...+

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กรรมของสาวงาม

สมัยที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏโมลีศรีศากยมุนีโคดม พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลายประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถีนั้น มีพระภิกษุพวกหนึ่งซึ่งจำพรรษาอยู่ที่ปัจจันตชนบทเมืองไกล เมื่อออกพรรษาแล้ว มีความปรารถนาใคร่จักมาเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จึงพากันโดยสารเรือเดินสมุทรลำใหญ่มา ในขณะที่เรือเดินสมุทรลำใหญ่เล่นมาถึงกึ่งกลางทะเลหลวง ก็เกิดอุบัติเหตุคือเรือหยุดนิ่งไม่สามารถที่จะแล่นต่อไปได้ นายเรือจึงสั่งให้บริวารของตนช่วยกันแก้ไข พวกบริวารช่างเครื่องเรือต่างก็ช่วยกันตรวจดูอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่ปรากฏว่าไม่มีความชำรุดเกิดขึ้นและอะไรที่เป็นเหตุให้เรือต้องหยุดเดินได้ ชนทั้งหลายก็ให้แปลกใจเป็นอันมาก

"ไม่มี นาย ! เรือเราไม่มีชำรุดเสียหายแห่งใดเลย เราจะทำอย่างไรกันดีละนาย !" ลูกเรือรายงาน

"ไม่มีได้หรือเว้ย! มีอย่างที่ไหน ถ้าเรือมันไม่เสียหายแล้ว มันจะหยุดนิ่งอยู่กับที่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน" นายเรือผู้กำลังนอนอยู่ในห้องกับภรรยาสาว กล่าวด้วยความโกรธ แล้วกระโดดลงจากที่นอนออกมาตรวจดูความชำรุดแห่งเรือด้วยตนเอง พร้อมกับนึกในใจว่าถ้าหากพบแล้วก็จักลงโทษเจ้าคนสะเพร่าเหล่านั้นให้เข็ด แม้เขาจะได้พยายามเที่ยวเดินสำรวจดูความเสียหายอยู่หลายตลบ ก็หาได้พบไม่ ในที่สุดจึงมานั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน แล้วพยักหน้าเรียกลูกเรือเข้ามาปรึกษากัน

"เรือเราไม่มีที่ชำรุดเลย ข้าตรวจดูจนทั่วแล้ว แต่เหตุไฉนมันจึงแล่นไปไม่ได้ แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเป็นเดือนเป็นปี พวกเรามิต้องกลายเป็นผีเฝ้าทะเลไปตามๆกันรึ เพราะเสบียงที่เรามีอยู่ อีกไม่ช้าก็จะหมดแล้ว"

นายเรือจึงสั่งให้บริวารลูกเรือไปเชิญผู้โดยสารทั้งหลายมาประชุมกัน และชี้แจงถึงเหตุที่เรือเดินสมุทรหยุดนิ่งเสียเฉย ๆ ให้ทราบ พร้อมกับขอร้องให้ผู้โดยสารทั้งหลาย ให้ช่วยกันวิจัยหาสาเหตุแห่งความขัดข้องในครั้งนี้

"ในเรื่องนี้ จะว่าเทวดาฟ้าดินบันดาลให้เป็นไปก็ใช่ที่ เพราะว่าเราทั้งปวงนี้หาได้มีความผิดคิดทรยศต่อเทวดาแต่ประการใดไม่ มันเรื่องอะไรของเทวดาที่จะมาแกล้งให้พวกเราตายเล่นอย่างสนุก ๆ เช่นนี้ เรามีความเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่าในบรรดาพวกเราที่อยู่ในเรือลำนี้ชะรอยจักมีคนกาลกิณีปะปนอยู่ด้วยคนเป็นแม่นมั้น ไม่เช่นนั้นแล้วไฉนเรือเดินสมุทร ซึ่งเป็นเรือดี ๆ จึงให้มีอันเป็นหยุดนิ่งเฉยอยู่อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้" ลูกเรือคนหนึ่งให้ความเห็น ผู้โดยสารคนอื่นต่างก็สนับสนุนกันอย่างเนืองแน่น

"แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่า คนไหนเป็นกาลกิณี เพราะในเรือนี้มีผู้คนโดยสารมากมายหลายคนด้วย"

" เสี่ยงทาย ! ใช้วิธีเสี่ยงทายโดยการให้จับสลาก จึงจะเป็นการดี ถ้าสลากกาลกิณีไปตกอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นคนกาลกิณี"

" เมื่อเราได้ตัวคนเป็นกาลกิณีแล้ว พวกเราจงช่วยกันจับเจ้าคนกาลกิณีนั้นโยนลงทะเลไป เมื่อกำจัดคนกาลกิณีตัวอัปมงคล ให้พ้นไปจากเรือได้เช่นนี้แล้ว เข้าใจว่า เรือคงเเล่นไปได้เป็นปรกติเหมือนเดิม และพวกเราก็คงจักพากันรอดตายได้อย่างแน่นอน"

เมื่อที่ประชุมปรึกษากันเป็นที่ตกลงดังนี้แล้ว นายเรือผู้รับผิดชอบชีวิตผู้โดยสารทั้งหลาย จึงสั่งให้บริวารของตนจัดแจงทำสลาก เสร็จแล้วก็ให้คนทั้งหลายในเรือนั้นจับสลากสิ้นทุกคนแม้แต่ตัวเองก็ไม่เว้น เมื่อการจับสลากเสร็จแล้วพอเปิดออกผลปรากฏว่าสลากกาลกิณีใบสำคัญนั้นตกไปอยู่ในมือหญิงวัยรุ่นสาวสวย ซึ่งเป็นภรรยาของนายเรือ!

" จับใหม่! จับใหม่อีกทีเพื่อให้เป็นที่แน่นอน" ผู้โดยสารผู้หนึ่งซึ่งมิค่อยจะเลื่อมใสในวิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็จำต้องนิ่งไว้ในเบื้องต้นเพราะไม่อาจที่จะคัดค้านความเห็นของคนส่วนมากได้ ครั้นเห็นสลากกาลกิณีมาตกอเยู่แก่หญิงสาวรุ่นเคราะห์ร้ายซึ่งตั้งอยู่ในวัยอันยังไม่สมควรจะตายเช่นนี้ ก็ให้นึกสงสารนางเป็นกำลัง จึงเสนอด้วยเสียงอันดังว่า " จับสลากใหม่อีกครั้งดีกว่า เพื่อที่พวกเราจักได้ทราบชัดอย่างแน่นอนว่าภรรยาของท่านนายเรือคนนี้จะเป็นกาลกิณีจริงหรือไม่ ถ้านางเป็นคนกาลกิณีจริง สลากกาลกิณีอันนี้คงจักต้องตกอยู่แก่นางอีกหรือท่านทั้งหลายจะว่าอย่างไร"

คนทั้งหลายต่างก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา ทั้งนี้ก็เพราะเกิดความสงสารหญิงสาวภรรยาของนายเรืออย่างจับใจนั้นเอง เมื่อทำการจับสลากใหม่อีก สลากกาลกิณีก็ตกไปอยู่ในมือของหญิงภรรยานายเรือนั้นอีก...เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง

ทุกคนเงียบกริบด้วยความประหลาดใจ แล้วพากันมองหน้านายเรือคล้ายกับจะว่า ท่านจะจัดการอย่างไรในเมื่อภรรยาของท่านเป็นคนกาลกิณี ในที่สุด นายเรือผู้มีน้ำใจเป็นประชาธิปไตย จึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แล้วประกาศด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า

" บัดนี้ พวกเราก็ได้รู้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าคนกาลกิณีคือใคร เพื่อความปลอดภัยของทุก ๆ คน ข้าพเจ้าขอสั่งท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับคนกาลกิณีโยนลงในน้ำ ตามกติกาสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้แต่เดิมเถิดแม้คนกาลกิณีนั้นจะเป็นภรรยาที่รักของข้าพเจ้าก็ตาม ท่านทั้งหลายก็จงอย่าได้เกรงใจเลย"

บุรุษลูกเรือทั้งหลาย ซึ่งเคยเห็นความเด็ดขาดของนายเรือมาแล้วเมื่อได้รับคำสั่งดังนั้น ต่างก็พลันเข้าจับภรรยาของนายเรือลากถูลู่ถูกังตั้งใจว่าจะเอาไปโยนทิ้งน้ำตามบัญชา สาวสวยกาลกิณีก็หวีดร้องทั้งดิ้นรนขัดขืนด้วยความรักตัวกลัวตาย และร้องเรียกนายเรือผู้เป็นสามีช่วย แต่ด้วยอำนาจแห่งอปราปริยเวทนียกรรมฝ่ายอกุศลที่ติดตามมาทันจึงบันดาลให้นายเรือนั้นออกคำสั่งสับทับขึ้นว่า

" ไหน ๆ ภรรยาของเราก็จักถึงซึ่งความตายแน่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงถอดอาภรณ์เครื่องประดับของนางแล้วแบ่งปันกันตามอัธยาศัยเถิด เพราะเครื่องประดับอันมีค่าเหล่านั้นเกิดประโยชน์แก่คนเป็น หาเกิดประโยชน์แก่คนตายแต่ประการใดไม่ ให้นางนุ่งแต่เพียงผ้าผืนเก่า ๆ แล้วจัดโยนทิ้งลงไปในน้ำ อนึ่ง เรามีความรักและสงสารนางเป็นอันมากไม่สามารถที่จะแลดูนางลอยอยู่เหนือหลังน้ำได้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเอาหม้อซึ่งเต็มไปด้วยทรายผูกไว้ที่คอนาง แล้วโยนลงไปในมหาสมุทรเถิด"

บุรุษลูกเรือก็พากันกระทำตามคำสั่ง ถอดอาภรณ์เครื่องประดับออกจากกายนาง แล้วจึงเอาหม้อซึ่งเต็มไปด้วยทรายมาผูกที่คอนางคนกาลกิณีแล้วจับตัวนางโยนลงไปในทะเลทันที แต่พอนางคนกาลกิณีถูกโยนลงจากเรือ ขาดใจตายกลายเป็นผีเฝ้าทะเลไปแล้วเท่านั้น ก็บังเกิดสิ่งน่าอัศจรรย์ขึ้นทันใด ด้วยว่าเรือเดินสมุทรลำใหญ่ ซึ่งติดขัดนิ่งอยู่เฉย ๆ มาหลายวันนั้น เรือก็กลับวิ่งอ้าวฝ่าคลื่นมหาสมุทรแล่นไปสู่ประเทศที่ประสงค์โดยปกติ

ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งโดยสารมากับเรือเดินสมุทรลำนั้น เมื่อได้ประสบการณ์ดังนี้ ก็ให้บังเกิดความสังเวชสงสารภรรยานายเรือ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นหญิงกาลกิณี จึงได้นำเรื่องนี้เข้าไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเรืองราวที่ตนประสบมานั้นทุกประการแล้วทูลถามว่า การที่หญิงสาวต้องมาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนกาลกิณี จนถึงกับต้องเคราะห์ร้ายกลายเป็นผี โดยที่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะช่วยได้แม่แต่นายเรือผู้เป็นสามีของนางเองนั้น เป็นเพราะเหตุไร

" ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! หญิงสาวโศภาภรรยาของนายเรือนั้นได้เสวยผลกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ในอดีต นางจึงต้องได้รับทุกข์โทษเช่นนั้น" ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสขึ้น หลังจากที่ได้ทรงสดับคำทูลถามของพระภิกษุเหล่านั้นจบลงแล้ว

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางได้เคยประกอบกรรมอะไรไว้ พระเจ้าข้า จึงต้องมารับทุกข์โทษถูกจับโยนลงทะเลทั้งเป็นเช่นนี้" ภิกษุเหล่านั้นทูลถามขึ้นอีก

"ถ้าเธอมีความสงสัยเช่นนี้ ก็จงตั้งใจฟังให้ดี" สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระคุณวิเศษสัพพัญญุตญาณ ทรงสามารถทราบชัดถึงกรรมแห่งสัตว์ทั้งปวง ตรัสเตือนสติพระภิกษุเหล่านั้นดังนี้แล้ว ก็ทรงเล่าเรื่องอันเป็นอดีตประวัติของนางแต่ชาติปางหลัง ดังต่อไปนี้

อดีตกาลนานมาแล้ว ภรรยาของนายเรือนั้น นางได้เคยเกิดเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับในชาตินี้เหมือนกัน โดยกำเนิดเป็นเด็กหญิงชาวบ้านธรรมดาในเขตเมืองพาราณสี พอเติบใหญ่เจริญวัยขึ้นมา ได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยาของมาณพหนุ่มผู้หนึ่ง

ตามธรรมดาหญิงนั้นเป็นคนขยันทำหน้าที่แม่บ้านโบราณโดยการตักน้ำและตำข้าวด้วยมือตนเองทั้งสิ้น ต่อมานางได้สุนัขพเนจรมาตัวหนึ่ง จึงซุบเลี้ยงไว้ในบ้านด้วยใจอารี จนสนัขนั้นมีความรักใคร่ในตัวนางเป็นยิ่งนัก ไม่ว่านางจะไปไหน มันย่อมจะติดตามไปด้วยเสมอ เช่น ในขณะที่นางจัดแจงกิจการบ้านเรือนหรือตำข้าว เจ้าสุนัขกตัญญูรู้คุณนั้น มันจะนอนเฝ้าแลดูนายสาวอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสายตาอันฉายแสงสำเเดงความภัคดีและรักใคร่เป็นหนักหนา

ในขณะที่นางนำอาหารไปส่งให้สามีที่นาก็ดี หรือขณะที่นางเข้าไปในป่าเพื่อเก็บผักหักฟืนก็ดี เจ้าสุนัขแสนรู้ย่อมจะวิ่งตามหลังนางไปทุกครั้งไม่ห่างได้

" นายพรานออกไปไล่เนื้อแล้วเว้ย ! พวกเราจงพากันมาดูหน้าให้ถนัด ๆ เถิด พรานคนนี้มิใช่ธรรมดา เป็นพรานสาวทรงโฉมสะคราญตา แต่ที่น่าแปลกประหลาดยิ่งไปกว่านั้น ก็คือว่าพรานสาวคนนี้ไม่ชอบเอามนุษย์เป็นเพื่อน เวลาเข้าไปในป่าชอบเอาแต่หมาตัวโปรดของเธอไปเพียงตัวเดียวเท่านั้น น่าอิจฉาเจ้าหมาสัตว์เดียรัจฉานนั้นเสียจริง หรือพวกเราว่าอย่างไร"

เสียเจ้าเด็กรุ่นหนุ่มปากเปราะไร้มรรยาททั้งหลาย ตะโกนล้อเลียนด้วยความคะนองดังมาเข้าหูนางอยู่เสมอทุกครั้งที่พวกมันได้เห็นนางไปกับสุนัข เสียงล้อเล่นอย่างไร้มรรยาทเหล่านี้ ทำให้นางมีความอับอายเป็นอันมาก แม้จะได้ตะโกนด่าว่าตอบไปบ้าง พวกมันก็หาฟังไม่ มิหน้ำซ้ำกลับกล่าวคำที่น่าบัดสีใจอีกหลายอย่างจนแทบจะฟังไม่ได้ในที่สุด

เมื่อนางไม่สามารถจะทำอะไรแก่เจ้าเด็กหนุ่มปากเสเพลเหล่านั้นได้ตามใจที่โกรธแล้ว นางก็หันมาโกรธเอากับเจ้าสุนัขตัวต้นเหตุ ไม่ปรารถนาที่จะให้สุนัขนั้นติดตามต่อไปอีก จึงคว้าไม้ไล่ตีให้มันหนีไปเป็นหลายหน แต่ถึงแม้จะไล่ทุบตีมันให้ได้รับบาดเจ็บด้วยความโกรธเพียงใร สุนัขเจ้ากรรมนั้นมันก็หาได้สำแดงอาการโกรธตอบ หรือหลบลี้หนีหายไปไหนไม่ กลับมองดูด้วยสายตาอันแสดงความจงรักภักดี และคอยติดตามคล้ายกับจะระแวดระวังภัยให้กับนางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

มีปัญหาแทรกเข้ามาในตอนนี้ว่า เพราะเหตุไร สุนัขเจ้ากรรมนั้นจึงมีใจผูกพันรักนางเป็นหนักหนา แม้นางจะลงอาญาทุบตีให้ได้รับบาดเจ็บอย่างไรก็ไม่คลายความรักในตัวนางเลย?"

วิสัชนาว่า เจ้าสัตว์เดียรัจฉานสุนัขพเนจรนั้น มันเคยเป็นสามีของนางในชาติที่ ๓ นับแต่ชาตินี้ขึ้นไป แต่เพราะมันมีใจชั่วประกอบอกุศลไว้มาในชาตินี้จึงเกิดเป็นสุนัขซึ่งเป็นสัตว์อบายภูมิ ไม่สามารถที่จะเกิดเป็นมนุษย์ในแดนมนุสสภูมิเหมือนกับนางได้

เพราะเหตุที่เคยเป็นสามีของนางในชาติก่อนมานี้เอง ฉะนั้นมันจึงไม่สามารถที่จะตัดความเสน่หาในตัวนางได้แม้นางจะแสดงกิริยาทารุณโหนดร้ายแก่มันสักเท่าใดก็ตามที แท้จริงขึ้นชื่อว่าเหล่าสัตว์ซึ่งยังมีปรกติท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในสงสารวัฏนี้ การที่ว่าจะไม่เคยเป็นสามีภรรยากันนั้นเป็นเป็นไปมิได้เลยเป็นอันขาด ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งคงจักต้องมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันมาแล้วแต่เพราะความยาวนานแห่งวัฏสงสาร ความสัมพันธ์ที่เคยมีมานานอันใด ความสัมพันธ์อันนั้น ย่อมมีสภาวะคือจืดจางเลือนรางและหายไป ส่วนความสัมพันธ์ใดที่เคยมีมาในอัตภาพไม่ไกล คือในชาติใกล้ ๆ เพียงสองสามชาติ ความสัมพันธ์อันนั้นยังไม่ทันจืดจางหายไป ความผูกพันและความเสน่หาย่อมปรากฏ ยังไม่ได้เคลื่อนถอนไปจากดวงใจ ด้วยเหตุนี้ สุนัขเคราะห์ร้ายซึ่งเคยมีความสัมพันธ์เป็นสามีของนางในเมื่อไม่กี่ชาติมานี้

จึงมีคววามผูกพันรักใคร่ในตัวนางเป็นยิ่งนัก แม้นางจักทำความเจ็บปวดให้แก่ตนประการใด ก็หาสลัดควาวมเสน่หาให้ออกไปจากดวงใจได้ไม่

แล้ววาระสุดท้ายของเจ้าสุนัขตัวมีศรรักปักอกก็มาถึง คือวันหนึ่งในขณะที่นางนำอาหารไปส่งสามีซึ่งทำงานอยู่ในนา โดยมีสุนัขเจ้ากรรมติดตามไปด้วยเช่นเคยนั้น เลียงล้อเลียนอันหยาบช้าก็มากระทบโสตของนางอีก

ซึ่งทำให้นางบังเกิดความโกรธและความระอายเป็นอันมากพลันแผนอุบาทว์ก็เริ่มผุดขึ้นในห้วงความคิด จึงกลับหลงหันเดินขึ้นไปบนบ้านหยิบเชือกเส้นใหญ่พอประมาณขึ้นมาท่อนหนึ่งแล้ว จึงเดินไปที่นา พอสามีรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาแบกหม้อข้าวเปล่ากลับบ้าน เมื่อมาถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง จึงแวะเข้าไปกอบโกยเอาทรายละเอียดยัดใส่ลงไปในหม้อใหญ่นั้นจนเต็ม เหลี่ยวมองดูรอบ ๆ ด้าน ครั้นเห็นว่าไม่มีใครแล้ว การกระทำอันสำเร็จเป็นปอราปริยเวทนีกรรมฝ่ายอกุศลกรรมก็เริ่มต้น โดยนางฝืนยิ้มแย้ม แล้วกวักมือเรียกสุนัขเจ้ากรรมนั้นเข้ามาใกล้ ๆ แสนสงสารเจ้าสุนัขผู้ไม่รู้ว่าความตายจักมาถึงตัว

เมื่อเห็นนายเราช่างใจดีจริงหนอเรียกเราเข้าไปใกล้ ๆ จะเป็นความสุขใจของเราเป็นอย่างยิ่ง หากว่านายจักมีใจเอ็นดูแก่เราเช่นนี้ทุกวัน " คิดดังนี้แล้ว ก็กระดิกหางวิ่งเข้าไปหมอบอยู่แทบเท้าของนางด้วยความสุขใจ ฝ่ายนางคนมีแผนการร้ายก็มิรอช้า เอาเชือกผูกหม้อซึ่งเต็มด้วยทรายเข้าที่คอของสุนัขตัวต้นเหตุที่ทำให้ได้รับความอับอายไม่หยุดหย่อน พร้อมกับกล่าวพึมพำออกมาว่า " แต่นี้ต่อไปเจ้าอย่าได้ติดตามเข้าไปอีกเลย จงตายเสียจากที่นี้เถิด การที่ข้าได้รับความอับอายขายหน้ามาช้านาน ก็เพราะเจ้านี่เเหละเป็นตัวการ"

พอผูกหม้อทรายเข้ากับคอสุนัขให้มั่นดีแล้ว จึงออกแรงผลักสุนัขนั้นให้กลิ้งลงไปในห้วงน้ำลึก สุนัขเคราะห์ร้ายก็จมดิ่งหายเงียบไปในน้ำและถึงแก่ความตายในขณะนั้นเองหญิงสาวใจบาปผู้กระทำฆาตกรรมสุนัขสำเร็จเป็นอปราปริยเวทนียกรรมนั้น

ครั้นสิ้นอายุในชาตินั้นแล้ว ก็ไปปฏิสนธิในอบายภูมิและมนุสสภูมิตามอำนาจวาสนา แล้วมาเกิดเป็นคนและได้เป็นภรรยาของนายเรือในชาติปัจจุปัน อปราปริยเวทนียกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามาตามทัน จึงต้องได้รับโทษโดยถูกสลากระบุเป็นคนกาลกิณีและถูกจับโยนลงทะเลด้วยวิธีผู้หม้อทรายถ่วงที่คอ ซึ่งปรากฏตามเรื่องที่เล่ามาแล้วข้างต้นนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น