...+

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปฏิรูปความเป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ร่วมกันระหว่างรัฐ-ท้องถิ่น-สาธารณะ โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

ยากยิ่งจะหาความยุติธรรมได้ในช่วงชีวิตวีรชนคนกล้าที่หาญต่อกรกับความอยุติธรรมปกป้องผืนแผ่นดินถิ่นเกิดจากประมวลกฎหมาย และแนวนโยบายรัฐที่ผสานกับอำนาจทุนตราตักตวง กอบโกย แก่งแย่งทรัพยากรแร่ที่เป็นทุนชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นชุมชน เพราะจวบจนสิ้นลมหายใจจากอิทธิพลเถื่อนผู้หาญกล้าเป็นปฏิปักษ์อำนาจก็ยังยากจะประสบความยุติธรรมเบื้องปลาย ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่รัฐลุอำนาจหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ยามกลุ่มทุนหนุนหลังเท่านั้น ทว่าปัจจัยเกื้อหนุนสำคัญยังเป็นโครงสร้างสังคมอยุติธรรมที่สัมพันธภาพทางอำนาจระหว่างรัฐ ทุน กับประชาชน ไม่ใกล้เคียงกันสักนิดด้วย

แม้ผลต่อต้านคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหมืองแร่ หลายคราจะไม่ถึงขั้นภาคประชาชนจบชีวิต แต่ความพ่ายแพ้แก่รัฐที่บริหารจัดการทัพยากรแร่โดยเน้นแต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามฐานคิดหลักที่มองว่า ‘ทรัพยากรแร่เป็นของรัฐ’ มีมูลค่าต้องเร่งขุดขึ้นมาทำประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคมที่จะตามมา หรือมีบ้างก็เพียงกำหนดมาตรการบรรเทาแก้ไขด้วยเทคโนโลยี หรือจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น และเยียวยาชดเชย ก็ทำให้หลายหลากชุมชนแตกพ่ายด้านวัฒนธรรม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม จนอยู่อาศัยทำมาหากินไม่ได้

ดังกรณีวิกฤตการณ์การรั่วไหลของสารแคดเมียมที่แม่ตาว จ.ตากจากการทำเหมืองแร่สังกะสี ลุ่มน้ำคลิตี้ตอนล่างจากการทำเหมืองตะกั่ว และการทำเหมืองทองคำใน จ.พิจิตร หรือความขัดแย้งรุนแรงจากโครงการทำเหมืองโพแทสใน จ.อุดรธานี และอีกมากกรณีขัดแย้งที่ส่วนใหญ่ตั้งต้นจากฐานคิดกอบโกยทรัพยากรแร่ที่มีค่าจากแม่ธรณีโดยไม่เคยคำนึงถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้คนในท้องถิ่นแต่อย่างใด ไม่ต้องกล่าวถึงกระบวนการประชาพิจารณ์ (public hearing) ที่การคัดเลือกผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholders) ไม่กระจายไปตามสัดส่วนแท้จริง ให้ข้อมูลดีด้านเดียว ที่สำคัญผู้บริหารมักผลักดันโครงการให้สำเร็จก่อนทำประชาพิจารณ์จนไม่ได้นำข้อคิดเห็นที่แตกต่างของการประชาคมมาประกอบการตัดสินใจใดๆ

ด้วยเหตุนี้การประชาพิจารณ์ที่ไม่ได้คำนวณเหตุผลและผลประโยชน์ของเสียงที่แตกต่างไว้ในสมการการตัดสินใจว่าจะเดินหน้าหรือยับยั้งโครงการจึงอ้างความชอบธรรมไม่ได้ ในทำนองเดียวกันการคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยไม่ได้ประเมินต้นทุนสุขภาพและธรรมชาติที่สูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศหรือมลพิษสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลไกกำกับดูแลการพัฒนาทรัพยากรแร่ที่ด้อยประสิทธิภาพ ก็ทำให้ไม่เพียงจะประเมินความคุ้มค่าของโครงการเหมืองแร่ผิดพลาดทั้งในส่วนผลตอบแทนและค่าใช้จ่าย หากแต่ยังละทิ้งทางเลือกในการเก็บแร่ไว้ก่อนเพื่อจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคตด้วย

การที่รัฐไม่ได้ประเมินต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ทำให้สูญเสียผลตอบแทนที่ดีที่สุดจากการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดด้วยการส่งออกแร่เป็นวัตถุดิบราคาถูก แทนที่จะผลิตเพื่อใช้ประโยชน์ในประเทศเป็นหลักและส่งออกแร่ที่แปรรูปแล้วเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมๆ กับการปฏิรูปนโยบายจัดเก็บค่าภาคหลวงให้เหมาะสมกับมูลค่าและประโยชน์ที่ประเทศชาติพึงจะได้รับมากกว่านี้

กล่าวอีกนัยหนึ่งการส่งออกแร่ราคาถูกขายต่างประเทศเท่ากับส่งออกต้นทุนสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ประเทศชาติต้องสูญเสียไป และในเม็ดเงินรายได้ของรัฐเกือบ 130 ล้านบาทจากการเก็บค่าภาคหลวงแร่ตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ทั้งแร่ทองคำ แร่เงิน แร่ทองแดง และแร่ชนิดอื่นๆ ประจำไตรมาสที่สามของปีนี้แม้จะเป็นตัวเลขที่แสดงว่าอุตสาหกรรมเหมืองแร่สร้างผลประโยชน์เศรษฐกิจมหาศาล หากในทางกลับกันก็ไม่อาจลบเลือนภาพผลกระทบสาหัสต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ท้องถิ่นต้องแบกรับได้!

ดังนั้นเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยยังคงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่ได้อย่างคุ้มค่า จึงจำเป็นที่รัฐจะต้องปรับฐานคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่โดยยึดหลักความเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างรัฐ ท้องถิ่น และสาธารณะ รวมทั้งนำต้นทุนทางธรรมชาติ สังคม และค่าเสียโอกาสมาประเมินความคุ้มค่าของการทำเหมืองแร่ทุกชนิดที่จะต้องไม่ทำลายทุนฐานที่มีอยู่เดิม ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ด้วยฐานคิดหลักและกฎหมายที่ถ่ายโอนความเป็นเจ้าของแร่แต่ผู้เดียวของรัฐมาเป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ร่วมกันระหว่าง ‘รัฐ-ท้องถิ่น-สาธารณะ’ จะสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้

ด้วยในความไม่เป็นธรรมทางสังคมมีมิติการเข้าไม่ถึงข้อมูลและทรัพยากรเป็นสำคัญ ข้อเสนอ คปร.ที่ให้รัฐดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 ด้วยการเปิดเผยแหล่งแร่และศักยภาพแหล่งแร่ต่อชุมชนท้องถิ่นเป็นการสาธารณะ และปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 ที่พิจารณาให้โครงการเหมืองแร่ที่รวมถึง ‘เหมืองแร่ทองคำ-เหมืองแร่ใต้ดิน’ เป็นหนึ่งในโครงการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง รวมถึงออกกฎหมายสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่จัดการทรัพยากรแร่ด้วยนั้นจะทำให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่ไม่สามารถกอบโกยทรัพยากรมีค่าของท้องถิ่นโดยทิ้งผลกระทบเลวร้ายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้อีกต่อไป

ด้วยในแนวทางเช่นนี้ท้องถิ่นจะมีอำนาจกำกับกิจการเหมืองแร่ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้ในลักษณะของ ‘Mining Watch’ ไม่เท่านั้นข้อเสนอ ‘หลักการความเป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ร่วมกัน’ ก็เป็นแรงผลักดันสำคัญให้รัฐต้องปรับกระบวนการขอประทานบัตรและอาชญาบัตร โดยจัดตั้งระบบรับรองมาตรฐานการดำเนินการสำหรับพิจารณาต่ออายุสัมปทานหรือการขออาชญาบัตร หรือประทานบัตรใหม่ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคประชาสังคมในท้องถิ่น ร่วมตรวจสอบทั้งในระดับพื้นที่และนโยบาย ภายในขณะเดียวกันก็ให้แบ่งรายได้จากทรัพยากรแร่อย่างเป็นธรรมระหว่างรัฐกับท้องถิ่น นำรายได้จากทรัพยากรแร่ไปใช้ในกิจการที่เป็นการลงทุนที่ให้ผลประโยชน์ระยะยาว และกระจายผลประโยชน์จากทรัพยากรแร่ให้ทั่วถึงทั้งประเทศ เช่น การออมระยะยาว และการลงทุนอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

นอกจากนั้นก็จัดตั้งกองทุนเยียวยาหรือฟื้นฟูพื้นที่โดยเรียกเก็บเงินประกันความเสี่ยงจากกิจการเหมืองแร่เหมือนดังหลายประเทศเพื่อเป็นกลไกแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ด้วย

ดังนั้นความเป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ร่วมกันระหว่างรัฐ ท้องถิ่น และสาธารณะ จะเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เพราะนอกจากจะทลายแบบแผนปฏิบัติของรัฐที่ค่อยหาทางเยียวยาบรรเทาภายหลังจากต้นทุนสังคม (social cost) ทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเสียหายรุนแรงจากการทำเหมืองแร่แล้ว ยังไม่ต้องเพิ่มรายชื่อวีรชนพลีชีพปกป้องผืนแผ่นดินถิ่นเกิดจากกลุ่มทุนที่ใช้กฎหมายและนโยบายรัฐเป็นเครื่องมืออีกด้วย เพราะการคัดค้านโครงการเหมืองแร่กระทำได้ตั้งแต่ต้นธารจากการมีส่วนร่วมของผู้คนในท้องถิ่นในฐานะเจ้าของแร่ตัวจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น