...+

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นางปริพพาชิกากับโพธิดาบส ผู้ไม่ข้องในเมถุนธรรม

นางปริพพาชิกากับโพธิดาบส
ผู้ไม่ข้องในเมถุนธรรม

ในอดีตกาล พระนางพิมพาจุติจากพรหมโลก มาเกิดเป็นกุมารีที่งดงามในตระกูลมั่งคั่งในแคว้นกาสี ส่วนพระโพธิสัตว์ก็จุติจากพรหมโลกมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ผู้มั่งคั่งชาวกาสีเช่นเดียวกัน และบิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า โพธิกุมาร
ครั้นเจริญวัยขึ้น โพธิกุมาร ก็ได้ไปเรียนที่เมืองตักกศิลา เมื่อโพธิกุมารสำเร็จการศึกษาแล้ว บิดามารดาจึงจัดการนำกุมารีนั้นมาให้เป็นภรรยา
เนื่องจากจุติมาจากพรหมโลกทั้งคู่ ทั้งสองจึงไม่มีใจในการครองเรือนเลย แม้จะอยู่ร่วมห้องกัน แต่ทั้งสองก็ไม่เคยแลดูกันด้วยอำนาจแห่งราคะ ทั้งสองเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ขึ้นชื่อว่าเมถุนธรรมต่างไม่เคยประสบแม้ในฝัน
ต่อมาเมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมแล้ว โพธิกุมารจึงบอกกุมารีภริยาว่าเธอจงรับทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้ไว้เถิด เราจักออกบวชในถิ่นหิมพานต์เพื่อทำที่พึ่งแก่ตน
นางกุมารีภริยาจึงถามว่า การบรรพชานั้นทำได้แต่บุรุษเท่านั้นหรือ
โพธิกุมารตอบว่าแม้สตรีก็บรรพชาได้
นางกุมารีภริยาจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ฉันก็จะไม่ขอรับเขฬะที่ท่านถ่มทิ้งไว้ ฉันจะออกบวชด้วย
ตกลงกันดังนั้นแล้ว ทั้งสองก็เอาทรัพย์มาบริจาคทานเป็นการใหญ่ แล้วออกบวชไปสร้างอาศรม เลี้ยงชีวิตด้วยผลาผลอยู่ในป่า
กาลเวลาผ่านไป ๑๐ ปี ญานสมาบัติก็ยังไม่ได้บังเกิดแก่ดาบสและปริพพาชิกาทั้งสองเลย ทั้งสองจึงเที่ยวจาริกไปตามชนบทเรื่อยไป จนกระทั่งมาถึงนครพาราณสีจึงได้ไปพักอาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน
วันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีเสด็จออกประพาสราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นดาบสและนางปริพพาชิกา นางปริพพาชิกานั้นแม้อยู่ในเพศนักบวชก็ยังดูงามเลิศมีเสน่ห์เป็นที่ต้องตา ทำให้พระเจ้าพาราณสีมีพระทัยปฏิพัทธ์ด้วยอำนาจกิเลส
พระเจ้าพาราณสีจึงเข้าไปถามพระดาบสว่า นางปริพพาชิกาผู้นี้เป็นอะไรกับท่าน โพธิดาบสตอบว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ นางเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้า
พระเจ้าพาราณสีจึงทรงลองหยั่งเชิงดูว่าว่าถ้าพระองค์นำนางไป พระดาบสจะทำอย่างไร จึงตรัสถามว่า ดูก่อนท่านดาบส ถ้ามีบุคคลมาพาเอานางปริพพาชิกาผู้นี้ไปด้วยกำลัง ท่านจะทำอย่างไร
โพธิดาบสตอบว่า หากว่าใครฉุดรั้งนางไป ความโกรธย่อมพึงมีแก่ข้าพเจ้า แต่ความโกรธนั้นครั้นเกิดขึ้นแล้วจักเสื่อมไป แต่หากความโกรธของข้าพเจ้าไม่เสื่อมไป ข้าพเจ้าก็จะข่มห้ามความโกรธนั้นเสียด้วยเมตตาภาวนาโดยพลัน
พระราชาได้ฟังพระดาบสแล้ว จึงสั่งให้ราชบุรุษพานางปริพพาชิกาไปยังพระราชนิเวศน์ นางก็ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา ฝ่ายพระดาบสได้ยินเสียงคร่ำคราญของนางก็รู้สึกโกรธ แต่ข่มใจไว้ไม่ได้แลดูนางอีก
เมื่อราชบุรุษนำนางปริพพาชิกาไปสู่พระราชนิเวศน์แล้ว พระเจ้าพาราณสีก็เสด็จตามไป เกลี้ยกล่อมนางด้วยลาภยศ แต่นางได้พรรณนาโทษของยศและคุณของบรรพชาให้พระราชาฟัง
เมื่อพระราชาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้นางยินดีได้ พระองค์จึงรับสั่งให้ขังนางไว้ในห้อง
พระราชาเสด็จกลับไปหาพระดาบส เห็นพระดาบสนั่งเย็บจีวรอยู่ แม้พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้แล้วก็ไม่รู้ตัวจึงไม่ได้กล่าวเชื้อเชิญพระราชา พระราชาจึงเข้าใจว่าพระดาบสโกรธ ไม่ยอมเจรจาด้วย ตรัสว่า
วันก่อนท่านอวดอ้างไว้อย่างไร ทำไมวันนี้ท่านจึงทำทีเป็นนิ่งเหมือนโกรธอยู่
โพธิดาบสได้ฟังจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ความโกรธเกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพเจ้าแล้วยังไม่เสื่อมคลายไปจริง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ยับยั้งความโกรธนั้นไว้แล้ว
แล้วพระราชาก็ได้โต้ตอบปัญหาธรรมกับโพธิดาบสจนเกิดความเลื่อมใส จึงรับสั่งให้พานางปริพพาชิกามาคืนและขอขมาโทษท่านทั้งสอง
โพธิดาบสและนางปริพพาชิกา จึงได้อาศัยอยู่ในราชอุทยานนั้นเอง ต่อมาเมื่อนางปริพพาชิกามรณภาพ โพธิดาบสจึงออกจากราชอุทยานไปสู่ป่าหิมพานต์
ประชุมชาดก
พระเจ้าพาราณสี มาเกิดเป็น พระอานนท์
โพธิดาบส มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
นางปริพพาชิกา มาเกิดเป็น พระนางพิมพา
(ที่มา : จุลลโพธิชาดก)

รูปจากคุณรักธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น