ถาม คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน บุญกุศลที่ทำในภพนี้ เช่น การทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร ถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรมดี แล้วจะได้รับส่วนบุญกุศลหรือไม่อย่างไร ในภพหน้าหรือโลกหน้า ส่วนบรรพบุรุษของผู้กระทำการในครั้งนี้จะได้รับส่วนบุญด้วยหรือไม่อย่างไร
ตอบ คำถามที่ว่าคนเราตายแล้วไปไหน ตอบง่ายๆ แต่ถูกตรงที่สุดก็คือ คนเราตายแล้วไปไหนก็สุดแต่กรรมที่ตนทำไว้ ซึ่งมิใช่กรรมที่ทำในภพนี้เท่านั้น กรรมในภพอื่นๆ ที่ทำมาแล้วก็มีโอกาสให้ผลได้ด้วยเหมือนกัน สุดแต่ว่ากรรมไหนได้เหตุปัจจัยที่สมควรกรรมนั้นก็ให้ผลก่อน
ถ้าเป็นกรรมชั่วหรือบาปกรรมให้ผลก็ต้องเกิดในอบายภูมิ ๔ ภูมิ คือนรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานภูมิใดภูมิหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นกรรมดีคือบุญกรรมให้ผล ก็เกิดในสุคติภูมิถึง ๒๗ ภูมิ คือถ้าเป็นกามาวจรกรรมหรือมหากุศล มีทาน ศีล ภาวนาที่ยังไม่ถึงฌานและมรรคผล เวยยาวัจจะเป็นต้น ให้ผลย่อมเกิดในกามสุคติภูมิ ๗ คือมนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น มีจาตุมมหาราชิกาภูมิเป็นต้น
ถ้าได้รูปฌานตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน คือได้ฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ เฉพาะที่เป็นรูปฌานย่อมเกิดในรูปพรหมภูมิ ๑๖ มิ ถ้าได้อรูปฌาน ๔ ฌานมีอากาสานัญจายตนะฌานเป็นต้น ย่อมเกิดในอรูปพรหมภูมิ ๔ ภูมิ รวมเป็น ๓๑ ภูมิ ซึ่งผู้ที่ยังเกิดอยู่ในภูมิใดภูมิหนึ่งทั้งที่เป็นทุคติภูมิและสุคติภูมิ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ยังละกิเลสยังไม่ได้ทั้งสิ้น
สำหรับบุคคลที่ละกิเลส คือบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นจนถึงพระสกทาคามี แม้ยังต้องเกิดอยู่ก็ไม่เกิดในอบายเลย เกิดแต่ในสุคติเท่านั้น ถ้าได้ฌานก็เกิดในรูปพรหมหรืออรูปพรหมตามอำนาจของฌานที่ตนได้
ส่วนผู้ที่เป็นอนาคามีแล้วย่อมเกิดในพรหมโลกเท่านั้น
แต่ถ้าบรรลุเป็นพระอรหันต์ซึ่งไม่มีกิเลสเหลืออยู่เลยย่อมไม่เกิดในที่ไหนๆ เลย แต่ย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานเท่านั้น
สรุปว่า คนที่มีกิเลสตายแล้วยังต้องเกิดอีก แต่จะเกิดที่ไหน สุดแต่กรรมที่ทำไว้แล้วนำเกิด คนที่ไม่กิเลสเลยคือพระอรหันต์ ย่อมปรินิพพานเท่านั้น ไม่เกิดในที่ไหนๆ เลย
ส่วนที่ถามว่า บุญกุศลที่ทำแล้วในภพนี้ เช่นทำบุญสร้างโบสถ์เป็นต้น ผลของบุญนั้นก็ย่อมให้ผลแก่เขาผู้ทำ ในภพนี้บ้าง ในภพหน้าบ้าง ในภพต่อจากชาติหน้าๆ ไปบ้าง สุดแต่ว่า มีโอกาสเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าบุญนั้นจะให้ผลในชาติไหน ยกเว้นแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ส่วนบรรพบุรุษของผู้กระทำกรรมดีในชาตินั้น ถ้าผู้กระทำอุทิศส่วนบุญที่ทำแล้วให้ท่าน ท่านรับรู้และอนุโมทนาก็ย่อมได้รับบุญนั้นด้วย แต่ถ้าท่านไม่รับรู้หรือรับรู้แต่ไม่อนุโมทนาท่านก็ไม่ได้บุญด้วย
สำหรับท่านที่สามารถรับรู้และอนุโมทนาด้วยนั้น ถ้าท่านเกิดเป็นเปรต ท่านอาจจะพ้นจากสภาพเปรตได้ หรืออาจจะได้รับอาหาร เสื้อผ้าเป็นต้นอันเป็นทิพย์ ในทันทีทันใดที่อนุโมทนาจบลงก็ได้
แต่ถ้าท่านเกิดเป็นเทวดา ท่านอนุโมทนาแล้ว ท่านก็ได้กุศลจิตเพิ่มขึ้นจากการอนุโมทนานั้น บางครั้งยังทำให้รัศมีกายของท่านสว่างไสวเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับบรรพบุรุษที่เกิดในอบายนั้น ท่านไม่มีโอกาสทราบและอนุโมทนาได้เลย แม้เกิดเป็นมนุษย์ท่านก็ไม่มีโอกาสทราบเช่นกัน คิดดูง่ายๆ ก็ได้ คนอยู่บ้านเดียวกัน เราไปทำบุญมาแล้ว ถ้าเราไม่บอกเขา เขาก็ไม่ทราบ เมื่อไม่ทราบจะอนุโมทนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนที่ตายแล้วหรือยังไม่ได้ตาย ถ้าเราทำบุญแล้ว ไม่บอกให้เขาอนุโมทนาบุญ เขาก็อนุโมทนาไม่ได้ แม้เขาอยากจะได้ส่วนบุญก็ตาม
..............................................................
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://buddhism-online.org/ContentSect06B.htm)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น