...+

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รำลึกเลือดตุลาคม : การควบคุมฝูงชนเปรียบเทียบทหารกับตำรวจ

โดย วิทยา วชิระอังกูร 4 ตุลาคม 2552 13:12 น.
โดย...วิทยา วชิระอังกูร


ผมนั่งเขียนบทความนี้
ท่ามกลางสายฝนเดือนตุลาคมที่ตกติดต่อกันมาหลายวัน เดือนตุลาคมของทุกปี
เป็นวันสิ้นสุดวาระการทำงานของข้าราชการผู้เกษียณอายุราชการ
ขณะเดียวกันก็เป็นวันเริ่มต้นการทำงานของผู้เข้ามารับตำแหน่งแทนวนเวียนไป
ตามวิถีทางที่กำหนด

หลังๆ มานี้เดือนตุลาคมของทุกปี
ทำให้คนที่เริ่มเข้าสู่วัยชราอย่างผมเริ่มคิดถึงความหลังภาพเก่าๆ
ที่เกี่ยวกับเดือนตุลาคม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ที่เป็นภาพความฮึกเหิมร้อนระอุของวัยหนุ่มของตน
ที่ได้ร่วมประท้วงร่วมเดินขบวนกับนิสิต นักศึกษา ประชาชน
ชนิดข้ามวันข้ามคืนจนจบลงด้วย "วันมหาวิปโยค" (จากพระโอษฐ์ของในหลวง)
อันเป็นความทรงจำที่ปวดร้าวของคนไทยทุกคน

ชัยชนะจากการขับไล่ทรราชลงจากอำนาจได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง
เนื่องจากขบวนการนิสิต นักศึกษา ประชาชนที่มีเพียงอุดมการณ์ความรักชาติ
รักบ้านรักเมือง
แต่อ่อนด้อยประสบการณ์ในการที่จะบริหารจัดการบ้านเมืองให้เป็นไปโดยถูกต้อง
ตามที่ปรารถนาในครั้งกระโน้น จึงเหมือนการจับยักษ์ยัดลงขวดโดยลืมปิดฝาขวด
แถมยังเหลือบริวารว่านเครือยักษ์ที่ลอยนวลแอบซ่อนรอจังหวะอยู่อีกเป็นพะเรอ
เกวียน

ขบวนการกู้ชาติ 14 ตุลาคม 2516
จึงชื่นชมผลงานที่ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร ได้เพียงไม่ครบ 3 ปี
ก็เกิดการปลุกระดมล้อมปราบ เข่นฆ่านักศึกษาและประชาชน
ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างโหดร้ายทารุณ
ผมอาจโชคดีที่หลุดรอดมาอยู่ด้านนอกได้ก่อนมีการระดมยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัย
แต่ภาพเหตุการณ์การลากศพคนมาแขวนคอ กระหน่ำทุบตี และจับเผาไฟสดๆ
กลางสนามหลวง ก็ยังเป็นภาพที่ติดตาสะทกสะเทือนใจอยู่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่ง
ว.แหวนลงยาเคยรำลึกถึงด้วยบทกลอน ในปี 2551 ไว้ว่า

สามทศวรรษผ่าน ตำนานเลือดเดือนตุลา
มหากาพย์แห่งการฆ่า คงคับแค้น ไว้คาใจ
คราบเลือดยังคงคราบ เป็นตราบาปแห่งยุคสมัย
เลือดหลั่งล้วนเลือดไทย ที่พลีแลก สิทธิเสรี

(www.oknation.net/blog/wachira89)

ถัดจากนั้นมา ผู้คนในขบวนการกู้ชาติที่ถูกหมายหัว
และไม่แน่ใจในความปลอดภัย
ตลอดจนการไม่อาจทนรับสภาพการปกครองในระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ
ก็ทยอยหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
เกิดการปราบปรามสู้รบกันด้วยอาวุธนานถึง 4 ปี
จนคลี่ลายลงด้วยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ในยุคสมัยพล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ผมจะขอผ่านเหตุการณ์เลวร้ายของเดือนพฤษภาคมทมิฬ
ซึ่งเป็นหน้าประวัติศาสตร์การปราบปรามประชาชนที่เป็นความทรงจำเจ็บปวดอีก
หน้าหนึ่งที่ประชาชนคนไทยผู้รักชาติรักความเป็นธรรมจดจำได้ดี

การต่อสู้กับเผด็จการทรราชในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่า เป็นการรวมตัวกันอย่างไม่สู้จะเป็นระบบนัก
เป็นการรวมตัวที่เกิดจากแรงปะทุของอารมณ์ร่วมที่ทนไม่ได้กับความไม่เป็นธรรม
การทุจริตคดโกง และการฉ้อฉลของขุนศึก นายทุน
และนักการเมืองที่ร่วมกันปกครองแบบกินบ้านกินเมือง

ไม่น่าเชื่อว่า กาลเวลาผ่านไปเกือบสี่ทศวรรษ คนเก่าๆ ในยุค 14
ตุลาคม 2516 ซึ่งต่างก็ล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัยเช่นเดียวกับผม
กลับต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับเผด็จการทรราชในยุคไฮเทคที่ออกแบบเป็น
"ระบอบทักษิณ" อีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งน่าจะเป็นการต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสกว่าครั้งใดๆ
และที่น่าประหลาดใจคือ กลายเป็นการรวมกลุ่มของคนวัยกลางคนถึงวัยชราภาพ
โดยช่วงแรกไม่มีเยาวชนคนหนุ่มสาวเข้าร่วมด้วยเลย

ผมยังจำช่วงแรกเมื่อได้พบกับอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
หลังเวทีที่สะพานมัฆวานฯ
อาจารย์เป็นคนแรกที่ปรารภเป็นข้อสังเกตเสียงดังให้ได้ยินว่า เอ๊ะ
ทำไมมันมีแต่คนแก่ๆ รุ่นเราเท่านั้นที่มากันซึ่งทำให้ผมสะดุ้ง
และคิดคล้อยตามอาจารย์ด้วยความวังเวงในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกในขณะนั้น

แต่ในที่สุด "มหาวิทยาลัยราชดำเนิน" ของพันธมิตรฯ
ก็ก่อให้เกิดการรวมตัวของประชาชนหลากหลายอาชีพ หลากหลายวัยมากขึ้น
รวมทั้งที่น่าดีใจคือได้เกิดขบวนการ Young PAD
ที่คนหนุ่มสาวเข้ามาร่วมด้วยจำนวนมากพอสมควร

และผมสังเกตได้เช่นกันว่า
การต่อสู้ของขบวนการประชาชนครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
และแต่ละครั้งที่ผ่านมา
ที่รวมตัวต่อสู้กันไปตามยถากรรมตามกำลังแรงรักชาติของแต่ละกลุ่มแต่ละคน
แต่การรวมตัวครั้งนี้ มีการวางแผนจัดรูปแบบค่อนข้างรัดกุม
โดยการเริ่มต้นของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
และสื่อโทรทัศน์ ASTV
ซึ่งต่อมาได้ส่งมอบให้เป็นทีวีของประชาชนโดยปริยายแล้ว
เพราะดำรงอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนทุนจากประชาชน

ผมต้องการฉายภาพให้ท่านเห็นเพื่อเปรียบเทียบการต่อสู้ของขบวนการ
ประชาชนที่มีพัฒนาการมาตามแต่ละยุคสมัย พ.ศ. 2548- 2549
ที่เริ่มโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
เป็นแกนนำทุ่มสรรพทรัพยากรส่วนตัวสู้กับระบอบทักษิณแบบตายเป็นตาย
เจ๊งเป็นเจ๊ง จนทำให้เกิดแนวร่วมจากองค์กรภาคประชาชนและรัฐวิสาหกิจ
ผู้ใช้แรงงาน ตลอดจนศิลปินและประชาชนหลากหลายอาชีพมารวมตัวกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย โดยมีแกนนำ 5 ท่านประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ภาคสื่อสารมวลชน, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายทหารเก่า
ที่มีกองทัพธรรมจากสันติอโศกเป็นกำลังหนุน, นายพิภพ ธงไชย
จากองค์กรภาคประชาชน (NGO), นายสมศักดิ์ โกไสยสุข
ภาครัฐวิสาหากิจและสมาพันธ์แรงงาน และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
ภาคนักวิชาการ และสมัชชาประชาชน

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการประชาชนที่มีการตั้ง
เวทีถาวร แสง เสียงไม่แพ้งานคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ทั่วไป และมีการถ่ายทอดสด 24
ชั่วโมง ซึ่งผมเชื่อว่า ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่ทำได้เช่นนี้
และน่าจะเป็นครั้งแรกที่มวลชนส่วนใหญ่มาจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย

การต่อสู้ชะงักงันไปชั่วขณะ
ช่วงการปฏิวัติหน่อมแน้มที่ทำได้แค่ขับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ออกไปอยู่นอกประเทศ
และมีรัฐบาลรักษาการที่รักษาการแบบเกียร์ว่างจนวงศ์วานว่านเครือระบอบทักษิณ
พลิกฟื้นคืนตัวขึ้นมาอีกโดยใช้หุ่นเชิดสมัคร สุนทรเวช และสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งท้ายที่สุดถูกตุลาการภิวัฒน์เขี่ยตกจากเก้าอี้ทั้งคู่

ในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช
ผู้ปลุกระดมให้มีการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในห้วง 6 ตุลาคม 2519
ขณะเป็นนายกฯ หุ่นเชิดได้มีความพยายามที่จะใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
เพื่อใช้ทหารปราบปรามประชาชนตามแนวที่ตนถนัด
แต่โชคดีที่ทางทหารไม่เล่นลูกด้วย ขบวนการประชาชนก็รอดตัวไป

แต่แล้วกงล้อประวัติศาสตร์ก็หมุนวนมาซ้ำรอยจนได้ ในวันที่ 7
ตุลาคม 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ได้แบ่งกำลังคนส่วนหนึ่งจากการยึดทำเนียบรัฐบาลไปปิดล้อมรัฐสภาเพื่อขัดขวาง
การแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ฝ่ายรัฐบาลได้ระดมกำลังตำรวจโดยสั่งการประกาศิตว่า
ต้องเปิดทางเข้ารัฐสภาเพื่อให้ ครม. ส.ส. และส.ว.เข้าประชุมรัฐสภาให้ได้

ตำรวจหน่วยปราบจลาจลจึงใช้กำลังเข้าสลายโดยยิงแก๊สน้ำตา
ปาระเบิดแก๊สเข้าใส่ฝูงชนที่มาประท้วงอย่างไม่ยั้งมือโดยใช้การยิงในวิถี
ระนาบเข้าใส่ตัวผู้ชุมนุมโดยตรง
ซึ่งผิดหลักวิธีการยิงแก๊สน้ำตาที่ต้องยิงในวิถีโค้งขึ้นเบื้องบน

ในช่วงเช้า จึงปรากฏว่ามีประชาชนถูกยิงแขนขาด ขาขาด ลูกตาหลุด
และบาดเจ็บสาหัสมากมาย แต่ก็ยังมียิงถล่มตลอดทั้งวันจนถึงช่วงกลางคืน
ซึ่งผลสรุปจากการสลายการชุมนุมที่โหดเหี้ยมอำมหิตไม่เป็นไปตามขั้นตอนการ
ปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนหรือปราบการจลาจลตามหลักสากล
จึงทำให้ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมเสียชีวิตทันที 2 ราย
บาดเจ็บอีกเกือบห้าร้อยราย ทั้งนี้มีผู้พิการแขนขาขาด
และมีที่ยังไม่ฟื้นคืนสติ และกระทบกระเทือนทางจิตอีกบางส่วนด้วย
(มีบทกลอน สานฝันวีรชน เขียนไว้อาลัยคุณอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และ
พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี ที่ www.oknation.net/blog/wachira89)

แต่ที่เสียความรู้สึกอย่างมากๆ
ก็เมื่อได้ยินคำสัมภาษณ์ของนายตำรวจใหญ่ระดับรองผู้บัญชาการที่สำรากผ่านจอ
ทีวีประชดประชัน ป.ป.ช. ว่า จะให้ตำรวจปฏิบัติอย่างไร
ให้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติให้ตำรวจ 1, 2, 3, 4 ด้วย จะได้ดำเนินการได้ถูก
ไม่อย่างนั้นให้ไปปราบเสือดำ เสือใบดีกว่า เพราะมีกติกาชัดเจนกว่า
ผมฟังแล้วก็ให้รู้สึกผะอืดผะอมอย่างไรชอบกล
ไม่นึกว่าถ้อยคำไร้ตรรกะฟังดูเหมือนไร้เดียงสาเยี่ยงนี้จะหลุดจากปากนาย
ตำรวจใหญ่ระดับนี้ได้
แถมต่อมาบรรดาตำรวจเก่าตำรวจแก่แห่งสมาคมตำรวจยังดาหน้ากันออกมาปกป้องว่า
ตำรวจทำถูกต้องแล้ว ทำตามหน้าที่ ป.ป.ช.มาชี้ผิดกล่าวโทษได้อย่างไร
ฟังแล้วก็อเนจอนาจใจสลดสังเวชตำรวจไทยอย่างบอกไม่ถูก
ใครอยากสัมผัสความรู้สึกนี้ก็ลองไปหาอ่านบทกลอนชื่อ "ตำรวจเฒ่า
ขายขี้เท่อ ตำรวจไทย" ที่ Mblog /wachira89 กันเอาเองก็แล้วกันนะครับ

ผมอยากให้สาธุชนลองเปรียบเทียบการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนระหว่าง
วันที่ 7 ตุลาคม 2551 กับวันที่ 13-14 เมษายน 2552
ดูว่ามันแตกต่างราวฟ้ากับดินอย่างไร

การชุมนุมของคนเสื้อเหลืองที่ยืดเยื้อกว่าครึ่งปี
ไม่เคยมีวี่แววจะก่อความรุนแรงเลย
แม้จะมีการเคลื่อนที่ไปประท้วงแบบดาวกระจายหลายต่อหลายแห่งก็เป็นไปโดยสงบ
สันติ (เรื่องอาวุธคงไม่ปฏิเสธว่าจำเป็นต้องมีไว้บ้างเพื่อป้องกันตัวจากคนพาล)
ตำรวจใช้วิธีสลายราวกับทำสงครามการเมืองแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการกระทำของ
กลุ่มคนเสื้อแดงที่มีทั้งการไล่ทุบรถ การทำลายทรัพย์สินสาธารณะ
และในวันที่ 13 เมษายน ที่มีทั้งการเผารถเมล์ การเปิดแก๊สจากรถแก๊ส
การนำถังแก๊สมาวางขวางถนน
ตลอดจนการผลิตระเบิดขวดให้เห็นกันจะจะซึ่งหน่วยควบคุมฝูงชนโดยฝ่ายทหารที่
น่าจะใช้การปราบปรามอย่างเด็ดขาด แต่ก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนเลย
เพียงใช้วิธีนำกำลังเข้ากดดันจนฝูงชนยอมสลายและไม่มีการสูญเสียชีวิตหรือบาด
เจ็บมากมายเหมือนวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่อย่างใด

ผมจึงอยากตะโกนตอบพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน
และบรรดาตำรวจเฒ่าแห่งสมาคมตำรวจแทน ป.ป.ช.ดังๆ ว่า

"ถ้ายังไม่รู้วิธีปฏิบัติ
ก็ให้ไปขอเรียนขอฝึกจากทหารซึ่งเขาทำเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว ในเดือนเมษายน
ไงเล่าโว้ย!"

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000116763

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น