...+

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เขาพระวิหาร กับการปรองดองของคนในชาติ

โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง 2 สิงหาคม 2553 17:33 น.
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

บทเรียนประวติศาสตร์การสมานฉันท์ หรือการสร้างความปรองดองของคนในชาติ บนแผ่นดินประเทศแอฟริกาใต้ ประธานาธิบดีเนลสัน แมนดาลา เคยใช้ “กีฬารักบี้” เป็นเครื่องมือหนุนเสริมสร้างความปรองดองระหว่างคนต่างสีผิวในแอฟริกาใต้ ทั้งๆ ที่ คนผิวขาว-ผิวดำ เคยมีความขัดแย้งแตกแยกรุนแรง ถึงขนาดหยิบอาวุธไล่ฆ่าฟันกันอย่างโหดร้าย แต่สามารถกลับมามีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างทุกวันนี้

ย้อนกลับมามองปัญหาในบ้านเรา...

น่า คิดว่า ขณะนี้ คนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าชื่นชอบหรือจะชิงชังรัฐบาลชุดนี้ หรือจะเอนเอียงไปทางสีไหน หรือจะมีสถานะ อาชีพ ถิ่นฐานอยู่ที่ใด ล้วนแต่มีความรู้สึกร่วมกันอย่างหนึ่ง คือ มีความวิตกกังวล ห่วงใยว่าประเทศไทยจะสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหาร ไปตกอยู่ใต้อำนาจบริหารจัดการตามแผนการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของฝ่าย กัมพูชา

แม้ว่าที่สุดแล้ว เรื่องนี้ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จะมีมติเลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่อยู่ ติดกับชายแดนไทยออกไปเป็นปีหน้า ในการประชุมครั้งต่อไปที่ประเทศบาห์เรน

เป็นอันว่า ประเทศไทยมีเวลา 1 ปี ในการที่จะเดินเรื่อง เจรจาต่อรอง ดำเนินวิเทโศบาย ทำงานการต่างประเทศไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่หมักหมมมาเนิ่นนาน กับกัมพูชา เพื่อรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สูงสุดของแผ่นดินอย่างแท้จริง

น่า จะช่วยกันคิดว่า ในระยะเวลา 1 ปี จากนี้ไป นอกจากไทยเราจะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ มิให้เสียรู้เขมร หรือเสียดินแดน เราจะสามารถใช้วิกฤติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นโอกาสในการดำเนินการไปสู่ความปรองดอง ความร่วมมือร่วมใจของคนในชาติ ความตระหนักถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของแผ่นดินสูงสุด ได้หรือไม่ อย่างไร

“รักบี้” กับการปรองดองในแอฟริกาใต้

ในประเทศแอฟริกาใต้ มีปัญหาความแตกแยก ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำ แต่เมื่อเนลสัน เมนดาลา ออกจากคุก ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของประเทศ ก็ดำเนินนโยบายเพื่อสร้างความปรองดองของคนในชาติ โดยมีมาตรการสำคัญหลายด้าน หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ การใช้กีฬารักบี้เป็นเครื่องมือสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำ

แต่เดิม รักบี้เป็นกีฬาที่นิยมเล่นเฉพาะคนผิวขาวเท่านั้น คนผิวดำที่เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมในแอฟริกาใต้ไม่เคยจะแยแสหรือสนใจ แม้แต่ในทีมชาติแอฟริกาใต้ก็มีแต่นักรักบี้ผิวขาวเกือบทั้งหมด คงมีนักกีฬาผิวดำอยู่เพียงคนเดียว ยามใดที่รักบี้ทีมชาติแอฟริกาใต้ไปแข่งขันกับชาติอื่นๆ คนแอฟริกาใต้ผิวดำก็ไม่เคยมีความรู้สึกอยากจะเชียร์ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกสะใจเมื่อเห็นทีมรักบี้ของประเทศแอฟริกาใต้พ่ายแพ้

สะท้อนว่า คนผิวดำในแอฟริกาใต้มีความรู้สึกรังเกียจคนผิวขาว ไม่ยอมรับ หรือไม่รู้สึกว่าคนผิวขาวเป็น “ชาติ” เดียวกันกับพวกตน

เมื่อประธานาธิบดีเนลสัน แมนดาลา ตัดสินใจที่จะใช้กีฬารักบี้ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความปรองดองระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาวในแอฟริกาใต้ สิ่งที่แมนดาลาทำ คือ

(1) เขาเป็นประธานาธิบดีผิวดำ เคยเป็นผู้นำการต่อสู้ของคนผิวดำ ที่ขัดแย้งกับคนผิวขาวในแอฟริกาใต้อย่างรุนแรงมายาวนาน แต่เขาตัดสินใจเดินเข้าไปชมกีฬารักบี้ที่มีคนผิวขาวเกือบทั้งทีม (มีนักกีฬาผิวดำคนเดียว) สัมผัสมือนักกีฬา กัปตันทีม ร่วมชมร่วมเชียร์ด้วยความรู้สึกว่านี่คือทีมของประเทศแอฟริกาใต้ของเขาเช่น เดียวกับคนผิวขาว

ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าแมนดาลาจะทำเช่นนั้น แม้แต่คนผิวดำซึ่งสนับสนุนเขามายาวนาน ต่างตกอกตกใจ และจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกไม่พอใจ

(2) หลังจากนั้น ประธานาธิบดีแมนดาลาได้เชิญกัปตันทีมรักบี้ผิวขาวเข้ามาหารือที่ทำเนียบฯ ให้เกียรติในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมชาติแอฟริกาใต้ พร้อมกับสนทนาขอเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างความสามัคคีในทีมรักบี้ ว่าทำอย่างไรจึงร่วมแรงร่วมใจ ทำงานเป็นทีมเดียวกันได้อย่างมีพลัง โดยกล่าวอย่างถ่อมตัวและให้ความสำคัญกับการสร้างทีมว่า คนเป็นประธานาธิบดีก็ไม่ต่างอะไรกับหัวหน้าทีมรักบี้ ที่จะต้องทำให้คนในชาติทำงานร่วมกันอย่างดีที่สุดให้ได้

(3) เมื่อเข้ามาเป็นประธานาธิบดี แมนดาลาตัดสินใจใช้เจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดีเดิมที่ เป็นคนผิวขาว ผสมผสานกับชุดรักษาความปลอดภัยที่เป็นคนผิวดำของตนเอง และเน้นย้ำให้ทำงานอย่างเป็นทีมให้จงได้ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นให้เห็นว่าจะต้องทำได้สำเร็จ ถึงขนาดเอาความปลอดภัยในชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน

(4) จัดให้ทีมรักบี้เป็นทูตสันติ ตระเวนสัญจรตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งในพื้นที่ของคนผิวดำ โดยมีกิจกรรมให้ร่วมกันทำกับเด็กๆ และคนในพื้นที่ต่างๆ เช่น การฝึกเล่นกีฬารักบี้ การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เป็นต้น ทำให้ผู้คนค่อยๆ หันเข้ามามีส่วนร่วม หรือเปิดใจให้กับกีฬารักบี้ของชาติ ในขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆ เปิดใจยอมรับนักรักบี้ ซึ่งมีสีผิวแตกต่างจากตนมากขึ้นเรื่อยๆ

(5) ประเทศแอฟริกาใต้ได้พยายามดำเนินการจนได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้โลก พร้อมๆ กับดำเนินการให้คนในชาติได้เกิดความรู้สึกมุ่งมั่นว่าจะต้องร่วมแรงร่วมใจ กัน เป็นทีมเดียวกัน เป็นชาติหนึ่งเดียวกัน เพื่อเอาชนะคู่แข่งจากชาติอื่นๆ

ถึงเวลานั้น ทั้งคนผิวดำหรือผิวขาว ต่างก็พร้อมใจกันเชียร์ทีมชาติแอฟริกาใต้ โดยเกิดความรู้สึกร่วมกันว่า ไม่ว่าจะผิวขาวหรือผิวดำ เมื่ออยู่ในทีมชาติแอฟริกาใต้ เราก็คือพวกเดียวกัน ทีมเดียวกัน ชาติเดียวกัน และมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน ซึ่งจะต้องร่วมต่อสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน

เขาพระวิหาร กับการปรองดองของคนในชาติ

ช่วงเวลา 1 ปี ต่อจากนี้ไป ประเทศไทยจำต้องร่วมแรงร่วมใจกันในเรื่องที่คนไทยมีความรู้สึกร่วมกันอยู่ เป็นพื้นฐาน คือ การรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยเหนือแผ่นดินของชาติ

โดยยึดถือ “ชาตินิยม” หมายถึง “นิยมผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติ”

มิใช่ “คลั่งชาติ” ที่หมายถึงการลุ่มหลงจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่อยู่บนพื้นฐานข้อมูลข้อเท้จจริงและความถูกต้องเป็นธรรม

(1) ในการเจรจาปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อไปนั้น รัฐบาลไทยจะต้องใช้กลไกของรัฐที่มีอยู่ในมืออย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการต่างประเทศ หรือกองทัพ

ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรจะปิดกั้น ปิดปาก หรือตัดรอนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องการจะแสดงออกถึงความหวงแหน และห่วงใยในผลประโยชน์ส่วนรวมของแผ่นดิน ตรงกันข้าม รัฐบาลน่าจะหาวิธีการสนับสนุน ส่งเสริมให้คนในชาติ ไม่ว่าจะสีใด ถิ่นฐานใด พรรคการเมืองใด ได้มีส่วนในการขับเคลื่อนเคลื่อนไหวอย่างตื่นตัว บนพื้นฐานข้อมูลข้อเท็จจริงที่รอบคอบรอบด้าน

อะไรที่นักการเมืองเคยมีการกระทำไม่ชอบมาพากลกันไว้ ก็ควรให้ประชาชนทุกฝ่ายได้ตรวจสอบ
ไม่เว้นแม้แต่ MoU 2543 ที่รัฐบาลยืนยันว่าเป็นประโยชน์ แต่ภาคประชาชนบางส่วนมองต่างมุม อยากให้ยกเลิก ก็ควรจะได้มีการถกแถลง อธิปราย วิพากษ์วิจารณ์และชี้แจงกันได้อย่างมีเหตุมีผลชัดเจน

(2) รัฐบาลไทยในฐานะตัวแทนของประเทศ จะต้องตั้งหลักให้มั่น และยึดถือผลประโยชน์สูงสุดของแผ่นดินเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป

2.1 แนวทางการเจรจาเขตแดน จะต้องยึดถือแนวสันปันน้ำ และแผนที่ต่างๆ มาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ตามแนวทางใน MoU 2543

2.2 แนวทางเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา รัฐบาลไทยควรแสดงให้เห็นถึงเหตุแห่งความจำเป็นและความสมบูรณ์ทางโบราณคดีใน อันที่จะนำไปสู่การพูดคุยเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันกับฝ่ายไทย ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่พิพากร่วมกันโดยสันติแล้ว ในทางโบราณคดีจะเห็นว่า ยังมีโบราณสถานอันเกี่ยวข้องกับตัวปราสาทพระวิหาร แต่อยู่ในดินแดนฝั่งไทยอีกหลายอย่าง ซึ่งหากขึ้นทะเบียนร่วมกันทั้งสองประเทศก็จะทำให้เกิดความสมบูรณ์ทาง โบราณคดีมากกว่าขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท อาทิ สระตราว สถูปคู่ ฯลฯ

2.3 ในการดำเนินการข้างต้น รัฐบาลและคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งที่อยู่ในประเทศและนอกประเทศ จะต้องร่วมกันผลักดัน ล็อบบี้ ประชาสัมพันธ์ อธิบายชี้แจง ทุกวิถีทาง ในส่วนที่ตนเองสามารถจะทำได้ เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดของชาติ ไม่ว่าจะเป็น การสื่อสารกับสังคมโลก การล็อบบี้กรรมการมรดกโลก การเคลื่อนไหวในประเทศที่เป็นสมาชิกกรรมการมรดกโลก ฯลฯ

กรณีในลักษณะนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยเท่านั้น แต่กับประเทศซีเรียและอาหรับก็มีปัญหาคล้ายๆ กับไทย เมื่ออิสราเอลพยายามผลักดันให้ที่ราบสูงที่ยังมีข้อพิพาทขึ้นเป็นมรดกโลก เช่นกัน

(3) ภายใต้แนวทางที่อยู่พื้นฐานผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักข้างต้น

รัฐบาลจะต้องแสดงบทบาทในฐานะที่มากกว่าการเป็นพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่ ใจกว้าง พยายามเชิญชวน ดึงดูดฝ่ายการเมืองต่างกลุ่มต่างพรรค เข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาของชาติ

ที่ สำคัญที่สุด คือ ภาคประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เขตศรีษะเกษ และชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ว่าจะชอบสีไหน ก็ควรจะมีเวทีได้พูดคุย สนทนา แลกเปลี่ยน และมีกิจกรรมร่วมมือกันในทางสร้างสรรค์ที่จะยังไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของ แผ่นดินร่วมกัน

แม้ขณะนี้ พรรคการเมืองฝ่ายค้านพยายามเล่นการเมืองเลยเถิด หวังผลเพียงจะปกป้องพวกพ้องของตนที่เคยกระทำผิด รัฐบาลก็ยิ่งสมควรจะต้องหาวิธีชักจูง ทำความเข้าใจ หวังให้พรรคฝ่ายค้านกลับมาร่วมกันทำงานบนพื้นฐานของผลประโยชนืส่วนรวม มิใช่ผลประโยชน์ของพวกพ้อง

แม้แต่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่รู้จักมักคุ้นกับทหารฝ่ายกัมพูชา และยังเคยแสดงอิทธิพลถึงขนาดเคยเดินทางไปพบฮุนเซน เพื่อปูทางให้ทักษิณ ชินวัตร ได้มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลฮุนเซ็น ก็ควรจะได้รับการเชิญชวนจากรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อให้เข้ามาร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน

ไม่เว้นแม้แต่ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่เป็นคนไทยที่ไปมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึงที่ปรึกษาฮุนเซน ก็สมควรจะได้รับโอกาสในการจะช่วยแก้ไขเยียวยาปัญหาของชาติ แต่จะต้องไม่เอาผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเป็นเงื่อนไขอีก เพราะจะยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายมากกว่าเดิม

(4) การดำเนินการทั้งหลายเหล่านี้ ต้องยึดถือ “ปัญหาร่วมกันของคนในชาติ” เป็นหลัก เพื่อสร้างสำนึกแห่งการพยายามจะร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาร่วมกันของคนในชาติขึ้นมาให้จงได้

ปัญหาร่วมกันในขณะนี้ คือ ทำอย่างไรมิให้ไทยเสียดินแดน

เมื่อทุกฝ่ายพยายามจะแก้ปัญหานี้เป็นหลักสำคัญ โดยเอาผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งหลายวางทิ้งไว้ก่อน เชื่อว่าคนในชาติทุกคนก็จะมีจุดหมายร่วมกัน มีสำนึกร่วมกัน และร่วมแรงร่วมใจกัน

มิใช่ยึดถือว่า ทำอย่างไรพรรคพวกตนจะพ้นผิด? ทำอย่างไรพรรคพวกตนจะได้ขึ้นมามีอำนาจ?

ใครที่คิดอย่างนี้ ในสถานการณ์แผ่นดินเช่นนี้ ถือว่ายิ่งกว่าเนรคุณแผ่นดิน

ยิ่งเมื่อเกิดความตึงเครียดในสถานการณ์ชายแดน หรือถ้าหากลุกลามถึงขั้นว่ามีการปะทะ เกิดเหตุรุนแรงขึ้น คนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ทุกสี ก็ยิ่งจะต้องผนึกกำลัง แรงกาย แรงใจ ร่วมกันให้เป็นหนึ่ง เอาผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นที่ตั้ง ปรองดองกันปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

การปรองดองไม่อาจได้มาโดยการขอให้ลืมเรื่องเก่า หรือเกี๊ยเซี๊ยะความผิดให้แก่ทุกฝ่าย

ควรที่ทุกฝ่ายจะได้ช่วยกันคิดต่อไปว่า ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ จะทำอย่างไรให้คนไทยที่คิดต่างกัน เกิดความรู้สึกถึงปัญหาร่วมกัน และมีกิจกรรมที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นมาร่วมกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น