...+

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเป็นผู้ให้และการเป็นผู้รับ พระถวิล ฐานุตฺตโม

การเป็นผู้ให้และการเป็นผู้รับ พระถวิล ฐานุตฺตโม



ชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เราเป็นทั้งผู้ให้สิ่งต่างๆแก่ผู้อื่น และเป็นผู้รับสิ่งต่างๆจากผู้อื่น เราลองนึกทบทวนดูว่า

ทุกๆวันที่ผ่านมานั้น เราได้ให้อะไรแก่ผู้อื่นบ้าง เป็นการให้สิ่งที่ดีและเป็นกุศล หรือให้สิ่งที่ไม่ดี และเป็นอกุศลแก่ผู้อื่น

ชีวิตแต่ละวันนั้น เราควรมอบความยิ้มแย้มแจ่มใส การพูดจาที่ไพเราะ ให้กับ คนในครอบครัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ สามี หรือภรรยา เพื่อนร่วมงาน ลูกน้องของเรา ตลอดจน ลูกค้าของเรา หรือว่าเราได้ให้ใบหน้า ที่หน้าหงิกหน้างอ แล้วก็แว้ดๆ ใส่ลูกของเรา หรือว่าพูดจาไม่ไพเราะ ไม่น่าฟัง กับเพื่อนร่วมงานหรือกับลูกน้องของเรา

ชีวิตแต่ละวันนั้น เราได้ให้อภัยผู้อื่น เมื่อผู้อื่นทำผิดพลาด หรือว่าเราคิดเครียดแค้น เพราะทำให้เรารู้สึกเจ็บแค้นใจ วันนี้เราต้องเอาคืนให้ได้ เราให้สิ่งใดมากกว่ากัน

ชีวิตแต่ละวันนั้นเราได้ให้ความรักแก่ผู้อื่น หรือว่าเราให้ความเกลียดชังแก่ผู้อื่นมากกว่ากัน

ชีวิตแต่ละวันนั้นเราให้ความยินดี หรือมุทิตาจิตชื่นชมยินดีผู้อื่นที่ประสบความสำเร็จ หรือว่าเรารู้สึกอิจฉาริษยาในความสำเร็จ ไม่อยากให้ผู้อื่นเติบโตในหน้าที่การงานมากกว่าเรา

ชีวิตแต่ละวัน เราได้ให้โอกาสแก่ผู้อื่น หรือว่าเราตัดโอกาสหรือปิดโอกาสกับผู้อื่นมากกว่ากัน

ชีวิตแต่ละวันนั้น เราได้ให้ความรู้ ให้ปัญญา ให้ธรรมะกับผู้อื่น หรือให้ในสิ่งที่ไร้สาระแก่ผู้อื่น ที่อยู่รอบตัวเรา



ถ้าเราหาโอกาสทบทวนการใช้ชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมานั้นว่า เราได้ให้ในสิ่งที่ดีและเป็นกุศลแก่ผู้อื่น หรือว่าเราได้ให้สิ่งที่ไม่ดี และเป็นอกุศลแก่ผู้อื่นมากกว่ากัน หากเราเป็นผู้ให้สิ่งที่ดีและเป็นกุศลมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี และเป็นอกุศลแก่ผู้อื่น ก็ขอให้เรารักษาสิ่งที่ดีนี้ไว้ ความดีนี้ไว้ และพยายามทำความดีและเป็นกุศลให้มากขึ้น ทุกวัน และส่วนความไม่ดีและเป็นอกุศลต้องพยายาม ลด ละ เลิกไป จนเหลือแต่สิ่งที่ดีๆ และเป็นกุศลที่จะให้แก่ผู้อื่น

ในอีกด้านหนึ่งของการเป็นผู้รับจากผู้อื่นนั้น ควรเลือกที่จะรับสิ่งที่ดี และเป็นกุศล และปฏิเสธที่จะรับสิ่งไม่ดี และเป็นอกุศล เช่นกัน

ชีวิตแต่ละวันนั้น เราฟังสิ่งที่ดีๆ ได้ฟังธรรมะดีๆ เราอ่านสิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นข้อธรรม เพื่อก่อให้เกิดปัญญาให้แก่เรา เราดู เราเห็นสิ่งต่างๆ เลือกที่จะชมรายการที่เป็นประโยชน์ให้แก่ชีวิตของเรา

หรือ ชีวิตแต่ละวันนั้น เราฟังสิ่งที่ไร้สาระ ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญญา เราอ่านสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์ในชีวิต เราดูรายการที่ไม่ค่อยได้สาระในชีวิต



ท่านพระเดชพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์เป็นแบบอย่างที่ดี ที่ประเสริฐยิ่ง ทั้งในด้านที่เป็นผู้ให้และในด้านที่เป็นผู้รับ กล่าวคือ ในด้านที่เป็นผู้ให้นั้น ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ได้เป็นผู้ที่มีเมตตา ได้ให้ธรรมปัญญาแก่ผู้คนทั้งหลาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ท่านได้ให้ธรรมปัญญาทั้งในรูปแบบหนังสือธรรมนิพนธ์ ทั้งที่เป็นแก่นธรรม และธรรมประยุกต์ อาทิเช่น หลักธรรมการดำเนินชีวิต เรื่องชีวิตคู่ สุขภาพ ธรรมะที่เกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ไว้มากมายถึง 400-500 เล่ม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในชีวิตของบุคคลท่านหนึ่งสามารถสร้างสรรค์ธรรมนิพนธ์ได้มากมายถึงขนาดนี้ นอกจากหนังสือธรรมนิพนธ์แต่ละเล่มที่เป็นประโยชน์แล้ว ท่านก็ยังได้บรรยายธรรม เทศนาธรรม ในโอกาสต่างๆ มากกว่า 400 ครั้ง ซึ่งเป็นคุณูปการทางปัญญาแก่ชาวพุทธเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะหนังสือพุทธธรรม ซึ่งท่านพระพรหมคุณาภรณ์ได้เรียบเรียง รวบรวม หลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่บันทึกในพระไตรปิฎก 45 เล่ม รวมทั้งอรรถกถาและฎีกา ในทุกแง่ทุกมุมที่เป็นสาระสำคัญให้มารวมอยู่ในพุทธธรรมเพียงเล่มเดียว และ ท่านพระเดชพระคุณได้เขียนบันทึกไว้ในหนังสือพุทธธรรม ซึ่งคิดว่าน่าจะสะท้อนถึงความเมตตาของท่าน ไว้ว่า



“...อาตมา ผู้เขียนหนังสือนี้ อย่างเป็นนักศึกษาผู้หนึ่ง ทำหน้าที่เป็น ผู้ไปสืบค้น รวบรวมเอา

เนื้อหาทั้งหลายของหลักธรรมมาส่งวางให้แก่ผู้อ่าน ถ้าสิ่งที่นำมาส่งวางให้นั้น เป็นของแท้

หยิบมาถูกต้องผู้นำส่งก็หมดความรับผิดชอบ จะหายตัวไปไหนก็ได้ ผู้ได้รับไม่ต้องนึกถึง

ไม่ต้องมองที่ผู้นำส่งอีกต่อไป และถ้าผู้เขียนได้นำเอาตัวหลักพุทธธรรมมาแสดงแก่ผู้อ่าน

ได้สำเร็จ ก็เหมือนกับได้พาผู้อ่านเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาเองแล้ว ผู้อ่านก็ไม่ต้องเกี่ยวข้อง

กับผู้เขียนอีกต่อไปผู้อ่านพึงตั้งใจสดับและพิจารณาพุทธธรรมที่แสดงโดยตรงออกมาจาก

พระโอษฐ์ของพระบรมศาสดานั้นอย่างเดียว…”



สิ่งที่ท่านพระเดชพระคุณได้เขียนไว้นั้นแสดงว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาจริงๆ ท่านได้ให้ปัญญาแก่ผู้อื่นแล้วท่านก็วาง ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องให้ใครมาชื่นชม มาให้เกียรติ ยศและลาภสักการะใดๆ ท่านทำด้วยจิตที่อยากจะให้แก่พวกเราชาวพุทธจริงๆ แม้ว่าสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่ท่านหลากหลายสาขา ท่านก็รับไว้ด้วยอนุโมทนาแล้วท่านก็วาง ท่านไม่ได้ยึดติดแต่อย่างใด เมื่อได้รับแล้ว ก็เอาปริญญาทั้งหลายเก็บใส่ตู้ปิดกุญแจ มิได้เอามาตั้งแสดงโอ้อวดแต่อย่างใด เมื่อให้แล้วท่านก็วางจริงๆ ไม่ต้องการให้ใครมายึดติดในตัวท่าน แต่ให้ยึดติดในหลักธรรม ยึดติดในสิ่งที่ท่านได้นำมาสื่อ ซึ่งเป็นหลักธรรมของพระพุทธองค์นั่นเอง



ในอีกด้านหนึ่ง ท่านได้เป็นแบบอย่างที่ดีของการเป็นผู้รับ โดยท่านได้เขียนไว้ในหนังสือพุทธธรรมเช่นเดียวกันว่า

“…เพราะเหตุที่ได้เขียนพุทธธรรมในฐานะของผู้ศึกษา การเขียนนี้จึงเป็นการเขียน

เพื่อการศึกษาของอาตมาเองด้วย และจึงยินดีที่จะรับฟังคำทักท้วง แนะนำ ตลอดจน

แก้ไขปรับปรุงในเมื่อพบสิ่งพลาดพลั้งบกพร่อง ตามคำบอกกล่าวด้วยท่าทีแห่งความ

มีเมตตากรุณาหวังดีต่อกัน..... ”



นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ท่านเจ้าคุณ พร้อมที่จะรับฟัง พร้อมที่จะแก้ไข และพร้อมที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน แม้ว่าท่านจะเป็นผู้มีปัญญาเลิศ และเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างมากมาย ท่านก็ไม่มีมานะ ทิฏฐิ หรือหลงตนเอง ท่านพร้อมที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นอยู่เสมอ



อาตมาได้มีโอกาสอ่านประวัติและปฏิปทาของท่านเจ้าคุณ ซึ่งได้มีการจัดพิมพ์ขึ้นมา โดยบางตอนในหนังสือนี้ ท่านพระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ( รองเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ) ได้เคยเล่าว่า ท่านเจ้าคุณนั้นได้เปิดโอกาสให้ญาติโยมมาสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนข้อธรรมะ และบางครั้งญาติโยมก็ได้แนะนำ ได้ให้ข้อคิด ข้อวิจารณ์หลายๆอย่างที่เป็นประโยชน์ ท่านเจ้าคุณก็รับฟัง ด้วยความยิ้มแย้ม ด้วยความยินดี ท่านไม่เคยโกรธ ท่านไม่เคยหลงตนเองว่า ท่านมีความรู้มากกว่า แต่ท่านรับฟังด้วยความเคารพในความคิดความเห็นของญาติโยม ที่ได้มาร่วมสนทนากัน และเมื่อท่านได้รับฟังแล้ว ท่านก็ใช้สติในการพิจารณา ใช้หลักโยนิโสมนสิการ ในการที่จะแยกแยะว่า สิ่งที่ได้รับฟังนั้น สิ่งใดเป็นข้อเท็จจริง หรือ เป็นข้อคิดความเห็น เป็นคุณค่าแท้ หรือ เป็นคุณค่าเทียม เป็นคุณเป็นประโยชน์ หรือ เป็นโทษ เป็นเหตุ หรือเป็นปัจจัย แล้วท่านก็เลือกที่จะรับสิ่งที่ดีๆ เก็บเอาไว้

ถ้าเปรียบความรู้หรือปัญญาเหมือนน้ำที่อยู่ในแก้ว เมื่อท่านเจ้าคุณได้รับความรู้ปัญญา ซึ่งเป็นน้ำที่ดีแล้ว ท่านก็จะนำไปใส่ไว้อีกแก้วหนึ่ง อีกแก้วหนึ่ง อีกแก้วหนึ่ง ท่านก็จะมีน้ำแห่งความรู้ แห่งปัญญา ที่เต็มแก้วอยู่เป็นร้อยๆใบ เป็นพันๆใบ เป็นหมื่นๆ ใบ แล้วท่านก็จะให้แก้วน้ำที่เป็นใบหลักนั้นว่างไว้อยู่ตลอดเวลาเพื่อพร้อมที่จะรับความรู้ใหม่ๆ ปัญญาใหม่ๆ หากเราไม่หลงตน ไม่ทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้ว เราก็พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆได้ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ถ้าเราทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว เมื่อมีความรู้ใหม่ๆเข้ามา ก็ไม่สามารถเติมเข้าไปในแก้วนั้นได้ เพราะว่าน้ำมันเต็มอยู่ เราก็จะมีปัญญาเพียงแค่น้ำในแก้วหนึ่งใบเท่านั้นเอง



ดังนั้น ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เช่น ถ้าเราเป็นคุณหมอ คุณหมอกำลังรักษาคนไข้อยู่ ในขณะที่คุณหมอรักษาคนไข้อยู่นั้น หมอก็ได้เรียนรู้จากคนไข้นั่นเอง คนไข้นั้นเป็นครูของคุณหมอ ยิ่งทำการรักษาคนไข้ ก็ยิ่งมีประสบการณ์ที่จะรักษาคนไข้มากขึ้น คุณหมอก็จะได้เรียนรู้ถึงการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนไข้ที่มีเหตุและปัจจัยแตกต่างกัน ยิ่งคุณหมอมีประสบการณ์รักษาคนไข้มากเท่าไหร่ ก็จะมีประสบการณ์ในการวินิจฉัยโรคได้ดียิ่งขึ้น และ ถ้าเราเป็นคุณครู ขณะที่กำลังสอนศิษย์อยู่นั้น คุณครูก็กำลังจะได้เรียนรู้จากลูกศิษย์เช่นเดียวกัน ลูกศิษย์ก็จะสะท้อน หรือว่าแสดงถึงศักยภาพที่หลากหลาย ที่แตกต่างกัน ลูกศิษย์ก็อาจจะมีคำถามที่ดีๆ หรือคำตอบที่ดีๆ ก็จะทำให้คุณครูได้พัฒนาในการที่จะสอน ในการที่จะให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ได้อย่างตรงตามศักยภาพของผู้เรียน เป็นต้น ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ถ้าเราใช้หลักคิดในการที่จะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับไปพร้อมๆกัน โดยทำตัวเป็นทั้งนักเรียนน้อย และครูใหญ่ เป็นนักเรียนน้อยเพื่อพร้อมที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และเมื่อท่านมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องใดแล้ว เราก็ต้องทำตัวเป็นครูใหญ่ที่พร้อมจะให้ความรู้กับผู้อื่นเช่นเดียวกัน

หากเปรียบว่า มือขวานั้นเสมือนเป็นผู้ให้ ในขณะที่เรากำลังให้อยู่นั้น มือซ้ายก็เปรียบเสมือนเป็นผู้รับ คือพร้อมที่จะรับฟังสิ่งใหม่ๆ พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อที่เราจะได้เป็นผู้ให้และผู้รับไปพร้อมๆกัน



ท้ายนี้ขอให้เราเป็นผู้ให้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา และเป็นผู้ให้ด้วยปัญญา และขอให้เราเป็นผู้รับที่มีสติสัมปชัญญะ และเป็นผู้รับที่ใช้หลักโยนิโสมนสิการ ในการที่จะรับสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญา

ขอให้เราพร้อมที่จะรับ น้ำแห่งพระธรรมทุกๆวัน เพื่อให้มีแก้วน้ำแห่งพระธรรมเป็นสิบใบ ร้อยใบ พันใบ เพื่อที่จะเป็นพลังให้เกิดมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ที่จะใช้ชีวิตที่ดี ประเสริฐ ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ


2011/9/19 thavil puapoomcharoen
เจริญพร คุณโยมกลุ่มธรรมสวัสดีทุกคนนะ

อาตมา พระถวิล ฐานุตฺตโม (พัวภูมิเจริญ) สมาชิกกลุ่มธรรมสวัสดีเช่นกัน ได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบท
ที่วัดญาณเวศกวัน ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ เป็นเจ้าอาวาส อาตมา
ได้มีโอกาสแสดงธรรมที่หอฉัน ๕ วาระ จึงขอฝากข้อธรรมที่ได้มีโอกาสแสดงธรรม มาให้ได้อ่านกัน
เรื่องแรก " ความเป็นพระ อยู่ที่ใจ "



ความเป็นพระ อยู่ที่ใจ



เมื่อถึงวันพระ หรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด เป็นต้น เราตั้งใจไปวัด เพื่อบำเพ็ญบุญกุศล โดยการถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือถวายจตุปัจจัยไทยธรรมต่างๆ ด้วยเพราะเรานั้นมีศรัทธาในความเป็นพระของภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีศีลมีธรรม หรือมีความเชื่อว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ดี

ความจริงแล้ว ผู้ที่มีความเป็นพระนั้นมิใช่เพียงเฉพาะภิกษุสงฆ์ แต่ ความเป็นพระนั้น อยู่ที่ใจ ซึ่งความเป็นพระนั้น อยู่ที่ว่าคนนั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่ ผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้น มีผู้ที่มีศีลมีธรรม เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ที่มีความหวังดี มีเมตตา กรุณา มีความเอาใจใส่ ที่จะให้เราเป็นคนที่ดี เป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม ลองมานึกกันดูนะ คุณพ่อคุณแม่ของเราใช่หรือไม่ คุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นแท้ที่จริงนั้นก็คือ พระในบ้านของเรานั่นเอง



พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า คุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นเทียบได้กับ เป็นพระอรหันต์ พระพรหม ประจำบ้าน เป็นผู้ที่มีพระคุณ เป็นผู้ที่เราจะต้องเอาใจใส่เลี้ยงดูท่านด้วยเช่นเดียวกัน เรามาที่วัดนั้นมาถวายสังฆทาน หรือมาถวายภัตตาหารให้พระที่วัด โดยการประเคนด้วยมือสองข้าง ด้วยความเคารพต่อพระสงฆ์ ดังนั้นเมื่อเราอยู่ที่บ้าน หากมีโอกาสที่จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน เช่น เราตื่นเช้ามา ก็ตักข้าว แล้วก็ยกจานข้าวให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพ คุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้สึกปลื้มใจ นี่ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ การทำให้คุณพ่อคุณแม่อิ่มอกอิ่มใจในความกตัญญูของเราที่เราเป็นลูกเป็นหลาน นี่ก็เป็นบุญที่เราได้แสดงออกด้วยความกตัญญูกตเวทีกับพระในบ้าน ก็คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา หรือเราสามารถที่จะทำกุศลโดยการมอบปัจจัยให้กับคุณพ่อคุณแม่ อย่างลูกน้องของเราบางคนที่เป็นผู้ที่เริ่มทำงานใหม่ๆ หากมีความตั้งใจดี แม้ว่าจะได้เงินเดือนเป็นเดือนแรก เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็แบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่ง มอบให้คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านต่างจังหวัด อาจจะเริ่มที่เดือนละ 300-400 บาท แม้ว่าจะเป็นเงินน้อยนิด แต่เป็นความตั้งใจที่ดี เป็นความกตัญญูของลูกที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอยากจะมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความรัก ด้วยความกตัญญู เงินน้อยนิดนี้ปรากฏว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกตื้นตันใจ เปรียบเสมือนยา ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของแม่ เงินแม้เพียงน้อยนิด 300-400 บาท นี้ได้ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจคุณพ่อคุณแม่ให้อิ่มอกอิ่มใจ คุณพ่อคุณแม่ก็นำเงินนี้ เก็บไว้เพื่อไปทำบุญให้กับลูกๆ เมื่อถึงเวลาที่จะไปวัด ก็จะนำเงินนี้ไปทำบุญซึ่งเป็นบุญกุศลให้กับลูกๆ หลานๆของเรานั่นเอง



การแสดงความกตัญญู ต่อคุณพ่อคุณแม่ เทียบได้กับการถวายทานกับพระเช่นกัน เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ก็คือพระอรหันต์ของเรา อันนี้ก็ได้บุญเหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวัด ก็สามารถที่จะทำบุญให้กับพระที่อยู่รอบๆตัวเราได้

ถ้าเรามีลูกหลานซึ่งกำลังเล่าเรียนศึกษาอยู่ ก็บอกลูกหลานของเรา ให้ตั้งใจไปศึกษาเล่าเรียน เพื่อเป็นทานให้กับคุณพ่อคุณแม่ การที่ลูกหลาน ตั้งใจไปเรียนหนังสือ ก็เป็นการตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในบ้าน ก็เป็นการสร้างความอบอุ่น มั่นใจ ชื่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ ลูกหลาน ก็จะได้บุญ คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้บุญไปด้วย ลูกหลาน ก็จะได้ประสบความสำเร็จในชีวิต ด้วยการที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นทาน บุญกุศลนี้จะได้ย้อนกลับมาที่ลูกหลานของเรา





ในกรณีที่เราเป็นผู้ที่มีอาชีพการงานอยู่ เราก็สามารถที่จะทำบุญกับนายจ้างของเราด้วยการตั้งใจทำงานเป็นทานนั่นเอง เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของนายจ้าง ที่เป็นผู้ที่มีพระคุณ เป็นผู้ที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ทำกิจการงานที่เป็นประโยชน์ และก็ทำให้เราได้มีอาชีพการงานทำ การตั้งใจทำงานเป็นทาน เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน บุญนี้เราก็สามารถทำได้ทุกวัน เราสามารถตั้งใจทำงานเป็นทานทุกวัน เราก็ได้บุญทุกวัน เพราะเราทำงานด้วยความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์สุจริต



ถ้าเราซึ่งเป็นนายจ้าง มีจิตใจที่ดี มีเมตตา ให้อภัยกับลูกน้อง ถือได้ว่าเป็นการให้อภัยทาน ซึ่งเป็นการทำทานที่ยิ่งใหญ่ ด้วยท่านมีจิตใจที่ดีให้อภัย ให้โอกาสที่จะให้เขาได้แก้ตัวใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดได้อีก แต่ถ้าหากท่านให้โอกาสเขาแล้ว เขาก็ยังอาจจะทำผิดทำพลาดอยู่ด้วยความไม่รู้ เราก็ให้ความรู้ให้ปัญญาเป็นทาน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่กับลูกน้องของเราเช่นเดียวกัน การให้ความรู้เป็นวิทยาทานนั้นเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นการทำทานที่ได้บุญมาก หากเราให้ธรรมะกำกับไปด้วย ก็จะทำให้เกิดความรู้ที่เป็นปัญญาที่ดี ( สัมมาทิฏฐิ ) เพื่อที่จะได้ใช้ปัญญาในทางที่ถูกที่ควร เป็นการทำสัมมาอาชีพ เพื่อที่จะมีรายได้ โดยที่ว่างานนั้นต้องเป็นงานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

นั่นคือ เราสามารถที่จะทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้ที่เป็นพระที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ตลอดเวลา เราก็มาดูว่ามีคนอื่นอีกมั้ยที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือกัลยาณมิตร ที่เป็นผู้ที่หวังดีต่อเรา เป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม เราก็สามารถที่จะไปทำความดีกับท่านได้ โดยการไปกราบไหว้ท่าน ไปเยี่ยมเยียนท่าน นำหนังสือดีๆ ธรรมะดีๆ ไปมอบให้กับท่าน ก็ถือว่าเราได้ถวายสังฆทานกับพระที่อยู่รอบๆตัวเรา นี่ก็เป็นการที่เราสามารถที่จะทำบุญทำทานให้กับผู้ที่เป็นพระที่อยู่รอบๆตัวเรา ได้โดยไม่จำเป็นต้องมาวัดก็จะได้บุญได้กุศลเช่นเดียวกัน



ถ้าเราเป็นผู้มีศีลมีธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เราก็มีความเป็นพระในตัวเรา ที่เราจะต้องเพิ่มพูนคุณงามความดีให้กับตัวเราเองด้วย ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเราต้องทำบุญให้กับตัวเรา ด้วยการเก็บออมเงินให้กับตัวเราเองเพื่อสำหรับใช้จ่ายในอนาคต

การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คือการใช้จ่ายเงินที่หามาได้ในปัจจุบัน หาได้เท่าไหร่ ก็ใช้จ่ายอย่าให้เกินเงินที่หามาได้ และให้มีเงินเหลือเก็บไว้ในอนาคตด้วย อย่าใช้เงินล่วงหน้าจากบัตรเครดิต เพราะเท่ากับว่า เรากำลังนำเงิน

ที่จะหาได้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน และให้ปัญญากับตัวเราเป็นทาน โดยการหมั่นศึกษาหาความรู้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และเข้าใจหลักธรรมในการดำเนินชีวิต



ด้วยความเป็นพระ นั้นอยู่ที่ใจ เราจึงสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลด้วยการทำมหาทานกับผู้ที่มีความเป็นพระที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ตลอดกาล ด้วยการทำทานด้วยจตุปัจจัย ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ด้วยการให้ความเคารพ แสดงออกด้วยความกตัญญุกตเวทิตาธรรม ด้วยการตั้งใจทำงานเป็นทาน ด้วยการให้ธรรมะเป็นทาน ด้วยการให้ปัญญาเป็นทาน เราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุข ความเจริญ ประสบความสำเร็จ และความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตตลอดไป

เจริญพร

พระถวิล ฐานุตฺตโม

1 ความคิดเห็น:

  1. สาธุ เป็นผู้ให้และเป็นผู้รับ เลีอกรับในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล รู้ปฏิเสธในสิ่งที่ไม่นำพาสู่ควาามเจริญ

    ตอบลบ