...+

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คนแปลกหน้า



ในโลกยุคปัจจุบันที่เรียกกันว่า media social หรือจะเป็น social network อะไรก็ตามแต่ ผู้คนสามารถเดินทางท่องโลกกันได้อย่างรวดเร็วราวกับมีอิทธิฤทธิ์หรือมีgod articleที่น่าจะเรียกว่าอนุภาคของพระเจ้า ก็ได้
ไม่ว่าจะเดินทางโดยเครื่องบิน รถไฟฟ้า แม้กระทั่งการสื่อสารกันผ่านสื่อทางอินเตอร์ เน็ท โดยสามารถเห็นหน้าเห็นตากันได้โดยผ่านทางหน้าจอในเครื่องมือสื่อสารที่ใช้อยู่
ผู้คนมากหน้าหลากตามารู้จักกันได้โดยไม่เคยพบหรือเจอตัวจริงกันมาก่อน กลับมาเป็นเพื่อนกัน รักกัน แต่งงานกันก็มี โดยอาศัยสื่อรักผ่านอินเตอร์เน็ท
ความสัมพันธ์โดยเปลือกนอกมันเกิดขึ้นง่าย และหายไปเร็ว เหมือนโลกของอินเตอร์ เน็ท ที่ไหนๆก็ไปรวดเร็วราวกระพริบตา ( และโปรดกระพริบตาบ่อยๆเวลาอยู่ต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อถนอมดวงตาของท่าน )
การติดต่อกันหรือความสัมพันธ์ของผู้คนในยุคนี้ มันเป็นความสัมพันธ์กันแบบตื้นๆ มรรยาทแต่พองาม ชอบในสิ่งที่เหมือนกันก็เรียกว่าสนิทกันแล้ว บ้างก็ย้ายไปนอนกอดคอกัน
จนสักวันหนึ่งอารมณ์พาใจเปลี่ยนไป เปลือกนอกมันหลุด แตกหัก เหลือแต่เปลือกใน ความชอบเหมือนกันมันก็หมด หันไปชอบอย่างอื่นแทน ความสัมพันธ์ที่ว่าดี มันก็มาสิ้นสุดตามอารมณ์ที่พาไป
ผู้คนชอบดูชอบมีชอบสัมผัสกับของใหม่ที่เหล่านักประดิษฐ์จะคิดค้นได้ ดูจากแหล่งท่องเที่ยวในไทยหลายต่อหลายแห่งและสถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลี ซึ่งล้วนแล้วแต่เนรมิตจัดฉากสร้างขึ้นมา แล้วมาแต่งประวัติศาสตร์เสริมเสน่ห์ให้ที่หลัง
วัดในเมืองไทยหลายๆวัดก็พยายามจะดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการก่อสร้างสิ่งสวยงามหรือไม่รู้จะทำอะไร ก็ก่อสร้างให้มันใหญ่กว่าที่อื่นเข้าไว้ แล้วก็โฆษณาว่าที่นี่ใหญ่ที่สุดในประเทศสารขันธ์ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกไว้เกือบจะครบครัน
แม้กระทั่งบางวัดสร้างห้องน้ำอวดแขกด้วยเงินหลายล้านบาทแพงกว่าบ้านของบางคนตั้งหลายหลังรวมทั้งบ้านของผู้เขียน บางวัดกุฎิพระถูกสร้างเหมือนรีสอร์ท แล้วก็ออกโทรโข่งขา ยเ หี้ย หายตระกวด ขายคางคก อ้างว่าเป็นวัตถุมงคลไปนั่น ชาวบ้านบางคน ฟังพระว่าเหี้ยปลุกเสกเป็นวัตถุงคล ก็คงจะรำพึงเองว่า"เหี้ยก็เหี้ยวะ"แล้วก็ซื้อหาไปบูชากันตามแต่ใจชอบ
ใครที่ว่าเหี้ยไม่มีดี โปรดพึงคิดใหม่ เพราะเป็นตัวเงินตัวทองที่บางวัดทำขาย ส่วนสรรพ คุณ โปรดติดตามกันเอาเองนะครับ
มีอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ตอนสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเสร็จใหม่ๆ มีการโฆษณาประชาสัม พันธ์กันจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ใครไม่เคยไป...เชย แล้วท่านผู้อ่านล่ะเคยไปหรือยังครับ
ผิดกับผู้คนสมัยก่อนที่ยังมองเปลือกในกันลึกซึ้งกว่า อยู่กับธรรมชาติเชื่องช้าตามกฎของธรรมชาติ ไม่สร้างสิ่งปรุงแต่งในชีวิตอะไรนักหนา ผู้หญิงตบแป้งทาปาก แค่นี้เขาก็ฮือฮากันไปทั่วบางแล้ว
ไม่เหมือนสมัยนี้ต้องมีลองพื้นลองช้ำกันรั่วกันซึมกันไม่รู้กี่ชั้น เรียกว่าแต่งหน้ากันทีหนึ่ง อาบน้ำกินข้าวยังนั่งรอต่อไปได้
คนสมัยก่อนไม่ค่อยชอบท่องเที่ยวกันนัก เพราะมีความสุขกันในเพียงครัวเรือน ค่ำลงก็มานั่งกินข้าวกันพ่อแม่ลูก
การจะไปดูหนังดูละครกันนั้นยากนักหนา อย่างมากก็ไปเที่ยวบางแสน ถือว่าหรูแล้วนา คุยกันไปสามบ้านแปดบ้าน วิถีเยี่ยงนี้พอหาดูได้ในต่างจังหวัดบางแห่ง
สถานที่เที่ยวอีกแห่งหนึ่งของคนสมัยก่อนก็คืองานวัด มีชิงช้าสวรรค์ มอเตอร์ไซด้ผาดโผน เมียงู สาวน้อยตกน้ำ แล้วก็หนังกลางแปลงฯ ขนมหรืออาหารอาจจะมีขายมากหน่อย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ ไปไหนมีแต่ร้านอาหาร คนกินยังน้อยกว่าเด็กเสิร์ฟบางร้านก็มี
เวลาไปวัด ก็ไปสวดมนต์ทำวัตร แล้วก็ฟังเทศน์ ปัญหาบางปัญหาแก้ไม่ได้ ก็ไปให้พระเป็นคนแก้ให้ เรื่องก็เรียบร้อยดี
การอยู่กับธรรมชาติในสมัยก่อนทำให้ผู้คนเห็นเปลือกในกันมากขึ้น เพราะอยู่กันด้วยความช่วยเหลือเจือจาน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทุกบ้านล้วนเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ เกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกัน
อารมณ์รักที่มีต่อกันมันถึงจมลึก อย่างน้อยมันก็จมในความดีของกันและกัน ที่มีโอกาสมากที่จะแสดงต่อกัน ผัวเมียจึงทะนุถนอมกันและกันมากกว่าสมัยนี้ แตกหักกันน้อยกว่า อยู่กันยืดกว่า จนมีคำพูดว่าไม่ยากเลิกกันเพราะติดคำว่าเลิกกันแล้วอายชาวบ้าน เพราะผัวเมียสมัยก่อนไม่ค่อยมีที่จะเลิกกันเท่าไรนัก จะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม
แต่พอจะยกตัวอย่างเปลือกในแข็งได้เหมือนกันเช่นการนับถือศาสนาและศรัทธาในพระในวัดมากกว่าผู้คนสมัยนี้ มีความละอายและความ เกรงกลัวบาปกรรมมากว่ากลัวทุกข์ทางกาย เพราะเห็นและเชื่อมั่นในเรื่องของกรรมว่าคนเราเกิดมามีกรรมเป็นของตน ทำกรรมอะไรก็ได้เช่นนั้น และสุดท้ายก็หนีกรรมที่ตนเองกระทำไปไม่ได้ เพราะกรรมย่อมตามมา ไม่ว่าจะไปอยู่ในซอกมุมไหนๆของโลก
และพอจะยกตัวอย่างเปลือกนอกแข็งแต่เปราะได้เช่นกัน อย่างเช่นคำว่ากิ๊กที่เราฟังหรือได้ยินกันมาหลายปีแล้วจนมีความเหนียวแน่นคงทนที่จะพูดกันต่อไป ที่แปลว่าเหนือกว่าเพื่อนน้อย กว่าแฟน ก็พอจะเป็นตัวอย่างที่ดี หากกามารมณ์เป็นตัวอย่างๆหนึ่งของสังคมได้ การเปลี่ยนกิ๊กจึงมีดาษดื่น เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า
มีเพื่อนผู้เขียนท่านหนึ่ง เคยกล่าวทำนองรำพึงให้ฟังว่าเห็นเมียนอนหลับข้างๆมาหลายสิบปีแล้วใจหาย เพราะผ่านอุปสรรคและความรักมาด้วยกันมานานาประการ จนมาเห็นริ้วรอยที่ถูกทิ้งจากกาลเวลาบนใบหน้าเมีย แต่ลึกๆก็รู้ว่า ใช่คนที่จะนอนตายด้วยกัน หากใครตายก่อนคนที่ เหลือจะจัดงานศพและเผากันไปให้เป็นที่เรียบร้อยไม่อุดจาด และย้ำอีกว่าเชื่อในความรู้สึกเช่นนั้น
แต่ก็มีเพื่อนผู้เขียนบางคนกลับบอกว่าเห็นเมียตัวเองนอนหลับแล้วแปลกใจว่าใครวะ ตอนลอกหน้าออกจากเครื่องสำอาง เหมือนนิสัยใจคอเที่เปลี่ยนไปไม่มีผิด ความเอื้อาทรร่วมกันแทบจะไม่มี ยามดีก็ใช้ยามไข้ก็ผลักไส จนแทบทุกวันนี้เหมือนคนไม่รู้จักกัน
ในอีกซอกมุมหนึ่งของโลก มีผัวเมียหลายคู่ที่ชวนกันปฎิบัติธรรม อยู่ร่วมกันอย่างเป็นเพื่อนแท้ รู้ความจริงในธรรมเบื้องต้น ในความไม่เที่ยง ไม่แน่นอนของสัจธรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อยู่กันด้วยความเอื้อเฟื้อและเกื้อกูลกันและกัน จนกว่าจะพร้อมที่จะแยกตัวเองเดินไปสู่ทางสายกลางอย่างเด็ดเี่ดี่ยว
ทางที่มาคนเดียวและไปคนเดียวเป็นปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน แต่กัลยาณมิตรย่อมร่วมอนุโมทนาหรือเห็นดีด้วย หากคู่ครองของตนเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจากกามทั้งหลายอันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธัมมารมณ์ ปรารถนาจะหาวิมุตติสุขแทนสมมุติสุขอีกต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าสุขอื่นใดเหนือความสงบนั้นไม่มี
จากความรักที่มีต่อกันกลายเป็นศรัทธาต่อกัน ที่พยายามจะหลุดไปจากวงเวียนแห่งวัฎฎะสงสารหรือวงเวียนแห่งทุกข์ทั้งหลาย นี่คือความสนิทและรักแท้ มิใช่เป็นเพียงแค่บุคคลที่ นอนข้างกาย แล้วกลับมาถามใจตัวเองว่า"ใช่คนแปลกหน้าหรือเปล่า...ที่ร่วมอาศัยกันอยู่แต่เพียง ชั่วคราวเท่านั้นเอง"
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่เป็นกัลยาณมิตรและมีกัลยาณธรรมต่อกันในภพภูมินี้ เพื่อร่วมกันค้นหาหนทางแห่งความสุข ความสงบ ความสะอาดและความสบายต่อไป

ธรรมะสวัสดี

สัญญา

มีผู้อ่านตามหาแก่นธรรม หลายท่านบอกว่าบทความแก่นธรรม มันธรรมดาจังเลย จริงครับที่เขียนๆอ่านๆมานี้ ไม่มีอะไรเกินกว่าธรรมดาที่ทุกคนได้เห็นได้เจอกันหรอกครับ แต่ทุกท่านก็บอกว่าชอบ มองเห็นหลากมุมดี
ทุกอย่างในโลกนี้ย่อมย้อมใจผู้คน ให้เปลียนไปได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งเงินที่เป็นวัตถุย้อมใจทีต่ำที่สุด ก็ยังทำให้ผู้คนเปลี่ยนไปเพราะยึดมัน จนมีคำพูดว่า"ทุกอย่างจะเงียบเมื่อเงินพูด" "เหล็กที่แข็งเงินง้างอ่อนได้ดังใจ"เป็นต้น
ความเชื่อหรือสัธทาจริตก็สามารถทำให้ผู้คนเปลี่ยนไป แม้กระทั่งการแตกแยกในครอบครัว ดังที่เห็นกันมาเยอะแล้วในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย แม้กระทั่งกาลเวลาจะเนิ่นนาน กว่าสองพันห้าร้อยปี คือพระสัจธรรมของพระพุทธองค์ ที่ทรงตรัสรู้และนำมาสอนให้แก่เวไนยสัตว์ และพระองค์ก็ไม่เคยเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเราเลย ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า"ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต"
หากเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวัน เหมือนได้พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แม้ร่างกายท่านจะแหลกเหลวสลายกลายเป็นไปเถ้าถ่านแล้ว แต่ยังคงเหลือพระธาตุให้ดูต่างพระธรรมที่ท่านเห็น อีกต่างหาก
สวดมนต์ไหว้พระ เจริญภาวนากันทุกวันเถอะครับแล้วจะได้เจอเพื่อนสนิทจิตของฉัน ว่างๆเขียนมาอีกนะครับ
สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น