...+

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โกหกระยำ ทำไมพี่น้องสีแดงจึงเชื่อ

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ-สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์


ท่านผู้อ่านที่เคารพ

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคมนี้ อาจเกิด Worst Case Scenario
หรือเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น
ประมุข

ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ดังกล่าวก็คือความฝันอันสูงส่งหรือ best
case scenario ของระบอบทักษิณ

ความฝันของระบอบทักษิณอาจจะใกล้จะเป็นความจริงอย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็
ได้ เพราะระบอบทักษิณสามารถปลุกระดมด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
ใช้เทคโนโลยีสื่อดีที่สุด ใช้เงินและคนมากที่สุด
และมีเสรีภาพบริบูรณ์ไม่มีผู้ใดขัดขวางและโต้แย้งใดๆ ได้
แม้แต่รัฐบาลและกลไกลของรัฐเอื้ออำนวยให้ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ผมได้ดูรายการแดงทั้งแผ่นดินที่ทักษิณพูดปลุกระดมมาที่ชุมนุมใน
มุกดาหาร และแพร่ภาพไปทั่วประเทศอย่างโจ๋งครึ่ม แล้วก็สิ้นสงสัย
และเตรียมทำใจ

เมื่อทักษิณสามารถทำให้คนเชื่อได้ทั้งแผ่นดิน
ก็ทำไมไทยจึงจะไม่แดงทั้งแผ่นดินเล่า

จะถามอีกไยว่าทำไมคนจึงเชื่อความ (เท็จ) จริงวันนี้ของทักษิณ
ก็ในเมื่อเสียงของพวกเรา และเสียงอย่างสุทธิพงษ์
ปรัชญพฤทธิ์ไม่มีใครได้ยิน

ผมติดตามข้อเขียนของสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์มานาน
สุทธิพงษ์จบสัตวแพทย์จากเกษตรฯ
แต่วิเคราะห์เศรษฐกิจได้ดีมีข้อมูลและหลักคิดลึกซึ้ง
ไม่แพ้นักเศรษฐศาสตร์ไทย ซึ่งส่วนมากขี้เกียจและไม่เข้าท่า
งานของของสุทธิพงษ์ไม่แพร่หลาย สุทธิพงษ์ไม่เคยได้รับทุนวิจัย
ไม่ได้รับเชิญไปพูด ไม่ใช่ความผิดของสุทธิพงษ์ สื่อ
วงวิชาการและสังคมไทยไม่เอาไหนเองต่างหาก

ผมเอาเรื่องของสุทธิพงษ์มาปรับเป็น '10 ระยำที่ทักษิณนำมาโกหก'
มีผู้อ่านกว่า 5 หมื่นคน สุทธิพงษ์เกิดแล้ว
แต่เมืองไทยที่เรารู้จักกำลังจะดับ เพราะไม่มีใครยอมเชื่อสุทธิพงษ์

ข้างล่างนี้เป็นอีกตอนหนึ่งของสุทธิพงษ์

9. การขายชาติ วิกฤตเศรษฐกิจจากการพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2537
ทำให้ประเทศไทยประสบภาวะเศรษฐกิจที่รุนแรง
ทำให้สินทรัพย์ของประเทศตกเป็นของต่างชาติอย่างที่ไม่มีทางเลี่ยง
ส่วนตัวทักษิณกลับทำให้เกิดการขายสมบัติชาติมากขึ้น
แก้กฎหมายการถือครองธุรกิจโทรคมนาคมจากต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25
เปอร์เซ็นต์ เป็นไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์
ยกเลิกสัดส่วนกรรมการที่เป็นต่างชาติจากไม่เกิน 1 ใน 4 (25 เปอร์เซ็นต์)
ให้ต่างชาติเป็นกรรมการ 100 เปอร์เซ็นต์
เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจชินคอร์ป ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ AIS
แล้วปั่นราคาชินคอร์ปขึ้นมาขายให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์
เป็นการขายวงโคจรดาวเทียมของชาติให้สิงคโปร์

กรณีการขายสิทธิการบินของ (ไทย) แอร์เอเชีย (วันที่ 8 สิงหาคม
2546) ชินคอร์ปถือหุ้น 50% แอร์เอเชียมาเลเซียถือหุ้น 49% และทัศพล
แบเลเว็ลด์ ถือหุ้น 1% แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัทไทยแอร์เอเชีย
หลังจากมีการขายชินคอร์ปให้สิงคโปร์ต้นปี 2549
ทำให้ไทยแอร์เอเชียถือหุ้นโดยต่างชาติ 99 เปอร์เซ็นต์ทันที
ส่งผลให้ไทยแอร์เอเชียกระทำผิด พ.ร.บ.การเดินอากาศไทย พ.ศ. 2497
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2542 ที่ระบุว่าสายการบินสัญชาติไทย
ต้องมีนิติบุคคลไทยและมีบุคคลธรรมดาถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่า 51%
..ภายหลังมีการตั้งนอมินีคนไทยมาซื้อหุ้นไทยแอร์เอเชียส่วนที่เป็นของชิน
คอร์ป 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ความผิดก็เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว

แทนที่ทักษิณจะให้การบินไทย ร่วมหุ้นกับแอร์เอเชียของมาเลเซีย
แต่กลับเอาไปให้ธุรกิจส่วนตน (ชินคอร์ป) มาร่วมทุนกับมาเลเซีย
ทำธุรกิจแข่งกับการบินไทย แย่งเส้นทางการบินไทย
ลดค่าบริการการจอดที่สนามบินลง 50 เปอร์เซ็นต์
ทำให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยสูญเสียรายได้ คือตัวอย่างหนึ่ง
จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน

ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ลงทุนสูงกว่าสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 1 แสนล้านบาท ..ปี 2547
ทักษิณก็ยกเป็นสัมปทานให้กลุ่มบริษัท ฮัทชิสัน พอร์ต โฮลดิ้ง
ของนายลีกาชิง มหาเศรษฐีฮ่องกง ที่ชนะการประมูลท่าเรือ 6 แห่งต่ำมาก
เพียง 60,000 ล้านบาทระยะเวลา 30 ปี นายลีกาชิง
คาดหมายค่าขนส่งทางทะเลได้เหนือทักษิณ
จากช่วงต้นที่นายลีกาชิงประมูลท่าเรือแหลมฉบังได้ ดัชนีค่าระวางเรือ
(BDI) อยู่ที่ระดับ 3,000 จุด ต่อมาอีก 4 ปี ค่าระวางเรือสูงขึ้นทะลุ
10,000 จุด ประเทศไทยได้ค่าสัมปทานต่ำสุด
แต่นายลีกาชิงมั่งคั่งขึ้นผู้เดียว

ทรัพย์สินของคนไทยต้องเป็นคนไทย เศรษฐกิจแบบพอเพียง
คือมีสัมมาอาชีวะ มีอยู่มีกินตามอัตภาพ การขายวงโคจรดาวเทียม
การขายโทรศัพท์มือถือ การขายสิทธิการบิน
การให้สัมปทานกิจการท่าเรือแหลมฉบัง
การให้เช่าหรือการขายที่นาให้ต่างชาติ
จะเป็นการกระทำของนายทุนที่มีความโลภจัด เอารัดเอาเปรียบระบบ
ขายสมบัติชาติ เพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
ไม่เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

การขายดังกล่าวไม่ใช่การขายสินค้าให้ต่างชาติ แต่เป็นการขายทุน
(ที่ใช้ผลิตสินค้า) ของชาติให้ต่างชาติ ข้อกล่าวหาต่อทักษิณขายชินคอร์ป
ไม่ใช่ขายชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษีให้ประเทศชาติ
ข้อกว่าวหาที่แท้จริงคือการขายชาติ

"ทุนของโลกาภิวัตน์ไม่มีพรมแดน" เป็นข้ออ้างของ นช.ทักษิณ
ของคนที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เป็นการโฆษณาลวงให้เชื่อว่า
เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว ชอบธรรมแล้ว ในการขายชาติ
เอาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อระบบ
ความมั่งคั่งเป็นของส่วนบุคคล ทำให้ความมั่นคงของชาติเสียหาย

ความผิดปกติของโลกทุนนิยม
จะทำให้สินทรัพย์ของคนในชาติตกเป็นของต่างชาติมากขึ้น
เหตุที่เกิดกับสถาบันการเงินของไทย ก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด
ว่าให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์
สถาบันการเงินของไทยส่วนใหญ่ตกเป็นของต่างชาติเกิน 25 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยกลับถูกซ้ำเติมการขายชาติจากอดีตนายกฯ ทักษิณ
ชินวัตรอีก

การทุจริตโครงการจัดซื้อที่ดินมูลจากกองทุนฟื้นฟูฯ (ที่ดินรัชดาฯ)
ทุจริตการจัดซื้อกล้ายาง
ทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้
โดยสาร และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX โครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย
3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
และการให้เงินกู้โดยทุจริตของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย
คือพฤติการณ์ทุจริตประพฤติมิชอบ

..แก้ไขสัญญาข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ
ใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid)
..แก้ไขสัญญาข้อตกลงปรับเกณฑ์การตัดส่วนแบ่งรายได้ให้บริษัท ทีโอที จำกัด
(มหาชน) ..ตราพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม
และได้มีมติคณะรัฐมนตรีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต
เพื่อประโยชน์แก่บริษัท แอดวานส์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (AIS)
ทำให้รัฐเสียหายรวม 103,034 ล้านบาท

..ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)
เช่าและลงทุนระบบคลื่นความถี่ดาวเทียมของบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด
(มหาชน) โดยไม่จำเป็น ทำให้รัฐเสียหาย 700 ล้านบาท

สั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM
Bank) ให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการของบริษัทชิน
แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ..อาศัยการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
นำผลประโยชน์ของชาติแลกเปลี่ยนบุกเบิกตลาดธุรกิจดาวเทียมให้แก่สายธุรกิจดาว
เทียมในเครือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เพิ่มมูลค่าธุรกิจดาวเทียมของบริษัทชิน แซทเทลไลท์
แก้กฎหมายการถือครองธุรกิจโทรคมนาคมจากให้ต่างชาติถือครองธุรกิจคมนาคม
ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์
ยกเลิกสัดส่วนกรรมการต่างชาติ จากไม่เกิน 1 ใน 4
เป็นต่างชาติเป็นกรรมการได้ 100 เปอร์เซ็นต์
เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ชินคอร์ปฯ
เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความร่ำรวยผิดปกติ

คนส่วนหนึ่งเข้าใจว่า มันเป็นสมบัติของทักษิณ
มันเป็นความสามารถของทักษิณ เป็นสิทธิที่จะทำได้ เป็นคนไทย
ต้องรักประเทศไทย รักคนร่วมชาติ ไม่เอารัดเอาเปรียบคนในชาติ
ไม่โกหกหลอกลวงคนในชาติ เรื่องการรักษาสมบัติของชาติ (ของคนในชาติ)
ให้เป็นของคนไทย คือปรัชญาที่ถูกต้อง จึงได้มีกฎหมาย
ไม่ให้ต่างชาติถือครองสินทรัพย์ของประเทศเกิน 10 - 25 เปอร์เซ็นต์
และต้องหาทางไม่ให้ต่างชาติถือครองสินทรัพย์ของไทยเกิน 10 - 25
เปอร์เซ็นต์ การแก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นหรือสินทรัพย์ไทยไม่เกิน 50
เปอร์เซ็นต์ เป็นความไม่ถูก
เป็นความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวของนายทุนแต่อย่างเดียว
ซึ่งคนประเภทนี้มีไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ของคนในชาติ ที่คิดขายชาติ
เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองตลอดเวลา

ระยำ ระยำ ระยำ คนดีๆ เขาไม่ทำ แล้วทำไมคนยังเชื่อ

ก็เพราะปล่อยให้มันโฆษณาปลุกปั่นอย่างเสรีทุกวันนะซี


ขอบคุณ


ปราโมทย์ นาครทรรพ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093029

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น