...+

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เมื่ออภิสิทธิ์รู้ทั้งรู้ใครยิงสนธิ

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ


ติดตามข่าวคดียิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วรู้สึกสับสนกับท่าทีของ 2
ผู้ยิ่งใหญ่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ

คนหนึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรี
คนหนึ่งเป็นเลขาธิการพรรคและเป็นผู้จัดการรัฐบาล กระทั่งไม่รู้ว่า
ระหว่างผู้จัดการรัฐบาลกับนายกรัฐมนตรีนั้นใครใหญ่กว่ากัน

เพราะหากติดตามข่าวสารในรอบสัปดาห์ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า
นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงนั้นมีมุมมองต่อเรื่องนี้แตกต่างกันอย่าง
ชัดเจน

ถ้าเราติดตามข่าวจะพบว่า คุณอภิสิทธิ์
นายกรัฐมนตรีไม่เพียงแต่ฟังข้อมูลจาก พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์
หัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนในคดีนี้เท่านั้น แต่ได้ย้ำชัดว่า
พยายามหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วยตัวเองด้วย

นายสุเทพนั้นอิงอยู่กับข้อมูลของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
ซึ่งไม่ทราบว่า พล.ต.อ.พัชรวาทเอาข้อมูลจากไหนมารายงานนายสุเทพ
แล้วทำไมต้องเข้ายุ่งเกี่ยวขัดแย้งกับทีมงานสอบสวนที่ได้รับมอบหมาย
เพราะไม่ได้เป็นทีมสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ แต่เอาเถอะคนเป็นถึง ผบ.ตร.
ก็น่าจะมีมือไม้มีเส้นสายเข้ามารายงานบ้าง

หลัง พล.ต.อ.ธานี เข้าพบครั้งหนึ่งคุณอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า
การทำคดีของพล.ต.อ.ธานีมีอุปสรรคหลายจุดโดยมีผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในส่วน
ราชการด้วย

อย่าลืมว่า
การยิงคุณสนธินั้นเกิดขึ้นกลางนครหลวงในขณะที่มีการประกาศใช้
พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีทหารเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย
และในบริเวณสี่แยกใกล้เคียงก็มีทหารถือปืนรักษาการอยู่ตามสี่แยก
และเป็นการยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามสารพัดชนิด

พวกเรา เด็กอนุบาล
หรือชาวบ้านชาวช่องที่ไหนก็ล้วนแต่เชื่อตั้งแต่ต้นแล้วว่า
คนที่บงการยิงคุณสนธิต้องไม่ใช่คนธรรมดา
และไม่แปลกใจที่ต่อมามีการออกหมายจับคนมีสี คนหนึ่งเป็นตำรวจ
คนหนึ่งเป็นทหาร

คำถามคือใครเป็นอุปสรรคของคุณธานี
ใครคือคนในราชการที่เข้ามาครอบงำและบงการทีมสืบสวนสอบสวนของคนระดับรองผู้
บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ลูกน้องขวัญหนีดีฝ่อได้

ใครคือหนอนบ่อนไส้ ใครที่มีอำนาจเหนือทีมสืบสวนสอบสวนของตำรวจ
และใครเป็นคนสั่งการย้ายนายตำรวจที่ทำคดีนี้คนหนึ่งออกไป
จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีต้องมีคำสั่งให้ย้ายกลับมา

ดูเหมือนว่า คุณอภิสิทธิ์พยายามแสดงบทบาทให้เห็นว่า
เขาเอาจริงเอาจังเพื่อให้คดีนี้เดินหน้าต่อไปได้ และระบุว่า
คนที่ทำผิดไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องรับผลกรรมที่ทำไว้ ซึ่งสะท้อนว่า
คนที่คุณอภิสิทธิ์เคยพูดเป็นนัยว่า รู้ตัวคนบงการแล้วนั้น
ต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

แต่คำพูดไม่เท่ากับการกระทำ ที่จะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริงว่า
อภิสิทธิ์มีความกล้าหาญหรือไม่

เพราะตอนที่ พล.ต.อ.ธานีเข้าพบครั้งแรกๆ
คุณอภิสิทธิ์บอกด้วยซ้ำว่า
พอจะทราบแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแต่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนไม่เหมาะสมเพราะ
กลายเป็นเครื่องชี้นำ และต้องรอพยานหลักฐาน

ซึ่งกลายเป็นว่า
นายกรัฐมนตรีกลับมอบหมายให้นายสุเทพซึ่งเป็นคนที่มีความเห็นที่ขัดแย้งกับ
ตัวเองตลอดมาเป็นคนไปรวบรวมพยานหลักฐาน
ทั้งที่นายสุเทพแสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดคือ การปกป้องพล.ต.อ.พัชรวาท

จากนั้นเราได้เห็นนายสุเทพเหน็บเอา พล.ต.อ.พัชรวาท
บินลงไปทำงานร่วมกันในภาคใต้ และอีกวันต่อมาก็หนีบเอา พล.อ.ประวิตร
วงษ์สุวรรณ พี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาทลงไปภาคใต้พร้อมกับ พล.อ.อนุพงษ์
เผ่าจินดาลงไปด้วยกัน

ตอนนั้นนายสุเทพให้สัมภาษณ์ด้วยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท และ
พล.ต.อ.ธานี ว่าไม่มีความขัดแย้งในการทำงาน เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาท
เป็นคนตั้ง พล.ต.อ.ธานี มาทำคดีนี้เอง

คำพูดของนายสุเทพไม่ผิดหรอกครับ แต่เป็นการบิดเบือนในนัยสำคัญ
ตามสายงานบังคับบัญชาแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาทต้องเป็นคนตั้ง
พล.ต.อ.ธานีเป็นหัวหน้าชุดสอบสวนสืบสวนแน่ แต่คนที่ขอให้ตั้งคือ
นายกรัฐมนตรีหลังจากที่ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.พัชรวาทแต่งตั้ง พล.ต.อ.จงรัก
จุฑานนท์ มาเป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน แล้วพันธมิตรฯ ร้องขอเปลี่ยนตัว

จากนั้นนายสุเทพได้รวบรวมหลักฐานโดยเรียก พล.ต.อ.พัชรวาท
พล.ต.อ.ธานี พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วรพงษ์
ชิวปรีชา ผบช.น. เข้าพบแล้วส่งรายงานให้นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องบอกว่า
น้ำหนักของนายสุเทพโน้มไปทางไหน

เพราะเมื่อได้รับข้อมูลจากนายสุเทพแล้ว คุณอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า
ข้อมูลที่ตัวเองได้รับกับของนายสุเทพนั้นบางส่วนยังไม่ตรงกัน ฉะนั้น
จะใช้เวลา 1-2 วันนี้สอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมด้วยตัวเอง
เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันเพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
นอกจากการให้สัมภาษณ์ที่ขัดแย้งและสวนกันไปมาจนมีคนไปถามนายสุเทพว่า
นายสุเทพกำลังขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้

กระทั่งคุณอภิสิทธิ์เดินทางไปร่วมงานนักธุรกิจไทย-จีนที่พัทยา
นายสุเทพได้ขอนั่งรถไปด้วย และเมื่อไปถึงพบว่า พล.ต.อ.พัชรวาทรออยู่แล้ว
ตามข่าวคุณอภิสิทธิ์ถึงกับถามว่า มาด้วยเหรอ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามพล.ต.อ.พัชรวาทก็บอกว่า นายสุเทพเป็นคนโทร.ไปตาม
จากนั้นพล.ต.อ.พัชรวาทได้พูดคุยกับคุณอภิสิทธิ์เพียงเล็กน้อย

ไม่มีใครรู้ว่า
ข้อมูลที่แตกต่างกันคุณอภิสิทธิ์กับนายสุเทพคืออะไร
แต่การนั่งรถและพูดคุยกันไประหว่างกรุงเทพฯ กับพัทยานั้น
ทั้งสองคนได้แลกเปลี่ยนข้อมูลหรือพูดคุยกันแน่

การประกาศชัดของนายกรัฐมนตรีว่า
คดีนี้จะได้ความชัดเจนไม่เกินวันศุกร์ ที่ 31 ก.ค.นี้
จะเป็นบทพิสูจน์ตัวเขา

เพราะคำตอบในวันนั้น คงทำให้เราได้รู้ว่า
การพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพนั้นใครจะเป็นฝ่ายโน้มน้าวใครให้
เชื่อข้อมูลของฝ่ายตน เพราะนายกรัฐมนตรีเคยยอมรับว่า
ข้อมูลที่ได้รับจากนายสุเทพ ไม่ตรงกับที่ตัวเองได้รับและทราบมา

อย่างไรก็ตาม มีสื่อบางค่ายพยายามเขียนบิดเบือนคดี
และพูดในทำนองว่า
คดีของคุณสนธิคนเดียวทำไมจะต้องโยกย้ายหรือปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งๆ ที่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่า ผู้ถูกสังหารเป็นใคร
ไม่ว่าจะเป็นนายสนธิหรือตาสีตาสาที่ไหน
ถ้าใครก็ตามที่เป็นผู้ขัดขวางการทำคดีของตำรวจก็ล้วนแล้วแต่มีความผิดที่
ร้ายแรงทั้งสิ้น และถ้าหากว่า
คนคนนั้นเป็นผู้บังคับบัญชาองค์กรที่ต้องพิทักษ์ความเป็นธรรมและสันติของ
ราษฎร์ด้วยแล้ว คนคนนั้นก็ยิ่งไม่สมควรอยู่ในตำแหน่ง

เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่คุณอภิสิทธิ์จะต้องทำเป็นเอาใจคุณสนธิ
คนเสื้อเหลือง หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แต่เป็นเรื่องของการทำให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในบ้านเมือง
และให้การบังคับใช้กฎหมายเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษเดินหน้าต่อไปได้

แม้ว่า สถานะของรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ภายใต้บารมีของกองทัพ
ที่ผนึกกำลังกันระหว่าง พล.อ.ประวิตรพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท และ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ตอน จบของเรื่องนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ตัวนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า
เขาจะเลือกอะไรระหว่างความถูกต้องจากข้อมูลที่มีอยู่
หรือโน้มเอียงตามแรงบีบของนายสุเทพด้วยบุญคุณที่ทำให้เขามีเกียรติยศบน
เก้าอี้นายกรัฐมนตรี
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000086299

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น