...+

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขอโทษ

ในปัจจุบันด้วยเหตุผลนานาประการ ทำให้ผู้คนต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กัน ยื้อแย่งวัตถุกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะคนมันมากขึ้น ความอดอยาก อยากร่ำรวย แม้กระทั่งเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยจากพายุ ภัยจากคลื่นความร้อน ภัยจากหนาวจัด ล้วนเป็นเหตุผลให้ผู้คนมาแก่งแย่งวัตถุกันหรือแก่งแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกันเพื่อการยังชีพหรือเพื่อความสะดวกสบายมีให้เห็นกันมากขึ้นทุกวันๆ โดยต่างฝ่ายต่างเห็นว่าตนเป็นฝ่ายที่ถูกต้องที่ต้องทำเช่นนั้น
บ้างก็อ้างว่าผู้อื่นก่อกรรมต่อตนก่อน ตนเองก็ต้องก่อกรรมสนองคืนไปบ้าง เพื่อจะได้สาสมแก่กรรมที่ผู้อื่นทำเอาไว้ให้ ถือเป็นความยุติธรรมดี
ไม่ต้องร้องเรียน แจ้งความ ตั้งศาลเตี้ยตัดสินกันเอง เพราะถึงไปแจ้งความชาติหน้าคงได้ขึ้นศาลกันเพราะไม่มีใครจะใส่ใจเรื่องที่ตนเดือดร้อน เพราะเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ
ในโรงพยาบาลบางแห่งไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือของภาคเอกชน มีภาพของนางพยาบาลส่วนหนึ่งแสดงกริยากราดเกรี้ยวกับคนไข้ ใช้คำพูดเสียดแทงหัวใจกับผู้ที่ป่วยอยู่เพราะเครียดจากการให้บริการคนไข้ที่เยอะ จะมีส่วนน้อยที่เรียกว่าขี้เกียจทำงานแล้วก็หาเรื่องด่าคนไข้ให้ไปใช้งานกับพยาบาลหรือผู้ให้บริการคนอื่นๆ
หมอบางคนก็เป็นเช่นกันด้วยแรงกดดันจากงานที่ล้นมือ แม้จะเป็นภาพไม่เยอะหรือเป็นส่วนน้อย แต่ก็มักจะมีให้เห็นกันบ่อยๆ
บางครั้งผู้เขียนก็เจอกับตนเองก็มี ไม่ทราบท่านรู้ตัวหรือไม่ อันนี้ผู้เขียนก็ไม่ทราบ แต่หากมีโอกาสจะพยายามพูดเตือนสติท่านเหมือนกัน
สามีหรือภรรยา แม้กระทั่งลูก ที่เหนื่อยจากการงาน พอมาเจอคำถามเล็กๆน้อยๆในครอบครัว บางครั้งก็อารมณ์เสียทันที อย่างไม่มีเหตุผล สะบัดหน้าหนีแทนที่จะตอบคำถามที่ถามด้วยความรักและห่วงใย
ในครอบครัวบางครอบครัว เวลาพบกันก็ไม่บ่อยนัก แทนที่จะมานั่งสนทนาและสวม กอด กันด้วยความรัก ความห่วงใยและคิดถึงกัน ต่างกลับมาสาดคำพูดร้ายทิ่มแทงใส่กันราวกับไม่มีเยื่อใยต่อกันเลย หรือราวกับเป็นคู่อริกันมาแต่ชาติก่อน
บางคนก็ขุดเอาเรื่องเก่าๆในอดีตที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายหนึ่งมาด่า อย่างไม่เคยลืม แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีวาระการทะเลาะถกเถียงกัน ก็จะมีวาระประจำนี้มาใส่มาหรือตอกย้ำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกผิดเสมอราวกับคำพูดในละครน้ำเน่าที่เรานั่งดูกันอยู่เป็นประจำ เหมือนความรักที่มีต่อกันมันหดหายมลายสิ้นเสียเช่นนั้น
การทะเลาเบาะแว้งกัน ก็เป็นการยื้อแย่งประเภทหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นการยื้อแย่งความสุขไปจากกัน โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็มี และมักจะมีเหตุผลต่างๆมากมายมาอ้างว่าทำไมต้องทำหรือพูดเช่นนั้น หรืออาจจะเป็นการทะเลาะกันเพื่อยื้อแย่งวัตถุอื่นๆก็ได้
ทีผู้เขียนนำเสนอมาทั้งหมด เพราะคิดว่าการยื้อแย่งเหล่านั้นเพราะขาดธรรมะ ธรรมะไม่มีเหตุผลว่าถูกหรือผิด แต่ธรรมะสูงสุดเป็นเรื่องที่นอกเหตุเหนือผลที่เอาความสันติสุขสงบมาเป็นเป้าหมาย
แค่ธรรมะพื้นฐานก็ชักนำสันติภาพมาสู่เราทั้งหลายได้แล้ว ดังมีศีลห้าที่ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนคนเท่านั้นก็พอ
มีหลายคนบ่นเบื่อฟังพระเทศน์เรื่องศีลห้าให้ครูบาอาจารย์ท่านฟัง เพราะพระท่านเทศน์ซ้ำๆบ่อยๆ แต่หลวงปู่กลับตอบว่าเพลินดี ฟังแล้วรื่นเริงใจ จนคนถามงง เพราะไม่เข้าใจในธรรม
"ธัมมะจารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข" เป็นคำพูดที่ฟังและเห็นจริง เพราะสามารถสัมผัสได้รู้ได้โดยใจทันที ผิดกับสื่อโฆษณาที่ทำป้ายเขียนข้อความว่าเลิกขัดแย้งกันเถอะทำให้ประเทศชาติเสียหาย พุทธศาสนาสอนเอาไว้ ฟังและอ่านแล้วมันแม่งๆหู รกสายตาอย่าง ไรก็ไม่รู้ เหมือนคนเขียนรู้จักพุทธศาสนาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
เพราะพุทธศาสนาเป็นนามธรรม สัมผัสได้จริงๆก็ด้วยใจเท่านั้น ที่พูด คิด ทำ บางทีมันก็เป็นพิธีปฎิบัติที่ยึดตามกันมาเท่านั้นเอง แต่จะมีใครสนใจในคำสอนของพระพุทธองค์จริงดั่งที่ประกาศตัวว่าถือพุทธ
เชื่อหรือไม่ว่าคนไทยถือพุทธ ส่วนใหญ่กล่าวคำอาราธนาศีลกันไม่เป็น แถมยังหมกเม็ดกับการกล่าวอาราธนาศีลห้าด้วยว่า ขอถือศีลห้าไม่ครบโดยกล่าวคำว่าวิสุงๆหรือขอยกเว้นการถือศีลบางข้อหรือ.... เพราะความจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ท่านสะมะชัยโยหาญกล้าว่าไม่ควร
เพราะศีลห้าเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นพุทธศาสนิกชน แค่ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนคนอื่นเท่านั้นเอง ก็ยังเกี่ยงกัน
แล้วสมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากใจยังสกปรกอยู่ เหมือนผ้าที่จะเอาไปย้อมสีจำเป็นต้องซักให้สะอาดเสียก่อน ไม่เช่นนั้นมันจะก็ออกมาไม่งาม หรือเปรียบดังน้ำใสกับน้ำสี ถ้าเราจะใส่สีอื่นเข้าไป น้ำใสย่อมเหมาะสมกว่า
เหตุใดพระสงฆ์จำเป็นต้องถือศีลถึง227 ข้อด้วยเล่า เพราะท่านต้องการใ้ห้กาย วาจา ใจ สะอาด เพื่อเป็นพื้นฐานแห่งการเดินทางไปสู่การเฝ้าพระพุทธองค์
ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากสมถะกรรมฐานหรือวิป้สสนากรรมฐานก็ตาม ใจต้องถูกซักล้างจากการถือศีลก่อนแล้ว จึงจะสะอาดบริสุทธิ์ที่จะดำเนินงานทางจิตต่อไป ไม่เช่นนั้นจิตยังตกในนิวรณ์ห้าหรือเครื่องกั้นได้อย่างง่ายดายเช่นมีความพึงพอใจในกามทั้งหลาย ความลังเลสงสัย ความพยาบาท ความเซื่องซึมหงอยเหงา และความฟุ้งซ่านรำคาญใจในสิ่งที่ตนเองเป็นผู้ก่อ เพื่อที่จะดำเนินงานทางจิตต่อไปหรือเพื่อลดหรือเลิกการยึดติดทั้งปวง
ศีลเป็นอาวุธธรรมดาที่เหล่านักบวชทั้งหลายใช้สู้กับกิเลสตัณหาและอาสวะทั้งปวง แต่มีฤทธิ์เหลือร้าย เพราะสามารถแปลงเป็นสมาธิ ปัญญาอันเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการรบกับพญามารหรือกิเลสทั้งปวง
หลวงปู่ชา สุภัทโทท่านเทศน์สอนในหนังสือกุญแจภาวนาว่า
ทั้ง ศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา เป็นอยู่อย่างนั้น มันหมุนอยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา อาศัยรูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อะไรเกิดขึ้นมา มรรคนี้จะครอบงำอยู่เสมอ ถ้ามรรคไม่กล้า กิเลสก็ครอบได้ ถ้ามรรคกล้า มรรคก็ฆ่ากิเลส ถ้ากิเลสกล้ามรรคอ่อน กิเลสก็ฆ่ามรรค ฆ่าใจเรานี่เอง ถ้ารูป เวทนา สัญญา สังขาร เกิดขึ้นมาในใจ เราไม่รู้เท่ามัน มันก็ฆ่าเรา มรรคกับกิเลสเดินเคียงกันไปอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติคือใจ จำเป็นจะต้องเถียงกันไปอย่างนี้ตลอดทาง คล้ายมีคนสองคนเถียงกัน แท้จริงเป็นมรรคกับกิเลสเท่านั้นเอง ที่เถียงกันอยู่ในใจของเรา มรรคมาคุมเราให้พิจารณากล้าขึ้น เมื่อเราพิจารณาได้ กิเลสก็แพ้เรา เมื่อมันแข็งมาอีก ถ้าเราอ่อน มรรคก็หายไป กิเลสเกิดขึ้นแทน ย่อมต่อสู้กันอยู่อย่างนี้จนกว่าจะมีฝ่ายชนะ จึงจะจบเรื่องได้
ดังที่ยกตัวอย่างพระธรรมเทศนาส่วนหนึ่งของหลวงปู่มาให้อ่านกัน เหมือนที่ท่านเคยเทศน์ให้ฟังว่าการนั่งกำหนดตัวเองให้ทำสมถะภาวนาเป็นศีล นั่งจนจิตสงบแล้วเป็นสมาธิ และเห็นการเกิดดับทั้งปวงเเป็นไตรลักษณ์คือปัญญา
เขียนมาถึงตรงนี้แล้วท่ามกลางความขัดแย้งที่ไม่ค่อยมีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิดเอา แต่ว่าถูกเลยไม่ค่อยมีใครรู้จักคำว่า"ขอโทษ"ที่เป็นคำพูดอันประเสริฐในการขออโหสิ กรรมต่อกัน เป็นอันว่าผู้เขียนขอโทษนะคะ ถ้าเขียนอะไรผิดไป

ธรรมะสวัสดี

หนูมะลิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น