...+

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

ความหมายของธรรมะที่ถูกต้องตามครรลองพระสัจธรรมของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความหมายของธรรมะที่ถูกต้องตามครรลองพระสัจธรรมของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึงเครื่องชำระล้าง ฟอก ขัดเกลาจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น คนมีธรรมะก็เหมือนมีเครื่องฟอก เครื่องชำระล้าง ฝุ่นมันเกิดขึ้นตรงไหนก็ดูดมันออก ตรงไหนเป็นขยะก็เก็บมันทิ้ง ตรงไหนมีคราบแสงสีเสียงกลิ่นก็ชำระมันออก นั่นคือคนมีธรรมะ

คนมีธรรมะไม่ใช่ยายแก่แร้งทึ้ง
คนมีธรรมะไม่ใช่ตาเฒ่าหัวหงอก
คนมีธรรมะไม่ใช่คนที่ทำตัวเป็นคนล้าหลังในสังคม
คนมีธรรมะไม่ใช่คนที่ล่าช้าเฉื่อยชาเหยาะแหยะรวนเรหรือเหลวไหลในสังคม
และคนมีธรรมะไม่ใช่เป็นคนที่เคร่งเครียดแล้วกลายเป็นคนที่น่าเกลียดในสังคม
แต่ความหมายของคนมีธรรมะจะเป็นคนที่ใหม่และทันสมัยเสมอต่อทุกสภาวะทุกสถานะและทุกถิ่นทุกที่และทุกเรื่องที่ทำ
คนที่มีธรรมะมีศักยภาพและสมรรถนะ และวิถีคิด วิถีงาน วิถีจิต วิถีชีวิตที่เป็นวิถีพุทธ คือรู้ ตื่น และเบิกบาน ตามกระบวนการของการดำรงชีวิต
ผู้มีธรรมะย่อมชาญฉลาดทุกสถาน
ผู้มีธรรมะย่อมมีชัยชนะทุกถิ่นทุกที่ทุกทางที่ตนอยู่อาศัย
ผู้มีธรรมะย่อมมีสันติ สงบสุข ร่มเย็น ในขณะที่คนอื่นทุกข์ร้อน เศร้าหมอง ขุ่นมัว
ผู้มีธรรมะจะรู้จักปล่อยวาง สลัดหลุด และไม่ ปล่อยให้อะไรมาฉุดรั้ง
ผู้มีธรรมะย่อมมีพระอยู่ในใจ
ผู้มีธรรมะย่อมต้องรู้จักพอ หรือถ้าต้องการก็รู้จักหยุด
ธรรมะจึงเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ฉลาด สะอาด สว่าง และสงบ

ธรรมะจะดัดกายวาจาใจของเราให้กลายเป็น บุคคลที่ซื่อตรงต่อตนเอง ซื่อตรงต่อคนอื่น ซื่อตรงต่อสังคมส่วนรวม ความซื่อตรงนี่แหละคือคุณลักษณะของคนมีธรรมะ และความซื่อตรงมันเกิดขึ้นได้จากการที่ต้องเรียนรู้ธรรมะ

มักจะมีคำพูดว่าคนมีธรรมะทำอะไรก็ช้าไปหมด พูดก็ช้า ทำก็ช้า คิดก็ช้า
ก็ลองคิดกันดูว่าพระพุทธเจ้าถ้าสอนให้เป็น คนเชื่องช้า พระองค์ก็คงไม่ใช่ศาสดาเอกของโลก เป็นแน่ เพราะคนที่ช้าย่อมตกเป็นทาสของคนที่ ว่องไวและรวดเร็ว คนที่อ่อนแอย่อมตกเป็นทาส ของคนที่เข้มแข็ง คนที่โง่เขลาย่อมตกเป็นทาสของ คนชาญฉลาดและรู้มาก

เพราะฉะนั้นธรรมะอยู่กับใคร คนนั้นจะไม่เป็นคนที่อ่อนแอ จะไม่เป็นคนที่ล่าช้า จะไม่เป็น คนที่เหลวไหล และจะไม่เป็นคนที่โง่เขลา แต่จะทำให้ผู้นั้นมีความตระหนักสำนึก รู้จักความถูกต้อง และไม่บกพร่องในหน้าที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น