++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นักวิชาการ-สันติวิธีรับผิดชอบอย่างไร

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 20 พฤษภาคม 2553 16:45 น.
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรานั้น
น่าจะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เป็นบาดแผลร้าวลึกที่สุดของชาติ
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ถ้าสังคมยังไม่มีสติที่จะนำพามันมาเป็นบทเรียนแล้ว
เราก็คงจะไม่มีชาติอีกต่อไป

แน่นอนครับผมเศร้าใจหดหู่ที่เห็นพี่น้องคนไทยจำนวนหนึ่งทั้งทหารและ
ผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากการปะทะกัน
และขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของคนไทยและคนต่างชาติทุกคน
ผมเพิ่งเห็นภาพนักข่าวต่างชาติและทหารถูกยิงถล่มด้วยเอ็ม 79
เสียชีวิตพร้อมกัน

วันนี้ผมอยากตั้งคำถามต่อนักวิชาการ 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า นักสันติวิธี ที่นำโดย โคทม อารียา ปริญญา
เทวานฤมิตรกุล และกลุ่มที่สอง กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า สันติประชาธรรม

พูดกันอย่างไม่อ้อมค้อมคือ
นักวิชาการทั้งสองกลุ่มนี้แหละที่เคลื่อนไหวห้อมล้อมการชุมนุมของคนเสื้อแดง
พวกเขาแกล้งที่จะมองข้ามข้อเท็จจริงที่ขับเคลื่อนม็อบนี้อยู่
และใช้ฐานะความเป็นนักวิชาการของเขาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการชุมนุม
ที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้น ด้วยการพูดแบบตัดตอนว่า
ผู้ชุมนุมนั้นเป็นคนยากจนที่มาต่อสู้เพื่อความไม่เป็นธรรมในสังคม

นักวิชาการสันติวิธีที่มีแกน 2 คนข้างต้นนั้น
พยายามเคลื่อนไหวให้เห็นว่าม็อบของคนเสื้อแดงนั้นเป็นม็อบที่ยึดหลักสันติ
สงบ อหิงสา โดยยึดเอาวาทะของแกนนำบนเวทีเป็นสรณะ
และมองข้ามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรง
พวกเขานี่แหละที่ทำให้การบังคับใช้นิติรัฐถูกยับยั้ง

นักสันติวิธีกลุ่มนี้ถูกเปรียบเหมือนนางสนมที่กลัวเสียงระเบิดกระสุน
ดินดำก่อนเสียกรุงครั้งที่สอง และเมื่อบ้านเมืองถูกเผาเป็นจุณ
การชุมนุมที่เต็มไปด้วยอาวุธสงคราม
ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีสำนึกในสิ่งที่พวกเขาได้ร่วมกระทำลงไปหรือไม่

แต่โทษของนักวิชาการสันติวิธีก็ยังน้อยกว่านักวิชาการกลุ่มที่ 2
ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มสันติประชาธรรม 155 คน ที่นำโดย ชาญวิทย์
เกษตรศิริ นิธิ เอียวศรีวงศ์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เกษียร เตชะพีระ พิชญ์
พงษ์สวัสดิ์ สมชาย ปรีชาศิลปกุล ประจักษ์ ก้องกีรติ ธงชัย วินิจจะกูล
พวงทอง ภวัครพันธุ์ ไชยันต์ รัชชกูล ศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ ฯลฯ
นักวิชาการไทยอีกจำนวนหนึ่ง และฝรั่งอีกจำนวนหนึ่ง

พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวเป็นแนวร่วมกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง
และเสนอให้มีการยุบสภาของคนเสื้อแดง และเลือกตั้งภายใน 3 เดือน
จนกระทั่งทักษิณชื่นชมผ่านวิดีโอลิงก์และวีระนำไปต่อรองกับรัฐบาล

ข้อเสนอของนักวิชาการทั้ง 155
คนนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมไม่ว่าจะในฐานะนักวิชาการ
และประชาชนไทยที่มีสิทธิแสดงออกต่อชาติบ้านเมืองของตนเอง
(ส่วนฝรั่งนั้นผมไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรด้วย)
ถ้าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ในฐานะนักวิชาการ

แต่เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของพวกเขาต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยในเหตุผล เงื่อนไข และหลักการเดียวกัน มันสะท้อนว่า
แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้แสดงออกโดยใช้หลักการ
แต่เป็นการแสดงออกจากการเลือกข้างทางการเมือง

ผู้สื่อข่าวเห็นชาญวิทย์ เกษตรศิริ
พร้อมเด็กหนุ่มไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์
และนักวิชาการที่พยายามสร้างจุดขายด้วยเครื่องเคราแปลกๆ
แต่ในหัวโล่งเตียนไร้ค่าคนหนึ่งไปขายแนวคิดไพร่อำมาตย์กับแกนนำหลังเวที

ผมขอย้ำว่า ผมไม่ได้พูดถึงสิ่งนี้ว่า เป็นความผิด
แน่นอนครับมันเป็นเสรีภาพในการเลือกอุดมการณ์ทางการเมือง
การเลือกจุดยืนทางการเมือง
แต่คนเหล่านี้กลับใช้เครื่องแบบของนักวิชาการเสนอหน้าในสังคมเพื่อสร้างความ
ชอบธรรมให้กับการชุมนุมที่มีเบื้องหลังเพื่อคนคนเดียว

นักวิชาการหลายคนพยายามแสดงให้เห็นว่า
ตัวเองรอบรู้เสมือนปราชญ์ของสังคมวิเคราะห์ปัจจุบันและอนาคตและระบบปกครอง
แต่ไม่น่าเชื่อว่า
พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนม็อบ

เมื่อคืนวันพุธ ผมดูนักข่าวของทีวีไทยเล่าให้ฟังว่า
การติดตามทำข่าวคนเสื้อแดงของเขาในตอนกลางคืนนั้นต้องผจญกับการยิงถล่มด้วย
เอ็ม 79 แทบทุกคืน แต่ถ้าเราเห็นความเคลื่อนไหวของทีวีช่องนี้
เราจะเห็นว่า พวกเขาพยายามจะปกป้องการชุมนุมครั้งนี้ว่า
เป็นการชุมนุมที่ชอบธรรม สันติ อหิงสา โดยเชิญนักวิชาการ 155
คนเหล่านั้นมาลอยหน้าลอยตา โดยมีบอร์ดทีวีไทยอย่างจอน อึ๊งภากรณ์
พี่ชายของใจที่ไม่ใช่คนไทยคอยให้ท้าย

ผมต้องพูดถึงจอมปลวกทางวิชาการเหล่านี้ เพราะผมถือว่า
พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของยาพิษที่เคลือบทาพี่น้องคนยากจนในต่างจังหวัดที่ถูก
หลอกมาเป็นเครื่องมือของคนชั่วที่ต้องการเผาบ้านทำลายเมือง
และทำให้คนยากจนต้องเอาชีวิตตัวเองมาแลก

บางคนบอกว่า ทำไมผมไม่โทษคนที่ยิง ผมคิดว่า
อำนาจรัฐที่ไล่ยิงคนโดยไม่มีเหตุผลนั้น
ย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างแน่นอน
บทเรียนของสมชาย-จิ๋วก็มีอยู่แล้ว
ที่กระบวนการยุติธรรมยังคงเดินหน้าต่อไป
และถ้ากระทำผิดก็ต้องรับผลต่อการกระทำผิดของตัวเองในที่สุดด้วย

ตอนที่รัฐบาลกับแกนนำเสื้อแดงเจรจากัน รัฐบาลเสนอยุบสภาใน 9 เดือน
หลังจากนั้นนักวิชาการกลุ่มนี้ได้ออกมาโจมตีรัฐบาลทันที
เพื่อกดดันรัฐบาลและสอดรับกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
แต่เมื่อรัฐบาลเสนอยุบสภาใน 4
เดือนซึ่งแตกต่างเล็กน้อยกับข้อเสนอของพวกเขาแต่ถูกคนเสื้อแดงปฏิเสธ
พวกเขากลับนิ่งเงียบ

ผมไม่อยากพูดว่า บางคนเชื่อมโยงอย่างไรกับระบอบทักษิณ
บางคนขานรับเพราะเห็นว่าระบอบทักษิณจะทำลายสถาบันที่พวกเขาชิงชังคลั่งแค้น
ได้ แต่คำถามของผมที่เกิดขึ้นมาหลายวันแล้วก็คือ
ทำไมพวกเขาจึงไม่ออกมากระตุกแกนนำคนเสื้อแดงที่พวกเขาสนับสนุนแบบที่หัวโต
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เตือนสติแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงว่า
ให้รักษาชีวิตของผู้ชุมนุม

เพราะอย่างน้อยเสียงเตือนของพวกเขาจะทำให้ผู้ชุมนุมมีสติยั้งคิด
และเห็นว่าตัวเองกำลังถูกนำไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง
แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะไปบั่นทอนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อ
แดง

พวกเขาแกล้งมองไม่เห็นความรุนแรงที่จะเกิดทั้งที่บนเวทีเสื้อแดง
ตั้งแต่หลังวันที่ 10
เมษายนนั้นเต็มไปด้วยการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงการเอาชีวิตเข้าแลกการบุก
เข้าไปทำลายอาคาร และเผาทำลายหากมีการสลายการชุมนุม
รวมทั้งการใช้อาวุธสงครามต่อกรกับฝ่ายรัฐ

ผมหวังเพียงว่า
พวกเขาจะออกมาพูดเพื่อลดความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับไม่ทำ
ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่า การแสดงออกของพวกเขานั้นไม่มีคุณค่าทางวิชาการ
เพราะนั่นเป็นเพียงเครื่องแบบที่พวกเขาใช้ทำมาหากิน
และการแสดงออกผ่านแถลงการณ์และการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นแท้จริงแล้วคือ
การเลือกข้างทางการเมือง

ผมจะดูว่าพวกเขาจะออกมาลอยหน้าลอยตาพูดต่อสังคมอย่างไร
และจะสำนึกต่อสิ่งที่ตัวเองได้มีส่วนร่วมกระทำต่อสังคมและประเทศชาติหรือไม่

แม้ผมมั่นใจว่าคนเหล่านี้ไม่มีสำนึกหลงเหลืออยู่ก็ตาม



>>>surawhisky@hotmail.com

1 ความคิดเห็น:

  1. มวลหมู่คนดีศรีประเทศ ไม่ต้องหวังพึ่งใครอื่น จงมาร่วมมือกันช่วยชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วย...http://www.ainews1.com/modules.php?name=Web_Board&file=view&No=239

    ตอบลบ