...+

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้ำ ... ชีวิตที่เปลี่ยนไป โดย ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต

น้ำ ... ชีวิตที่เปลี่ยนไป
โดย ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต

น้ำคือชีวิต หากขาดน้ำ ชีวิตย่อมอยู่ไม่ได้ คำนี้เรามักได้ยินกันจนคุ้นหู วันนี้ประเทศไทยมีน้ำมากมายมหาศาล แต่เรากลับต้องสูญเสียชีวิตไปกว่า 160 ชีวิตแล้ว และยังอาจจะต้องสูญเสียอีก เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของโลก น้ำ หรือชีวิตที่เปลี่ยนไป

เราเรียนรู้กันว่า คน พืช สัตว์ คือสิ่งมีชีวิต แต่ปัจจุบันเราเริ่มเรียนรู้ว่าดินและน้ำก็มีชีวิต มีเกิด มีตายด้วยเช่นเดียวกัน จากการศึกษาวิจัยพฤติกรรมของน้ำ มนุษย์ได้พบความมหัศจรรย์ของน้ำมากกว่าความรู้เดิมๆ ที่เราเคยมี เราเคยรู้ว่าผลึกของน้ำแข็ง เช่นหิมะนั้นมีรูปทรงต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความสวยงามมากเมื่อดูผ่านกล้องจุลทรรศน์ มนุษย์ได้พบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและไขความลับของน้ำ ทำให้เราได้รู้ว่าน้ำจากแต่ละแหล่งในโลกนี้ ไม่มีที่ใดเหมือนกันเลย องค์ประกอบของผลึกน้ำจากที่ต่างๆ นั้น มีลักษณะและรูปร่างแตกต่างกันไป

นอกจากนี้ น้ำยังสื่อสารถึงอารมณ์ของมนุษย์ที่แตกต่างกัน ถ้านำน้ำจากที่เดียวกันไปให้คน 2 คนที่มีอารมณ์แตกต่างกันจับต้อง ผลึกของน้ำก็จะให้ผลที่แตกต่างกัน ความเศร้าหมองและความยินดีของแต่ละคนนั้น น้ำสามารถสัมผัสได้ แม้แต่ในน้ำตาของมนุษย์แต่ละคนก็แตกต่างกันไป ผลึกของน้ำตาแห่งความทุกข์โศกจะหม่นหมองและแตกบิ่น ในขณะที่ผลึกของน้ำตาแห่งความยินดีจะมีรูปทรงที่งดงามเป็นประกายสดใส

เรามองน้ำว่าเป็นน้ำ แต่เราไม่รู้จักเขาเลย เขามีชีวิต มีวิญญาณ และสื่อสารกับเราได้ ฤามนุษย์จะลืมไปแล้วว่าเจ้าเกิดมาจากผู้ใด

ในร่างกายมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% ดังนั้นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ก็คือน้ำ ร่างกายของมนุษย์ขับเคลื่อนได้ด้วยการเติมน้ำ อาหารเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบ การฝึกโยคะของโยคีด้วยการอดอาหารและอดน้ำนั้น พบว่าไม่สามารถทนอยู่ได้นานเท่าการอดอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าได้ดื่มน้ำก็จะสามารถอยู่ได้นานนับเดือนโดยไม่ต้องกินอะไรเลย

โลกแตกออกมาจากส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ เป็นลูกไฟเล็กๆ ดวงหนึ่งในจักรวาล เมื่อเย็นตัวลงจึงถูกห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็ง จนกระทั่งน้ำแข็งละลายกลายเป็นมหาสมุทร เปลือกโลกขยับตัว ทำให้ภูเขาไฟใต้ทะเลทั้งหลายระเบิดพ่นลาวาออกมาพ้นน้ำทะเลเกิดเป็นเกาะแก่ง ต่างๆ หลายแห่งยังเต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่น พืช สัตว์ และมนุษย์ ก็มีแหล่งกำเนิดมาจากมหาสมุทร ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากน้ำ

หนึ่งหยดของน้ำอสุจิมีชีวิตนับล้านในน้ำหยดนั้น เมื่อผสมกับไข่ในมดลูกของเพศแม่ จึงได้ก่อเกิดเป็นชีวิตเล็กๆ ขึ้นและถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเนื้อเยื่อบางๆ ที่เรียกว่าถุงน้ำคร่ำ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้ก่อกำเนิดเป็นก้อนเนื้อ ซึ่งประกอบไปด้วยโครงกระดูก กะโหลก มันสมอง แขนขา และอวัยวะต่างๆ ค่อยๆ พัฒนาขึ้นจนกระทั่งทุกอย่างสมบูรณ์ภายในช่วงระยะเวลาประมาณ 9 เดือน ทั้งหมดเกิดขึ้นท่ามกลางการหล่อเลี้ยงในถุงน้ำ อาศัยอาหารและอากาศหายใจจากมารดาผ่านทางสายสะดือ

วันที่ถุงน้ำคร่ำแตก เด็กน้อยจึงได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก เมื่อตัดสายสะดือออกก็เป็นสัญญาณที่บอกว่า “อัตตาหิ อัตโน นาโถ” เจ้าต้องพึ่งตนเองนับแต่นี้ไป หายใจด้วยปอดของตัวเอง เริ่มกินอาหารทางปาก กระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบขับถ่ายเริ่มทำงาน แต่อาหารแรกที่เจ้ากินก็คือน้ำนมจากมารดา อย่างน้อย 2-3 เดือน ก่อนที่จะเริ่มทานอาหารชนิดอื่นได้ มนุษย์เกิดมาจากน้ำ เจริญเติบโตอยู่ในน้ำ การขับเคลื่อนของร่างกายและสมองโดยผ่านกระบวนการสูบฉีดของน้ำสีแดงที่เรียก ว่าโลหิต และน้ำในเซลล์และเนื้อเยื่อซึ่งเรียกว่าน้ำเหลือง

นอกเหนือจากความสำคัญของน้ำกับชีวิตมนุษย์โดยตรงแล้ว ความเชื่อของผู้คนในซีกโลกตะวันออก ก็มีความสัมพันธ์กับน้ำตั้งแต่เกิดจนตาย ธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เป็นส่วนประกอบของร่างกายมนุษย์ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องแก้ด้วยการปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 นี้เช่นกัน สารพัดพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ มาจากความเชื่อว่าน้ำมีจิตวิญญาณ มีเทพเจ้าคุ้มครองและเป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังมีความเชื่อด้วยว่า น้ำสามารถสื่อสารไปถึงโลกหลังความตายได้ อาทิ การทำบุญและอุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วฝากผ่านแม่พระธรณีไปด้วยการกรวด น้ำ

การรักษาโรคภัยไข้เจ็บของบางคนซึ่งหายได้ด้วยการดื่มน้ำมนต์ที่ผ่าน พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาจกระทำได้โดยพระสงฆ์หรือคนธรรมดา ผู้คนมากมายที่เชื่อว่าน้ำที่ผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อนำมาดื่มกินหรืออาบจะสามารถชำระล้างโรคภัยหรือสิ่งชั่วร้ายให้ขับออกไป จากร่างกายได้ ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามันเป็นความจริงหรือเป็นเพียงอุปทาน แต่ความเชื่อเหล่านั้นก็ได้หยั่งรากลึกอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนทางแถบซีกโลก ตะวันออกรวมถึงประเทศไทย แม้ว่าการแพทย์ในปัจจุบันจะเจริญรุดหน้าไปมาก แต่บางครั้งก็ไม่อาจรักษาอาการเจ็บป่วยของมนุษย์ได้ ในสังคมชนบท ความเชื่อของชนเผ่าต่างๆ ในภาคเหนือจึงยังคงยึดมั่นอยู่ในวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม เช่น การรดน้ำมนต์ ดื่มน้ำมนต์ หรือแสวงหาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ประเพณีโบราณของไทยอีกอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี นั่นก็คือ “พิธีการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา” ในการทำพิธีนี้จะต้องนำน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งทั่วประเทศมารวม กัน โดยมีพิธีพราหมณ์อ่านโองการแช่งน้ำก่อนที่จะนำมาให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตำรวจ ทหารทั้งหลายดื่มและกล่าวคำสัตย์สาบาน ซึ่งในคำกล่าวเหล่านั้นหลายคนอาจลืมไปแล้ว แต่ที่แน่นอนก็คือการดื่มน้ำและสาบานต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าอยู่หัวและสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่าจะ “ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

ผมได้เห็นผู้ที่ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาแล้วทรยศต่อคำสาบานมีอัน เป็นไปมานักต่อนักแล้ว ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าน้ำนั้นมีชีวิตและจิตวิญญาณอยู่ในนั้น เขารับรู้ในคำสาบานของพวกคุณ และเขาก็อยู่ในตัวคุณนั่นแหละ เมื่อใดที่คุณผิดคำสาบาน ปฏิกิริยาของน้ำในร่างกายคุณก็จะเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่ไม่ยึดมั่นในคำสาบานและน้ำศักดิ์สิทธ์ที่ดื่มต่อเบื้องพระพักตร์ ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร หรือ เฉลิม อยู่บำรุง และอีกหลายๆ คน ลองดูต่อไปก็แล้วกันว่าน้ำสาบานที่อยู่ในตัวพวกคุณนั้นจะส่งผลอย่างไรต่อ ชีวิตคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น