++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ศัตรูในสงครามของจักรภพ

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ
วันที่ท้องสนามหลวงคลาคล่ำไปด้วยมวลชนสีแดง เบื้องหน้าของมวลชนคือ
เวทีที่หันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง

ชายร่างเล็ก
พาองค์เอวอันอ้อนแอ้นของเขาตระหง่านบนเวทีชูกำปั้นขึ้นเหนือท้องฟ้า
ฉายแววตาอันดุดันอาฆาตมาดร้าย
แล้วเปล่งวาจาประกาศต่อพลพรรคที่อยู่เบื้องหน้า

"ไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนในไทยเหมือนครั้งนี้
เพราะครั้งนี้เป็นศึกชิงบ้านเมืองคืน เราต้องแดงทั้งแผ่นดิน แดงแค่
กทม.ไม่พอ สงขลาหรือขอนแก่นก็ไม่พอ ต้องแดงทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศไทย
ขอบคุณรัฐบาลที่สั่งให้ตั้งด่าน เพราะยิ่งตั้งด่านกูยิ่งมา
ใครยังหลงละเมอว่าคนไทยถูกครอบงำด้วยความกลัว คนนั้นยังตาบอดสนิท"

ไม่ทันสิ้นเสียงของชายร่างเล็ก
พลพรรคแดงเดือดของเขาก็ตะโกนจนพื้นปฐพีแทบเลือนลั่นว่า "ไอ้ บ..ไอ้ บ.."

ศึกชิงบ้านเมืองคืน เราต้องแดงทั้งแผ่นดิน

ชายร่างเล็กผู้กล่าวคำนี้บนเวทีไม่ใช่ใครที่ไหน
พลันที่ใครก็ตามประสบกับริมฝีปากยื่นจู๋ของเขาก็ย่อมจำได้ทันทีว่า เขาคือ
จักรภพ เพ็ญแข

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เขาจะกล้าหาญเอ่ยวาจาสะเทือนฟ้
าดินเช่นนี้ เพราะหากเปรียบเทียบกับชนักติดหลังและคำกล่าวก่อนหน้านี้
นี่ยังถือว่าน้อยนิดนัก

สิ่งที่ครอบงำคนไทยด้วยความกลัวในทัศนะของจักรภพปากจู๋ เป็นเช่นไร

ครั้งหนึ่งจักรภพเคยกล่าวด้วยภาษาต่างแดนที่นับเป็นอาวุธคู่กายของเขาว่า

we don't actually need democracy. We are led into believing
that the best form of government is guided democracy, or democracy
with His Majesty greatest guidance...which I see as a clash or the clash
between democracy and patronage system.

ซึ่งต่อมาอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไขนัยปริศนาที่ซ่อนเร้นออกมาเป็นภาษาไทยว่า
"คนไทยเราจึงไม่ได้ปรารถนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
เราถูกชักนำให้เชื่อว่า รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดคือ
ประชาธิปไตยแบบชี้นำ
หรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอย่างมากมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัช
กาลปัจจุบัน..."

ในบทความวิเคราะห์คำพูดของจักรภพฉบับเต็มของอาจารย์อนันต์โยงใยให้เห
็นด้วยว่า นัยที่แท้จริงของคำว่า patronage system นั้น
ไม่ใช่แค่ระบบอุปถัมภ์

ภายใต้นัยที่ซ่อนเร้นของระบบอุปถัมภ์ในความหมายของจักรภพ
เขาได้ตอกย้ำในหลายครั้งว่า
ระบบอุปถัมภ์เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย

"เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีแสงสว่าง"

เช่นเดียวกัน เขาเคยกล่าวกับคนไทยที่ลอสแองเจลิส ว่า
เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน2549 นั้น "สูงมาก"
เพื่อให้เชื่อมโยงว่า ศัตรูที่แท้จริงของทักษิณคือใคร

ครั้งหนึ่งจักรภพกล่าวว่า
"ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า
เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป เราต้องการประชาธิปไตย
มิใช่คนที่มาตบหลังเรา ไม่ใช่คนที่บอกเราว่า
เราจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา
ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิระดับชาติของประชาชน"

ซึ่งต้องโยงใยไปสู่คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ว่า
"ผมต้องการเห็นสงครามประชาชนที่ไม่มีการจัดตั้ง"

แล้วศัตรูในสงครามของจักรภพคือใคร

ตอนที่ทักษิณพลิกตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์"
ตอนนั้น เพ็ญ-จักรภพปากจู๋ก็ตวัดนัยนี้ไว้ภายใต้นามปากกา "กาหลิบ"
ของเธอว่า การหนีของทักษิณเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสนามรบ
และไม่ใช่การยอมแพ้

เพ็ญจักรภพ บอกด้วยว่า
การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด
เพราะเท่ากับทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรงเผด็จศึ
กง่ายกว่ากันเยอะ

ตอนนั้นเพ็ญใช้คำว่า "ราชอาณาจักร" อย่างมีนัยสำคัญ และเ
มื่อขีดเส้นใต้ ตรงคำว่า
"จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด" คำว่า "ทั้งหมด"
ก็บ่งบอกว่า ทักษิณจะกลับมาเพื่อถอนรากถอนโคนสิ่งที่เขาเชื่อว่า
เป็นศัตรูของตัวเอง
ซึ่งสอดคล้องกับแรงปรารถนาให้เกิดสงครามประชาชนจากการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลา
ยครั้งของเธอ

ดังนั้น "ราชอาณาจักร" แปลว่า อะไร "นอกพื้นที่ของศัตรู" คืออะไร
แล้ว "ศัตรู"ของทักษิณที่เพ็ญว่าคือใคร
ใครคือคนที่ทักษิณจะกลับมาถอนรากถอนโคน ลองตีความกันเอาเอง

คำพูดของจักรภพในวันนั้น กลายเป็นความจริงในวันนี้
เมื่อทักษิณประกาศผ่านที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย

"ถ้าประชาชนพร้อมเมื่อไหร่ผมก็พร้อมเมื่อนั้น
ถ้าประชาชนยอมพ่ายแพ้ผมก็หมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน
แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน
อย่างมากที่สุดผมสู้ไม่ได้ผมก็จะแอบลักลอบเข้าไปตายในอีสาน"

แต่ทักษิณคงลืมไปว่า การมีชีวิตอย่างมีคุณค่ามาตรว่ายากลำบาก
แต่คิดตายอย่างมีคุณค่ายิ่งยากกว่า

ทักษิณพูดทุกครั้งราวกับว่า
เขาถูกกลั่นแกล้งไม่ให้กลับมาประเทศไทย พูดจนทุกคนเกือบลืมไปว่า
จริงแล้วประเทศไทยต้องการให้ทักษิณกลับมา
กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรายังรอคอยทักษิณอยู่ แต่ทักษิณต่างหากที่หนีไป

ไม่เพียงแต่เปิดให้เห็นถึงศัตรูของทักษิณ บทความในนามแฝง "กาหลิบ"
ชิ้นนั้น เพ็ญยังกล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ และ ASTV ด้วยว่า
เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งในบ่อสีขาวขนาดใหญ่ของสถานเสาวภา
ซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย
ในพระบรมราชินูปถัมภ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่พญานาคราชแต่อย่างใด

อะไรคือ นัยที่ซ่อนเร้นภายใต้ความหมายของคำว่า
งูพิษตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อรีดพิษในบ่อของสถานเสาวภาซึ่งเป็นหน่วยงา
นในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์

หลังจากนั้นไม่นานเพ็ญจักรภพถึงกับกล่าวว่า ต้องคุยกับคนที่เป็น
"เจ้าของพันธมิตรฯ" อย่างแท้จริงไม่ใช่แกนนำ

ใครคือเจ้าของพันธมิตรฯ ใครคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
ใครคือไดโนเสาร์ใส่แหวนบลูไดมอนด์ ใครคือผู้มีอภิสิทธิชน
เพื่อสอดรับกับการเคลื่อนไหวของนายใหญ่
เราจึงได้ยินบรรดาพลพรรคเสื้อแดงประกาศก้องศึกแดงเดือดทั้งแผ่นดิน

พลพรรคของทักษิณ แกนนำคนเสื้อแดงเชียงใหม่ เพชรวรรต
วัฒนพงศ์ศิริกุล ถึงกับประกาศบนเวทีว่า
คนเชียงใหม่ไม่เคยรับรู้ว่ามีสิ่งควรเคารพอื่น
นับถือแค่กษัตริย์เชียงใหม่ 3 องค์ ถ้าไปกรุงเทพฯ
ไหว้เฉพาะศาลหลักเมืองอย่างเดียว

การเคลื่อนไหวของพลพรรคเสื้อแดง ทำให้รู้ว่า
การพูดกระทบกระเทียบส่งนัยไปถึงสถาบันชั้นสูงของเพ็ญจักรภพไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เป้าหมายของเหล่าพลพรรคเสื้อแดงจึงไปไกลกว่าการเอาทักษิณกลับมาตายที
่บ้านเกิด แต่เพื่อชิงบ้านชิงเมืองคืน และสร้างรัฐไทยขึ้นมาใหม่

นัยนั้นปรากฏเป็นรูปธรรมว่า ทักษิณส่ง เจ๊แดง-เยาวภาคุมภาคเหนือ
เยาวเรศคุมภาคใต้ พายัพคุมภาคอีสาน
ยิ่งลักษณ์คุมภาคกลางและกทม.เพื่อเปิดสงครามกับศัตรูเต็มรูปแบบ

เดิมพันครั้งนี้ทำให้พี่น้องตระกูล "ชินวัตร" ผนึกกันแน่น
เพื่อทวงคืนอาณาจักรกลับมาให้ได้

และสะท้อนคำพูดของเพ็ญจักรภพก่อนหน้านี้ว่า
การตัดสินใจของทักษิณครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด


surawhisky@gmail.com

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000013603

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น