นรกขุมที่ถูกกล่าวอ้างถึงกรรมชั่วของคนที่ลักขโมยของ ฉ้อโกงคนอื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์มาเป็นของๆ ตนเรียกนรกขุมนี้ว่า “กาฬสุตตนรก” ชีวิตของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรกนั้น สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับมัดให้นอนเหนือแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนแรงด้วยไฟนรก
จากนั้นนายนิรยบาลก็จะเอาด้ายดำซึ่งทำด้วยเหล็กนรกใหญ่โตเท่าลำตาล มาตีบนร่างของสัตว์นรกซึ่งเป็นร่างกายที่ใหญ่โตมาก จนทำให้เป็นรอยเส้น แล้วก็ทำการเลื่อย ด้วยเลื่อยนรกที่ลุกแดงด้วยค่อยๆ เลื่อยไปจนกายขาดเป็นท่อนๆ
นายนิรยบาลก็บังคับจับมัดให้แน่นเข้าไปอีก แล้วเลื่อยตัดร่างกายของสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป จนกว่าจะถึงอายุขัยของสัตว์นรกนั้นหรือเมื่อหมดกรรม เมื่อหมดกรรมแล้วเมื่อเศษเวรเศษกรรมนั้นจะส่งผลต่อมาให้เกิดมาเป็นเปรต
เมื่อพ้นกรรมจากเปรตแล้ว หากได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะต้องเกิดมามามีฐานะที่ยากจน ทำการใดๆ ก็ไม่อาจจะเจริญรุ่งเรือง ถูกคดโกงอยู่ตลอดเวลา อาจประสบภัยร้ายถูกปล้น ถูกทำให้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมากๆ
กรรมของผู้ที่ชอบลักทรัพย์นั้นนับว่ามีโทษร้ายแรงยิ่ง คนเราควรพิจารณาตนเองอย่าให้ความโลภครอบงำเพราะจะนำให้ไปสู่นรกนับว่าเสียเวลาเปล่าแทนที่จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีเป็นสุขเป็นที่ไปต้องกลับมาเวียนเกิดเวียนตายในภพภูมิที่ต่ำ หรือ แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ต้องลำบากยากจนอีกหลายภพชาติ
หนีนรกชอบขโมยทำอย่างไร
วิสัยการขโมยของ คดโกง เบียดบัง ยักยอกทรัพย์สินของผู้อื่นให้มาเป็นของตนเองนั้นเราต้องดูสาเหตุหลักที่แท้จริงที่ทำให้เกิดวิสัยนี้และมาดูขอบข่ายของศีลข้อที่สองด้วยว่าเป็นอย่างไร
การกระทำที่ถือว่าเข้าข่ายลักทรัพย์นั้นต้องประกอบด้วยองค์ 5 ได้แก่
1. ทรัพย์นั้นมีเจ้าของที่หวงแหน
2. ผู้ลักทรัพย์นั้นก็รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของหวงแหน
3. มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น
4. มีความพยายามในการลักทรัพย์นั้น
5. ลักทรัพย์นั้นได้สำเร็จ
จิตที่มีความโลภและตระหนี่นั้นเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้ผิดศีล การจะแก้ไขก็ต้องแก้ด้วยการให้ทานเป็นสำคัญ การให้ทานเป็นยาแก้โดยตรงของผู้ที่ชอบลักขโมยและคนตระหนี่ วิธีการให้ทานให้ได้ผลและได้ประโยชน์สูงสุดนั้นอยู่ที่ “จิต” เป็นสำคัญ หากให้แล้วยังเสียดายอยู่ผลแห่งทานนั้นก็ไม่เกิดอะไรมากนัก กลายเป็นการให้ไปเสียเปล่าๆ
การฝึกให้เป็นเรื่องบุญที่สร้างกันได้ง่ายที่สุด แต่บางทีสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องยากก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนกันไปโดยฝึกให้ในทรัพย์สินที่เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ก่อนไม่ว่าจะเป็นเศษเงินที่จะให้ไปตามตู้รับบริจาค การแบ่งปันสิ่งของที่มีให้กับคนอื่นหรือคนในครอบครัว เมื่อได้ฝึกฝนเป็นเวลานานแล้ว จิตที่มีความตระหนี่ก็จะค่อยๆ คลายตัวลง สามารถให้ได้มากขึ้นและเมื่อสามารถให้ได้มากขึ้น การจะไปสร้างกรรมในการลักขโมยก็จะลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ
ข้อสำคัญก็คือ ต้องหมั่นฝึกภาวนาอยู่เป็นประจำโดยใช้หลักพิจารณาที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกล้วนเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนและเป็นทุกข์ทั้งสิ้น สิ่งของมากมายต่างๆ ที่เราได้ครอบครองอยู่นั้นมีเหตุให้ต้องผุพังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีอะไรจีรังเลยสักอย่างเดียว
เมื่อได้มาย่อมต้องเสียไปในเวลาอันสมควรเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกับกรณีที่ เรื่องเล่าของหลวงพ่อขำแห่งวัดเสาธงทองที่ของที่ได้มาจากการถวายนั้นต้องเก็บไว้จนผุพังไปไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็เพราะมีเหตุจากความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นที่ตั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น