...+

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สัญญาณอันตราย..หลังศึกอภิปรายฯ

โดย สำราญ รอดเพชร 1 มิถุนายน 2553 17:36 น.
เสียดายที่เขียนบทความชิ้นนี้ตอนเช้าวันอังคารที่ 1 มิ.ย. 2553
ไม่ทันได้รับฟังการอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
และคณะที่จะอภิปรายพุ่งเป้าไปที่รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย 2 คน คือ ชวรัตน์
ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม...

ซึ่งถ้าไม่เป็นมวยล้มต้มคนดู
ผมวาดหวังว่าน่าจะมีสาระกว่าการอภิปรายเรื่องการสลายการชุมนุม
ที่พรรคฝ่ายค้านส่วนใหญ่พยายามหากินกับศพแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ...

อันที่จริงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และอีก 5 รัฐมนตรีหนนี้
ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำเพราะปลายเดือนเม.ย. 2553
ขณะที่กระแสการชุมนุมของคนเสื้อแดงยังคึกคัก
พรรคเพื่อไทยได้ลงมติประกาศก้องแล้วว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลมือเปื้อน
เลือด แต่ทันทีที่แนวรบการชุมนุมพ่ายแพ้ทางการเมืองอย่างยับเยิน
เพราะเป็นการชุมนุมที่มีลักษณะการก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง
พรรคเพื่อไทยก็กลับลำกลืนน้ำลายขอเปิดอภิปรายอีก...

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทีก็ดีใจหาย....อาจจะรู้สึกว่าอยู่ๆ
ลูกบอลเข้าเท้า ฝ่ายค้านเดินเข้าร่องแข้งพอดี
ก็เลยจัดให้...ซึ่งในความเห็นส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยแม้น้อยนิด..

แล้วผลลัพธ์ของการอภิปรายเรื่องการสลายการชุมนุมเป็นอย่างไร
ผมคิดอย่างนี้ครับ..

ในมุมของพรรคเพื่อไทย
ผมคิดว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ได้ใช้เวทีสภา
ถ่ายทอดสดทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์
เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือใช้ศึกอภิปรายหนนี้ในการสื่อข่าว
ส่งความถึงประชาชนคนเสื้อแดง คนรากหญ้า หัวคะแนน
ที่อาจจะอยู่ในความท้อแท้สับสน
การอภิปรายเรื่องนี้จึงเป็นการเยียวยาจิตใจ..

รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ
พูดถูกเผงที่ว่า...เป็นการอภิปรายที่เป้าหมายจริงๆ
อยู่ที่ต้องการปลุกระดมให้คนลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง ต่อสู้อีกครั้ง...

นอกจากนี้กรณีเวทีอภิปรายหนนี้ยังเป็นเวทีฟอกตัวฟอกความผิดให้กับตัว
เองของพรรคเพื่อไทย ทั้งในนามพรรคและส่วนบุคคล อาทิ กรณี นายจตุพร
พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนและแกนนำ นปช., นายวิเชียร ขาวขำ
ส.ส.อุดรธานีที่สามารถใช้เวทีนี้แก้ต่างให้ตัวเองและจิกหัวด่ารัฐบาลได้สบาย
เฉิบ...และปฏิเสธไม่ได้ว่าภายใต้กรอบและมาตรฐานของคนเสื้อแดงนายจตุพรเขาก็
อภิปรายได้ดี ดุเด็ดเผ็ดมัน...

ในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะเป็นโอกาสที่ดีที่นายกฯ รองนายกฯ
ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเบื้องลึกเบื้องหลังการชุมนุม-การสลายการชุมนุม
ซึ่งในภาพรวมแล้วก็ถือว่าสอบผ่านและเชื่อเหลือเกินว่าเป็นการตอกย้ำความ
เชื่อ ความเข้าใจของชนชั้นกลางในเมืองหลวง
เมืองใหญ่ให้เห็นถึงภาพความเลวร้ายของการชุมนุมก่อการร้าย
ขณะเดียวกันพ่อยกแม่ยกของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองนายกฯ สุเทพ
เทือกสุบรรณ ก็คงจะรู้สึกโดนใจได้เฮได้กรี๊ดกันพอประมาณ....

โดยเฉพาะหนนี้สำหรับฝ่ายรัฐบาล น่าจะยกให้ "กำนันเทพเทือก" เป็น
แมนออฟเดอะแมตช์ จากการอัดหมัดเท้าเข่าศอกและจระเข้ฟาดหางใส่จตุพร
พรหมพันธุ์ ว่าโฉดช้าอำมหิตเผาบ้านเผาเมือง ละทิ้งมวลชน
และท่านกำนันยังยืนยันคำโตว่าการชุมนุมครั้งนี้เป็นการก่อการร้าย
อธิปไตยต้องเป็นของปวงชน ไม่ใช่ของทักษิณ ชินวัตร จอมบงการ...

แต่สำหรับมิตรรักแฟนเพลงของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน คนรากหญ้า
ที่ยังหลงใหลได้ปลื้มกับคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร
แน่นอนที่สุดว่าคงจะไม่โดนใจด้วย
ดีไม่ดีอาจจะชิงชังโกรธแค้นรัฐบาลหนักเข้าไปอีก...

ดังนั้นใครที่คาดหมายว่าประชาธิปัตย์จะขุดหลุมฝังพรรคเพื่อไทยจากศึกอภิปรายหนนี้
ผมว่าน่าจะคาดหมายผิด....

สรุป ว่า "ได้" ทั้งคู่
แต่ถามว่าแล้วบ้านเมืองได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ได้ความหวังใหม่ๆ
ที่เป็นทางออกให้กับบ้านเมืองบ้าง
ผมยังมองไม่เห็น..นอกจากจะได้ยินเสียงนายกฯ ยืนยันเดินหน้าแผนปรองดอง 5
ข้อ ขณะที่พรรคฝ่ายค้านสวนกลับว่าไม่เอาด้วยและไม่มีทางสำเร็จ...

เช่นนี้แล้ว ผมจึงไม่แน่ใจว่าศึกอภิปรายหนนี้จะคุ้มค่าแอร์ไทม์
ค่าไฟ ค่าดำเนินการถ่ายทอดสดหรือเปล่า!!??

แต่ก็เอาเถอะ ประสาคนมองโลกในแง่ดีมาถึงขนาดนี้แล้ว
ผมก็พยายามมองให้มันเป็นไปในแง่บวกว่าอย่างน้อยการด่ากันไปด่ากันมาก็ทำให้
ชาวบ้านได้รับข้อมูลบางข้อมูลที่อาจจะไม่ได้ยินไม่ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง
การถกเถียงที่จะเกิดขึ้นหลังการอภิปรายหนนี้ก็คงไม่ได้มีเฉพาะด้านที่แตกแยก
แต่คงจะมีด้านที่เรียนรู้ สร้างสรรค์กันบ้างไม่มากก็น้อย...

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เราน่าจะได้บทสรุปอีกครั้งว่าลำพังเพียงเวทีสภาหรือรัฐสภา
ไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย แต่ก็เช่นเดียวกันว่าเวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
เวทีราชประสงค์ เวทีสะพานมัฆวาน หรือเวทีนอกสภาก็ไม่ใช่คำตอบ...

ผมก็คงต้องเป็นแผ่นเสียงตกร่องที่จะตอกย้ำยืนยันอีกครั้งว่าขนาด
ปัญหาของประเทศไทย
โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาเลือดปีนี้มันกว้างใหญ่และร้าวลึกมาก
ทั้งในสภา นอกสภาและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย
โดยเริ่มต้นการนำจากนายกฯ ที่มีสภาวะผู้นำ...

ยากเหลือเกินที่จะรอวันบรรยากาศบ้านเมืองปรองดองสมานฉันท์
แล้วยุบสภาไปเลือกตั้ง...

สิ่งที่พอจะจับสัญญาณได้จากการอภิปรายของพรรคเพื่อไทย
พรรคเสื้อแดงหนนี้ก็คือ การปลุกระดุมให้คน (เสื้อแดง) ลุกฮือขึ้นมาอีก
ดังที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดในสภาเมื่อวานนั่นแหละ...

ผมสอบถามพรรคพวกเพื่อนฝูง และติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆ แล้ว
ค่อนข้างมั่นใจว่าการลุกฮือขึ้นสู้รอบใหม่ของคนเสื้อแดงน่าจะมีขึ้นในเดือน
สองเดือนนี้ ไม่ใช่ลุกฮือขึ้นมาชุมนุม แต่จะลุกฮือในรูปแบบใต้ดิน
การระเบิด วินาศกรรม ลอบสังหาร...

ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะตกที่นั่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินหน้า
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเข้มแข็ง ใช้หลักนิติรัฐ นิติธรรม
ที่พร่ำพูดกันให้เป็นจริง พร้อมๆ
กับเดินหน้าปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยดังที่กล่าวมาแล้ว
แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเน้นให้ระดับรากหญ้า นักการเมืองท้องถิ่น
คนทุกสีเสื้อเข้าร่วมด้วย
ไม่จำกัดวงเฉพาะนักวิชาการหรือปราชญ์แผ่นดินไม่กี่คนอย่างที่ทำๆ กันมา...

เพราะ โจทย์ใหญ่ประการหนึ่งของรัฐบาล ของประเทศคือ
เราจะใช้การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยหยุดการลุกฮือของมวลชน
นักการเมืองท้องถิ่นที่ถูกระบบอุปถัมภ์ ประชานิยม และทุนสามานย์
มอมเมาและมึนชาการคิดดีทำดีมาเนิ่นนาน ได้อย่างไร..คำตอบคือ
ตัวแทนของพวกเขาต้องมาร่วมปฏิรูปประเทศไทยด้วยกัน..

ครับวันนี้ ผมก็อภิปรายได้แค่นี้ตามนี้แหละครับท่านผู้อ่าน....


samr_rod@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น