าถอยหลัง ยึกๆ ยักๆ ไม่ค่อยดีตลอดโดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2553 พอผ่านเข้าปี 2554 ดาวอังคารโคจรเดินหน้าอย่างเป็นจังหวะจะโคน “ดาวศุกร์” ซึ่งเป็นดาวตัวแทนความสุข การเงิน ก็โคจรเป็นปกติตลอดปี ยังมีบางช่วงโคจรเดินหน้าอย่างรวดเร็วแสดงถึงผลที่เกิดเร็ว แปลว่าในปี 2554 โดยเฉพาะหลังวันที่ 4 พฤษภาคมไปแล้ว จะเป็นปีที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา แปลว่าขยัน ตั้งใจ สู้ ลุกขึ้นแล้วลุย จะปรากฏความสำเร็จเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชีวิต ...ฟันธงครับ เรื่องความรัก ปี 2554 คนโสดมีโอกาสได้เจอคู่แท้แล้วแต่งงาน ได้ครองคู่ หรือมีโอกาสคบหาใครบางคนที่ถูกใจ ...ฟันธง เรื่องสุขภาพไม่ต้องห่วง แข็งแรงครับ ป่วยเป็นอะไรก็จะหาย จะได้หมอดีรักษา ฟันธงครับ 
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ในปี 2554 สิ่งที่จะทำให้เกิดความสำเร็จแก่ท่าน เพื่อเกิดความเป็นสิริมงคล 1. หาโอกาสไปกราบสักการะ “หลวงพ่อพระแก้วมรกต” ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือหลวงพ่อพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้ว จ.เชียงราย 2. สักการะ “เจ้าพ่อหลักเมือง ที่ศาลหลักเมือง ที่ใดก็ได้ เพื่อให้ชีวิตมีหลัก มีเทพยดาประจำเมืองคุ้มครองรักษา 3. สักการะ “พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” ขอพรให้ท่านร่ำรวย เป็นเศรษฐี ประดิษฐาน ณ วัดบ้านเด่น จ.เชียงใหม่ และ ภูเขาทอง วัดสระเกศฯ จะเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านเองครับ 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตาติดตัว ไว้เสริมดวงชาวราศีเมษ คือ1. “พระพิฆเนศวิเศษลาภา” หลังยันต์ดวงเมือง เป็นมหามงคลที่จะทำให้ท่านสมปรารถนา โดยเฉพาะของสถาบันพยากรณ์ศาสตร์ 2. พระพุทธเศรษฐีนวโกฏิ  พิธีเสาร์ 5 วัดไตรมิตรฯ และวัดสระเกศฯ จะไม่อับจนมีเงินมีทอง 3. พระแสงอาทิตย์ ทันจิต และพระแสงจันทร์ ทันใจ ของวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน เสริมดวง และขอพรให้สำเร็จได้ทันจิต ทันใจ

ราศีพฤษภ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน)

                                                                       ปีแห่งเคราะห์ภัยต้องระวังตัว ...ฟันธงครับ
 ในปี 2554 ดวงชะตาของท่านที่เกิดราศีพฤษภ จะดีช่วงครึ่งปีแรกครับ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป ดวงเริ่มตก ท่านจะมีความร้อนใจทุกข์ใจ กังวลใจจากหลายเรื่องหลายประการ วางแผนจะทำอะไรขอรีบทำก่อนวันที่ 4 พฤษภาคมครับ เรื่องการงาน ในปี  2554 อย่าประชดลาออก ให้อดทน รอบคอบ จะทำอะไรอย่าประมาท มิฉะนั้นจะผิดพลาด ใครที่จะลงทุนทำการค้า ต้องระงับไว้ก่อน ช่วงนี้รื้อเอางานเดิมมาทำจะเป็นการดีที่สุด เรื่องความรัก มีเกณฑ์พลัดพรากไม่ว่าจะด้วยการจากไปเรียนต่อไกลๆ หรือจะเลิกจากเราไปเลยก็ตามที การเงิน ต้องระวัง มีโอกาสเสียเงิน ถูกล่อลวงและหลอกลวง ทำให้เสียหาย บริหารเรื่องการเงินให้ดี อย่าให้ใครหยิบยืมสตางค์ จะเป็นการดีที่สุด เรื่องสุขภาพและอุบัติเหตุ ปีนี้ ต้องระมัดระวังเพราะ มีเกณฑ์การเจ็บไข้ได้ป่วย หรืออุบัติเหตุอันเกิดจากขับยวดยานพาหนะ 
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ปีนี้ชาวราศีพฤษภ ควรหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมเป็นระยะ นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ ทำจิตให้สงบ หรือหาโอกาสไปกราบสักการะ “หลวงพ่อพระพุทธมงคล” ในวิหารมหาอุจ วัดแค จ.สุพรรณบุรี ในอดีตขรัวตาคง อาจารย์ของขุนแผน เคยประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เป็นมหามงคลให้แก่ศิษย์ในวิหารหลังนี้สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หาโอกาสไปกราบไหว้ หมอชีวกโกมารภัจจ์ที่ วัดลอยเคราะห์ จ.เชียงใหม่ จะได้หมดเคราะห์หมดภัย หาโอกาสร่วมสร้างหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นการสร้างบุญใหญ่ในปีนี้ครับ
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา ปีนี้ชาวราศีพฤษภต้องหาพระดีๆ  มาแขวนคอ คือ 1.หลวงปู่ทวด ของเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร จะทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุอุบัติภัย 2. ท้าวเวสสุวรรณ เจ้าแห่งภูตผีปีศาจ เจ้าแห่งทรัพย์ โดยเฉพาะของ อ.อิฎฐ์ พิธีวัดจุฬามณี ให้แคล้วคลาดร่ำรวย 3. บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ หมอหลวงผู้รักษาพระพุทธเจ้า ขอพรให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย 4. พระขุนแผน วัดแค จ.สุพรรณบุรี  ไปไหนจะได้มีคนรัก มีคนเมตตา

      นี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งคุ้มครองตนที่ควรมีไว้ติดตัวตลอดปีในปีที่เผชิญกับภัยพิบัติอย่างนี้ ภัยพิบัติทั้งหมดก็จะค่อยๆ คลายไป ผมให้กำลังใจท่านที่เกิดในราศีพฤษภให้สู้ และให้รู้ไว้ว่าสู้ในครานี้มีใจเป็นสำคัญ ถ้าใจสู้เสียแล้ว อย่ากลัว จะมีโอกาสมีชัยชนะ หาโอกาสไปปฏิบัติธรรม และหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ผมแนะนำจะเป็นสิ่งที่คุ้มครองเป็นบุญราศีให้พ้นโพยภัยและโชคดี พ้นปีนี้ไปได้ ปีหน้ารวย ฟันธง

ราศีเมถุน (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน - 14 กรกฎาคม)

                                                                   ปีแห่งการพ้นภัย ชีวิตรุ่งโรจน์ ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดราศีเมถุน ปี 2554 เป็นปีแห่งการพ้นภัย ชีวิตรุ่งโรจน์ พ้นเคราะห์ มีเงินทองไหลมาเทมา ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้า มีความสำเร็จเป็นลำดับ เรื่องการงาน มีโอกาสได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง มีความเจริญรุ่งเรืองในเรื่องงาน ซื้อง่ายขายคล่อง ใครที่กล้าคิดกล้าลงทุนขยับขยาย จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี...ฟันธงครับ เรื่องการเงิน  ในปี 2554 จะเป็นปีของโชคลาภ จะมีโอกาสได้เงินก้อนใหญ่ ปากเป็นเอกนำเงินทองมาสู่ตนแน่นอน ...ฟันธงครับ เรื่องความรัก  หลังจากวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ท่านมีโอกาสจะสมหวัง เจอคู่แท้ได้ดั่งใจที่ปรารถนา จากนี้เป็นต้นไปจะเจอคนที่ใช่มากกว่าไม่ใช่ ขอให้โชคดีครับ เรื่องสุขภาพและอุบัติเหตุ ให้ระวังโรคภัยไข้เจ็บ และอุบัติเหตุในช่วงต้นปี แต่พอหลังจากวันที่ 24 พฤษภาคม ดวงชะตาหมดเคราะห์หมดภัย 
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ปีนี้จะเป็นมหามงคลยิ่งนักถ้าชาวราศีเมถุนดวงกำลังดีไปไหว้ พระนอนตามที่ต่างๆ ที่ท่านสะดวก ขอบารมีของเทวดาที่รักษาพระให้ช่วยคุ้มครอง ให้ท่านโชคดี เจริญรุ่งเรือง เช่น 1. กราบ หลวงพ่อนอน วัดสามพระยา ใกล้วังบางขุนพรหม กรุงเทพฯ 2. หลวงพระนอน วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง 3. “พระพิฆเณศวร์วิเศษลาภา” เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ องค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่ศาลพระหลักเมืองตลาดพระประแดง จ.สมุทรปราการ  เป็นพิฆเณศวร์แห่งเดียวที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา ปีนี้ถือว่าเป็นปีแห่งการมีโชคมีชัยของชาวราศีเมถุน สิ่งที่จะเสริมดวงให้สมปรารถนาดั่งคำพยากรณ์แบบฟันธง ได้แก่ 1. “พระพิฆเณศหลักเมือง” ตลาดพระประแดง จ.สมุทรปราการ สร้างในพิธีศักดิ์สิทธิ์ จะได้มีหลักชัย ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ 2. “พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” พระเศรษฐีผู้ประทานโชคลาภและบารมี ดวงคุณกำลังรวย จะได้รวยสมใจ 3. พระแสงอาทิตย์ ทันจิต และพระแสงจันทร์ ทันใจ ของวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ขอพรให้สำเร็จได้ทันจิต ทันใจ

ราศีกรกฎ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม)

                                                                          ปีแห่งความรุ่งโรจน์และมั่นคง ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดราศีกรกฎประจำปี 2554  ถือว่าเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ ความเจริญ และมั่นคง เพราะ เมื่อสองปีที่ผ่านมา ชาวราศีกรกฏเจอกรรมเก่าหลายประการ อ่อนแรง หมดกำลัง แต่ในปี 54 ดวงดีตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 2553 เป็นต้นมา การงานจะยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะประสบความสำเร็จเป็นลำดับ ...ฟันธงครับ การเงิน ปีนี้ท่านจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ สามารถตั้งตัว สามารถซื้อบ้าน ที่ดิน รถยนต์ได้ ...ฟันธงครับ ความรัก  ในปี 2554 นั้นเป็นปีที่จะมีความเข้าใจกับคนรัก และมีโอกาสจะลงเอยในเรื่องของความรัก ใครเป็นโสดจะได้เจอคู่แท้ คู่รักหรือคนรักสามารถช่วยเรื่องกิจการงานให้รุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า..ฟันธงครับ สุขภาพและอุบัติเหตุ ปีนี้อุบัติเหตุก็แคล้วคลาดทุกประการ ไม่ต้องกลัว 
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ดวงชะตาของชาวราศีกรกฏ ในปี 2554 ถือว่าเป็นช่วงขาขึ้น เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์เจริญก้าวหน้า ควรจะไปทำบุญเพื่อเสริมดวง ปีนี้ท่านควรไปไหว้ 1. “พระนอน” ที่วัดป่าโมกข์ จ.อ่างทอง 2.“หลวงพ่อนอน” อันศักดิ์สิทธิ์ที่วัดสามพระยา ถ.สามเสน ซอย5 กรุงเทพฯ 3. กราบนมัสการ “หลวงพ่อโต” ที่เรียกว่า “ซำปอกง” ที่วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา และที่วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ ขอพรให้ยิ่งใหญ่ ใหญ่โต จะมีความเจริญรุ่งเรือง สมปรารถนา 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา สิ่งมหามงคลที่ชาวราศีกรกฎควรบูชาไหว้ประจำตัว ได้แก่ พระกริ่ง ที่ที่เรียกว่า “พระไภษัช” หรือพระหมอ ผมแนะนำพระกริ่งที่เป็นมหามงคล สร้างในพิธีดี ได้แก่ 1. พระกริ่งพระปริตร วัดสามพระยา ท่านที่มีไว้บูชาจะได้มีมนต์พระปริตรไว้คุ้มครอง เป็นมนต์ของพระพุทธเจ้า 2. พระกริ่งพุทโธใหญ่ วัดอาวุธวิกสิตาราม เมื่อท่านได้ครอบครอง จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะทำให้พ้นโพยภัย เจริญรุ่งเรือง 3. เหรียญพระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ พิธีเสาร์ 5 ที่วัดไตรมิตรฯ จะได้เป็นมงคลให้ท่านคุ้มครองตน รวยรุ่งโรจน์ สมใจ 4. เทวดาพระจันทร์ พิธี ณ วัดไตรมิตร และวัดสระเกศ เทพเจ้าแห่งเงินตรา ไว้เสริมดวงชะตาให้มีเงิน มีทอง

ราศีสิงห์ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม - 16 กันยายน)

                                                                    ดวงชะตาพลิกฟื้น จากร้ายกลายดี ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดในราศีสิงห์ประจำปี 2554 เป็นปีที่เรียกว่า เปลี่ยนแปลงจากร้ายกลายดี ...ฟันธงครับ เพราะท่านที่เกิดในราศีสิงห์ มีปัญหามาตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2553 และจะไปหมดสิ้นเคราะห์ ภัยในวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2554 การงาน จะทำอะไรต้องประคับประคองตัวเองให้มาก จะมีแต่ปัญหา แต่พอหลังวันที่ 4 พฤษภาคม การงานขยับขยายมั่นคงมากขึ้น และประสบความสำเร็จ ...ฟันธง การเงิน  มีเกณฑ์ที่จะประสบความสำเร็จ ได้เงินได้ทอง มีโอกาสที่จะลงทุนแล้วประสบความสำเร็จหลังวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 ...ฟันธงครับ ความรัก  หลังวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 ไปแล้ว ความรักจะสดใส จะมีแต่ความสุขและสมหวัง สุขภาพและอุบัติเหตุ  มีเกณฑ์การเจ็บไข้ได้ป่วยในช่วงต้นปี เป็นอะไรให้รีบไปหาหมอครับ  
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ต้นปี 2554 ดวงชะตายังไม่ค่อยดี มีทั้งเคราะห์และภัยต่างๆ ผมแนะนำให้ไปไหว้พระ ตลอดทั้งปี เพื่อแก้เคราะห์เสริมดวงชะตา ดังนี้ครับ 1. ไปไหว้ “หมอชีวกโกมารภัจจ์” ที่วัดลอยเคราะห์ จ.เชียงใหม่ ขอพรให้หมดเคราะห์ หมดภัย 2. “วัดดับภัย” จ.เชียงใหม่ ใครมีเคราะห์มีภัยไปกราบไหว้ ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง จะหมดภัย 3. กราบนมัสการ “หลวงพ่อพระมงคลสรรเพชร” ที่วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี ที่ศักดิ์สิทธิ์ 4. ไปกราบนมัสการ “พระพรหม” ที่ใดก็ได้ เป็นพระพรหมธาดา จะทำให้สมหวังสมปรารถนาเป็นมหามงคล 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา ปีนี้ควรหาแขวนเอาไว้ติดตัว ได้แก่ 1. “เหรียญพระพรหมธาดา” หลังยันต์ดวงเมือง วัดสามพระยา จะเป็นมหามงคล จะได้ช่วยรักษาใน4ทิศ ให้พ้นโพยภัย 2. ควรจะมี “พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” เข้าพิธีเสาร์ห้า ณ วัดไตรมิตรฯ จะเป็นมหามงคล 3. “เหรียญเทวดาพฤหัสบดี” เทพเจ้าแห่งปัญญาและความมั่นคง ทำพิธีที่วัดไตรมิตรฯ รับรองว่าจะมีโชคดีสมปรารถนา 4. “รูปเคารพเหรียญพระผงหมอชีวกโกมารภัจจ์” จะทำให้ท่านหมดทุกข์โศกโพยภัย หมดเวรหมดกรรม จะได้คุ้มครองให้เกิดโชคลาภและความร่ำรวยครับ 
 ทั้งหมดนี้เป็นมงคลคุ้มครองชาวราศีสิงห์ จะเปลี่ยนแปลงเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี และทำให้มีโชคดีทุกประการ ทำให้คุณสมหวังสมปรารถนา โดยเฉพาะหลังจากวันที่ 4 พฤษภาคม ขอให้ชาวราศีสิงห์สู้ แล้วท่านจะโชคดี มีความสุขความเจริญ สวัสดีครับ

ราศีกันย์ ( ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 17 กันยายน - 16 ตุลาคม )

                        ปีแห่งโชคลาภและเคราะห์ภัย ที่จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ  กัน
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดในราศีกันย์ประจำปี 2554 มีโอกาสที่จะเจอทั้งโชคและเคราะห์ครับ แต่จะเป็นไปทางร้ายมากกว่าทางดี ต้องระมัดระวังตัว การงาน  ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ปี 53 จนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 เป็นช่วงที่ดวงชะตารุ่งโรจน์ประสบความสำเร็จ เปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางที่ดี แต่หลังวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 ไปแล้ว ดวงชะตาอยู่ในเกณฑ์ดวงตก ไปจนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2554 ถ้าตั้งใจ ขยัน ทุ่มเท มุ่งมั่นและต่อสู้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จงอย่ากลัวในสิ่งใด เดี๋ยวจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยส่งเสริมดวงชะตาครับ การเงิน  ในช่วงต้นปี มีโอกาสที่จะได้ดูแลเรื่องการเงิน เอกสาร นิติกรรมสัญญา มีโอกาสจะมีโชคดี ได้เงินก้อนใหญ่ จะมีโชคมีชัยในเรื่องการเงิน แต่อย่าประมาทเพราะดวงคุณไม่ได้ดีซะทีเดียว ความรัก  คนที่มีครอบครัวแล้วจะต้องประคับประคองความรักให้ดี สุขภาพและอุบัติเหตุ  มีเกณฑ์เจ็บไข้ได้ป่วยแบบเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ระบบภายใน ระวังอุบัติเหตุเภทภัยที่จะเกิดขึ้น แบบไม่คาดฝัน 
 เคล็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ดวงชะตาของท่านที่เกิดในราศีกันย์ตลอดปี 2554 นี้ ถือว่าเป็นปีที่น่าเป็นห่วง ต้องอาศัยอำนาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คุ้มครองพิทักษ์ ควรไปปฏิบัติธรรม ไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะสามารถผ่านพ้นปัญหาและภัยทุกอย่างไปได้ ปีนี้ควรไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมดวงชะตา ดังนี้ 1. กราบสักการะ “หลวงพ่อพระพุทธมงคลสรรเพชร” ที่วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี ที่ศักดิ์สิทธิ์ 2. กราบสักการะ “หลวงพ่อพระนั่งอุ้มบาตร” ณ วัดสามพระยา ขอพรให้มีเงินมีทอง มีกินมีใช้ตลอดทั้งปี3. กราบ “หมอชีวกโกมารภัจจ์” มี 2 แห่ง คือ ที่โรงพยาบาลสงฆ์ และที่วัดลอยเคราะห์ จ.เชียงใหม่ 4. ไปกราบขอพรพระพิฆเณศวร์ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ที่ตลาดพระประแดง จ.สมุทรปราการ ไปกราบไหว้ครบทั้ง 5 ประการ จะเป็นมหามงคลเสริมชะตาครับ
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมชะตา วัตถุมงคลที่ควรหาไว้แขวนประจำตัวตลอดทั้งปี ภัยที่มีอยู่จะมลายหายไป ด้วยอำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองให้พ้นโพยภัยจากร้ายกลายดี แล้วจะทำให้คุณประสบความสุขและความสำเร็จเป็นอย่างดี ...ฟันธงครับ 1. รูปหล่อหรือเหรียญหมอชีวกโกมารภัจจ์ ของสถาบันพยากรณ์ศาสตร์ ขอพรให้หายป่วยไข้ 2. ท้าวเวสสุวรรณ เจ้าแห่งภูตผีปิศาจ เจ้าแห่งทรัพย์ หาไว้บูชาแล้วแคล้วคลาดร่ำรวย 3. พระพิฆเณศหลักเมือง เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ รุ่นร่วมสร้างบุญศาลหลักเมืองพระประแดง จ.สมุทรปราการ จะเป็นมหามงคล

ราศีตุลย์ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน)

                  ปีแห่งการเริ่มต้น การลงทุน และลงเอยเรื่องความรัก...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดในราศีตุลย์ประจำปี 2554 ถือว่าเป็นปีแห่งการเริ่มต้น จะสมหวังในทุกเรื่องทุกประการครับ การงาน ในปี 2554 สามารถลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ที่ต้องมีพันธะสัญญา มีผู้ร่วมหุ้นร่วมชีวิต การเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่ความมั่นคงในชีวิต เหนื่อยแทบขาดใจ แต่จะประสบความสำเร็จมากมายเกินกว่าที่คิดเอาไว้ ก็ขอให้มีความตั้งใจ ทุ่มเท โดยเฉพาะหลังวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป ชีวิตการงานจะขยับขยายเป็นอย่างมาก...ฟันธงครับ การเงิน  ตั้งแต่ปลายปี 2553 เข้าปี 2554 เงินทองไหลมาเทมาอย่างเห็นได้ชัดเจน มีโอกาส ได้เงินก้อนใหญ่ หมดหนี้หมดสิน ตั้งตัวตั้งหลักได้  มีความมั่นคงในเรื่องการเงิน ...ฟันธงครับ ความรัก  มีเกณฑ์สมหวังในความรัก มีโอกาสได้เจอคู่แท้ บุตรหลานบริวารจะนำข่าวดีมาสู่คุณครับ สุขภาพและอุบัติเหตุ  ต้องดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย เพราะมีเกณฑ์ที่จะอ้วนขึ้น อุบัติเหตุเภทภัยที่รุนแรงนั้น คุณไม่ต้องเป็นห่วง แคล้วคลาดทุกประการ
 เคล็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ท่านที่เกิดราศีตุลย์ ในปี 2554 มีดาวเสาร์โคจรทับจุดเกิด แล้วเป็นมหาอุจจ์ในรอบ 30 ปี แปลว่า เป็นรอบจังหวะเวลาแห่งการตั้งหลักหรือรับภาระใหญ่ ผมแนะนำให้ไปกราบไหว้ 1. พระเสาร์นาคปรก ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ตอนที่พระพุทธองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรากฏว่ามีองค์พญามุจลินทร์นาคราชมาแผ่พังพานปกป้องคุ้มครองพระพุทธองค์ ชาวราศีตุลย์ตอนนี้กำลังจะได้รับบารมีแห่งองค์พญานาคราช หรือพระพุทธรูปปางนาคปรก คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดธูป 10 ดอก เทียน 10 เล่ม บูชาท่านเป็นกำลังของพระเสาร์ จะทำให้ท่านมั่นคง มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้า 2. กราบนมัสการพระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ ขอพรให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ที่ภูเขาทอง วัดสระเกศ , วัดแค จ.สุพรรณบุรี , วัดบ้านเด่น จ.เชียงใหม่ 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเอาไว้เสริมดวงชะตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวราศีตุลย์ควรมีไว้บูชาประจำตัวคือ 1. พระพิฆเณศ เอาไว้ติดตัวประจำตน คือพระพิฆเณศหลักเมือง ตลาดพระประแดง จ.สมุทรปราการ มีไว้บูชาตั้งหลักได้และมีความสำเร็จสมหวัง 2. เหรียญพระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ พิธีเสาร์5 ที่วัดไตรมิตรฯ ควรมีไว้ติดตัว คุ้มครองเป็นมหามงคล ที่ก่อให้เกิดความสุขความเจริญ และร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี  3. รูปเคารพของพญานาค เช่น เหรียญพญานาคราช โดยเฉพาะพิธีศักดิ์สิทธิ์ วัดจุฬามณี คุ้มครองประจำตัว ทำให้ท่านมีโชคลาภร่มเย็นเป็นสุขตลอดปีพุทธศักราช 2554 ครับ

ราศีพิจิก (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม)

                        ปีแห่งความบากบั่น พากเพียร แล้วประสบผลสำเร็จ ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดในราศีพิจิกประจำปี 2554 เป็นปีที่ต้องใช้ความบากบั่น และความวิริยะอุตสาหะ จึงจะประสบความสำเร็จ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ปีพุทธศักราช 2554 เป็นต้นไป การงาน มีโอกาสของการขยับขยาย สามารถก่อร่างสร้างตัว ขอให้คุณมีความขยัน และเชื่อมั่นว่าชีวิตกำลังจะดี กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง แล้วชีวิตของคุณจะมีความรุ่งโรจน์  จากร้ายกลายดี การเงิน โดยเฉพาะหลังจากวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 เงินทองจะไหลมาเทมา ขยันแล้วได้ดี ขยันแล้วตั้งตัวได้ ขยันแล้วรวย ...ฟันธงครับ ความรัก ใครที่เป็นโสดมานานจะมีครอบครัว จะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง สุขภาพและอุบัติเหตุ  สุขภาพไม่มีปัญหา แต่ต้องระวังอุบัติเหตุ เพราะมีสิทธิเกิดอุบัติเหตุแบบไม่คาดฝัน เพราะฉะนั้นต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตัว
 เคล็ดมงคลเสริมดวงชะตา ปี 2554 ดวงชะตาชาวราศีพิจิก ยังมีดาวราหูโคจรเข้าทับราศี จะต้องทำอย่างไรจึงจะรุ่งโรจน์ 1. หาโอกาสย้ายบ้านหรือจัดบ้านเสียใหม่ ย้ายที่อยู่หรือย้ายห้องนอน ดูแลบ้านหรือที่อยู่อาศัยของคุณพ่อคุณแม่ แสดงกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นบุญบารมีเสริมดวงชะตาของท่านครับ 2. หาโอกาสไปร่วมบุญใหญ่ ร่วมสร้างเทวดาราหูเต็มองค์ทรงครุฑ ที่วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี โดยไปร่วมเททองหล่อ เขียนแผ่นทองอธิษฐานหล่อสร้างพระราหู ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือนพฤษภาคม และไปทำบุญใหญ่ในวันที่ราหูย้าย ที่วัดไตรมิตร ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ท่านที่กลัวราหูจะทำร้ายหรือทำลายชีวิต กลัวปัญหาเรื่องสุขภาพ ต้องไปร่วมงานบุญ และสร้างบุญ รับรองว่าจะไม่มีเหตุเภทภัยมาทำร้ายท่านได้อย่างแน่นอน 
 สรรพสิงมิ่งมงคลที่เสริมดวงชะตา สิ่งที่เป็นมงคลบูชาเอาไว้ติดตัวประจำตน สำหรับชาวราศีพิจิกประจำปีนี้คือ 1. “องค์จตุคามรามเทพ” หาองค์จตุคามรามเทพที่มีรูปพระราหู และพระนารายณ์ปราบมาร ปราบราหูให้แพ้ภัย แล้วให้ราหูบันดาลดลให้เกิดโชคชัย คุ้มครองตัว 2. “เหรียญเทวดาราหูเต็มองค์ทรงครุฑ” ของวัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี เป็นมหามงคลคุ้มราศี ผ่านพิธีที่วัดไตรมิตรฯ และพิธีที่วัดป่าธรรมโสภณ 3. “เหรียญหลวงพ่อนั่ง, หลวงพ่อนอน” วัดสามพระยา ที่มีบารมีคุ้มครองให้พระราหูอวยโชคอวยชัย ถ้าท่านได้ปฏิบัติและได้มีวัตถุมงคลตามที่ได้บอกกล่าวมานี้แล้ว ปีพุทธศักราช 2554 จะเป็นปีทองของท่าน ... ฟันธงครับ

ราศีธนู (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม - 15 มกราคม)

                  ปีแห่งการพ้นโพยภัยจากภัยของราหู ปีแห่งความร่ำรวยแบบไม่ทันตั้งตัว ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดราศีธนูประจำปี 2554 ปีนี้ ท่านจะพ้นภัยจากราหู หลังวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป แล้วดวงชะตาของท่านจะรวยแบบไม่ทันตั้งตัว รวยแบบไม่มีเหตุผล ฟันธงครับ การงาน  มีมุมที่จะประสบความสำเร็จในช่วงครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง เป็นความสำเร็จสมปรารถนา มีความเจริญก้าวหน้า การเงิน  ในปีนี้ ดาวการเงินของท่านที่เกิดในราศีธนู กำลังโคจรได้ตำแหน่งที่มั่นคง เป็นโอกาสที่ท่านจะรวยแบบไม่ทันตั้งตัว ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายและศีลธรรม ทำด้วยความขยันทำด้วยความตั้งใจ รับรองว่ารวยทันตารวยทันใจ ความรัก  ในปี 54 นี้ มีโอกาสลงเอยในความรัก มีโอกาสได้เกื้อกูลส่งเสริมกันในเรื่องของการงาน สมหวังสมปรารถนาทุกประการสุขภาพ อุบัติเหตุ ยังมีเกณฑ์ที่จะมีปัญหาสุขภาพ และอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝัน ตั้งแต่ต้นปี 2554 จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม ต้องระมัดระวังตัว ไม่ประมาท งดการเที่ยวเตร่เฮฮา งดไปในที่อโคจร หมั่นทำบุญสร้างกุศล สร้างบุญบารมีจะเป็นมงคลคุ้มครองดวงชะตา    เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ปี 2554 ท่านที่เกิดราศีธนูยังโดนเงาราหูทับจุดเกิดอยู่ในช่วงต้นปี ยังต้องระมัดระวังตัว สิ่งที่เป็นมงคลสำหรับท่าน คือ การไหว้พระราหู มีตำนานเล่าว่า พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู เป็นพระปางที่ข่มบารมีราหู หรือทำให้ราหูกลับใจจากร้ายกลายดี ควรหาโอกาสไปกราบสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ใดก็ได้ ที่เป็นปางอสุรินทราหู จะเป็นมหามงคลสำหรับชีวิตของท่าน เพื่อให้พ้นโพยภัยครับ 1. กราบสักการะ “หลวงพ่อโต” วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี 2. กราบนมัสการ “หลวงพ่อนั่ง หลวงพ่อนอน” วัดสามพระยา ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก “พระนั่ง” เป็นลักษณะปางป่าเลไลยก์  “พระนอน” เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์โปรดอสุรินทราหู 3. กราบสักการะ “พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” ที่วัดแค จ.สุพรรณบุรี 4. กราบสักการะ “บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์” เพราะหลายท่านเกิดราศีธนูตัวเองป่วย ญาติป่วยไปกราบขอพรให้พ้นโพยภัย อยู่ที่หลังพระอุโบสถวัดพระแก้ว หรือที่วัดลอยเคราะห์ จ.เชียงใหม่ 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา ส่วนของบูชาที่มีไว้ติดตัว เป็นมงคลเสริมดวงชะตาของชาวราศีธนู คือ 1. “องค์จตุคามรามเทพ” หาองค์จตุคามรามเทพที่มีรูปพระราหู และพระนารายณ์ปราบมาร ปราบราหูให้แพ้ภัย แล้วให้ราหูบันดาลดลให้เกิดโชคชัย คุ้มครองตัว 2. “เหรียญหรือรูปเคารพที่เป็นพญานาค” จะคุ้มครองท่าน พญานาคเป็นเจ้าของแก้วแหวนเงินทอง และทรัพย์ใต้แผ่นดินในเมืองบาดาล หากท่านได้ระลึกนึกถึงพญานาค มีไว้ติดตัว ขอบารมีจากองค์พญานาค ท่านจะมีแก้วแหวนเงินทองที่มั่นคง ร่ำรวยแบบไม่ทันตั้งตัว 3. “เหรียญหลวงพ่อนั่งหลวงพ่อนอน” ของวัดสามพระยา มีไว้ประจำตัว จะคุ้มครองให้ท่านมีความสุขความเจริญ 

ราศีมังกร (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 16 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์)

                        ปีแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และเจริญก้าวหน้า ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดราศีมังกรประจำปี 2554 เป็นปีแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เป็นปีแห่งก่อร่างสร้างตัวที่จะสร้างความมั่นคงให้ประสบความสำเร็จ 5 ปีจากนี้ ชาวราศีมังกรมีแต่ดวงจะดีขึ้น ดีขึ้น ...ฟันธงครับ การงาน  จะมีความมั่นคงโดดเด่น มีการขยับขยายทรัพย์สิน สามารถก่อร่างสร้างตัว ลงทุนทำการค้า ขยายธุรกิจ จะเจริญด้วยลาภ ยศ เกียรติ ศักดิ์ศรี ถือว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ การเงิน  งานดีเงินก็ต้องดีกันไป โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม เงินทองไหลมาเทมา โชคลาภบังเกิดขึ้นทันใจ ความรัก  จะมีความสุขสมหวัง มีความมั่นคง ในความรัก เหตุเภทภัยที่เกิดขึ้นกับคนรักหรือความรัก จากนี้จะหมดไป มีแต่ความสุข ความเจริญ ...ฟันธงครับ สุขภาพ อุบัติเหตุ  ไม่ต้องเป็นกังวลครับ
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ในปี 2554 ชาวราศีมังกรดวงกำลังจะดี และดีต่อไปถึง 4-5 ปี ก็ขอให้ชาวราศีมังกรสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทำบุญไว้เป็นกำลังเป็นฐานของชีวิต หาโอกาสไปกราบไหว้พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 4 ภาค ดังนี้ครับ ภาคเหนือ 1. กราบสักการะ “พระธาตุดอยตุง” จ.เชียงราย และ2.“ศาลหลักเมือง108 องค์” จ.เชียงราย หาผ้าแพรไปผูกที่ฐาน เพื่อเป็นกำลังของเทวดาร้อยแปดองค์พิทักษ์รักษา ชีวิตของท่านจะตั้งหลักมั่นคง  ภาคกลาง 1.กราบสักการะ “พระแก้วมรกต” ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 2.ไปสักการะ “ศาลพระหลักเมือง” กรุงเทพฯ แล้วผูกผ้าแพรสามสีเพื่อขอพรเทวดาประจำเมือง , ภาคใต้ กราบสักการะ “มหาเจดีย์เก้ายอด” ที่เขาธงชัย จ.ประจวบคีรีขันธ์ จะได้มีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ และอย่าลืมไปกราบ “พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” ที่วัดคลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จะเป็นมหามงคลเสริมบุญราศี ภาคอีสาน ไปกราบสักการะ“พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” ที่วัดศาลาลอย จ.นครราชสีมา และไปสักการะย่าโม ขอให้มีชัยชนะต่อทุกสิ่ง
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา สำหรับราศีมังกร ได้แก่ 1. เหรียญหรือรูปหล่อลอยองค์ “พระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” หลังยันต์ดวงเมืองประเทศไทย พิธีดี พิธีเสาร์ 5 พิธีต่างๆ ที่เสกแล้ว หามาไว้คุ้มครองตัว 2. ยันต์ดวงเมืองประเทศไทย ที่ศาลพระหลักเมือง ติดตัวไว้จะเป็นมงคล 3. พระพิฆเณศวิเศษลาภา เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ของสถาบันพยากรณ์ศาสตร์โดยเฉพาะท่านที่ทำงานสายวงการบันเทิง บูชาประจำตัวประจำตน จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จ 
 และที่สำคัญ ปีนี้ท่านควรร่วมบุญหล่อพระใหญ่ คือ “เทวดาราหูเต็มองค์ทรงครุฑ” เป็นปางเทพมหามงคล ที่วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี เขียนแผ่นทองอธิษฐาน หล่อในวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 จะเป็นมหามงคลเสริมราศีสำหรับตัวท่านอย่างแน่นอน ...ฟันธง

ราศีกุมภ์ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ - 13 มีนาคม)

                        ปีแห่งความร่ำรวย  มีโชคลาภในรอบ 18 ปี ดวงดี...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดในราศีกุมภ์ประจำปี 2554 ถือว่าเป็นปีแห่งความร่ำรวย มีโชคลาภ ความสำเร็จ สามารถก่อร่างสร้างตัว ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีของดวงชะตาที่จะมีโชค มีชัย การงาน  ไม่ว่าท่านจะทำงานอะไรขอให้ตั้งใจ ปี 2554 เป็นปีทองผ่องอำไพ มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ในหน้าที่การงาน การเงิน  เห็นได้ชัดว่าดีมาตั้งแต่ปลายปี 53 ถ้าหากท่านที่เกิดในราศีกุมภ์ไม่รวยรอบนี้แล้วจะรวยรอบไหน เป็นจังหวะที่ท่านต้องกอบโกย ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน จะสมปรารถนาต้องหาพระเศรษฐีมาไว้คุ้มครองเป็นบุญราศีแล้วจะมีโชคลาภใหญ่ หาได้ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาแจกฟรีพร้อมกับบัตรฟันธง ขอให้โชคดีสมปรารถนาโดยฉับพลัน ความรัก  มีเกณฑ์สมหวัง สมปรารถนา ใครเป็นคนโสดจะเจอคู่ครองตามดวงชะตา ใครมีคู่ครองแล้วจะมีบุตรไว้สืบวงศ์ตระกูล มีความสุขสมหวังในความรักตลอดทั้งปี สุขภาพ อุบัติเหตุ  ไม่น่าเป็นห่วง แคล้วคลาด ปลอดภัยตลอดทั้งปี ...ฟันธงครับ
 เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  สิ่งมงคลที่ท่านควรไปกราบไหว้ แล้วมีไว้บูชาประจำตัว ประจำตน เพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนี้ครับ 1. หาโอกาสไปไหว้ หรือร่วมสร้าง “พระราหูเต็มองค์ทรงครุฑ” ณ วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวงการบันเทิง นักการเมืองที่ต้องการเดชอำนาจบารมีหรือชื่อเสียง ต้องไปร่วมสร้างพระราหูเต็มองค์ทรงครุฑ ร่วมบุญโดยไปเขียนแผ่นทองอธิษฐาน ได้ตั้งแต่ต้นปี จะมีพิธีเททองหล่อในวันที่ 24 พฤษภาคม 54 พลาดไม่ได้ครับ 2. หาโอกาสไปกราบสักการะ “พระปางนาคปรก” ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน “เสาร์กับราหูเป็นมิตรต่อกัน” ควรไปไหว้พระเสาร์นาคปรกจะเป็นมหามงคลคุ้มครองดวงชะตา 3. ไปกราบสักการะ “หลวงพ่อนั่ง, หลวงพ่อนอน” อันศักดิ์สิทธิ์ วัดสามพระยา รับรองว่าจะเป็นบุญวาสนา ทำให้ท่านมีบุญราศีโชคดีตลอดปี 2554 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา ที่มีไว้ประจำตัวประจำตน1. “เทวดาพระราหูเต็มองค์ทรงครุฑ” แห่งวัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี และที่วัดไตรมิตรฯ เป็นมหามงคลไว้คุ้มครองตัว 2. “พระสีวลีปางฉันภัตตาหาร” ของเจ้าประคุณพระเทพภาวนาวิกรม แห่งวัดไตรมิตรฯ หามาไว้บูชา คุ้มครองท่านให้ดี มีโชคลาภครับ 3. “เหรียญสมโภชพระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ” พิธีเสาร์5 วัดไตรมิตรฯ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่ควรมีไว้คุ้มครองราศีให้ท่านได้โชคดี จะได้ร่ำรวยสมปรารถนา ฟันธงครับ

ราศีมีน (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 14 มีนาคม - 12 เมษายน)

                  ปีแห่งการผกผัน  ดีก็ดีสุดขั้ว  ร้ายก็ร้ายจนน่ากลัว  แต่มีวิธีแก้ไข ...ฟันธงครับ
 ดวงชะตาของท่านที่เกิดราศีมีนประจำปี 2554 เป็นปีแห่งการผกผัน ดีก็ดีสุดขั้ว ร้ายก็ร้ายจนน่ากลัว การงาน  ท่านที่เกิดในราศีมีนถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง การลงทุนขยับขยาย จะทำอะไรก็ตามที รีบทำให้เสร็จก่อนวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หลังจากวันที่ 4 พฤษภาคม ไปแล้ว จะทำอะไรต้องมีความระมัดระวัง รอบคอบ อย่าประมาท อย่าไว้วางใจใคร การเงิน  เงินทองไหลมาเทมา เรื่องรายจ่ายนั้นไม่ต้องกลัวเพราะมีโอกาสได้เงินก้อนใหญ่  ความรัก  มีเกณฑ์สมหวังในเรื่องของความรัก ก่อนพฤษภาคมปี 2554 นี้ มีสิทธิลงเอย สรุปความสัมพันธ์ในเรื่องความรัก แต่งงานหรือจบหรือจากกันด้วยดี สุขภาพ อุบัติเหตุ  ในช่วงปีนี้ มีสิทธิเกิดอุบัติเหตุเภทภัย เป็นเรื่องที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง งดการเที่ยวเตร่ในยามวิกาล ดูแลสุขภาพ เป็นอะไรให้รีบรักษา อย่าปล่อยไว้จนเรื้อรัง ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร จะดีที่สุด  
  เคล็ดเกร็ดมงคลเสริมดวงชะตา  ในปี 2554 ผมอยากให้ชาวราศีมีนรำลึกนึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระบารมีของอดีตบุรพกษัตรา กษัตรี ที่ทรงเป็นผู้สร้าง ผมนึกถึงพระมหากษัตริย์เจ้าในอดีตที่ทรงเป็นมหาราช หรือในช่วงก่อร่างสร้างราชวงศ์ พระองค์จะต้องผจญกับความยากลำบากมากมาย รวมไปถึงมหาราชทุกพระองค์ต้องกอบกู้บ้านเมือง เผชิญกับภัยอันตราย แต่ด้วยความเป็นนักสู้ ทุกพระองค์ไม่เคยย่อท้อ ดังนั้น ควรจะน้อมสิ่งนี้ไว้เป็นฉัตรแก้วกั้นเกศ ระลึกถึงพระบารมีของพระองค์ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้ หาโอกาสไปกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ของมหาราช ในทุกที่ที่มีโอกาสได้เดินทางไป ทำบุญ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่อดีตบุรพกษัตรา กษัตรี วีรชนผู้กล้าทุกองค์ อานิสงส์แห่งบุญบารมีจะทำให้ท่านไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่จะเผชิญครับ และหาโอกาสไปกราบนมัสการ “พระปางนาคปรก” ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย และ “พระปางนาคปรก” ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ขอพระบารมีปกเกล้ากั้นเกศคุ้มครองเรา เพื่อความเป็นมหามงคล 
 สรรพสิ่งมิ่งมงคลเสริมดวงชะตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวราศีมีน ควรมีไว้ประจำตัวตลอดปี 2554 คือ1. เหรียญสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พิธีใดก็ได้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ติดตัวบูชาจะเป็นมหามงคล2. หลวงปู่ทวด ของเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตรฯ สร้างเอาไว้เป็นมงคล คุ้มครองให้พ้นอุบัติเหตุอุบัติภัย 2. เหรียญพระพุทธมหาเศรษฐีนวโกฏิ ควรมีไว้คุ้มครองบูชา จะทำให้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี 3. เหรียญเทวดาพฤหัสบดีทรงกวางทอง จะเป็นมหามงคล คุ้มครองให้ประสบความสำเร็จ สมปรารถนานี่เป็นสถานที่ที่เป็นมงคลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตัวที่จะทำให้ชาวราศีมีนพ้นทุกข์โพยภัย และประสบโชคใหญ่ในปีพุทธศักราช 2554 นี้ครับ ก็ขอให้ท่านที่เกิดราศีมีนโชคดีสมปรารถนา มีโชคลาภนำพาเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ฟันธงครับ

อริยบุคคล บุคคลผู้เป็นอริยะ,

ท่านผู้บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น มี ๔ คือ

๑. พระโสดาบัน

๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคามี)

๓. พระอนาคามี

๔. พระอรหันต์ ;

แบ่งพิสดารเป็น ๘ คือ

พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล คู่ ๑,

พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล คู่ ๑,

พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล คู่ ๑,

พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คู่ ๑



1.) โสดาปัตติมรรคบุคคล คือบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่าโสดาปัตติมรรคจิต โสดาปัตติมรรคบุคคลนี้นับเป็นอริยบุคคลขั้นแรก และได้ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพานแล้ว มรรคจิตในขั้นนี้จะทำลายกิเลสได้ดังนี้คือ

(ในที่นี้จะใช้สัญโยชน์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการแบ่งประเภทของกิเลส เป็นหลักในการอธิบาย - ดูเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)

- สักกายทิฏฐิ

- วิจิกิจฉา

- สีลพตปรามาส

รวมทั้งโลภะ(ความโลภ) โทสะ(ความโกรธ, ขัดเคืองใจ, กังวลใจ, เครียด, กลัว) โมหะ(ความหลง คือไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง) ในขั้นหยาบอื่น ๆ อันจะเป็นผลให้ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (เดรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย, นรก) ด้วย



2.) โสดาปัตติผลบุคคล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโสดาบัน คือผู้ที่ผ่านโสดาปัตติมรรคมาแล้ว คุณสมบัติที่สำคัญของโสดาบันก็คือ

- พ้นจากอบายภูมิตลอดไป คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกเลย เพราะจิตใจมีความประณีตเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิเหล่านั้นได้ (ใครจะไปเกิดในภูมิใดนั้น ขึ้นกับสภาพจิตตอนใกล้ตายที่เรียกว่ามรณาสันนวิถี ถ้าขณะนั้นจิตมีสภาพเป็นอย่างไร ก็จะส่งผลให้ไปเกิดใหม่ในภูมิที่มีสภาพใกล้เคียงกับสภาพจิตนั้นมากที่สุด)

- อีกไม่เกิน 7 ชาติจะบรรลุเป็นพระอรหันต์

- มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จะไม่คิดเปลี่ยนศาสนาอีกเลย

- มีศีล 5 บริบูรณ์ (ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์) คือความบริสุทธิ์ของศีลนั้นเกิดจากความบริสุทธ์/ความประณีต ของจิตใจจริง ๆ ไม่ใช่ใจอยากทำผิดศีลแต่สามารถข่มใจไว้ได้ คือใจสะอาดจนเกินกว่าจะทำผิดศีลห้าได้



3.) สกทาคามีมรรคบุคคล หรือสกิทาคามีมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่เรียกว่าสกทาคามีมรรคจิต มรรคจิตในขั้นนี้ ไม่สามารถทำลายกิเลสตัวใหม่ให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนมรรคจิตขั้นอื่น ๆ เป็นแต่เพียงทำให้ โลภะ โทสะเบาบางลงเท่านั้น โดยเฉพาะกามฉันทะ และปฏิฆะ ถึงแม้ว่าความยึดมั่นที่มีอยู่จะน้อยลงไปก็ตาม ทั้งนี้เพราะกามฉันทะและปฏิฆะนั้นมีกำลังแรงเกินกว่า จะถูกทำลายไปได้ง่าย ๆ



4.) สกทาคามีผลบุคคล หรือสกิทาคามีผลบุคคล คือผู้ที่ผ่านสกทาคามีมรรคมาแล้ว

คุณสมบัติสำคัญของสกทาคามีผลบุคคลก็คือ ถ้ายังไม่สามารถบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ในชาตินี้ ก็จะกลับมาเกิดในกามภูมิอีกเพียงครั้งเดียวก็จะบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ แล้วจะพ้นจากกามภูมิตลอดไป เพราะอริยบุคคลขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายที่จะเกิดในกามภูมิได้อีก

คำว่ากามภูมินั้นได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษยภูมิ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก แต่สกทาคามีบุคคลนั้นพ้นจากอบายภูมิไปแล้วตั้งแต่เป็นโสดาบัน จึงเกิดได้เพียงในสวรรค์ และมนุษย์เท่านั้น

5.) อนาคามีมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เรียกว่าอนาคามีมรรคจิต ทำลายกิเลสได้เด็ดขาดเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัวคือ

- กามฉันทะ

- ปฏิฆะ

6.) อนาคามีผลบุคคล คือผู้ที่ผ่านอนาคามีมรรคมาแล้ว

คุณสมบัติที่สำคัญของอนาคามีผลบุคคลคือ ถึงจะยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกเลย แต่จะไปเกิดในภูมิที่พ้นจากเรื่องของกามคือรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเท่านั้น (ดูหัวข้อรูปราคะ และอรูปราคะในเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)

ในรูปภูมิ 16 ชั้นนั้น จะมีอยู่ 5 ชั้นที่เป็นที่เกิดของอนาคามีผลบุคคลโดยเฉพาะ ซึ่งรวมเรียกว่าสุทธาวาสภูมิ ดังนั้น ในสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 ชั้นนี้ จึงมีเฉพาะอนาคามีผลบุคคล อรหัตตมรรคบุคคล และพระอรหันต์ (ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในภูมินี้แล้วยังมีชีวิตอยู่) เท่านั้น

สุทธาวาสภูมิ 5 ชั้นประกอบด้วย

- อวิหาภูมิ

- อตัปปาภูมิ

- สุทัสสาภูมิ

- สุทัสสีภูมิ

- อกนิฏฐาภูมิ

7.) อรหัตตมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ที่เรียกว่าอรหัตตมรรคจิต ทำลายกิเลสที่เหลือทุกตัวได้อย่างหมดสิ้น จนไม่มีกิเลสใด ๆ เหลืออีกเลย สัญโยชน์ที่มรรคจิตขั้นนี้ทำลายไป ได้แก่

- รูปราคะ

- อรูปราคะ

- มานะ

- อุทธัจจะ

- อวิชชา



8.) อรหัตตผลบุคคล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพระอรหันต์ คือผู้ที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะกิเลสตัวสุดท้ายถูกทำลายไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคจิตที่ผ่านมาแล้ว เป็นผู้ที่พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวง เพราะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลย แต่ยังคงต้องทนกับทุกข์ทางกายต่อไป จนกว่าจะปรินิพพาน เพราะตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ไม่อาจพ้นจากทุกข์ทางกายไปได้

นิพพานนั้นมี 2 ชนิด คือ

- สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานเป็น หมายถึงนิพพานที่ยังมีส่วนเหลือ คือกิเลสทั้งหลายดับไปหมดแล้ว พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวงแล้ว แต่ยังมีร่างกายอยู่ ทำให้ต้องทนทุกข์ทางกายต่อไปอีก ได้แก่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

- อนุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานตาย หมายถึงนิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือ คือพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ทั้งทางกาย และทางใจอย่างสิ้นเชิง ได้แก่พระอรหันต์ที่ตายแล้วนั่นเอง ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่าปรินิพพาน (ปริ = โดยรอบ, ปรินิพพาน = นิพพานโดยรอบทุกส่วน คือทั้งร่างกายและจิตใจ คือนิพพานจากทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง)



พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบชีวิตในวัฏสงสารว่า ปุถุชนทั้งหลายเหมือนผู้คนที่ผุด ๆ โผล่ ๆ อยู่กลางน้ำลึก ต้องทนทุกข์ทรมาน สำลักน้ำอยู่อย่างไม่รู้อนาคต ต้องเสี่ยงภัยจากปลาร้ายทั้งหลาย โสดาบันเปรียบเหมือนผู้ที่พยุงตัวพ้นจากผิวน้ำขึ้นมาได้ จนสามารถมองเห็นฝั่ง(แห่งพระนิพพาน) แล้วเตรียมตัวว่ายเข้าหาฝั่งนั้น สกทาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่กำลังว่ายเข้าหาฝั่ง อนาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่เข้าใกล้ชายฝั่งมาก คือถึงจุดที่น้ำตื้นพอที่จะหยั่งเท้าถึงพื้นดินได้ แล้วเดินลุยน้ำเข้าหาฝั่ง จึงพ้นจากการสำลักน้ำแล้ว พระอรหันต์เปรียบเหมือนผู้ที่เดินขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยแล้ว พ้นจากอันตรายทั้งปวงแล้ว รอวันปรินิพพานอยู่

กุ้งแห้ง หากจะเก็บไว้ทานนานๆ

กุ้งแห้ง หากจะเก็บไว้ทานนานๆ เมื่อซื้อมาแล้ว ถ้ายังชื้นอยู่ ให้ตากแดดอีดรอบ แล้วนำใส่ขวดเก็บในตู้เย็นเท่านั้น รับรองไม่เหม็นไม่ขึ้นราแน่นอน

จาก SMs FarmerInfo by DTAC - 22 มกราคม 2554 - 15.05 น.

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

"งานตรุษจีนนครสวรรค์ เฉลิมหล้ามหาราชัน 84 พรรษา" : วันนี้-7 ก.พ. 54 ณ จ.นครสวรรค์

"งานตรุษจีนนครสวรรค์ เฉลิมหล้ามหาราชัน 84 พรรษา" : วันนี้-7 ก.พ. 54 ณ จ.นครสวรรค์ ภายในงานพบกับขบวนแห่เจ้า เวทีลอยน้ำ การแสดงแสงสีเสียงม่านน้ำ คอนเสิร์ต การแสดงทางวัฒนธรรมจีน งิ้ว และมายากล จากเมืองสุ้ยหนิง มณฑลเสฉวน เทศกาลอาหารจีน และอาหารนานาชาติ

คัมภีร์แรกที่จะสูญไป=คัมภีร์มหาปัฏฐาน

ธาตุอันตรธานปริวัตต์

คำว่า อัตรธาน คือ ความเสื่อมสูญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มี ๕ ประการ คือ

๑.ปริยัติอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระปริยัติ

๒.ปฏิบัติอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการปฏิบัติ

๓.ปฏิเวธอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการสำเร็จมรรคผลนิพพาน

๔.ลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งเพศสมณะ

๕.ธาตุอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระบรมธาตุ



ปริยัติอันตรธาน

พระปริยัติ ได้แก่พระไตรปิฏกทั้ง ๓ คือ พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก และพระอภิธรรมปิฏก ตราบใดที่พระไตรปิฏกยังดำรงอยู่ พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่าดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะบุคคลจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ด้วยอาศัยการศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฏก เมื่อพระปริยัติเสื่อมถอยหาบุคคลที่จะศึกษาเล่าเรียนน้อย ศาสนาก็เสื่อมถอยตามไปด้วย การเสื่อมถอยแห่งพระปริยัตินั้นจะมีสิ่งบอกเหตุให้ทราบเป็นลำดับคือ

เมื่อถึงกลียุคสมัย พระราชามหากษัตริย์มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมประเพณี อีกทั้งหมู่อำมาตย์ราชเสนาบดี รวมทั้งอาณาประชาราษฏร์ทั้งในเมืองและชนบท ต่างพากันงดเว้นจากการประพฤติธรรม พากันหาความสุขสำราญตามอัธยาศัย ข่มเหงเบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่า ให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินฟ้าอากาศก็วิปริต ผิดปกติฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาก็หายาก หมู่มนุษย์และสัตว์พากันลำบากเดือดร้อนขาดแคลนอาหารทั้งทรัพย์สินเงินทอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันอดอยากยากเข็ญแล้ว จตุปัจจัยไทยทานที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ให้อยู่ดีมีสุขก็หายาก ภิกษุสงฆ์ก็พลอยได้รับความลำบากไปด้วย เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถสงเคราะห์กุลบุตรให้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติได้ ครั้นเมื่อพระปริยัติขาดผู้เล่าเรียนแล้วก็เสื่อมทรุดลงตามลำดับ ภิกษุทั้งหลายจะไม่รู้ความหมายแห่งพระปริยัติ จะเหลือแต่บาลีอย่างเดียวแต่ขาดผู้รู้ความหมาย

ในการเสื่อมสูญแห่งพระไตรปิฏกนั้น พระอภิธรรมปิฏกจะเสื่อมก่อน พระอภิธรรมนั้นมี ๗ คัมภีร์ ได้แก่

๑.พระสังคิณี

๒.พระวิภังค์

๓.พระธาตุกถา

๔.พระปุคคลบัญญัติ

๕.พระกถาวัตถุ

๖.พระยมก

๗.พระมหาปัฏฐาน



ในพระอภิธัมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมลงจากยอด คือคัมภีร์มหาปัฏฐานก่อน ลำดับต่อไปก็เป็นคัมภีร์ยมก กถาวัตถุ จนถึงสังคิณี โดยลำดับ

เมื่อพระอภิธรรมปิฏกเสื่อมแล้ว ถ้าพระสุตตันตปิฏกและพระวินัยปิฏกยังดำรงอยู่ ก็ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่เช่นกัน

พระสุตตันตปิฏกนั้น เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อม มาจากยอดคือ อังคุตรนิกายเสื่อมก่อน จากนั้นก็ถึง สังยุตนิกาย มัชฌิมนิกาย และทีฆนิกายเป็นสุดท้าย เมื่อทีฆนิกายเสื่อมแล้ว พระสุตตันตปิฏกจึงได้ชื่อว่าเสื่อมสูญ จากนั้นภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะทรงจำซึ่งชาดกต่างๆ ได้ และชาดกที่จะเสื่อมเป็นชาดกแรกก็คือ เวสสันดรชาดก

ต่อจากนั้น ภิกษุทั้งหลายก็จะทรงจำไว้ซึ่งพระวินัยปิฏกเพียงอย่างเดียว ครั้นเวลาล่วงไป พระวินัยปิฏกก็เสื่อมลงเป็นปิฏกสุดท้าย และเมื่อเสื่อมคัมภีร์บริวาร จะเสื่อมเป็นคัมภีร์แรก ต่อจากนั้นก็เป็นคัมภีร์ขันธกะ คือ จุลวรรค คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภิกขุณีวิภังค์ เสื่อมลงมาตามลำดับ จึงได้ชื่อว่าพระวินัยปิฏกเสื่อมสูญ

แม้กระนั้น พระปริยัติก็ชื่อว่าไม่เสื่อม ถ้าตราบใดที่ยังมีบุคคลสามารถจำคาถาแม้ไม่มากเพียง ๔ บาทเท่านั้น พระปริยัติก็ยังชื่อว่าไม่อันตรธาน แต่ถ้าเมื่อใด หาผู้รู้คาถาเพียง ๔ บาทนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อนั้น พระปริยัติ ชื่อว่าอันตรธานสูญสิ้นหาเศษมิได้



ปฏิบัติอันตรธาน

กาลเวลาผ่านไป ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะบำเพ็ญเพียรปฏิบัติให้เกิดฌาน วิปัสสนาและ มรรคผลได้ จะยังคงรักษาอยู่แต่ปาริสุทธิศีล ๔ เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านนานไปภิกษุทั้งหลายพากันเบื่อหน่ายต่อการที่จะรักษาให้บริสุทธิ์ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์ในการรักษาพากันเลิกละความเพียร มีแต่ความเกียจคร้านล่วงละเมิดอาบัติน้อยใหญ่ หมดสิ้นความละอาย แม้กระนั้นถ้าหากยังมีภิกษุทรงไว้ ซึ่งปาราชิกสิกขาบทอยู่แล้วปฏิบัติ ก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน ต่อเมื่อไม่มีภิกษุสำรวมรักษาปาราชิกสิกขาบทแล้ว จึงได้ชื่อว่าปฏิบัติอันตรธาน



ปฏิเวธอันตรธาน

พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า ถ้ายังมีบุคคลสำเร็จเป็นพระโสดาบันแม้เพียงผู้เดียว ก็ยังชื่อว่าปฏิเวธยังดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกนี้หาผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลไม่มีเลยนั้น ปฏิเวธ ก็ได้ชื่อว่าถึงกาลอันตรธาน



ลิงคอันตรธาน

ต่อไปภายภาคหน้า ภิกษุทั้งหลายมีปฏิปทาไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส จะอยู่ในอิรอยาบถใดก็ไม่สำรวมเหมือนพวกเดียรถีย์ไม่มีความสำรวม ประพฤตินอกรีดอนาจารต่างๆ ผิดเพศภิกษุซึ่งเป็นพุทธสาวก แม้กระนั้นก็ยังชื่อว่าเพศสมณะ ยังไม่ถึงกับอันตรธาน

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ภิกษุทั้งหลายไม่ใช้ผ้าไตรจีวรมีสีอันควรแก่สมณเพศ เห็นว่าสีผ้ากาสาวพัสตร์ไม่มีความสำคัญ จากนั้นก็พากันละทิ้งบริขารแม้กระทั้งไตรจีวร พากันประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวทั้งบุตรและภรรยา จะมีก็แต่เศษผ้าเหลืองชิ้นน้อยๆ ห้อยอยู่ที่คอหรือผูกไว้ที่ข้อมือเท่านั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นพระภิกษุ สมดังพระดำรัสที่ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า

“ ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จะหาภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งจีวรมิได้ จะมีก็แต่โครตภูสงฆ์ คือ พระสงฆ์รุ่นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา ผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยอยู่ที่คอ หาศีลาจาวัตรมิได้ แม้กระนั้นถ้าหากจะมีทายกมีจิตศรัทธาปรารถนาจะทำบุญ ก็จงตั้งจิตอุทิศถวายเพื่อสงฆ์ แล้ววัตถุจตุปัจจัยถวายแก่ภิกษุผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยที่คอนั้น ก็จะเกิดผลานิสงส์มหาศาลเช่นกัน”

ถึงแม้ภิกษุทั้งหลายจะมีความเป็นอยู่ย่อหย่อนถึงเพียงนั้น ก็ชื่อว่าเพศภิกษุยังคงอยู่ไม่อันตรธาน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภิกษุเหล่านั้นพากันละทิ้งผ้าเหลืองชิ้นน้อย ๆ ที่ติดตัวอยู่นั้นเสีย จึงได้ชื่อว่า ลิงคอันตรธาน คือเพศภิกษุสูญสิ้นไม่เหลือเศษอีกต่อไป



ธาตุอันตรธาน

ธาตุอันตรธานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ พระบรมธาตุนิพพาน “ และคำว่านิพพานนั้นมี ๓ ประการ คือ

๑. กิเลสนิพพาน คือการตรัสรู้ที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์

๒. ขันธนิพพาน คือการดับเบญจขันธ์ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา

๓. ธาตุนิพพาน คือพระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจักเกิดขึ้นในอนาคต

การนิพพานแห่งพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระบรมศาสดาที่ประดิษฐานอยู่ในที่ต่าง ๆ เมื่อไม่มีผู้สักการะบูชาพระบรมธาตุก็จะเสด็จไปยังถิ่นประเทศที่มีคนเคารพสักการบูชา จวบจนวาระสุดท้ายมาถึง ทั่วทุกถิ่นประเทศหาผู้สักการบูชาไม่มีเลย พระบรมธาตุทั้งหลายจากโลกมนุษย์ เทวโลกและนาคพิภพ จะเสด็จมาสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ทั้งหมด แล้วรวมกันเป็นรูปของพระพุทธองค์ ทรงประดิษฐ์สถาน ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้น ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ จะทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ในที่นั้น แต่ในครั้งนี้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายจะมิมีผู้ใดได้เห็นพระองค์เลย

ฝ่ายเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล จะพากันมาประชุม ณ ที่นั้น ต่างก็กรรแสงโศกาอาดูรเหมือนเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้นที่พระสรีรธาตุเผาผลาญพระบรมธาตุจนหมดสิ้นหาเศษมิได้ เข้าถึงซึ่งความสูญหายไปจากโลก ได้ชื่อว่า “ พระบรมธาตุนิพพาน “

อายุกาลแห่งพระพุทธศาสนาก็สิ้นสุดลง ในบัดนั้น

เมื่อพระบรมธาตุนิพพานแล้ว เหล่าเทพยดาพากันทำสักการบูชาแล้ว ทำประทักษิณสิ้น ๓ รอบเสร็จสิ้นต่างก็พากันกลับสู่วิมานของตน ๆ ในเทวโลก

มหาปัฏฐาน



 เป็นคัมภีร์ที่ ๗ ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ คัมภีร์มหาปัฏฐาน เป็น ๑ ใน ๗ คัมภีร์ที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาหลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้ว ได้แก่ ๑. ธัมมสังคณี, ๒. วิภังคปกรณ์ ๓. ธาตุกถา ๔. ปุคคลบัญญัติ ๕. กถาวัตถุ ๖. ยมกปกรณ์ และ ๗. มหาปัฏฐาน และเป็นคัมภีร์ที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า จะสูญสิ้นเป็นคัมภีร์แรก เพราะเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้ง สุขุมคัมภีร์ภาพด้วยปัจจัยแห่งปรมัตถธรรม โดยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องราวความเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน โดยนัยมากมายทั้งพิศดารและละเอียดสุขุมลึกซึ้งยิ่งนัก ธรรมในมหาปัฏฐานนี้ ถ้าจะนับรวมกันทั้งหมดก็มีจำนวนถึงหลายโกฏิ ด้วยเหตุนี้ท่านอรรถกถาจารย์จึงเรียกคัมภีร์นี้ว่า “มหาปัฏฐาน” ตามหลักฐานกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจาร ณาพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์อยู่นั้น เมื่อทรงพิจารณาคัมภีร์ที่ ๑ คือ ธัมมสังคณี จนถึงคัมภีร์ที่ ๖ คือ ยมก มาตามลำดับมิได้มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น ต่อเมื่อทรงพิจารณาคัมภีร์ที่ ๗ คือ ปัฏฐาน จึงได้เกิดรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายถึง ๖ สี (หรือที่เรียกว่า ฉัพพรรณรังสี)

ปัจจัย๒๔

เหตุปัจจะโย

อารัมมะณะปัจจะโย

อธิปะติปัจจะโย

อนันตะระปัจจะโย

สะมะนันตะระปัจจะโย

สะหะชาตะปัจจะโย

อัญญะมัญญะปัจจะโย

นิสสะยะปัจจะโย

อุปะนิสสะยะปัจจะโย

ปุเรชาตะปัจจะโย

ปัจฉาชาตะปัจจะโย

อาเสวะนะปัจจะโย

กัมมะปัจจะโย

วิปากาปัจจะโย

อาหาระปัจจะโย

อินทริยะปัจจะโย

ฌานะปัจจะโย

มัคคะปัจจะโย

สัมปะยุตตะปัจจะโย

วิปปะยุตตะปัจจะโย

อัตถิปัจจะโย

นัตถิปัจจะโย

วิคะตะปัจจะโย

อะวิคะตะปัจจะโย.



ปัจจัยมีประการต่างๆมากมาย ในการแสดงปัจจัย ๒๔ นั้น พระพุทธองค์ทรงจำแนกปัจจัยหนึ่งๆ มีธรรมเป็น ๓ หมวด คือ ปัจจัยธรรม หมายความว่า ธรรมที่เป็นเหตุ (ปัจจัย มีวจนัตถะว่า ผลธรรมย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ได้เพราะอาศัยธรรมที่เป็นเหตุนี้ ธรรมที่เป็นเหตุนี้จึงชื่อว่า "ปัจจัย")

ปัจจยุปบันธรรม หมายความว่า ธรรมที่เป็นผล (ปัจจยุปบันธรรม มีวจนัตถะว่า ผลธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัย ชื่อว่า "ปัจจยุปบัน")

ปัจจนิกธรรม หมายความว่า ธรรมที่มิใช่ผล (คือธรรมที่นอกจากผล) (ปัจจนิก มีวจนัตถะว่า หมวดธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อปัจจยุปบันธรรม ชื่อว่า "ปัจจนิก")

มหาปัฏฐาน มีนัยยะกว้างขวาง มีนัยหาที่สุดมิได้ มีอรรถอันสุขุมลุ่มลึกยิ่งกว่าพระสัทธรรมทั้งปวง อันมีในพระไตรปิฏก นับเป็นปกรณ์ใหญ่ เรียกว่า "มหาปกรณ์" เป็นปกรณ์ที่เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แล้วนั้น

บทกวี " สุดใจ ถวายพ่อ "

เราลำบาก จากบ้าน มาแสนไกล
เรามาไกล เกินจะกลับ ครับพี่น้อง
ไปให้ถึง ซึ่งที่ฝัน ที่ใฝ่ปอง
เราจักต้อง ยืนหยัด และอดทน
...เราสู้แดด สู้หนาว สู้ความเหนื่อย
ทนปวดเมื่อย ทนเจ็บป่วย ทนทุกหน
ไม่ย่อท้อ ด้วยใจสู้ กันทุกคน
มุ่งหวังผล ใจล้นเปี่ยม คุณธรรม
* ที่เราสู้ สู้เพื่อใคร ใจเรารู้
ที่ต้องสู้ สู้เพื่อพ่อ ผู้เลิศล้ำ
เราต้องสู้ ไม่ให้พ่อ ต้องระกำ
ทุกผู้ทำ คือลูกพ่อ พ่อของไทย
พวกเรารัก ผูกพันผอง มองตารู้
เรามาสู่ แดนศักดิ์สิทธิ์ มิคิดหน่าย
ใจรับรู้ กายรับรู้ มิรู้คลาย
ยกมือไหว้ ขอบคุณใจ กันและกัน พันธมิตร

นักจิตเวชชี้แม่ลูกอ่อนดิ่งตึก เพราะซึมเศร้า-ขาดที่ปรึกษา

นักวิชาการจิตเวช ชี้ กรณีหญิงแม่ลูกอ่อน ดิ่งตึกตาย เพราะขาดคนเคียงข้าง ระบุ โดยทั่วไปสำหรับหญิงหลังคลอดบุตรนั้น จะมีภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป ช่วง 1 เดือนหลังคลอด หากไม่มีใครรับฟังปัญหาอาจคิดสั้น ด้าน "พรรณสิริ" ฝากถึงสามี-ครอบครัวดูแลแม่เพิ่งคลอดใกล้ชิด


พญ.วินิทรา นวลละออง อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า โดยทั่วไปสำหรับหญิงหลังคลอดบุตรนั้น จะมีภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป เพราะฮอร์โมนเพศที่เรียกว่า เอสโตรเจน ในร่างกายลดระดับลง ภาวะนี้เรียกว่า ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum blue) ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่จะมีอาการดีขึ้น จึงจำเป็นต้องมีคนใกล้ชิดเข้ามาดูแลหญิงกลุ่มนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาความทุกข์ในใจและรับฟังปัญหา ทั้งนี้ กรณีที่หญิงรายนี้มีความซึมเศร้าจนนำมาสู่การฆ่าตัวตาย อาจเพราะช่วง 1 เดือนหลังคลอดไม่มีใครรับฟังปัญหาและต้องอยู่ลำพังคนเดียว จึงเลือกที่จะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในที่สุด

“เมื่อหลายปีก่อนเคยมีงานวิจัยต่างประเทศ ระบุว่า วิธีการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าฆ่าตัวตาย คือ การรับฟังปัญหา แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยแก้ปัญหานั้นได้ แต่จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่โดดเดี่ยว และช่วยลดความเครียดที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงและเป็นผลสำเร็จ คือ กลุ่มผู้สูงอายุ อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ส่วนในกลุ่มวัยรุ่นนั้น พบว่า มีปัญหาการฆ่าตัวตายเช่นกัน แต่มักจะไม่สำเร็จ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่ต้องการฆ่าตัวตายจริงๆ เพียงแต่ต้องการสื่อสารให้คนรอบข้างรู้ว่ากำลังมีความทุกข์ โดยจะมีพฤติกรรมการฆ่าตัวตายซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง” พญ.วินิทรา กล่าว

พญ.วินิทรา กล่าวด้วยว่า การฆ่าตัวตายเกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 อย่าง คือ 1.ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น โรคภัยไข้เจ็บและโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนฆ่าตัวตายสำเร็จ และ 2.ปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่ทำให้เกิดความเครียด ทั้งนี้ วิธีสังเกตว่าบุคคลใกล้ชิดมีความเสี่ยงฆ่าตัวตายหรือไม่นั้น จะดูได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป หากพบว่าคุณภาพการเรียนหรือทำงานแย่ลง หรือมีพฤติกรรมกล่าวโทษตนเองอย่างไม่มีเหตุผล สันนิษฐานเบื้องต้นได้เลยว่าบุคคลนั้นมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะเครียดและ ซึมเศร้า

ด้านดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวน.ส.จงกล จำปาขาว ที่กระโดดตึกฆ่าตัวตายพร้อมลูกวัย 3 วัน และคณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

ดร.พรรณสิริกล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์นี้มีข่าวหญิงหลังคลอดฆ่าตัวตายหลายกรณี กระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยปัญหาด้านสุขภาพจิตของประชาชน ที่เกิดความเครียด จากปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ จนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในกรณีหญิงหลังคลอด ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนใหญ่จะมีอาการเศร้าหลังคลอด มีอาการร้องไห้ง่าย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือวิตกกังวล มักเกิดขึ้นภายในสัปดาห์แรกหลังคลอด และอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรือในรายที่รุนแรงอาจจะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด มีอารมณ์เศร้ามาก วิตกกังวลเกินเหตุ หรือมีอาการย้ำคิดย้ำทำ บางรายอาจคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ มักเกิดหลังคลอดประมาณ 2-4 สัปดาห์

ดร.พรรณสิริกล่าวต่อว่า ขอย้ำเตือนครอบครัว โดยเฉพาะสามีให้คอยช่วยเหลือดูแลภรรยาในการดูแลเลี้ยงดูลูก และคอยเป็นกำลังใจให้คุณแม่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นคุณแม่มือใหม่ อายุน้อยหรือยังไม่พร้อม อาจขาดความมั่นใจ มีความวิตกกังวลสูง หรือมีปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาครอบครัว คู่สมรส มีความเครียดหรือว่าเคยมีภาวะซึมเศร้าอยู่เดิม ก็จะทำให้ความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดมีมากขึ้น

นอกจากนี้ ขอให้แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนมีกำลังใจในการทำงาน เข้าใจดีว่าไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนให้ความสนใจ คอยสังเกตอาการของคุณแม่หลังคลอดอย่างใกล้ชิด และให้ญาติ ครอบครัวเข้ามาร่วมดูแลแม่หลังคลอดตั้งแต่ต้น เพื่อให้คุณแม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ เพื่อป้องกันปัญหาจากภาวะซึมเศร้าที่อาจเกิดขึ้นได้

ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ตามปกติครอบครัวมักให้ความสำคัญในช่วงระยะก่อนคลอด กังวลว่าจะเกิดปัญหาขณะคลอด แต่ในความเป็นจริงแล้วจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงระยะหลังคลอด โดยเฉพาะด้านจิตใจ ขอให้ตัวคุณแม่เอง สามี และครอบครัว สังเกตอาการที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะซึมเศร้า เช่นตื่นตระหนก หวั่นกลัว วิตกกังวลตลอดเวลาทั้งเรื่องสุขภาพแม่และลูก ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ หลับยาก ไม่รับรู้เรื่องเวลา คุณแม่เกิดความรู้สึกหมดหวัง ชีวิตไม่มีค่า ไม่รู้สึกผูกพันหรือรู้สึกใดๆกับลูก รู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย เช่นเจ็บหน้าอก หายใจติดขัด ปวดหัว รู้สึกว่านอนไม่พอ อยากนอนตลอดเวลา เป็นต้น

หากพบอาการเหล่านี้ ขอให้รีบปรึกษาแพทย์ หรือสายด่วนสุขภาพจิต 1223 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะหากแม่เกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จะมีการตัดสินใจผิดไปจากปกติธรรมดา การตัดสินใจแก้ปัญหาไม่ดี จึงอาจคิดสั้นฆ่าตัวตายได้

การเลี้ยงดูเด็ก

โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
มีนักวิชาการคนหนึ่งชื่อ Lucian Pye หากยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี้ก็คงอายุเกิน 90 ปีแล้ว Pye เขียนหนังสือเกี่ยวกับพม่า และวิเคราะห์ว่าคนพม่ามีปัญหาเรื่องการไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “trust” ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการมีระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนี้ คนในหลายประเทศจะมีต่อนักการเมือง เพราะคนมองนักการเมืองว่าเป็นคนไม่จริงใจ ตลบตะแลง และหาทางที่จะโกงกินอยู่เสมอ นักวิชาการบางคนถึงกับสรุปว่า คนที่ยากจนจะมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวยต่อประชาธิปไตย ทั้งนี้ก็เพราะการขาดความไว้เนื้อเชื่อใจนั่นเอง

Pye วิเคราะห์ว่า การที่ชาวพม่าขาดความไว้เนื้อเชื่อใจคนก็เป็นเพราะวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่ พ่อแม่มีอารมณ์แปรปรวนจนเด็กคาดคะเนไม่ถูกว่า เวลาไหนจะเป็นอย่างไร พ่อแม่ชอบเลี้ยงดูลูกแบบไม่มีระเบียบ เวลาโกรธก็ตี เวลาอารมณ์ดีก็เอาอกเอาใจ ทำให้เด็กเกิดความระแวง และพัฒนาไปเป็นความไม่ไว้วางใจสูง

ที่จริงการเลี้ยงดูเด็กมีส่วนสำคัญในการสร้างทัศนคติ และบุคลิกภาพของเด็ก นานมาแล้วมีหมออเมริกันชื่อ Dr.Spock เขียนหนังสือวิธีเลี้ยงดูเด็กไว้ จัดว่าเป็นคู่มือของพ่อแม่เมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว จนมีการเรียกขานเด็กที่เกิดในยุค 1950-1960 ว่าเป็นเด็กของหมอ Spock

เด็กที่เกิดในยุค 1960 ได้รับการเลี้ยงดูให้มีระเบียบวินัย และพึ่งพาตัวเอง แม้เด็กจะร้องนานแค่ไหน ก็มีข้อห้ามไม่ให้พ่อแม่ไปอุ้ม มีการแยกเด็กเล็กๆ ให้นอนอีกห้องหนึ่ง และมีการอบรมให้ถ่ายอย่างเป็นที่เป็นทาง ด้วยการหัดให้นั่งกระโถนตั้งแต่ยังเล็ก เรียกว่า “toilet training” เชื่อกันว่าเด็กจะเติบโตขึ้นเป็นคนมีระเบียบวินัย

การที่ห้ามไม่ให้พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างตามใจนี้ มีข้อวิจารณ์ว่า มีผลทำให้เด็กฝรั่งเกิดความเหินห่างพ่อแม่เมื่อเติบโตขึ้น ฝรั่งนิยมให้ลูกพึ่งตนเองได้ พอโตขึ้นเรียนจบหางานทำได้ ก็แยกบ้านออกไปอยู่ตามลำพัง นานๆ ก็กลับมาเยี่ยมบ้านครั้งหนึ่ง ในอเมริกาคนชอบเปลี่ยนงานย้ายที่อยู่กันบ่อย ก็ยิ่งทำให้ครอบครัวแยกออกเป็นครอบครัวเดียวมากขึ้น ต่างกับคนเอเชียซึ่งชอบอยู่รวมกัน ทิ้งปู่ย่าลงมาจนถึงรุ่นหลาน

เด็กในยุค 1980 ได้ชื่อว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตตามสบาย ชอบท่องเที่ยว และให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ไม่ชอบการออม แต่จะใช้จ่ายหาความสุขให้ชีวิตไปวันๆ หนึ่ง เด็กยุคนี้เริ่มเข้าสู่ยุค IT ทำให้นิยมการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น มีสมาธิสั้นลง การใช้ภาษาก็เปลี่ยนไป ยิ่งมาสมัยนี้ที่มีโทรศัพท์มือถือที่ทำอะไรได้มาก เด็กก็ยิ่งมีทักษะในการสื่อสารอย่างหลากหลายมากขึ้น และการเขียนอะไรอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็มีน้อยลง เพราะการสื่อสารสมัยใหม่นิยมความกะทัดรัด แค่เข้าใจก็พอแล้ว จึงมีการบ่นกันมากว่าเด็กสมัยนี้เขียนไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นจดหมายหรือรายงาน

โดยทั่วไปแล้ว การเลี้ยงดูเด็กมีหลักสำคัญเหมือนกัน แต่ต่างวัฒนธรรมก็มีสภาพแวดล้อม และประเพณีมีข้อห้ามที่ต่างกันไป มีคุณค่าที่ยึดถือต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว การอบรมเลี้ยงดูเด็กจะมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 6 ด้านคือ

1. การอบรมสั่งสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ซึ่งนำไปสู่การเชื่อฟังกฎหมาย สังคมบางสังคมเน้นเรื่องนี้มาก แต่บางสังคมเน้นเฉพาะบางเรื่อง เมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็เปิดโอกาสให้เด็กได้คิด ได้โต้เถียงอย่างเป็นอิสระ

2. การอบรมสั่งสอนให้มีความรับผิดชอบ เริ่มต้นตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ภายในบ้าน ไปจนถึงการมีความรับผิดชอบต่อสังคม

3. การอบรมสั่งสอนให้รู้จักดูแลมีน้ำใจต่อผู้อื่น เริ่มจากพี่น้องและคนในครอบครัว

4. การอบรมสั่งสอนให้มีความพยายามที่จะทำงานให้ดี และมีความสำเร็จ ตั้งแต่เล็กก็สอนให้สามารถทำในสิ่งที่ง่ายๆ และเกิดความมั่นใจ จนในที่สุดสามารถทำงานใหญ่ได้

5. การอบรมสั่งสอนให้รู้จักพึ่งพาตนเอง มีความเป็นอิสระ สามารถช่วยตัวเอง และช่วยผู้อื่นได้

6. การอบรมสั่งสอนให้มีความเป็นอิสระจากการควบคุม การครอบงำ และการตกเป็นเบี้ยล่างผู้อื่น

ในสังคมตะวันออกเน้นข้อ 1 และข้อ 3 ส่วนในสังคมตะวันตกเน้นเรื่อง การทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย การพึ่งพาตนเอง และความเป็นอิสระ

ในเมืองไทยเรา เรามักจะพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเน้นชีวิตของเด็กในวัยเรียน ผมคิดว่าเราควรเพ่งเล็งไปที่วิธีการเลี้ยงดูเด็กด้วย แต่ชีวิตเด็กในโรงเรียนจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่นมากนัก เพราะต้องเรียนสาระวิชาต่างๆ จนไม่มีเวลาว่าง ครูเองก็ต้องเน้นการสอนวิชา ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนมากนัก เราจึงได้ฟังเรื่องเด็กที่มีโอกาสเรียนน้อย แต่ทำงานตั้งแต่ยังเล็กที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก ไปๆ มาๆ การอยู่ในระบบโรงเรียนกับการเรียนรู้ชีวิตด้วยตนเอง กลับทำให้เด็กมีความพร้อมในการต่อสู้ชีวิตมากขึ้น

หากเราหันมาสนใจการเลี้ยงดูเด็กมากขึ้น พ่อแม่ก็ต้องมีเวลาให้ลูก ที่สำคัญก็คือ พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างให้ลูก ถ้าทำเช่นนี้ได้ เราก็จะมีเด็กที่เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองดี และมีสังคมที่สงบสุข

โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า : ความวิบัติ ขาดภาวะผู้นำ นักการเมืองกับหมอพอๆ กัน

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ    

ทำไมหนอบ้านเมืองของเราจึงมีแต่ความวิปริตผิดสังเกต เกิดสามัคคีเภททุกแห่งหน แม้แต่ในโรงพยาบาลงานรักษาคน ก็ไม่พ้นความอัปรีย์จากผู้มีฐานันดร
      
         เช้าตรู่วันนี้ ผมได้รับคลิปเรื่อง “ม็อบคนไข้ รพ.พระนั่งเกล้าร้องขอหมอกลับมารักษา” ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ซึ่งผมจะได้นำลงต่อจากข้อสังเกตของผม และท่านอื่นๆ ในท้ายบทความนี้
      
         ทำไมหนอแต่ละวันจึงต้องตื่นมาพบแต่ข่าวที่ไม่เป็นมงคลทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องนี้ มันน่าจะจบแฮปปี้เอนดิ้งไปทุกฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอุ่นใจเป็นปกติสุขของคนไข้ซึ่งเป็นเจ้าบุญนายคุณของโรงพยาบาล ไม่ใช่ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีคนไข้ หมอพวกนี้จะมีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ติดยศติดซีมีหน้ามีตาเป็นข้าราชผู้ใหญ่ อยู่อย่างทุกวันนี้หรือ
      
         ต้นตอปัญหาเรื่องนี้เกิดจากกฎเกณฑ์ที่ไม่เข้าท่าของกรมบัญชีกลาง ที่อนุญาตให้โรงพยาบาลเบิกค่ายาตรงสำหรับคนไข้ที่มีสิทธิเบิกจากกรมบัญชี กลางได้จึงเกิดข้อกล่าวหาว่าหมอและคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่ดังทั้งหมอทั้งคนไข้พากันฉวยโอกาสเบิกยาเกินกันอย่างมโหฬาร ทำให้ต้องเรียกเงินคืนกันแห่งละหลายๆ ร้อยล้านบาท เมื่ออ้อยเข้าปากช้างแล้วจะทำยังไง ล้วนแต่ช้างมียศมีศักดิ์ทั้งนั้น
      
         ต่างกับปลายอ้อปลายแขมคือโรงพยาบาลกระจอกของคนจน (ส่วนมาก) คือโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งผมเคยไปตรวจครั้งหนึ่งแล้วจะอาเจียน นอกจากจะสกปรกแล้ว ฝ้ายังเขียวอื๋ออุ้มความชื้นและเชื้อราสารพัดชนิดไว้คอยพ่นพิษให้หมอพยาบาล และคนไข้โดยทั่วหน้า
      
         แพทย์หญิงคนหนึ่งของโรงพยาบาลนี้กำลังจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนว่าจ่ายยาเกิน ไปเกือบสองล้านบาท เมื่อนับจำนวนคนไข้ที่มาตรวจปีละหลายพันคนกับแพทย์ผู้นี้ เฉลี่ยเป็นเงินแล้วน่าสงสาร ไม่เชื่อลองเอาเงิน 2,000,000 บาทเป็นตัวตั้ง เอา 5,000 ครั้งที่แพทย์ทำการตรวจต่อปีเป็นตัวหาร ตกเป็นค่ายาที่คนไข้เบิกประมาณคนละ 400 บาทต่อคน กระจอกเหลือเกิน ไม่ว่าจะเอาประชานิยมหรือเมตตาธรรมเป็นเครื่องวัด ซ้ำมีข้อเท็จจริงว่าจำนวนผู้ตรวจมีมากกว่านี้มากๆ และจำนวนเงินยังไม่ถึง 2,000,000 บาทเสียอีก
      
         เงินแค่นี้ขอบริจาคจากผู้มีเมตตาธรรม เอาแค่คนเดียวคือท่านเศรษฐี ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ แห่ง “ทาสของแผ่นดิน” ผู้ผ่าตัดตาต้อเนื้อ ต้อกระจกให้คนไทยฟรีทั่วประเทศ ก็จบแล้ว
      
       แต่ผู้อำนวยการท่านย้ายมาจากบ้านนอกใหม่ๆ ยังไม่คุ้นกับงานและผู้คนดี คุ้นอยู่แต่กับปลัดกระทรวงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นและคนใหญ่ๆ ในกระทรวง ท่านจึงแก้ไขปัญหานี้อย่างผู้ยิ่งใหญ่
      
         ผมเองไม่มีเวลา เมื่อได้รับการขอร้องจากคนไข้ผู้ใหญ่ของหมอ ก็พาหมอไปพบคุณหมอนิรันดร์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับผู้อำนวยการ หมอนิรันดร์ก็กุลีกุจอรับจะช่วยจัดการให้
      
         ก่อนหน้านั้น ผมได้พบ รมว.สาธารณสุข จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์แวบหนึ่งก็ได้ฝากเรื่องนี้ไป และได้ส่งหนังสือต่างๆ ที่คนไข้ของหมอส่งมาให้ผม พร้อมกับขอร้องรัฐมนตรีว่าให้สละเวลาสัก 15 นาทีก็จะแก้ปัญานี้ได้ เพราะปัญหามี้เป็นปัญหาของการขาดภาวะผู้นำ และการบริหารที่อ่อนด้อย
      
         ส่วนเรื่องระเบียบกรมบัญชีกลางและการปฏิรูปสาธารณสุข และโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้ง รพ.พระนั่งเกล้านั้นเป็นเรื่องโครงสร้างต่างหาก อย่าเอาไปปะปนกัน
      
         ผมเข้าใจว่านักการเมืองไม่มีเวลาและห่วงหาเสียงกับเรื่องใหญ่ๆ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขไม่มีเวลาเพราะต้องบริหารเรื่องใหญ่ๆ และรับใช้นักการเมือง องค์กรอิสระไม่มีเวลาเพราะจะต้องบริหารงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ ทุกฝ่ายไม่ต้องการลูบหน้าปะจมูก เพราะผู้ใหญ่ไทยล้วนแต่เป็นคนดีๆ ทั้งนั้น
      
         เรื่องมันจึงได้บานปลายถึงกับคนไข้ที่จะต้องพึ่งสื่อและตนเองด้วยประการฉะนี้
      
         “ม็อบคนไข้ รพ.พระนั่งเกล้าร้องขอหมอกลับมารักษา” ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
      
         ม็อบคนไข้ รพ.พระนั่งเกล้า บุก สธ.ร้องปลัดฯ ขอหมอกลับมารักษา หลังถูกสั่งย้าย เชื่อถูกกลั่นแกล้ง
      
       เมื่อเวลา 10.00 น. กลุ่มคนไข้ที่ได้รับผลกระทบจากการย้าย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ไปยังโรงพยาบาลชุมชนวัดแคนอก จ.นนทบุรี ประมาณ 30 คน เดินทางมายังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อยื่นหนังสือต่อ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ย้าย พญ.นภาพรกลับมา และตั้งคณะกรรมการสอบสวน นพ.ธวัตชัย วงค์คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
      
       นางจำเนียร พาณยง อายุ 82 ปี กล่าวว่า รักษาตัวกับ พญ.นภาพร มากว่า 12 ปีแล้ว ซึ่งตอบสนองต่อการรักษาดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยรักษากับแพทย์คนอื่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้น ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าย้าย พญ.นภาพรกลับมาทำงานต่อ เนื่องจากมีคนไข้กว่า 300 คนที่รอคอยการรักษาอยู่
      
       นางจำเนียร กล่าวว่า ทั้งนี้ที่ผ่านมา ตนได้เคยยื่นข้อร้องเรียน 4 ข้อ คือ 1.ขอให้คนไข้ที่มีความสะดวกในการรักษากับ พญ.นภาพรที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ยังคงได้รับการตรวจรักษาในเวลาเดิม 2. คนไข้ที่มีความประสงค์รักษากับ พญ.นภาพรที่โรงพยาบาลวัดแคนอก ควรมีการเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ในการรักษาให้พร้อม และมีคุณภาพเท่าเทียมโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 3. คนไข้ที่มีสิทธิเบิกจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลาง ต้องคงสิทธิ์เหมือนเดิม และ 4. ต้องอำนวยความสะดวกให้กับคนไข้ที่รักษากับ พญ.นภาพร
      
       “เรารู้ไม่มั่นใจการรักษาของแพทย์คนอื่น เพราะที่ผ่านมา เรารักษากับหมอนภาพรมาเป็น 10 ปีแล้ว จึงเดินทางมาเรียกร้องให้ย้ายคุณหมอนภาพรกลับมาโดยเร็ว” นางจำเนียรกล่าว
      
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขอใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนกรณีการกลั่นแกล้ง เชื่อว่าจะทำได้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะดูแลไม่ให้การรักษาของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเกิดปัญหา คนไข้ต้องไม่ได้รับผลกระทบ
      
       นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง เขต 1 กล่าวว่า เบื้องต้นจะให้ พญ.นภาพร กลับมารักษาที่กลุ่มงานอายุรกรรมโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเหมือนเดิม แต่คงต้องทำตามขั้นตอนไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้
      
       ทั้งนี้โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้ออกประกาศเหตุผลการดำเนินการครั้ง นี้ว่า กลุ่มงานอายุรกรรมโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้มีการปรับปรุงระบบบริการ เพื่อก้าวสู่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ซึ่งมุ่งการดูแลผู้ป่วยที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรงเป็นผู้ดูแล ส่งผลให้ พญ.นภาพร ไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
      
       ทางโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจึงเรียนมายังผู้ที่เคยรักษากับพญ.นภาพร ว่าโรงพยาบาลได้อำนวยความสะดวกและได้จัดให้มีช่องทางพิเศษ ให้ผู้ป่วยได้พบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงและไม่ต้องเข้าคิวรอตรวจกับผู้ ป่วยอื่น
      
         จบข่าว นสพ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
      
         มีหมายเหตุจากผู้อ่าน เป็นผู้ใหญ่ระดับประเทศ-ระดับโลก ผมขอตัดชื่อออก ดังนี้
      
         “ข้ออ้างของพวกมันชุ่ย การวางแผนเพื่อปรับปรุงงานเขาไม่ทำภายในสามสี่วันหรอก เขาทำมาเป็นปีและการโยกย้ายคนต้องวางแผนล่วงหน้าและปรึกษาหารือทุกฝ่ายอย่าง รอบคอบด้วย โดยเฉพาะเรื่องคนไข้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงและตัวหมอที่ต้องย้ายออกไปและ มารับงานแทน ถ้าผู้อำนวยการมันไม่กลั่นแกล้ง แสดงว่ามันขาดความสามารถที่จะเป็นผู้อำนวยการ ต้องปลดออก
      
         คนไข้กัดแล้วอย่าปล่อย ต้องเดินทางไปประท้วงที่กระทรวงจนกว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ และทุกครั้งที่ไป บอกสื่อล่วงหน้าด้วย”
      
         ผมไม่เห็นด้วยข้อสรุปทั้งหมด “แสดงว่ามันขาดความสามารถที่จะเป็นผู้อำนวยการ ต้องปลดออก”
      
         ผมไม่เห็นด้วยการระงับข้อขัดแย้งที่จวนจะกลายเป็นวัฒนธรรมไทยอยู่แล้วว่า “มึงไป-กูอยู่**มึงอยู่-กูไป”
      
         ผมเห็นว่าเรื่องนี้ต้องช่วยกัน
      
       1.ฟื้นฟูภาวะผู้นำของผู้อำนวยการ และผู้บริหารกระทรวง
      
       2. ฟื้นฟูวุฒิภาวะคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย สร้างความเข้าใจที่จะนำไปสู่บรรยากาศของการทำงานร่วมกัน
      
       3. ยึดถือผลประโยชน์อันชอบธรรมของคนไข้เป็นหลัก
      
       4. จัดกระบวนการรับฟังระดับคนไข้-โรงพยาบาล ระดับบริหารนโยบายกระทรวงและรัฐสภา เพื่อป้องกันมิให้ปัญหากระจอกอย่างนี้เกิดขึ้นอีก

ความกังวล 10 อย่าง (ปลิโพธ)

ความกังวล 10 อย่าง (ปลิโพธ)

....เบื้องหน้าแต่การชำระศีลให้หมดจดนั้น ก็ควรตัดปลิโพธ (ความกังวล) อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในบรรดาปลิโพธ 10 อย่าง ที่พระอาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ปลิโพธ (ความกังวล) 10 ปลิโพธ เครื่องผูกพันหรือหน่วงเหนี่ยวเหตุกังวล, ข้อติดข้อง; ปลิโพธที่ผู้จะเจริญกรรมฐานพึงตัดเสียให้ได้ เพื่อให้เกิด

ความปลอดโปร่งพร้อมที่จะเจริญกรรมฐานให้ก้าวหน้าไปได้ดีมี ๑๐ อย่าง คือ

๑ อาวาสปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับวัดหรือที่อยู่

๒. กุลปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปัฎฐาก

๓. ลาภปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับลาภ

๔. คณปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับคณะศิษย์หรือหมู่ชนที่ตนต้องรับผิดชอบ

๕. กรรมปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการงานเช่น การก่อสร้าง

๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการเดินทางไกลเนื้อด้วยกิจธุระ

๗. ญาติปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับญาติหรือคนใกล้ชิดที่จะต้องเป็นห่วงซึ่งกำลังเจ็บป่วยเป็นต้น

๘. อาพาธปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับความเจ็บไข้ของตนเอง

๙. คันถปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน

๑๐. อิทธิปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับฤทธิ์ของปุถุชนที่จะต้องคอยรักษาไม่ให้เสื่อม (ข้อท้ายนี้เป็นปลิโพธสำหรับผู้จะเจริญวิปัสสนา เท่านั้น)

พระอาทิกัมมิกโยคาวจร แปลว่า นักปฏิบัติผู้เริ่มต้นในการเจริญพรหมวิหาร อันดับแรก ต้องตัด ปลิโพธ คือ ความกังวล ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานในการสอนกรรมฐานทุกข้อ เริ่มแรกจะต้องตัดความกังวลเสียก่อน คนเราถ้ามีห่วงกังวลจะปฏิบัติกรรมฐานได้ยาก พอจะปฏิบัติกรรมฐาน หากยังมีความกังวลในเรื่องต่างๆ เช่น พอมาวัด จะมาปฏิบัติกรรมฐาน ก็นึกกังวลว่า

ลืมปิดเตาแก๊สรึเปล่า ลืมล็อคประตูรึเปล่า ลูกๆ อยู่ที่บ้านจะซนรึเปล่า งานที่ทำจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มาปฏิบัติกรรมฐานจะกลับไปทำงานก็คงจะดี หรือนอนซักงีบก็เข้าท่า การกังวลในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งล้วนเป็นปลิโพธทั้งหมด

โดยปลิโพธในแบบฉบับที่อธิบายไว้มีทั้งหมด 10 ประการ โดยเน้นไปที่พระ

อาวาโส จ กุลํ ลาโภ คโณ กัมฺเมนจ ปญฺจมํ ในที่สุด คือ ห่วงวัด โดยเฉพาะเจ้าอาวาส ยิ่งไปไหนไม่ได้ โบราณกล่าวไว้ว่า “อยากเป็นเปรตให้เป็นมรรคนายก อยากตกนรกให้เป็นสมภารเจ้าวัด” เพราะห่วงไปหมด ไปไหนก็ไม่ได้ ห่วงวัดวา ถ้าเป็นพ่อบ้านแม่บ้านก็ห่วงบ้าน ห่วงตระกูลนั่นแหละ จะไปธุดงค์หน่อย ก็ห่วงโยมพ่อโยมแม่ ห่วงโยมอุปัฏฐาก ห่วงลาภ โดยเฉพาะ ลาภสักการะ ไปแล้วเดี๋ยวไม่ได้ จะบิณฑบาตรเต็มบาตรได้อย่างนี้ในที่อื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่เรียกว่า ห่วงลาภ ส่วนการห่วงหมู่คณะ ห่วงลูกศิษย์ ห่วงหน้าที่การงาน จะปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรม ก็ห่วงว่าแล้วใครจะสอนลูกศิษย์ สารพัดความห่วงกังวล

การปฏิบัติกรรมฐานต้องตัดห่วงกังวลออกไปเสียก่อน เรียกว่า ต้องเอาหัวชนฝา หมายความว่า ตัวใครตัวมัน เวลามาเกิดก็มาคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับใคร เราเป็นผู้ผู้เดียวที่เกิดมา เป็นผู้ผู้เดียวที่แก่ เป็นผู้ผู้เดียวที่เจ็บ แล้วก็เป็นผู้ผู้เดียวที่ตาย เวลาเราจะตาย ใครก็ไม่สามารถช่วยได้ สามีสุดที่รัก ลูกที่น่ารัก มายืนห้อมล้อมกันอยู่รอบเตียง แล้วก็มีดวงตาที่แสนจะเวทนาสงสารเรา แต่ก็ช่วยเหลือเราไม่ได้ เช่น เมื่อเช้าในข่าว แม่พาลูกซึ่งเป็นไส้ติ่ง ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแพทย์ไม่ยอมผ่าตัดทันที แต่ให้นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ห้าผ่าตัดแทน ซึ่งปรากฏว่าไส้ติ่งแตกแล้ว ทำให้เกิดการติดเชื้อ พอรุ่งเช้า แม่ไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล เข้าไปหอมแก้มลูก ลูกก็ลืมตา แต่ตาลอยและทำปากขมุบขมิบ อยากจะพูดกับแม่แต่ก็พูดไม่ได้ แล้วในที่สุดลูกก็สิ้นใจ ทำให้แม่รู้สึกแค้นใจ ว่าทำไมแพทย์ถึงทำแบบนี้ ทำให้ตัดสินใจไปฟ้องศาล โดยที่ศาลแจ้งว่ามีค่าธรรมเนียม 50,000 บาท ซึ่งแม่ก็ไม่มีเงินเลยประกาศขายไต เพราะไม่อยากให้ลูกตายฟรี พอลองมานั่งคิดดูว่า เวลาเราจะนอนตายขึ้นมา ถึงแม้ว่าแพทย์จะดี จะเก่งขนาดไหน มีเงินมากมายขนาดไหน สามี ภรรยา ลูกหลานจะห้อมล้อมอยู่รอบเตียงขนาดไหน ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

เพราะฉะนั้น ตัดความกังวลให้หมด เวลาเราจะปฏิบัติกรรมฐาน ให้คิดว่าไม่มีอะไรเป็น

ที่พึ่ง นอกจากธรรมะเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง ผู้อื่นไม่สามารถช่วยอะไรได้ เราเป็นผู้ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสร้างที่พึ่งให้แก่ตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่า แนวความคิดในการตัดปลิโพธ ความห่วงกังวล ต้องตัดไปให้หมด อย่าไปมัวพะวงห่วงนั่นห่วงนี่ เพราะถ้ามัวห่วงกังวลก็จะทำให้กรรมฐานไม่ก้าวหน้า

การปฏิบัติกรรมฐาน ต้องมีตัวเองเป็นที่พึ่ง เรียกว่า การตัดปลิโพธ โดยปลิโพธ ก็มีทั้ง

การห่วงอาวาสที่อยู่ ห่วงตระกูล ห่วงลาภ ห่วงหมู่คณะ ห่วงการงาน ห่วงการเดินทางไกล ห่วงญาติสนิทมิตรสหาย การเจ็บป่วย หรือแม้แต่การศึกษาเล่าเรียน เป็นรูปแบบฉบับที่ พระพุทธโฆษาจารย์ ได้อธิบายในเชิงปฏิบัติ คือ เลิกห่วงชาวบ้าน แล้วก็ห่วงตัวเองให้มากๆ เพราะว่าตัวเราเองนั้น ถ้าตาย

ก็ยังไม่แน่ใจได้เลยว่าจะพ้นนรกหรือเปล่า เพราะว่าเรายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ยังไม่ได้เป็น

พระโสดาบัน ก็ต้องตัดปลิโพธในเชิงปฏิบัติ

เพิ่มสมรรถภาพ ลดการหลั่งเร็วของท่านชาย

เพิ่มสมรรถภาพ ลดการหลั่งเร็วของท่านชาย ด้วยพืชใกล้ตัวอย่างกุยช่าย ทานประจำจะได้ผล ทั้งยังช่วยทำให้ไตแข็งแรง มีกำลัง ไม่เพลียด้วย

จาก SMs FarmerInfo by DTAC - 23 มกราคม 2554 - 13.05 น.

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

"เทศกาลเที่ยวอีสาน" : 27 – 30 ม.ค. 54 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

"เทศกาลเที่ยวอีสาน" : 27 – 30 ม.ค. 54 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยแบ่งเป็น 7 โซนมหัศจรรย์แดนอีสาน การสาธิตในโซนต่าง ๆ การขายสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวในกลุ่มที่พัก รายการนำเที่ยว การจำหน่ายอาหารพื้นเมือง สินค้าพื้นเมือง การแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสาน

"ไชน่าทาวน์เมืองเชียงใหม่" : 4 - 6 ก.พ. 54 ณ จ.เชียงใหม่

"ไชน่าทาวน์เมืองเชียงใหม่" : 4 - 6 ก.พ. 54 ณ จ.เชียงใหม่ พบกับขบวนมังกรทอง เทพเจ้าจีน กระเช้าส้มมงคลยักษ์ การแสดงศิลปวัฒนธรรม การออกร้านอาหารจีน การแสดงกังฟูจากมณฑลกวางสี การประกวดหนูน้อยคิดดี้ ตี๋ - หมวย การประกวดมิสเชียงใหม่ไชน่าทาวน์ สอบถามได้ที่ททท. สำนักงานเชียงใหม่ โทร.0-5324-8604, 0-5324-8607

"ตรุษจีนสุพรรณบุรี มหัศจรรย์ 3 ปี มังกรสวรรค์" : 3–7 ก.พ. 54 จ.สุพรรณบุรี

"ตรุษจีนสุพรรณบุรี มหัศจรรย์ 3 ปี มังกรสวรรค์" : 3–7 ก.พ. 54 ณ อุทยานมังกรสวรรค์ พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร จ.สุพรรณบุรี ชมการเปิดโคมไฟต้นมะพร้าว การแสดงกลองศึก สิงโต เอ็งกอบู๊ มังกรเก้าเซียน กังฟู เทพธิดาพระจันทร์ มนุษย์ไฟเรืองแสง มังกรสวรรค์อวยชัย สอบถามได้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี โทร. 0-3552-1690

"ตรุษจีนกรุงเก่าอยุธยามหามงคล" : 4 - 8 ก.พ. 54 ณ จ.อยุธยา

"ตรุษจีนกรุงเก่าอยุธยามหามงคล" : 4 - 8 ก.พ. 54 ณ จ.อยุธยา ชมการประกวดรถขบวนแห่เอกลักษณ์จีน ประกวดหนูน้อยไชน่าทาวน์ มิสไชนีส การแสดงทางวัฒนธรรมจากเขตปกครองตนเองซินเกียง การแสดงอุปรากรจีน การประดับโคมไฟจีน การออกร้านอาหาร สอบถามได้ที่สมาคมวัฒนธรรมไทยจีนกรุงเก่า(ศาลเจ้าพ่อจุ้ย) โทร.0-3524-4451

"ตรุษจีนเมืองพัทยา" : 3-5 ก.พ. 54 จ.ชลบุรี

"ตรุษจีนเมืองพัทยา" : 3-5 ก.พ. 54 ณ ตลาดลานโพธิ์นาเกลือ จ.ชลบุรี ภายในงานพบกับการแสดงต่าง ๆ เพื่อสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมชาวจีน การประดับตกแต่งโคมไฟ การประกวดหนูน้อยไชนีส เกิร์ล พัทยา

"เทศกาลตรุษจีน – ย้อนอดีตเมืองภูเก็ต" : 8 - 10 ก.พ. 54 ณ จ.ภูเก็ต

"เทศกาลตรุษจีน – ย้อนอดีตเมืองภูเก็ต" : 8 - 10 ก.พ. 54 ณ จ.ภูเก็ต ร่วมย้อนอดีตคนภูเก็ต ประเพณีไหว้เทวดา การแสดงจากเมืองสุ้ยหนิง สักการะตราประทับเจ้าแม่กวนอิม จากเมืองสุ้ยหนิง พิธีลงนาม(MOU) เมืองพี่เมืองน้องระหว่างเมืองสุ้ยหนิง–ภูเก็ต สอบถามได้ที่ ททท.สำนักงานภูเก็ต โทร.0-7621-1036, 0-7621-2213

"งานฉลองเทศกาลตรุษจีน 4 แผ่นดิน 4 วัฒนธรรม" : 3–10 ก.พ. 54 จ.มุกดาหาร

"งานฉลองเทศกาลตรุษจีน 4 แผ่นดิน 4 วัฒนธรรม" : 3–10 ก.พ. 54 ณ บริเวณถนนสำราญชายโขง(ตลาดอินโดจีน) จ.มุกดาหาร ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ประเทศ ไทย จีน ลาว เวียดนาม ซื้อสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอินโดจีน เทศกาลอาหารริมฝั่งแม่น้ำโขง การเชิดสิงโต การแข่งขันจุดพลุกลางแม่น้ำโขง

"ราชบุรีไชน่าทาวน์" : 2 - 6 ก.พ. 54 ณ จ.ราชบุรี

"ราชบุรีไชน่าทาวน์" : 2 - 6 ก.พ. 54 ณ จ.ราชบุรี ภายในงานชมขบวนแห่ราชบุรีไชน่าทาวน์ การแสดงม่านน้ำ และพลุดอกไม้ไฟ การแสดงแสงสีเสียง การแสดงจากเขตปกครองตนเองกว่างสีจ้วง การประกวดมิสเตอร์/ มิสไชน่าทาวน์ และการประกวดตี๋น้อย/ หมวยน้อยไชน่าทาวน์ สอบถามได้ที่เทศบาลเมืองราชบุรี โทร0-3233-7688

“คำนูณ” ชี้ MOU43 ต้นเหตุ รบ.ตกเป็นเบี้ยล่างเขมร แนะใช้ทหารหนุนหลัง

ส.ว.คำนูณ ย้ำ ไทยแพ้ตั้งแต่ยอมรับเอ็มโอยู 43 แล้ว จี้รัฐบาลให้งบทหารเพื่อหนุนรัฐบาลปกป้องอธิปไตย โดยไม่ต้องใช้กำลัง เพื่อให้เกิดภาวะสงคราม ด้าน พล.อ.อ.วีรวิท อัดรัฐบาลล้มเหลวบริหารราชการแผ่นดิน เย้ยไทยเสียเปรียบเขมร เหตุไร้เดียงสาเรื่องการเจรจา

วันนี้ (28 ม.ค.) ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา และคณะกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ ได้จัดเสวนาภาคีประชาชน เรื่องศักดิ์ศรีของไทย จะคงอยู่ได้อย่างไรกรณี 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับในแผ่นดินไทย” มีเข้าร่วมเสวนา โดยมี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตทนายผู้ประสานงานคณะ ทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ... และ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ โดยมีผู้เข้าร่วมงานเสวนากว่า 100 คน

โดย นายคำนูณ กล่าวว่า การยกพื้นที่บ่อน้ำที่ยูเอ็นให้เขมร เป็นหลักที่ 47 จะมีลักษณะเบี้ยวเข้ามาเกิน 5 เมตร ซึ่งตรงนี้ผู้ว่าฯจังหวัดสระแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ เขายึดตรงเขตนี้ที่ทำให้กลุ่มคนไทย 7 คนโดนจับกุมตัวไป จนกลายเป็นการยอมรับอำนาจอธิปไตยเข้าสู่ศาลกัมพูชา เพราะนายกรัฐมนตรีเชื่อข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยากถามว่า ทำไมนายกฯไม่ประท้วง ซึ่งต่อไปจะทำให้เป็นปัญหาในอนาคต นี่ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ตนรับนายกฯในเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะแถไปเรื่อย ว่า เอ็มโอยู 43 นั้นดี ตนอยากจะบอกว่าการทำเอ็มโอยูตั้งแต่ปี 2543 นั้น เป็นจุดเริ่มต้นแพ้ของคนไทยแล้ว การทำเอ็มโอยู 43 ไม่ได้แปลงสภาพเต็มพื้นที่ ซึ่งก็ทำให้ตกเป็นของเขมร ทหารของไทยจะทำอะไรไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะขัดเอ็มโอยู 43 เมื่อเกิดเหตุจับคนไทยทั้ง 7 คน ทหารก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อมันมัดมือ มัดเท้าไว้หมดแล้วจะทำอะไรได้ เพราะนายกฯไม่ได้ประท้วงเขา

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า การทำเอ็มโอยู 43 นั้นดี เพียงแต่เกรงว่าประชาชนจะทำให้เกิดสงคราม แต่ตอนนี้กำลังมีการจัดตั้งม็อบชนม็อบ ทำนายได้เลยว่าอีกไม่นานจะมีการจัดม็อบสนุบสนุนเอ็มโอยู 43 เพราะฉะนั้น เอ็มโอยู 43 มีหรือไม่มีไม่เกี่ยวกัน แต่ไม่ได้ทำให้เขมรยินยอมรับ ซึ่งรัฐธรรมนูญกัมพูชา ระบุว่า เขตแดนของกัมพูชาไม่มีวันให้ผิดเพี้ยนจากแผนที่ 1 ต่อ 1 แสนได้ แผนที่ดังกล่าวทำขึ้นโดยประเทศฝรั่งเศส แล้วเอ็มโอยู 43 ระบุว่า ไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน แบบนี้เจรจากันไปให้เกิดใหม่อีก 10 ชาติ ก็ไม่สามารถให้เขมรเปลี่ยนแปลงได้

“ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้มีสงคราม หรือมีการปะทะกันหรอก เพียงแต่รัฐบาลไทยให้งบกับทหารเพื่อหนุนหลังรัฐบาลไทย โดยเป็นพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และทหาร เพื่อต่อรองกับนักการเมืองกัมพูชา เหมือนกับที่ทหารไทยต่อรองให้กัมพูชาทุบป้าย เฮีย อีส คอมโบเดีย แต่รัฐบาลกำลังบิดเบือนประชาชน ว่า ถ้ามี เอ็มโอยู 43 จะทำให้ต่อรองกันได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่” นายคำนูณ กล่าว

ด้าน พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวว่า ในฐานะที่ตนทำงานด้านความมั่นคงมา มองการกระทำของรัฐบาล นี่คือ การล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของชาติ คือ ดูแลความมั่นคง รวมไปถึงอธิปไตยและประชาชน ให้มีความอยู่ดี กินดี มีความมั่นคง เจริญก้าวหน้า

ตนเคยเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง โดยระบุว่า นายกฯสารภาพความบกพร่องของตัวเองโดยชัดเจน สมมติว่า เรามีบ้าน เราจะบอกลูกตัวเองหรือไม่ ซึ่งเราจะต้องทำรั้วบอกลูกตัวเองว่า อาณาเขตบ้านของเราอยู่ตรงไหน แต่รัฐบาลไม่ทำพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาให้ชัดเจน แต่พื้นที่ของไทยที่ติดกับมาเลเซีย ยังทำทางเข้าออกให้ชัดเจนได้ แต่ตรงพื้นที่ตรงนี้ทำไมไม่มี เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ของไทยระบุในมาตรา 33 ระบุบอกชัดเจนว่า เรามีสิทธิ์ทุกอาณาเขตไทย และในมาตรา 34 พูดถึงสิทธเสรีภาพในการเดินทางของคนไทย ถ้าพื้นที่ที่รัฐบาล บอกว่า ไม่ได้เป็นของประเทศอื่น รัฐบาลจะต้องบอกว่าพื้นที่นั้นเป็นของไทย

พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวอีกว่า และการที่คนไทยทั้ง 7 คน โดนจับในพื้นที่ดังกล่าว ทางสิทธิเสรีภาพของประชาชนในกรณีนี้คนไทยต้องรับโทษ เพราะพื้นที่ที่ถูกจับไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นพื้นที่ของใคร นั่นแสดงว่า ไม่ใช่ของกัมพูชา เรื่องนี้รัฐบาลจะต้องยืนยันให้ชัดเจนว่าคืออะไร เป็นพื้นที่พิพาทหรือพื้นที่อะไร จนขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่ทำอะไรให้ชัดเจน อย่างไรก็ตามแม้คนไทยถูกจับ ในมาตรา 40 ได้พูดถึงสิทธิของกระบวนการยุติธรรม เมื่อคนไทยไปรุกล้ำพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลจะต้องเข้าไปช่วยเหลือโดยการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เขาต้อง ได้รับในไทย ซึ่งรัฐบาลจะต้องรักษาประโยชน์ของประชาชน

ตนในฐานะเป็นกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกไปยังนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.นายกฯก็ยังไม่ให้ความสนใจเลย ตนสงสัยว่าทำไมรัฐบาลไม่ใช้มาตรฐานสากลโลกในการบริหารราชการแผ่นดิน

พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวต่อว่า เขตหลักแดนที่ 47 ที่อยู่ข้างบ่อน้ำ เมื่อคนไทยเห็นตรงกันเราต้องบอกให้คนไทยรับทราบว่า นั่นคือเขตของเรา และเราต้องบอกทั่วโลกด้วยว่าเขตแดนที่ 47 นี้ คนไทยยืนยันว่าเป็นของคนไทย แล้วจัดให้เจ้าหน้าที่ไปดูแลพื้นที่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้ประชาชนพลัดหลงเข้าไป ถ้าเป็นเช่นนี้กัมพูชาก็ไม่มีเอาคนไทยไปขึ้นศาลกัมพูชาได้ รัฐบาลไทยอาจจะแจ้งยูเอ็นให้ช่วยก็ได้ ถ้าเอ็มโอยู 43 ไม่ดี รัฐบาลจะต้องแก้ แต่เราขาดความสามารถในการเจรจา ที่ผ่านมา เขมรเอาเปรียบเราทุกอย่าง เขาสามารถบริหารจัดการไม่ให้เราได้เปรียบ มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่เสียเปรียบเขา และอ่อนด้อยในเรื่องเจรจา

ศ.ดร.สมปอง กล่าวว่า เอ็มโอยู 43 มีการซ่อนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งไม่เป็นธรรมกับไทย ดังนั้น รัฐบาลควรออกมายอมรับว่าทำผิด แล้วกลับไปยึดสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส 1904 และ 1907 เพราะยังไม่ได้มีการพูดถึงแผนที่ มีเพียงการระบุให้มีการปักปันเขตแดนโดยได้รับการยอมรับจากทั้ง 2 ฝ่าย แต่แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนนั้น เป็นการจัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยตั้งสูญเสียดินแดน ในวันนี้เรายังไม่เสียดินแดน ดังนั้น จึงต้องทำอย่างไรไม่ให้เสียดินแดนไป นั่นก็คือรัฐบาลต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43 ทันที และเริ่มทำแผนที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นชอบร่วมกัน

ด้าน นายเทพมนตรี นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ กล่าวว่า พยานหลักฐานทั้งทางวิชาการ และทางทหารจำนวนมากบอกว่าย้านหนองจานอยู่ในเขตประเทศไทย โดยเฉพาะคำบอกเล่าของ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 คนไทยที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.53 โดยกระทรวงการต่างประเทศก็มีหลักฐานที่สามารถนำมาต่อสู้คดีให้กับ 7 คนไทยได้ แต่กลับไม่ทำอะไรเลย ทั้งยังมีคนของรัฐบาลนำเอกสารที่เป็นเท็จออกมาใช้ในการปรักปรำ 7 คนไทยด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า จุดที่ 7 คนไทยถูกจับยังอยู่ในประเทศไทย