...+

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องเก่าเล่าอีกหน

ปรีชา ส่งสัมพันธ์







เมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้ว คุณสุรพันธ์ ปานผา นักหนังสือพิมพ์จากเดลินิวส์ ได้รับมอบหมายให้จัดทำหนังสือชื่นชุมนุม ซึ่งเป็นหนังสือของสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ มาขอให้ผมช่วยเขียนเรื่องลงหนังสือ

คุณสุรพันธ์ บอกว่า เคยเห็นผมเขียนเรื่องลงหนังสือ "ต่วยตูน" และนิตยสารอื่นๆ คิดว่าผมคงจะเขียนเรื่องส่งให้เขาได้ ผมก็รับปากครึ่งๆ กลางๆว่าจะพยายามดู คิดว่า การเขียนเรื่องลงหนังสือของสมาคมหรือของโรงเรียนเก่านั้น คงจะมีแนวเรื่องให้เหมาะกับหนังสือ ซึ่งตอนนั้นก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า จะเขียนอะไรดี ประกอบกับมีงานประจำค่อนข้างมาก ก็เลยผัดผ่อนไปก่อน คุณสุรพันธ์มาทวงเรื่อง ๒-๓ครั้ง ไม่ได้ไป ก็คงจะลืมหรือขี้เกียจทวงก็เลยไม่ได้เขียนให้เขา



พอปีนี้ ผมเข้าไปมีส่วนร่วมทำงานในสมาคม บรรณาธการหนังสือฉบับนี้ก็ให้คนมาขอเรื่องลงหนังสืออีก คราวนี้เจอะเจอกันบ่อยหน่อย และคนขอเรื่องขยันทวงก็เลยเขียนเรื่องให้เขา ตอนนั้นตัดสินใจได้แล้วว่า เรื่องที่เขียนให้กับหนังสือนี้คงไม่มีอะไรดีกว่า การเขียนเรื่องของโรงเรียน ซึ่งก็หมายถึงต้องนำเอาเรื่องย้อนยุคในอดีตสมัยเมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วมาเล่าให้ผู้อ่านฟัง



หลังจากได้ส่งเรื่องไปแล้ว ผมก็ได้หนังสือชื่นชุมนุมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ ๒๕๔๐ ที่เขาเอาเรื่องไปตีพิมพ์มา ๑ เล่ม เปิดอานดูเรื่องที่เขียน ปรากฏว่า อ่านไม่ยักรู้เรื่อง คิดว่าผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงอ่านไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาเรียงหน้าต้นฉบับสับกัน เอาหน้า ๓ ไปลงก่อนหน้า ๒ ลำดับเหตุการณ์ของเรื่องเลยสับสนไปหมด ไม่ใช่ย้อนยุคอย่างเดียว ยังย้อนหน้าอีกด้วย เพื่อแก้ตัวสำหรับคนที่อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยคิดว่าขอนำเอาเรื่องนี้มาลงใหม่อีกครั้งหนึ่ง



โรงเรียนเทพศิรินทร์ในสมัยนี้ เท่าที่เคยนั่งรถผ่านไปมาเห็นว่า ผิดแผกไปจากสมัยเดิมมาก ประตูรั้วโรงเรียนในปัจจุบันเป็นรั้วโปร่งต่างกับในสมัยก่อน ประตูรั้วเป็นกำแพงหนาทึบเหมือนกำแพงวัด บริเวณตรงกลางเป็นสนามหญ้ามีต้นสักและต้นไม้ใหญ่อยู่รอบๆ และที่เด่นเป็นสง่าก็คือ ตัวตึกทรงโกธิคฝั่งละ ๒ ตึกของสนามหญ้า ทรงโกธิคนั้นเป็นทรงของสถาปัตยกรรมยุโรป มียอดประตูหน้าต่างแหลม คล้ายโบสถ์ของอังกฤษรุ่นเก่า ซึ่งความสวยงามแบบนี้ไม่ค่อยหลงเหลือให้เห็นกันในกรุงเทพฯ ปัจจุบันแล้ว



ในปีแรกที่ผมเรียนนั้น ก็คงเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆก็คือ ต้องนุ่งกางเกงขาสั้น ตัดผมเกรียน (๒.ซม.) เครื่องแบบกางเกงขาสั้นสีกากี ของโรงเรียนเทพศิรินทร์จะไม่ค่อยเหมือนกับชาวบ้าน หรือโรงเรียนอื่นเขานัก เพราะถูกบังคับให้ตัดยาวลงมาจรดถึงหัวเข่า จนบางคนที่ไปจีบสาวโรงเรียนอื่นถูกแซวกลับมาว่า "ลุงเชย" คำว่าลุงเชย เข้าใจว่าคงจะเอามาจาก ตัวละครเรื่อง พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต ที่มาจากบ้านนอก เขาทำอะไรเปิ่นๆ ไม่เหมือนใคร กรณีของเราก็คือถูกเขาล้อเลียนว่า เครื่องแบบและการแต่งกายเชยมาก



ในตอนแรกที่เข้าเรียนก็รู้สึกว่าตัวเองเชยๆ อย่างเขาว่าเหมือนกัน แต่พออยู่ไปก็เคยชิน และบางครั้งก็คิดว่าการมีเครื่องแบบที่ใครๆว่าเชยก็ดีไปอย่าง เพราะเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มองแต่ไกลก็รู้สึกว่าเป็นนักเรียนเทพศิรินทร์ ตึกเรียนใหญ่สองฟากสนามคือ ตึกแม้นศึกษาสถานและตึกเยาวมาลย์อุทิศ ตึกที่ผมเรียนก็คือ ตึกเยาวมาลย์อุทิศ ซึ่งเรียกกันสั้นๆว่า "ตึกเยาว์"



ฉากของเรื่องขำขันที่ผมอยากนำมาเล่าให้ฟังสนุกๆ เกิดขึ้นที่ตรงตึกเยาว์นี่แหละ เริ่มจาก....

กิจวัตรประจำวันทุกเช้าของพวกเรา ก็คือการเข้าแถวเป็นระเบียบหน้าตึกเรียนเพื่อเคารพธงชาติ พร้อมกับฟังคำอบรมหรือสิ่งที่ครูหรือทางโรงเรียนจะแจ้งหรือประกาศให้ทราบ ก่อนที่จะเดินเป็นแถวขึ้นตึกไปยังห้องเรียน ตรงระหว่างทางเดินขึ้นตึกเรียน จะมีครูผู้ปกครองคอบตรวจดูว่า มีใครบ้างที่แต่งกายไม่เรียบร้อย เป็นต้นว่า ไว้ผมยาวเกินไป ไม่ได้ปักชื่ออักษรโรงเรียนที่เสื้อ หรือนุ่งกางเกงสั้นเกินไป สวมรองเท้าผิดระเบียบ ใครที่แต่งตัวไม่ถูกต้องก็จะถูกเรียกตัวออกจากแถวกักตัวไว้ บางคนก็จะโดนทัณฑ์บน หรือโดนว่ากล่าว บางคนที่โดนไปหลายครั้งก็อาจจะโดนมาตรการขั้นเด็ดขาด เช่น โดนไล่ให้ไปตัดผมเดี๋ยวนั้นเลย เพระาทางโรงเรียนไปหาช่างตัดผมไว้คนหนึ่งประจำ อยู่ที่โรงรถหลังตึก หรือคนที่นุ่งกางเกงขาสั้นเกินไป ก็อาจจะโดนเลาะตะเข็บกางเกงให้ชายกางเกงมายาวรุ่งริ่งในทันทีนั้นเลย



ในเช้าวันนั้น บริเวณหน้าตึกค่อนข้างจะเฉอะแฉะ เพราะฝนที่ตกลงมาในตอนกลางคืนทั้งคืน พวกเราเข้าแถวกันหน้าตึกตามปกติ พอจบเพลงชาติก็ไม่ได้มีการกล่าวอบรมอะไรกันมาก ทุกคนเดินขึ้นตึกเรียนไปยังห้องเรียนของตน วันนั้นค่อนข้างโชคดีที่ไม่มีใครถูกเรียกออกจากแถว ทุกอย่างผ่านตลอดดูปลอดโปร่งดี



เรื่องมาเกิดตอนพวกเราเข้าไปถึงห้องเรียน ก็มีเสียงใครคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆผมพูดขึ้นว่า

" เฮ้ย...เหม็นอะไรวะ"

เพื่อนอีกคนหนึ่งก็พูดเสริมว่า

"นั่นซิ ใครเหยียบขี้หมาหน้าตึกเข้ามาหรือเปล่า"

หลายคนพลิกฝ่ารองเท้าตัวเองขึ้นดู เจ้าเฉียบซึ่งนั่งถัดไปจากผมไปสองสามที่นั่งบ่นอุบอิบ

"กูเอง"



แล้วก็หาเศษกระดาษสมุดเช็ดใต้พื้นรองเท้า....

เพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ร้องบอกเพื่อนคนอื่นว่า "เจอเจ้าของกลิ่นแล้วโว้ย โอ้โฮ เต็มเปาเลยว่ะ"



เพื่อนหลายคนพากันหัวเราะ เฉียบหันไปทางคนแซวแล้วเอากระดาษที่เช็ดใต้พื้นรองเท้าโยนใส่เพื่อน แต่เพื่อนคนนั้นหลบทัน แล้วหยิบกระดาษนั้นโยนกลับคืน แต่กระดาษไปไม่ถึงเพราะน้ำหนักเบา ไปตกอยู่ที่โต๊ะเพื่อนอีกคน เพื่อนคนนั้นก็หยิบโยนต่อไปให้เจ้าเฉียบ



ขณะที่กำลังโยนสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ใส่กันนั้น ครูจากวิทยาลัยครู ซึ่งเป็นครูฝึกสอนก็โผล่เข้ามาในห้อง เพื่อจะสอนตามตารางสอน เมื่อเห็นนักเรียนไม่ได้อยู่ในระเบียบก็ดุนักเรียนว่า "สามสี่คนนั้นทำอะไรกัน" พอเหลือบเห็นแผ่นกระดาษก็พูดว่า "แล้วนั่นกระดาษอะไร ไหนหยิบมานี่ซิ"

เฉียบทำหน้าเซ่อหยิบกระดาษให้ครูตามสั่ง ครูรับกระดาษ แต่พอมองเห็นว่ากระดาษเปื้อนอะไรก็รีบโยนทิ้ง แล้วสั่งให้คนถือมาเอาไปทิ้งนอกห้องเรียน เรียกเสียงหัวเราะจากนักเรียนหลายๆคน ครูฝึกสอนเดินหายออกไปจากห้องด้วยความโกรธ เข้าใจว่าคงไปฟ้องครูประจำชั้น หลังจากนั้นเพื่อนสองสามคนก็ถูกครูประจำชั้นเรียกไปชำระความตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการเรียน เรื่องขำขันนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่นึกทีไรก็อดยิ้มออกมาคนเดียวไม่ได้



หลังจากจบมัธยมแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันไป หลายคนไปเรียนต่อที่โรงเรียนอื่นก็เลยไม่ค่อยจะได้พบกัน จนกระทั่งเรียนจบแล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งดทรมานัดบอกว่าอยากพบเพื่อนฝูงสมัยเรียนมัธยม เพื่อจะได้ตั้งชมรมของรุ่นขึ้น สถานที่ที่เขาแจ้งขอนัดมาเป็นคาเฟ่แห่งหนึ่งแถวริมคลองประปา แถวๆบ้านพี่ต่วย แต่ในวันนั้นบังเอิญผมมีกิจธุระต้องไปต่างจังหวัดก็เลยบอกเขา ไปว่า คงไปไม่ได้ แต่บอกไปว่า หากมีนัดในคราวต่อไป ให้ช่วยโทรมาบอกด้วย รับรองว่าไปแน่ แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า

"ทำไมไปนัดที่คาเฟ่ล่ะ จะคุยกันรู้เรื่องเหรอ"

"ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าหยูมันเป็นคนเลือกสถานที่ ได้ยินว่ามันไปที่นั่นบ่อย"



"คงใกล้บ้านมันล่ะสิ"

"สงสัยคงมีอะไรดีๆในคาเฟ่นั้นมากกว่า" คนที่โทรมาชวนพูดพลางหัวเราะ "ครั้งที่แล้วนัดที่สวนอาหาร เมียตามไปลากตัวกันมาทีแล้ว แต่คราวนี้เป็นสถานที่ตั้งใหม่ไม่นาน เจ้าหยูบอกไม่มีทางตามถูก"

เพือนที่ชื่อ หยูนั้นเพื่อนๆในกลุ่มรู้ดีว่า เมียที่บ้านจะทำหน้าที่คล้ายสารวัตรทหาร ไม่ค่อยยอมให้สามีไปสำมะเลเทเมาที่ไหน รู้ว่าอยู่ที่ไหนต้องตามถึงที่ บางทีนั่งกินเหล้าอยู่ดีๆ เมียก็โผล่มาเรียกกลับบ้าน เป็นที่ร่ำลือในหมู่เพื่อนฝูง

หลังจากนั้นอีกสัปดาห์เศษ เฉียบก็โทรมาหา บอกว่าได้เบอร์โทรศัพท์จากเพื่อนที่นัดกันในวันนั้น เพราะได้รับมอบหมายจากเพื่อนให้สืบเสาะหาที่อยู่และเบอร์โทรของเพื่อนๆ เพื่อจะได้นัดชุมนุมกันได้ ผมได้ให้ที่อยู่เพื่อนกับเบอร์โทรศัพท์เพื่อนสองสามคนที่ผมยังติดต่อกับเขาไป แล้วก็ถามเขาทางโทรศัพท์ไปว่า นัดครั้งที่แล้วมีคนไปกี่คน ก้ได้รับคำตอบว่า ๖-๗ คน ผมบอกไปว่า "ก็ไม่เลวนะสำหรับนัดครั้งแรก เสียดายที่ติดธุระเลยไม่ได้ไป คราวหน้าอย่าลืมบอกมาแล้วกัน"



"ดีแล้วที่ครั้งที่แล้วไม่ได้ไป รู้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังนั่งคุยดีๆ เมียเจ้าหยูมันโผล่เข้ามา ตอนนั้นมีนักร้องนั่งอยู่ด้วยซิ"

"เป็นเรื่องเลยเหรอ? ไหนว่าคาเฟ่ใหม่เมียตามไม่ถูก"

"ก็ไม่ทันเกิดเรื่องหรอก เจ้าหยูมันเก่ง มันรู้ดีว่าควรทำยังไง มันรีบเดินออกไปขึ้นรถกลับบ้านแต่โดยดี ก็เลยไม่มีเรื่อง เมื่อวานนี้โทรคุยกับมันเล่าว่าเมียตามถูกเพราะแอบค้นกระเป๋า แล้วเจอใบเสร็จของคาเฟ่แห่งนี้ที่เคยไปครั้งที่แล้ว ก็เลยรู้ทั้งสถานที่พร้อมเบอร์โทรศัพท์"

"อ้าว... แล้วทำไมมันถึงเอาใบเสร็จไปเก็บไว้ในกระเป๋า ให้มีหลักฐานล่ะ"

"ก็มันเก็บไว้จะเอาไปเบิกค่าเอ็นเตอร์เทนลูกค้าไง"

เรื่องนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์ สำหรับท่านผู้อ่านที่ภริยาชอบสวมวิญญาณนักสืบตามล่าสามีอย่างคุณหยูเพื่อนคนนี้ว่า อย่าได้ประมาทเก็บหลักฐานใดๆติดตัวไว้เป็นอันขาด !!!







ที่มา ต่วยตูน ปักษ์แรก เดือนธันวาคม ๒๕๔๐ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๗

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น