...+

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น

การกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น ดื่มอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน และเป็นชาเขียวร้อน จึงจะสามารถป้องกันมะเร็งได้

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ชาเขียว”กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม เพราะการโหมโฆษณายกย่องสรรพคุณแสนวิเศษว่าเป็นน้ำมหัศจรรย์ดีเลิศ ช่วยยับยั้งป้องกันสารพัดโรค ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล แม้กระทั่งป้องกันฟันผุ จนชาเขียวถูกนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อีกมากมายหลายชนิดทั้งเค้กชาเขียว ยาสีฟัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง...ผ้าอนามัย

ความจริงที่หลายคนยังไม่รู้คือ การดื่มชาเขียวอาจไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรต่อร่างกายเลยหากดื่มไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี และสง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข จะช่วยแนะนำและไขข้อข้องใจในการดื่มชาเขียวให้กระจ่างยิ่งขึ้น

นพ.บรรจบอธิบายว่า ทราบกันดีว่าชาเขียวมีสารแคซิทิน (catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง แต่สารดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะในชาเขียวเท่านั้น แต่ชาแดง ชาอังกฤษ ก็มีสารนี้เหมือนกัน แต่การที่ชาเขียวโด่งดังมาก เป็นเพราะในช่วงปี 2540 กองทุนวิจัยมะเร็งโลก สหรัฐอเมริกา ได้มีการรวบรวมงานวิจัยกว่า 4,000 ชิ้น เกี่ยวกับอาหารที่สามารถป้องกันมะเร็ง ซึ่งมีรายงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่าชาเขียวป้องกันมะเร็งได้

อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วการกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น และต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำได้ยาก

นพ.บรรจบบอกต่อว่า การดื่มชาเขียวในปัจจุบัน เป็นการฉวยโอกาสทางการค้า เป็นการสร้างกระแสความนิยมในวัยรุ่นให้ดื่มเครื่องดื่มชาเขียวบรรจุขวด ซึ่งเกิดประโยชน์น้อย เพราะน้ำชาเขียวที่ดื่มกันนั้น เป็นชาเขียวเจือจางที่ร้ายกว่านั้นคือ การปรุงรสแต่งกลิ่นใส่น้ำตาล แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจทำให้เกิดโรคอ้วน ดื่มมากๆ อาจทำให้สมาธิสั้น ประโยชน์จึงได้แค่เพียงชื่นใจ และดับกระหายเท่านั้น

ขณะที่สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า ในญี่ปุ่นและจีนมีการดื่มชาเขียวมานานนับพันๆ ปี มีพิธีชงชาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เรียกว่าดื่มกันแทนน้ำ แต่ชาของญี่ปุ่นเป็นน้ำชาเข้มข้น ที่ดื่มกันร้อนๆ หลังมื้ออาหาร ทำให้คนญี่ปุ่นสุขภาพแข็งแรง มะเร็งบางชนิดไม่เกิดขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก สารโพลีฟีนอลที่ยอดใบชาเขียวมีสาร ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง

“แต่คนไทยฟังไม่ได้ศัพท์ จับบางประโยคมาแล้วกินตาม แถมกินร้อนก็ไม่ได้ เพราะประเทศไทยอากาศร้อน แล้วก็ต้องใส่น้ำตาลเพิ่มรสชาติให้อร่อยถูกใจ กินกันทั้งบ้านทั้งเมือง โดยที่ไม่รู้ว่ามีคุณสมบัติตามที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ ซึ่งจากการวิเคราะห์หาคุณประโยชน์แล้วก็พบว่า ชาเขียวมีค่าเท่ากับการดื่มน้ำเปล่า และไม่มีสารอาหารวิตามินแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ถือเป็นน้ำเปล่าที่มีราคาแพงด้วยซ้ำ”

อาจารย์สง่าบอกอีกว่า ที่น่าเป็นห่วงคือกาเฟอีนในขวดชาเขียวซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการประกาศควบคุมกาเฟอีนในชาเขียวพร้อมดื่มจะสามารถมีกาเฟอีนได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 1 ขวด แต่ในท้องตลาดที่มีการสำรวจกลับพบว่า มีกาเฟอีนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมากถึง 65% ขณะที่ร่างกายของคนเราสามารถรับกาเฟอีนได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน แต่กาเฟอีนมีอยู่ในเครื่องดื่มหลายประเภททั้งชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มน้ำอัดลม ดังนั้น ถ้าได้รับกาเฟอีนเกินที่ร่างกายรับได้ ก็อาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

อย่างในรายที่เกิดเป็นข่าวก่อนหน้านี้ นอกจากจะมีผลต่อการทำงานของหัวใจและไตแล้วยังมีผลต่อโรคกระเพาะอักเสบ ซึ่งในส่วนประกอบของชาเขียวนอกจากจะมีกาเฟอีนแล้วก็มักจะผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งที่ให้ความหวานสูง เทียบได้กับการดื่มน้ำอัดลมที่เป็นสาเหตุให้เกิดไขมันสะสมเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นการบริโภคชาเขียว เพื่อมุ่งหวังประโยชน์ด้านสุขภาพควรตระหนักในเรื่องปริมาณกาเฟอีนและน้ำตาลมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยที่สะพัดทั่วอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ คือ การที่ระบุว่า การดื่มชาเขียวเย็นไม่เกิดประโยชน์แล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น ก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันใน ร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้าย ตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ นั้น

นักโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า การดื่มชาเขียวเย็นแล้วจะทำให้เกิดพิษภัยต่างๆ นานา ที่กล่าวมานั้น ขณะนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยยืนยัน หรือแม้แต่การดื่มชาเขียวร้อน แม้ที่ยอดใบชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้จริง แต่ก็ไม่มีผลวิจัยที่ชัดเจนว่าการดื่มชาเขียวในคนช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้

ขณะที่นพ.บรรจบ เสริมว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็นก็ไม่ต่างกัน เนื่องจากวิธีการดื่มของคนไทยเป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ไม่ใช่ดื่มแล้วจะเป็นมะเร็งหรือก่อโรคนั้นโรคนี้ อย่าเชื่อข่าวลือ หรือข่าวทางอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีที่มาที่ไปมากเกินไป ควรจะใช้วิจารณญาณ ซึ่งผู้บริโภคสมัยนี้ควรจะศึกษาข้อมูลความรู้มากๆ เพราะกระแสโฆษณาหรือข่าวลืออาจทำให้ไขว้เขวได้เหมือนกัน

“ดังนั้น หากมีเงินแล้วอยากกิน ก็กินไปไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องการดื่มเพื่อสุขภาพ แค่น้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว หรืออยากให้มีรสชาติก็แนะให้ดื่มชาสมุนไพรไทยๆ ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ต้องเห่อของต่างชาติ ซึ่งในการรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด มักจะให้ข้อมูลและศึกษาสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด ว่าดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง แล้วเลือกดื่ม เช่น ถ้ามีปัญญาทางเดินปัสสาวะอักเสบ ซึ่งผู้หญิงที่ชอบอั้นปัสสาวะเป็นกันมากให้ดื่มชาหญ้าหนวดแมว หรือถ้านอนไม่หลับก็ลองดื่มชาชุมเห็ดไทย หากความดันเลือดสูง ให้ดื่มชาตะไคร้ใบเนียม และหากอาหารไม่ย่อยชาตะไคร้ก็จะได้ผลดี ที่สำคัญคือ ความเข้มข้นของน้ำ และ การไม่เติมน้ำตาลจนหวานเกินไป"
******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา นำมาจากบทความ ดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็นดี? ผู้จัดการออนไลน์
www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9500000071769
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น