...+

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เอตทัคคะในทางผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส

พระกาฬุทายีเถระ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รับการบรรพชาโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา และพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส โดยท่านเป็นผู้สามารถทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมด ของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชให้เลื่อมใสได้ ชื่อของท่านในพระไตรปิฎกบางแห่งพิมพ์เป็น พระกาลุทายีเถระ
๐ ความปรารถนาในอดีต
ประวัติในอดีตชาติของท่าน ที่ท่านได้แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้รับตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าวมีดังนี้
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ไป ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านได้เกิดในสกุลอำมาตย์ในพระนครหงสวดี มีทรัพย์และธัญญาหารเหลือล้น ท่านได้เข้าไปยังพระวิหารหังสาราม ถวายบังคมพระตถาคตพระองค์นั้น เมื่อได้สดับธรรมอันไพเราะ และทำสักการะแด่พระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งแห่งผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส จึงได้หมอบลงแทบเบื้องพระบาท แล้วได้กราบทูลว่า ขอให้ท่านได้เป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสใน ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เหมือนเช่นภิกษุรูปนั้นเถิด
ครั้งนั้น พระปทุมุตตระบรมศาสดาผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ได้ตรัสพยากรณ์แก่ว่า ท่านจะได้ฐานันดรนี้สมดังปรารถนาปรารถนา บุคคลใดเมื่อได้ทำสักการะในพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่เป็นผู้ปราศจากผล ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ ท่านจะได้เกิดในศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมทพุทธเจ้าอันมีพระนามว่า โคดม ผู้สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช ท่านจะได้ชื่อว่ากาฬุทายี ครั้งนั้นเมื่อท่านได้สดับพระพุทธพยากรณ์แล้ว ท่านก็เป็นผู้เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระบรมศาสดาด้วยปัจจัยทั้งหลาย ตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะวิบากของกรรมนั้นและเพราะตั้งเจตน์จำนงไว้ เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในกาฬุทายีเถราปทาน ได้กล่าวถึงพุทธพยากรณ์ในอีกลักษณะหนึ่งดังนี้
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ไป ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้เสด็จดำเนินทางไกลเที่ยวจาริกไป ในเวลานั้น ท่านได้ถวายดอกปทุม ดอกอุบล และดอกมะลิซ้อนอันบานสะพรั่ง และถวายข้าวสุกชั้นเยี่ยมแด่พระศาสดา พระบรมศาสดาทรงเสวยข้าวชั้นพิเศษ และทรงรับดอกไม้นั้นแล้ว ทรงอนุโมทนาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมที่ทำได้ยากนัก และได้พยากรณ์ท่านว่าท่านจะได้เสวยเทวสมบัติ ๑๘ ครั้ง จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง จะได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๕๐๐ ครั้ง
ในกัลปที่แสน พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จะเสด็จอุบัติในโลก ท่านจะรับกุศลกรรมที่ได้ทำไว้นี้ โดยจะได้เป็นบุตรผู้มีชื่อเสียง มีนามว่าอุทายี เป็นผู้ทำความเพลิดเพลินให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย แต่ภายหลัง ก็จะบวชเป็นสาวกของพระศาสดา จะบรรลุอรหัตผล และพระบรมศาสดาพระองค์นั้นจะตั้งท่านไว้ในเอตทัคคสถาน บรรลุคุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ดังนี้
๐ กำเนิดในพุทธกาล
ครั้งกาลสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอุบัติ พระกาฬุทายีเกิดในตระกูลอำมาตย์ในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง ในวันเดียวกับวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง โดยถือว่าท่านเป็นสหขาติ ๑ ใน ๗ อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมพระโพธิสัตว์ คือ
ต้นโพธิพฤกษ์ ๑ ขุมทรัพย์ ๔ แห่ง ๑ ม้ากัณฐกะ ๑ มารดาของพระราหุล (พระนางพิมพา) ๑ อานนท์ ๑ นายฉันนะ๑ และกาฬุทายีอำมาตย์ ๑ รวม ๗ อย่าง ในอรรถกถา กล่าวแปลกแตกต่างไปอย่างหนึ่งคือ ไม่มีพระอานนท์เป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ แต่กล่าวว่าเป็น ช้างตระกูลอาโรหนิยะเป็นสหชาติ ในวันนั้นนั่นเอง มารดาบิดาให้เขานอนบนที่นอนที่ทำด้วยผ้าเนื้อดีชนิดหนึ่ง แล้วพาไปสู่ที่บำรุงของพระโพธิสัตว์ ครั้นถึงวันตั้งชื่อ มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่า อุทายี เพราะเหตุที่เขาเกิดในวันที่ชาวพระนครทั้งสิ้นมีจิตเบิกบาน เนื่องจากการประสูติพระราชโอรส คือเจ้าชายสิทธัตถะ แต่คนทั้งหลายกลับเรียกชื่อท่านว่า กาฬุทายี (กาฬ + อุทายี) เพราะเมื่อเกิดท่านมีผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ ในฐานะของลูกชายของอำมาตย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และเป็นสหชาติกับเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านจึงเป็นเพื่อนเล่นกับพระโพธิสัตว์มาตั้งแต่เยาว์วัย ครั้นเมื่อได้เจริญวัยแล้วท่านก็ได้เป็นอำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าสุทโธทนะ ต่อมาภายหลัง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกทรงผนวชแล้ว บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโฑธิญาณตามลำดับ ทรงประกาศพระศาสนา และทรงประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์, นับแต่วันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับความเป็นไปของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลา ทรงสดับการบำเพ็ญเพียร การตรัสรู้เองและ พุทธกิจทั้งหลายมีการประกาศศาสนาเป็นต้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเมื่อได้ทรงทราบว่า พระบรมศาสดาทรงอยู่ในกรุงราชคฤห์ จึงทรงส่งอำมาตย์ผู้หนึ่ง พร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปสู่กรุงราชคฤห์ เพื่ออัญเชิญพระบรมศาสดามายังนครกบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่ออำมาตย์ผู้นั้นไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ก็เป็นเวลาแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท อำมาตย์ผู้นั้นจึงถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งอยู่ท้ายบริษัท โดยหวังว่าเมื่อทรงแสดงธรรมเสร็จแล้ว จะได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบความที่พระพุทธบิดาทรงอาราธนาให้มาสู่นคร กบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่อได้ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อรหัตผลก็ได้บังเกิดขึ้นแก่อำมาตย์ผู้นั้น กับบริวารทั้งสิ้น ทั้งหมดจึงได้ทูลขอบรรพชา และอุปสมบทที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าให้อำมาตย์กับทั้งบริวารเหล่านั้น อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุนั้นกับทั้งบริษัทบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้อยู่เสวยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติในที่นั้นเอง ด้วยความเป็นพระอริยเจ้าผู้มีความวางเฉยเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมิได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาตามพระบัญชาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะเมื่อทรงมิได้ทรงสดับข่าวจากอำมาตย์กับทั้งบริวาร จึงทรงส่งทูตอื่นไปอีก ๘ คณะโดยลักษณะเดียวกัน คณะทูตเหล่านั้นทั้งหมด รวม ๘,๐๐๐ คนก็ได้บรรลุพระอรหันต์ และทูลขอบรรพชาเป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น ฝ่ายพระเจ้าสุทโทธนะ เมื่อทรงเห็นว่าคณะทูตที่ส่งไปทั้งหมดไม่มีการส่งข่าวกลับมา ก็ทรงน้อยพระทัย คิดว่าบรรดาเหล่าอำมาตย์ที่ส่งไปนั้นไม่มีความรักในพระองค์เลย จึงไม่ยอมอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ จึงได้ทรงดำริว่า คงมีแต่อุทายีอำมาตย์คนนี้แหละ ที่เป็นผู้มีวัยเสมอกันกับพระพุทธองค์ เคยร่วมเล่นในวัยเด็กมาด้วยกัน และคงมีความรักเยื่อใยในพระองค์ท่าน จึงได้ทรงดำรัสสั่งให้อุทายีอำมาตย์พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ให้ไปยังกรุงราชคฤห์แล้วอาราธนาพระทศพลมาให้ได้ ฝ่ายกาฬุทายีอำมาตย์นั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตว่า ถ้าอนุญาตให้ท่านบวชได้ ท่านก็จะอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จมา พระเจ้าสุทโทธนะมีพระดำรัสพระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เธอจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขอให้อาราธนาพระพุทธองค์มาให้ได้ก็แล้วกัน

Image

๐ เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ดังนั้นกาฬุทายีอำมาตย์จึงไปยังกรุงราชคฤห์ ครั้นเมื่อไปถึงพอดีเป็นเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟัง ธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบริวาร เมื่อจบเทศนาหมู่อำมาตย์นั้นก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว เวลาได้ล่วงไป ๗-๘ วัน ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลังย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้าชุ่ม แผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสพรั่ง หนทางเหมาะแก่การที่จะเดิน กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ ลำดับนั้น พระอุทายีเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนาหนทางเสด็จเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จไปยังพระนครของราชสกุล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอก และใบสีแดงดุจถ่านเพลิง ผลิผล สลัดใบเก่าร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านั้นงดงามรุ่งเรืองดุจเปลวเพลิง ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควรอนุเคราะห์หมู่พระญาติ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอกบานงดงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป ทั่วทิศโดยรอบ ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญพระพิชิตมาร เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้งมรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหิณี อันมีปากน้ำอยู่ทางทิศใต้เถิด
ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืชด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ ย่อมไปสู่สมุทรด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวังผลอันใด ขอความหวังผลอันนั้น จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด ชาวนา หว่านพืชบ่อยๆ ฝนตกบ่อยๆ ชาวนาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อยๆ พวกยาจกเที่ยวขอทานบ่อยๆ ผู้เป็นทานบดีให้บ่อยๆ ครั้นให้บ่อยๆ แล้ว ย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ บุรุษผู้มีความเพียร มีปัญญากว้างขวาง เกิดในสกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้ บริสุทธิ์สะอาดตลอด ๗ ชั่วคน ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้าประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุลบริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้ว โดยอริยชาติ ได้สัจนามว่า เป็นนักปราชญ์ สมเด็จพระบิดาของพระองค์ ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จพระนางเจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระพุทธมารดา ทรงบริหาร พระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยพระครรภ์ เสด็จสวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคตจุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อม บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกามคุณ
พระบรมศาสดาครั้นเมื่อได้ฟังพระอุทายีเถระพรรณนาดังนั้น จึงตรัสถามถึงเหตุที่พระอุทายีเถระได้พรรณนาถึงการดังกล่าว พระอุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์ มีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระเถระอ้อนวอนแล้วอย่างนั้น ทรงเห็นว่า ประชาชนเป็นอันมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ เพราะการเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ในครั้งนั้น จึงมีพระดำรัสให้พระเถระแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ เพื่อภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตรสำหรับผู้จะไป พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อมด้วยภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังคะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จเดินทางวันละหนึ่งโยชน์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ทาง ๖๐ โยชน์ โดยเวลา ๒ เดือน จึงเสด็จหลีกจาริกไปโดยไม่รีบด่วน ฝ่ายพระเถระคิดว่า จักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้วแก่พระเจ้าสุทโธทนะ จึงเหาะขึ้นสู่อากาศไปปรากฏในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชาทรงเห็นอุทายีอำมาตย์ในเพศสมณะที่ไม่เคยทรงเห็นมาก่อน จึงทรงจำไม่ได้แล้วจึง ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร ? พระเถระตอบว่า ถ้าพระองค์จำอาตมภาพผู้เป็น บุตรอำมาตย์ที่พระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ไซร้ ขอพระองค์ จงทรงรู้อย่างนี้เถิด ดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า
อาตมภาพ เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใดย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย ไม่มีผู้เปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยการของอาตมภาพโดยธรรม
พระราชาเมื่อทรงจำพระเถระได้แล้วทรงดีพระทัย นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันมีค่ายิ่ง ทรงถวายบาตรบรรจุให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้แก่พระเถระ พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป พระราชาตรัสนิมนต์ให้นั่งฉันยังที่ที่จัดไว้ พระเถระทูลว่าจะไปฉันยังสำนักของพระศาสดา พระราชาตรัสถามถึงที่อยู่ของพระศาสดา พระอุทายีเถระทูลว่าขณะนี้พระศาสดามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกเพื่อจะเห็นพระองค์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงดีพระทัยตรัสว่า ท่านฉันภัตตาหารนี้แล้วจงนำบิณฑบาตจากพระราชนิเวศน์นี้ไปถวายพระโอรสนั้น จนกว่าพระโอรสของเราจะถึงพระนครนี้ พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระ พระเถระกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว บอกธรรมถวายแด่พระราชา และบริษัท ก็ทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ครั้นแล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็ตรัสให้อบบาตรด้วยจุณหอม บรรจุเต็มด้วยโภชนะอันอุดม แล้ววางไว้ที่มือของพระเถระ โดยตรัสว่า ท่านจงถวายพระตถาคต พระเถระก็ได้แสดงฤทธิ์ท่ามกลางชนชาววังทั้งปวง โดยได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสนำบิณฑบาตไปวางเฉพระที่พระหัตถ์ของพระศาสดาโดย ตรง พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น พระเถระได้นำบิณฑบาตมาถวายพระบรมศาสดาทุกวันๆ โดยลักษณะเช่นนี้ แม้พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตเฉพาะของพระเจ้าสุทโธทนะเท่านั้น ฝ่ายพระเถระในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวัน ได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่า นี้ วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ และได้ปลูกความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้น แก่เจ้าศากยะทั้งหลาย ด้วยกถาปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณ การที่พระเถระได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้นให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา ด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดาจึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายของเราผู้ ยังตระกูลให้เลื่อมใส
๐ เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์
ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฏในชาดกต่างๆ เช่น เกิดเป็น เป็นท้าวสักกะ พระพุทธองค์เสวยพระชาติ ร่วมกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอนุรุทธะ พระปุณณะ และพระอานนท์ เป็น ๗ พี่น้อง ใน ภิสชาดก
เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นมโหสถบัณฑิต ใน มโหสถบัณฑิตชาดก
ความสำคัญในพระพุทธศาสนา พระกาฬุทายีเถระจัดเป็น 1 ใน 40 เอตทัคคะในด้าน ผู้ยังสกุลที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล
บั้นปลายชีวิต ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ระบุว่าท่านดับขันธปรินิพพานเมื่อใดและที่ใด แต่ท่านคงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลจึงปรินิพพาน

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
http://www.manager.co.th/Dhamma/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น