...+

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความเงียบ

สิ่งที่เ็ป็นความสุขของผู้คนในสมัยนี้อย่างหนึ่ง ที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึงนั้นก็คือความเงียบ เพราะเคยชินกับเสียงอึกทึกครึกโครมจากโรงงาน โรงภาพยนตร์ เสียงอึกทึกบนนท้องถนน หรือการแสดงคอนเสิร์ตในที่ต่างๆ จนคนเดี๋ยวนี้มีอาการหูเสื่อมจากเสียงดังเกินเดซิเบลมาตราฐานที่หูจะรับได้
จึงไม่น่าแปลกที่โรคที่มีอาการไม่ได้ยินเสียงเกิดขึ้นกับคน จำนวนมาก ที่ต้องไปหาหมอให้ช่วยดูแลแก้ไข แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่รักษาได้ หากหูมันเสื่อมลงไปแล้ว ไม่ว่าจะใช้ยาอย่างไร หรือแม้กระทั่งการฝังเข็มก็ตาม ก็ยากที่จะแก้ไข
ความเงียบที่ต้องรักษาที่เรียกว่าเป็นโรคทางช่องหู กับความเงียบที่จะกล่าวถึง ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ความเงียบอันแรกภาษาชาวบ้านเรียกกันว่าไม่ได้ยินหรือไม่ค่อยได้ยิน แต่ความเงียบอันหลัง ได้ยินแต่ไม่มาก หรือถ้าไม่สนใจก็จะไม่ได้ยินอะไรเลย
อย่างกรุงเทพฯสมัยเมื่อกว่าสิบปีก่อนในตอนเช้าตรู่ เรายังจะได้ยินเสียงนกเสียงการ้อง มีเสียงสรรพสิ่งจากธรรมชาติให้ได้ยินบ่อยๆเช่นเสียงจิ้งจกทัก เสียงตุ๊กแแกร้อง แม้กระทั่งเสียงลมหยอกล้อกับใบไม้ หากใครได้เดินท่ามกลางร่มไม้ และมีกระแสลมพัดผ่านเย็นสบายกายจะเข้า ใจทันทีในเสียงนี้
แต่...เดี๋ยวนี้มีแต่เสียงเครื่องจักรเครื่องยนต์ ดังที่เขียนไว้ข้างต้น แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าเรายังหาสถานที่สงบเงียบเพื่อทำอะไรที่ปรารถนาไม่ได้
ก็ยังพอจะหาได้อยู่ แต่จะหาที่เงียบและสงบเย็นเช่นกรุงเทพฯในอดีต คงต้องรอชาติหน้า
ความเงียบน่าจะเป็นความสุขของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อยากจะผ่อนคลายกายและใจจาก สิ่งแวดล้อม การงาน ความคิด ปัญหาเพื่อให้ระบบประสาทในการรับรู้ ผ่อนคลายลง
บางคนก็เข้าวัดฝึกใจ บางคนก็เดินทางท่องเที่ยวสู่ชนบทหรือต่างจังหวัดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชายทะเล หรือภูเขา
แต่ถ้าหากเป็นวันหยุดหรือวันหยุดยาว อาจจะเจอความไม่เงียบของผู้คนที่มากมายกระหายจะท่องเที่ยวเช่นกัน จนต้องไปแย่งกันกินแย่งกันใช้เงินที่หาได้ แม้จะเป็นเงินในอนาคตก็ตาม( ใช้บัตรเครดิต )
ความจริงความเงียบมีอยู่ทุกแห่งหน ไม่ว่าที่ไหนๆในโลก นักสมถะกรรมฐานจะทราบดี เพราะเมื่อสงบจิตได้จากอารมณ์ต่างๆจนมีอารมณ์เดียวเพราะจิตสงบ ความเงียบก็จะมาสู่ตัวผู้ปฎิบัติ
แต่ความเงียบในประเด็นหลังผู้คน ยังนิยมกันไม่มาก เมื่อเทียบกับประชากรส่วนใหญ่ เพราะคนไทยเป็นคนเฮฮา สนุกสนาน ชอบกิน ชอบดื่ม เที่ยวเตร่กับการละเล่น รวมทั้งชอบคุยจนมีศัพท์ว่า"มาเสวนากัน"
ความเงียบจึงเป็นสิ่งที่หลายคนอึดอัดไม่คุ้น พลอยจะทำให้จิตที่ไม่อยู่นิ่ง ฟุ้งซ่านหนักเข้าไปอีกก็มี เพราะไม่ชอบ และชอบที่จะได้ยินการปรุงแต่งจากเสียงต่างๆเช่นเสียงเพลง เสียงโทรทัศน์ เสียงดนตรี ฯ
บางคนมองความเงียบเป็นความน่ากลัว ก็มีอีกเช่นกัน เพราะจิตโดนย้อมให้เป็นเช่นนั้น เหมือนผู้คนสมัยก่อนเข้านอนก็ต้องดับไฟให้มืดและเงียบ แต่คนมัยนี้มีอยู่ไม่น้อยที่จะชอบนอนเปืดไฟ ไม่ว่าไฟสว่างหรือไฟหรี่เพราะกลัวความมืดและความเงียบ อีกทั้งยังมีเหตุผลอื่นๆ ตามที่สะสมนิสัยกันมา
มีสำนวนหนึ่งที่บอกว่าหูมีสองหู ปากมีปากเดียว แต่ปากเดียมักจะทำหน้าที่มาก กว่าสองหูไม่รู้กี่เท่า เพราะคนชอบพูดมีมากกว่าคนชอบฟัง
แม้กระทั่งแย่งกันพูดก็มี ยิ่งสังคมสมัยนี้จะเห็นได้ชัด เหมือนกับสะสมเรื่องราวกัน มามากจนทนไม่ได้ ต้องระบายออก โดยการพูดๆๆ...เลยไม่ค่อยได้ฟังหรือมีคนชอบฟังสักเท่าไร
อย่างน้อยคนก็หาเหตุผลมาพูดกันไปเรื่อย ไม่เมื่อยกันบ้างหรือไง
บางกลุ่มแทนจะแย่งกันพูดตรงๆ ก็หนีไปหาทางออกโดยการแย่งกันร้องเพลงในคาราโอเกะ จนบางครั้งก็แถมเรื่องราวกลับมาบ้าน หรืออาจจะไม่ได้กลับบ้าน
ความเงียบถูกใส่ร้ายโดยผู้คนกลุ่มหนึ่ง นำไปใช้ในสำนวนที่ชวนน่ากลัวอย่างมฤตยูเงียบหรือภัยเงียบอะไรทำนองนั้น
แต่โดยความเป็นจริงแล้วความเงียบก็เป็นสภาวะธรรมหนึ่งๆเช่นเดียวกับสภาวะธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นได้ในท่ามกลางบรรยากาศที่สงบเงียบหรือบรรยากาศที่ครึกโครม
นักปฎิบัติบางท่านชอบความเงียบจากเสียงต่างๆ เพราะทำให้ท่านเจริญกรรม ฐานได้ดี จิตสงบและร่มเย็นได้เร็ว และเมื่อจิตสงบในอารมณ์เดียวแล้ว จนทิ้งอารมณ์ก่อนหน้านี้ไป ก็คงจะเหลือแต่ความชุ่มใจที่เรียกว่าปีติ สุขอยู่อย่างนั้น
หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเทศน์สอนในตอนหนึ่งว่า การปฎิบัติอยู่ที่ไหนก็ทำได้ เพราะความสงบนั้นอยู่ที่ใจเท่านั้น ไม่ได้อยู่ตามภูเขา ตามทะเล ตามวัดร้างหรือในป่าช้า ยิ่งอยู่ตามลำพังและที่ถือเคร่งว่าจะไม่พูดกับใคร ยิ่งพูดมากกันใหญ่ เพราะพูดกับตัวเองทั้งวัน
ความเงียบนอกใจถ้านำมาสู่ความเงียบในใจแล้ว กิเลสและความอยากมันจะลดลง เพราะมันไม่ส่งเสียงร้องอยากได้โน่นได้นี่อะไรต่อมิอะไรอีก
เมื่อกาย วาจา ใจ สำรวม ไม่ทำบาปทั้งปวงและไม่พูดหล่อย ศีลห้าและอินทรีย์สังวรศีลก็จะสมบูรณ์ ดังพระสูตรที่เคยมีผู้เขียนยกมาให้อ่านกันในแก่นธรรมตอนก่อนๆหน้านี้
ความเงียบจึงไม่มีพิษมีภัยกับใครหรอก นอกจากคนจิตป่วย แล้วร้องตะโกนให้คนอื่น "shut up"

ธรรมะสวัสดี

วิเวก

ปัญหาทุกปัญหา เกิดจากความคิดและความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ พระท่านถึงให้เร่งสงบจิตสงบกิเลส ไม่ว่าจะเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
ทั้งหมดที่เขียนมายังเป็นแค่สิ่งที่เข้าใจแต่ยังไม่ได้เข้าถึง เว้นเสียแต่ว่าจะลงมือทำอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดความสงบระงับ ความเงียบก็เป็นแค่อารมณ์หรือสภาวะธรรมหรือสังขารอย่างหนึ่ง แต่การสงบระงับก็เป็นสภาวะธรรมอีกแบบหนึ่งที่สูงกว่าที่เรียกว่าปัทสัทธิ เพื่อให้ทำเกิดหรือเกิดความกล้าหาญในสภาวะธรรมที่เรียกว่าสัมมาวายะหรือความเพียรชอบ ในการเดินทางด้วยวิถีแห่งมรรค เพื่อผลแห่งพระนิพพาน เมื่อไปถึงตรงนั้นความเงียบหรือความอีกทึกก็เป็นเช่นนั้นเอง ขออนุโมทนาและสาธุการกับคุณวิเวก ว่างๆเขียนมาอีกนะครับ

สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น