หลายคนพบธรรมะแล้วกลายเป็นอีกคน ที่เคยร้อนง่ายก็กลายเป็นเย็นดี ที่เคยปากร้ายก็กลายเป็นปากทูต ที่เคยเข้าออกบ่อนก็กลายเป็นนอนวัด พูดง่ายๆคือพลิกมืดเป็นสว่าง กลับดำเป็นขาว ราวกับเกิดใหม่ในร่างเดิม
ความสว่างที่กระจ่างอยู่ข้างใน เป็นอะไรที่ยอมแลกได้กับทุกสิ่งที่เคยมี เพราะความมืดที่เคยเป็นมา มันถึงทางตัน มันบิดไส้บิดพุงตัวเองทั้งเป็นจนทนไม่ไหวแล้ว พอคลายออกก็กลายเป็นคนใหม่ ความรู้สึกคล้ายโจรสำนึกผิด มีโอกาสคิดกลับตัวก่อนได้เข้าคุกจริง
แต่หลายคนเช่นกัน พบความจริงที่ว่ายามตื่นลืมตาก็อย่างหนึ่ง แต่หลับฝันไม่รู้สติแล้วก็ยังเหมือนเดิม เป็นทุกข์กับความรู้สึกนึกคิดแบบเดิมๆ เหมือนจิตเขาสร้างสถานการณ์อย่างหนึ่งขึ้นมาล่อใจ เสร็จแล้วก็เกิดการตัดสินใจแบบตัวตนเก่า ซ้ำร้ายอาจหนักขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ไม่เคยคิดฆ่าคน แต่ในฝันกลับลงมือฆ่าอย่างเหี้ยมโหด เป็นต้น
ข้อเท็จจริงก็คือความฝันเป็นแค่การจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาสะท้อนให้เราเห็นว่าเรา "ยังมีสิทธิ์คิด" หรือ "อยากพูดอยากทำ" อะไรได้บ้าง ตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นกิเลสจริง หาใช่ "กระจกสะท้อนตัวตนยามตื่น" ของเราไม่
ให้นึกว่าจิตของเราทั้งหลายมีความเป็นปีศาจและเทวดาซ่อนอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าจังหวะโอกาสไหนจะถูกกระตุ้นให้แปลงร่างจากมนุษย์ไปเป็นปีศาจ ชีวิตของเรามีเพื่อให้เทวดากับปีศาจในตัวเองรบกัน ยิ่งวันเวลาผ่านไป เราเข้าข้างฝ่ายไหน อีกฝ่ายก็จะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ และภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดก็จะมาปรากฏตอน "เกิดเรื่องกับคนใกล้ตัว" ตลอดจน "เกิดเรื่องในที่ที่ไม่มีใครรู้เห็น" อย่างเช่นในฝันนี่แหละ
สรุปคือเราก็ใช้คนใกล้ตัวและความฝันเป็นกล้องส่องวิญญาณตัวเองไป ว่ายังคิดไปได้ถึงไหน อย่ากลุ้มใจว่าทำไมมันไม่หายไปจากส่วนลึกเสียที ขอให้ดีใจว่าเรามีเครื่องวัดต่างหากว่าตอนนี้เรามีสิทธิ์ตายไปไหนได้บ้างแล้ว ถ้าไม่มีส่วนสะท้อนให้เห็นก้นบึ้งจิตวิญญาณบ้างเลย เราก็จะไม่รู้ตัว หลงนึกสำคัญผิดว่าดีแล้ว ปลอดจากภัยแห่งอบายแล้ว พลอยเป็นเหตุให้ประมาท ไม่พยายามสร้างสมความดีให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ
ดังตฤณ
กรกฎาคม ๕๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น