...+

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สังคมอุดมธรรม ชีวิตอุดมสุข "สภาวธรรม" ที่มวลมหาชนชาวไทยร่วมกันสร้างได้

สังคมอุดมธรรม ชีวิตอุดมสุข "สภาวธรรม" ที่มวลมหาชนชาวไทยร่วมกันสร้างได้
โดย สันติ ตั้งรพีพากร


บนฐานการเคลื่อนไหวปฏิบัติอย่างไม่หยุดยั้งของชาวพันธมิตรฯ
ทั้งในและต่างประเทศ กระบวนการถักทอต่อเชื่อมทางปัญญาก็ได้ดำเนินต่อไป
กระทั่งได้เกิดการเชื่อมโยงในระดับบูรณาการของ "ภูมิปัญญา" ชาวพันธมิตรฯ
(องค์ประกอบสำคัญของ "ปัญญาแกน" พันธมิตรฯ) เป็นระยะๆ
ในวงกว้างและไกลยิ่งขึ้น

ถึงวันนี้ กระบวนการดังกล่าว ได้ค่อยๆ
สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์สูงสุดของชาวพันธมิตรฯ ว่าถึงที่สุดแล้ว
จุดหมายปลายทางที่ชาวพันธมิตรฯ จะไปให้ถึงก็คือ
การสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมอุดมธรรม เพื่อให้คนไทยมีชีวิตอุดมสุข

อุดมการณ์สูงสุดนี้ จะทำหน้าที่เป็น "ธง"
คอยชี้ทิศนำทางให้ชาวพันธมิตรฯ ก้าวเดิน ด้วยจิตใจพร้อมที่จะฟันฝ่า
ต่อสู้ เอาชนะอุปสรรคต่างๆ
รวมทั้งการขัดขวางทำลายทุกรูปแบบที่มาจากทุกทิศทุกทาง
ในทุกขั้นตอนของการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ "เดินมาถูกทาง" แล้วตั้งแต่ต้น

ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่อง "อุดมการณ์พันธมิตรฯ" (ฉบับวันที่ 21
ก.ค. 52) สังคมอุดมธรรมที่ชาวพันธมิตรฯ จะไปให้ถึง เป็นองค์รวมแห่ง
"ธรรม" ของการปกครองที่สืบสานต่อเนื่องกันมาในบริบทสังคมชนิดต่างๆ
ที่มนุษยชาติสรรสร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบความต้องการของตนในการยกระดับคุณภาพ
และคุณค่าชีวิต หลักๆ ก็คือ ระบบ "ธรรมาธิปไตย" ของสังคมศักดินา ระบบ
"เสรีประชาธิปไตย" ของสังคมทุนนิยม และ ระบบ "ประชาธิปไตยประชาชน"
ในระบอบสังคมนิยม

กระนั้น ทั้งสามระบบนี้
กลับไม่ได้แสดงบทบาทได้อย่างเต็มที่ในยุคสมัยของตนเอง เช่น
ระบบธรรมาธิปไตยไม่ได้ยังประโยชน์สูงสุดแก่มวลมหาชน
ราษฎรผู้อยู่ใต้การปกครองของเจ้าศักดินาหามีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิตแต่
ประการใดไม่ ระดับความทรงธรรมของผู้ปกครองจึงมีความหมายเพียงว่า
ประชาราษฎร์ใต้อำนาจจะลืมตาอ้าปากได้มากขึ้นแค่ไหนในกรอบจารีตที่รัดรึงตรึง
อยู่ทุกลมหายใจนั้น

หรือสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในสังคมทุนนิยม
ก็แสดงบทบาทได้เพียงแต่ในกรอบของตัวบทกฎหมายที่ตรากำหนดขึ้นมาโดยชนชั้นนาย
ทุน ผ่านทางนักการเมืองตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุน
ซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาเสมอ
ประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีด
ขาดซึ่งองค์ความรู้และการจัดการ
ย่อมไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้สิทธิเสรีภาพได้ตามตัวบทกฎหมาย หรือกระทั่ง
"เข้าไม่ถึง"กฎหมาย

ตรงกันข้าม กลุ่มทุนผู้ใช้อำนาจปกครองในระบบรัฐสภา กลับสามารถ
"เลือก" ที่จะใช้แง่มุมทางกฎหมายที่ "เปิดช่อง" ไว้ให้ล่วงหน้าแล้วเสมอ
ในการปกป้องและสนองตอบผลประโยชน์กลุ่มตน แม้เมื่อจับได้ไล่ทัน
ก็สามารถใช้กลไกรัฐปกป้อง เบี่ยงเบน หรือทำการแก้ไขปรับปรุง
ตัดแต่งตัวบทกฎหมายให้มีแง่มุมซับซ้อนยิ่งขึ้น
สำหรับการใช้กฎหมายในทางมิชอบเป็นไปอย่างแนบเนียนยิ่งกว่าเดิม
ในที่สุดระบบกฎหมายก็กลายเป็นเพียงตรายาง ประทับรับรองความเป็น "นิติรัฐ"
ของรัฐทุนนิยม และรับรองสิทธิเสรีภาพอันล้นเหลือของกลุ่มทุนเท่านั้น

ความเหลื่อมล้ำในการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าว
ไม่มีทางแก้ไขให้ตกไปได้ในกรอบจำกัดของระบอบทุนนิยม

เมื่อมีความพยายามที่จะแก้ไขด้วยการปฏิวัติสังคม
โค่นล้มอำนาจปกครองของชนชั้นนายทุน สถาปนาอำนาจปกครองของชนชั้นกรรมาชีพ
เปลี่ยนจากรัฐทุนนิยมเป็นรัฐสังคมนิยม
ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในรัสเซียและยุโรปตะวันออก
ก็กลับปรากฏว่ากลุ่มและพรรคการเมืองที่ใช้อำนาจปกครองประเทศ
ส่วนใหญ่เอนเอียงไปในทางรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ
นัยว่าเป็นเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพที่กระทำต่อชนชั้นนายทุน
มิให้ชนชั้นนายทุนดำรงคงอยู่หรือถือกำเนิดขึ้นอีกต่อไป
แต่ความจริงกลับปรากฏว่า
ประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในประเทศ "สังคมนิยม"
เหล่านั้น ต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลไปอย่างเบ็ดเสร็จ
ยิ่งเสียกว่าในรัฐทุนนิยม

ในที่สุดประชาชนในการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศต่างๆ
เกือบทั้งหมดก็พากันเลือกที่จะไม่เอาระบอบสังคมนิยม
พร้อมใจกันหันมายอมรับการปกครองในระบอบทุนนิยมเช่นที่เป็นไปอยู่ในประเทศ
ต่างๆ เกือบทั้งโลก
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถใช้สิทธิเสรีภาพกำหนดชีวิตของตนเองเป็นเบื้องต้น

สำหรับประเทศจีนที่ยังคงความเป็นรัฐสังคมนิยมได้จนถึงทุกวันนี้
ก็ได้ปรับปฏิรูปตนเองอย่างขนานใหญ่
เปิดกว้างให้ประชาชนชาวจีนใช้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลมากที่สุดเท่าที่จะมาก
ได้ พร้อมๆ กับเร่งพัฒนาทางเศรษฐกิจ
เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวจีนส่วนใหญ่อย่างไม่หยุดหย่อน
สามารถพลิกชีวิตคนจีนส่วนใหญ่ที่เคยยากจนข้นแค้น เป็นอยู่ดีกินดี
มีสุขยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ความโดดเด่นของรัฐบาลจีน
โดยการกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
อยู่ที่การดำเนินนโยบายสนองประโยชน์ประชาชนชาวจีน
ตามสถานภาพของการเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน
และอุดมการณ์ยาวไกลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนที่จะสร้างประเทศจีนใน
ระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนให้เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งยิ่งกว่ายุคใดๆ

กระนั้น ด้วยโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
ทำให้ปัจจุบันนี้ สถานภาพของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
โดยเฉพาะคือสมาชิกระดับสูงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ
ในการบริหารประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งในเมืองและในชนบท
ทั้งในภาคการเมืองและธุรกิจ "ลอยตัว" อยู่เหนือประชาชนชาวจีนทั่วไป
กลายสภาพเป็น "อภิสิทธิ์ชน"ที่ประชาชนชาวจีนทั่วไปรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์
และเป็นต้นตอที่ขุดออกได้ยากของการโกงกินคอร์รัปชัน

ในบริบทดังกล่าว สิทธิเสรีภาพของคนจีนทั่วไป
จึงไม่เท่าเทียมกับสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรคและผู้มีอำนาจในพรรคและรัฐบาล
จีน อีกนัยหนึ่ง ก็คือ
ชาวบ้านทั่วไปมีสถานภาพต่ำต้อยกว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือสมาชิกพรรค
ตลอดจนวงศ์วานว่านเครือของพวกเขาเหล่านั้น

ทั้งหมดนี้ ชาวพันธมิตรฯ จะต้องแยกแยะ ดึงเอา "องค์ธรรม"
ที่เป็นแก่นสารที่แท้จริงของระบบ "ธรรมาธิปไตย" ระบบ "เสรีประชาธิปไตย"
และระบบ "ประชาธิปไตยประชาชน" มาประยุกต์ใช้ในระบบ "ประชาธิปไตยมวลมหาชน"
ที่ชาวพันธมิตรฯ ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น
ให้องค์ธรรมหรือแก่นสารของระบบการปกครองในอดีตแสดงศักยภาพอย่างสมบูรณ์ใน
ระบบใหม่ของเรา (และใหม่สำหรับชาวโลกเลยก็ว่าได้)

การสร้างระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน ที่อำนาจกำหนดจากเบื้องล่าง
ทำหน้าที่กำกับการใช้อำนาจเบื้องบน บนฐานปัญญาของมวลมหาชนชาวไทย
จึงกลายเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพันธมิตรฯ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เพื่อรองรับการปรากฏขึ้นของ "สภาวธรรม" -- สังคมอุดมธรรม
ชีวิตอุดมสุข ที่คนทั้งโลกถวิลหา

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085255

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น