...+
▼
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551
รักษาโรคด้วยลมปราณ ใช้พลังปรับร่างกายเพื่อ ความสมดุล
อโรคยา...ปรมา ลาภา "ความไม่เป็นโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ" หมายถึงว่า หากผู้ใดที่ไม่ มีอาการ เจ็บป่วยไข้ ถือว่าได้ลาภที่ใหญ่หลวง ซึ่งมนุษย์ในโลกใบนี้ หามีใคร ที่หลุดพ้นไปไม่... แม้แต่พระพุทธองค์ ที่ถือว่าประเสริฐสุดแห่งมนุษย์แล้ว... ก็ยังต้องเผชิญกับ "โรคยา" อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อหลีกกันไม่พ้น ในชีวิตนี้ หากว่ามี การบำบัด รักษาให้หายจาก "โรคยา" ได้ในบางครั้งคราว ก็ถือว่า...มีโชค (เช่นกัน) เช่นนี้ จึงมีเรื่องฮือฮา เมื่อ นายบุญช่วย ปิ่น รัตน์ ป่วยเป็นอัมพาตนานกว่า 10 ปี เข้าไปบำบัดที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ด้วยวิธีการผนึกลมปราณ... ... และก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ ในตอนที่เข้ามาบำบัดนั้น ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันมา แต่พอผ่านไปแล้วอย่างปาฏิหาริย์ นายบุญ ช่วย ปิ่นรัตน์ ก็บุญช่วยจริงๆ... ทิ้งไม้เท้าแล้วเดินปร๋อขึ้นรถกลับบ้านได้เอง...มันเป็นเรื่องที่น่าพิศวง
O O O
ด้วยข่าวที่ออกมาเช่นนี้ เลยดังกันไปใหญ่ ผู้ลองของอีกรายคือ คุณวิภาพร ปิยกุละวัฒน์ ป่วยเป็นอัมพาตเนื่อง จาก เส้นโลหิตในสมองตีบ ต้องเข้าผ่าตัดที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่พอออกมามีอาการเป็นอัมพาต ต่อมาเมื่อ ผ่านการเข้าบำบัดแล้วก็พอที่จะเดินได้บ้างนิดหน่อยแบบโขยกเขยก แล้วก็มา เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อคนรับใช้ปล่อยให้สุนัข อัลเซเชียนวิ่งชนหกล้ม จากนั้น คุณวิภาพร ก็เดินไม่ได้เลย จะไปไหนก็ต้องใช้รถเข็น หรือว่าหามไป ความป่วยและทุกข์ระทมนี้ เกิดขึ้นกับเธอนานมากว่า 3 ปี เมื่อได้รับข่าวที่แพร่สะพัด ก็เลยมาหาหมอที่ วัดไผ่ล้อม... ...ผ่านการบำบัดแบบผนึกลมปราณ เพียงครั้งแรก ก็สามารถ ที่จะกระดึ๊บและลุกยืนเอง ได้แล้ว
(งานนี้ต้องผ่านการปรับลมปราณอีกหลายครั้ง จึงจะ เป็นปกติ)
O O O
ตามข่าวที่เป็นข่าว "เหนือฟ้า ใต้บาดาล" จึงตามไปดู เข้าไปที่ ศาลากลางนํ้าวัดไผ่ล้อม เจอหมอลมปราณกำลัง บำบัดให้กับ นายกสมาคมนักวิทยุและ โทรทัศน์แห่งประเทศไทยฯ "วีระ ลิมปะพันธุ์" ซึ่งในช่วงนั้น หมอกำลังร่ายผนึกพลังลมปราณ โดยมีนายกนั่งอยู่ตรงหน้าแรกๆ ก็ตัวแข็งทื่อ ต่อมาร่างกายปวกเปียก แขนอ่อนฮวบ... ...แล้วหมอก็ใช้นิ้วมือสกัดแตะจุดที่ช่วงระหว่างอกกับไหล่ ร่างของนายกสะดุ้งเฮือก หลับตาพริ้มสักพักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปเดินมาอย่างคล่องตัว... นายกวิทยุฯบอกหลังจากผ่านการบำบัดแล้วว่า...รู้สึกตัวเบาดี ก่อนหน้านั้น มีอาการปวด เมื่อยตามตัวเช่นกัน พอมาผ่านการบำบัดแล้วมันหายไปยังไงก็ไม่รู้...หรือว่าอุปาทาน แต่ก็ไม่ใช่ มันหายจริง เป็น คำยืนยัน (ป่วยไม่หนัก พักเดียวก็หายและอย่างปลิดทิ้ง)
O O O
กับหมอพลังลม ปราณ...เขาได้เล่าถึง ความเป็นมาว่า ชื่อจริงคือ ระพิน บัวทอง แต่ใครๆเรียกว่า "หมอแสวง" เดิมเป็นคน จังหวัดกาญจนบุรี แล้วเดินทางขึ้นไปประกอบ อาชีพคนกลางคืนที่ จังหวัดเชียงใหม่ คือเปิดผับ ต่อมามีลูกคนมีฐานะจากจีน ได้เข้ามาเที่ยวแล้ว เกิดเจ็บ ป่วยกะทันหัน เขาจึงพาเธอไปที่บ้านพัก เพื่อให้พักผ่อนอยู่หลายวัน จนกระทั่งเตี่ยและแม่เขา เดินทาง จากเมืองยูนนานมารับตัวกลับ ด้วยที่เข้าใจกันในความมีเมตตา เตี่ยกับแม่ของสตรีท่านนั้นจึงเชิญไปที่บ้านของเขา เมื่อพักอยู่ที่เมืองจีน ได้เข้า ศึกษาวิชาการบำบัดโรคด้วยลมปราณ อันเป็นศาสตร์ของ ตระกูลแซ่ลิ้ม ใช้เวลาในการศึกษาและทดลองนานถึง 2 ปี จึงสำเร็จแล้วกลับมาเมืองไทย
O O O
การบำบัดตามศาสตร์นั้น หมอแสวง บอกว่า มนุษย์เรานั้นมีพลังแม่เหล็ก ในตัวอันเกิดจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ ที่มีอยู่ในตัวได้ สร้างพลังอิเล็กตรอน นิวเคลียสและไอออนที่อยู่ในความสมดุล แต่ในวิถีชีวิตนั้นมีการใช้พลังเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว หากพลังที่สูญเสียไปเท่าๆ กันหรือมีเพิ่มขึ้นมาเท่ากันก็ไม่เกิดสิ่งใด แต่ถ้าหากว่าไม่สมดุลก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งแต่ละโรคก็แล้วแต่สถานภาพ... ...เพื่อที่จะให้อาการป่วยต่างๆนั้นหายก็คือเพิ่มพลังที่ขาดไปให้เกิดความสมดุล หรือว่าขจัดในส่วนที่เกินออกเพื่อให้เกิดความ สมดุล... ศาสตร์นี้มีหลักการเพียงง่ายๆ แต่ก่อนที่จะมาเป็นผู้บำบัดให้ผู้อื่นได้นั้น หมอต้องผนึกและเรียกพลังลม ปราณมากพอสมควรจึงจะฉมัง
O O O
ในการบำบัด หมอแสวงจะไม่รับค่าครู แต่อย่างใด คือ "ฟรี" แต่ถ้าหากว่า ท่านใดมีจิตเป็นกุศลก็ให้ใส่กล่อง เพื่อเป็นเงินทุนในการ สร้างเมรุวัดไผ่ล้อม ที่เขาตั้งปณิธานเช่นนี้ เนื่องจากว่าก่อน ที่เขา จะจบการศึกษากับศาสตร์นี้ ได้ตั้งจิตแน่วแน่ว่า จะทำเพื่อการกุศลและ ก็เกิดนิมิตว่าได้พบกับพระภิกษุ ที่มีพลังบารมีท่านหนึ่งที่จะร่วมกิจกันได้... ...แล้วพอกลับมาเมืองไทยก็ได้เดินทางหาพระภิกษุรูปนั้น จนมาพบ แบบอยู่จังหวัดใกล้เคียงกับ บ้านเกิด ก็เลยต้องตกลงยอมเป็นศิษย์ หลวงปู่พูล อัตตรักโข เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม... ซึ่งจะประกอบศาสตร์กิจนี้ช่วงระยะหนึ่งแล้วในเดือนหน้าก็จะเดินทางต่อไปที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วยว่ามีคนคอยที่จะให้บำบัดที่นั่น... ...งานนี้ถือว่าเป็นการบอกบุญ...สนหรือไม่ ก็แล้วแต่!!
"ก้อง กังฟู"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น