...+

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ขอเพียงเป็นคนดี...

ขอเพียงเป็นคนดี...

หัวใจของคนดีคือ...เมตตา กรุณา
เมตตา...คือปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
กรุณา...คือความสงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเราของเรา แต่เป็นคุณธรรมในใจ
ที่สูงค่ามาก เพราะเป็นการเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น โดยไม่สนใจตัวเราเลย

'เมตตา กรุณา'...เป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นสากลของโลก ถ้าศึกษาใน
พระไตรปิฎก จะพบว่าอานิสงส์เป็นรองลงมาขากพระนิพพานเท่านั้น
พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุของท่านให้เจริญเมตตา อยู่เป็นนิตย์
ความมีเมตตาจะเป็นธรรมะที่ชนะความโกรธได้โดยตรง ท่านสอนถึง
ขั้นว่า ไม่ว่าใครก็ตาม พูดร้ายหรือทำร้ายพระภิกษุ ก็อย่าได้ตอบโต้
ขอให้เจริญเมตตาจิต แม้แต่จะโดนโจรนำเลื่อยมาตัดเป็นสองท่อน
ท่านก็ไม่ให้มีความโกรธ แต่ให้เจริญเมตตา

ความเมตตา...คือรักแท้ รักอื่นใดไม่อาจเทียบได้ เพราะความรักอื่นๆ
เจือปนด้วยความต้องการของตนเอง มีแต่เมตตา ที่ปรารถนาให้ผู้อื่น
เป็นสุขโดยไม่นึกถึงตนเอง...'ความเมตตา เป็นความรักแท้ของพระ-
พุทธองค์...เป็นความรักแท้ของพระเยซูเจ้า ที่มีต่อชาวโลก และเป็น
รักแท้ของพระศาสดา ทั้งหลาย

กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่งท่าน...มหาตมคานธี ได้โดยสารรถไฟที่เต็มไป
ด้วยชาวอินเดียที่ยากจน ท่านยืนเบียดเสียดอยู่ที่กระไดเพราะผู้โดยสาร
แน่นมากเมื่อรถไฟแล่นไปด้วยความเร็ว ท่านได้เผลอทำรองเท้าแตะหลุด
ตกลงไปข้างหนึ่ง ท่านรีบสลัดอีกข้างตามไปทันที เมื่อมีคนถามว่า
ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า...'สงสารคนที่เก็บรองเท้าได้ข้าง
แรกข้างเดียว เขาคงจะต้องเดินตามรางรถไฟเพื่อหวังจะได้รองเท้าอีก
ข้างหนึ่ง'....ท่านคาดหวังได้ว่า เมื่อคนผู้นั้นเจอรองเท้าครบสองข้าง
เขาคงจะเป็นสุขใจถึงเพียงไหน นี่คือความเมตตาของท่านมหาตมะคานธี
คือ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข นี้คือรักแท้ใช่หรือไม่ เป็นความรักของท่าน
ที่มีต่อชาวอินเดียที่ยากจน ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นใคร ความรักชนิดนี้
เป็นความรักที่โลกต้องการ นี้คือ...'เมตตาธรรม' เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
อย่างแท้จริง

ขอให้คิดว่า....ในโลกนี้ทุกคน ช่างน่าสงสาร ต่างก็เกลียดทุกข์ ปรารถนา
สุขทั้งสิ้น เกิดมาแล้วต่างก็ต้องตาย จะตายอย่างไรก็ไม่รู้ จะตายทรมาน
หรือตายสงบ ก็ไม่รู้ จะตายเมื่อไร ก็ไม่รู้ แต่ชะตาเดียวกันกับเราทั้งสิ้นคือ
ตายทุกคน ถ้าเขาได้ศึกษาพระธรรม เขาจะดำเนินชีวิตด้วยดีมีความสุขใจ
ตายแล้วก็ไปดี ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่เชื่อถือ ชีวิตก็มีทุกข์ใจ ไม่ว่าทรัพย์สินจะ
มากมายเพียงใด ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ และไปสู่ที่ไม่ดี อาจเป็นเปรต สัตว์
แม้แต่สัตว์นรก น่าสงสารทั้งนั้น ทั้งคนดี คนชั่ว เกิดมาแล้วช่างน่าสงสาร
เหมือนสัตว์อยู่ในเข่งรอเดินทางไปโรงฆ่าสัตว์ ทุกคน

เมื่อมีเมตตาแล้ว จะมี..'มุทิตา' ได้ง่าย คือพลอยยินดีกับผู้อื่น ไม่ต้องไป
อิจฉาอะไรใครเลย ฝึกใจให้ยินดีกับเขา เขามีเพราะเขาเคยทำมา เราไม่มี
เพราะเราไม่ทำมา หรือยังไม่ถึงเวลาของเราที่จะมี เราทำ อีกหน่อยเราก็มี
ทุกคนน่าสงสารอยู่แล้ว อะไรในโลกนี้ที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ จงทำเถิด
จงยินดีกับเขาเถิด...'อย่าอยู่เพื่อตนเองอย่างเดียว จงอยู่เพื่อผู้อื่นบ้าง'

เนื่องจากโลกนี้เต็มไปด้วยทุกข์ ที่เราไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน ขอให้
มีคุณธรรมอีกอย่าง คือ...'อุเบกขา' คือวางใจเป็นกลาง ปล่อยวางเสียบ้าง
ไม่ต้องไปยุ่งกับทุกเรื่อง ไม่ไปแทรกแซงทุกเรื่อง บางอย่างก็เป็นกฏแห่งกรรม
เราเองก็ฝืนไม่ได้ ได้แต่ตั้งใจปรารถนาดีเท่านั้น...เมตร-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา
คือ...'พรหมวิหารสี่' เป็นธรรมของพระพรหม แปลว่า...ธรรมประจำใจอัน
ประเสริฐ หรือ ธรรมประจำใจของท่านผู้มีคุณความดียิ่งใหญ่

ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร...ศีล สมาธิ ปัญญา จะมีมากน้อยเพียงใด
ขอเพียงแค่เป็นคนดี ขอให้มีความดีอันนี้ คือ...'เมตตา กรุณา ฯ'
เป็นเบื้องต้น นี้คือ...หัวใจของการเป็นคนดี...ฯ

~น.ท. น.พ. จักรพงศ์ ไพบูรย์/ผู้เรียบเรียง~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ฯ
กล้วยไม้มีดอกช้า..ฉันใด
การศึกษา..ความรัก..ความฝัน
ก็เป็นไปฉันนั้น..
แต่ยามมีดอกมาคราไร..งามเด่น
การศึกษา..ความรัก..ความฝัน
ก็เช่นกัน..
เมื่อเราปลูกเพาะ..ด้วยปัญญา..
ความเข้าใจ..มากมาย..
ยามสำเร็จก็แสนสุดจะงาม
          Natnaree T.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น