...+

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

'เสน่ห์สาธารณะ' และการเมืองในห้องอาหาร

โดย คำนูณ สิทธิสมาน 16 สิงหาคม 2552 13:47 น.
และแล้ววุฒิสภาก็ลงมติในวาระที่ 1
รับร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.
..... หรือนัยหนึ่งร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท
ไว้พิจารณาหลังจากมีสมาชิกอภิปรายทั้งสิ้น 61 คน
ด้วยคะแนนเสียงที่ออกมาขาดลอยเกินคาด 110 ต่อ 21 เสียง

แน่นอน ผมเป็น 1 ใน 21
เสียงที่ลงมติไม่รับไว้พิจารณาด้วยเหตุผลหลักๆ
อย่างที่กล่าวไว้ในข้อเขียนสัปดาห์ที่แล้วหรือ ที่นำมาสรุปสั้นๆ ชัดๆ
ในคำอภิปรายที่ไปขอแลกคิวเขาขอขึ้นพูดเป็นคนที่ 61 สุดท้ายว่า
ที่รับไม่ได้เพราะมันขัดหลักการ และจะเป็นตัวอย่างที่เลวให้กับรัฐบาลต่อๆ
ไปในอนาคต แม้จะเข้าใจและเชื่อใจนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพอสมควร
แต่ก็ต้องตัดสินใจในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ
จะให้ยกมือรับได้อย่างไรในเมื่อพิจารณาแล้วว่านี่คือ....

1 พระราชบัญญัติยกเว้นรัฐธรรมนูญ 1 หมวด 5 มาตรา

1 มาตรายกเว้นพระราชบัญญัติหลัก 3 ฉบับ

1 ระเบียบฯ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเทียบเท่ารัฐธรรมนูญ

ยิ่งรู้ว่าโอกาสแพ้มีสูงมาก ยิ่งต้องยืนหยัด
ในเมื่ออย่างไรเสียรัฐบาลก็จะชนะแน่นอนอยู่แล้ว
การมีเสียงคัดค้านที่หนักแน่นในหลักการบันทึกไว้จึงจะเป็นเครื่องเตือนใจ
รัฐบาลในการใช้จ่ายเงินกู้อย่างระมัดระวังสูงสุด
นอกจากนั้นยังเป็นการบันทึกการทำงานของตัวเราเองไว้ด้วย

ต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับสำหรับท่านผู้อ่านที่รักนายกฯ อภิสิทธิ์
ก่อนจะเข้ามาคอมเมนต์ผมในเว็บเมเนเจอร์ออนไลน์
ว่าผมไม่ได้คัดค้านการใช้เงินในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ไม่ได้คัดค้านการกู้เงิน แต่คัดค้านวิธีการใช้เงินและการกู้เงิน
ที่ผมต้องการให้เป็นเงินในงบประมาณ เดินตามแนวทางรัฐธรรมนูญหมวด 8
ไม่ใช่ใช้เป็นเงินนอกงบประมาณที่ทั้งยกเว้นรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลักอื่นๆ

และไม่ใช่ความเห็นผมคนเดียว เป็นความเห็นของ
ส.ว.จำนวนไม่น้อยที่อภิปรายวันนั้น ที่โดดเด่นจนผมจำได้แม่นคือ ส.ว.พิเชต
สุนทรพิพิธ ซึ่งเคยเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน
และปัจจุบันเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย
ประจำปี 2553 ของวุฒิสภา, ส.ว.จำนง สวมประคำ อดีตเลขาธิการวุฒิสภา
และปัจจุบันเป็นรองประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย
ประจำปี 2553 และ ฯลฯ ที่ผมไม่อาจเอ่ยชื่อได้หมด

นายกฯ อภิสิทธิ์ที่ขึ้นตอบก่อนลงมติก็ไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง
เพียงบอกว่าไม่มีทางเลือกจริงๆ

ผมเคยพูดเสมอมา - รวมทั้งต่อหน้าท่าน - ว่านายกฯ
คนนี้เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษอย่างยิ่งประการหนึ่ง คือมี "เสน่ห์สาธารณะ"
สูงมาก หน้าตาดีสะอาดสะอ้านน่าเชื่อถือ
ภูมิหลังทางครอบครัวและการศึกษาดีมาก สุภาพ จับประเด็นเก่ง ความจำแม่นยำ
โวหารคมคาย เมื่อถึงคราวต้องเชือดเฉือนก็สุดยอดไม่แพ้คุณชวน
หลีกภัยแม่แบบของท่าน แต่เมื่อถึงคราวต้อง "อ้อน" ดูจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ

แต่นายกฯ
พูดกว่าครึ่งชั่วโมงคืนนั้นพูดตามตรงว่าไม่ได้เปลี่ยนใจการตัดสินใจของสมาชิกสักเท่าไร

สมาชิกที่ตัดสินใจรับร่างพ.ร.บ.นี้จำนวนหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยกับรัฐบาล เห็นไม่ต่างกับผมหรอกในหลักการ
แต่ที่ตัดสินใจโหวตรับก็เพราะต้องการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ
เพราะถ้าโหวตไม่รับ ร่างพ.ร.บ.ก็จะกลับสู่สภาผู้แทนราษฎร
หากได้มติยืนยันเกินกึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าผ่านรัฐสภาครบกระบวนการ
ประกาศใช้ได้โดยไม่มีการแก้ไข ซึ่งต้องไม่ลืมว่าในการพิจารณาวารระที่ 1
ของสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านวอล์คเอาต์ กฎหมายจึงผ่านสภาผู้แทนราษฎร 3
วาระรวดโดยไม่มีการแก้ไขแม้แต่คำเดียว

เรื่องนี้รู้กันมาแต่ต้น เพราะในกลุ่ม 40
ส.ว.ก็คิดอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 5 - 6 คนรวมทั้งผมด้วยที่เห็นต่าง
ปรากฏชัดเจนมาตั้งแต่ครั้งลงมติผ่านพระราชกำหนดกู้เงิน 4
แสนล้านบาทเมื่อคืนวันที่ 22 มิถุนายน 2552 โน่นแล้ว
ซึ่งก็เป็นความงามประการหนึ่งที่พวกเราเคารพซึ่งกันและกัน!

แต่มีสมาชิกอีกจำนวนหนึ่งที่น่าจะมาตัดสินใจในตอนค่ำ
ก่อนลงมติไม่กี่นาที และน่าจะก่อนนายกฯ ขึ้นชี้แจงตอนเกือบ 3 ทุ่ม

นายกฯ อภิสิทธิ์เดินพูดคุยทักทายแทบทุกโต๊ะในห้องอาหารข้างห้องประชุมด้วยกิริยามารยาทสุภาพ
อ่อนน้อม มือพนมก้มคารวะ

ขอโอกาสทำงาน ขอเครื่องมือให้รัฐบาลได้ทำงาน

มีข้ออ่อนประการใด ขอให้บอกมา
รัฐบาลยินดีรับฟังและแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

นี่แหละครับที่ผมเรียกว่า "เสน่ห์สาธารณะ" ใครเห็นใครรัก

บนพื้นฐานที่วุฒิสภาไม่ใช่สภาการเมืองที่แบ่งเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล
สมาชิกจำนวนมากค่อนข้างอาวุโส อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าไปได้
ไม่อยากให้เกิดทางตันหรือการเผชิญหน้าโดยไม่จำเป็น
แม้จะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล แต่ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ
เรื่องที่จะลงมติสวนรัฐบาลจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ
ที่สำคัญคือทุกคนเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรมไทยเป็นเอกลักษณ์
เมื่อคนเป็นนายกรัฐมนตรีให้เกียรติมารับฟัง พูดคุย
และรับทั้งข้อติติงข้อสังเกตไปปรับปรุง การตัดสินใจในกรณีนี้ที่ ส.ว.ตวง
อันทะไชยอภิปรายว่า "ยากที่สุดในโลก..." ก็ไม่ยากอีกต่อไป

การเมืองไทย หรือการเมืองที่ไหนในโลก
บางครั้งไม่ได้ตัดสินกันบนเวทีอภิปรายที่ถ่ายทอดสดไปทั่ว

แต่ตัดสินกันชั่วไม่กี่นาทีในห้องอาหารหรือห้องกาแฟ

การไปเรียนหลักสูตรระดับสูงต่างๆ ไม่ว่า ว.ป.อ.
(วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร), ป.ป.ร. (หลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า)
บ.ย.ส. (หลักสูตรของกระทรวงยุติธรรม) หรือต่อไปก็จะต้องรวม พ.ต.ส.
(หลักสูตรของ ก.ก.ต.) ก็เช่นกันครับ
วิชาที่นักศึกษาอาวุโสสนใจและได้รับความรู้มากที่สุดไม่ใช่ในห้องบรรยายสถาน
เดียวเสมอไป แต่ยังรวมการสนทนาในห้องอาหารหรือห้องกาแฟ
และในงานเลี้ยงรุ่นเลี้ยงกลุ่มต่างๆ รวมทั้งงานหาทุนในสนามกอล์ฟ

อันที่จริงร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาก็ดีไปอย่าง

เพราะกระบวนการยังไม่จบ

ผมไม่ได้เป็นกรรมาธิการวิสามัญ เหตุหนึ่งเพราะไม่ใช่คิว
และไปเลือกเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
2553 ไปแล้ว

อีกเหตุหนึ่งก็เพราะตั้งใจไว้ก่อนว่าจะขอใช้สิทธิแปรญัตติในฐานะ
ส.ว.คนหนึ่ง ซึ่งก็ได้เตรียมการทางความคิดไว้ก่อนการลงมติเมื่อคืนวันจันทร์ที่
10 สิงหาคม 2552 แล้ว
พอผลออกมาก็ให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งข้างนอกข้างในสภาช่วยกันระดมความคิด
จนสามารถเสนอคำแปรญัตติได้ภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2552 ก่อนครบกำหนด 7
วันตามข้อบังคับหลายวันอยู่

ยังไม่เล่ารายละเอียด ณ ที่นี้นะครับ เพราะแปรญัตติไปกว่า 10
ประเด็น ตั้งแต่ชื่อกฎหมาย คำปรารภ และ 2 ใน 3 ของมาตราที่มีอยู่

ก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในฐานะส่วนหนึ่งของฝ่ายนิติบัญญัติ

เพราะนี่คือการกู้เงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันชดใช้ในอนาคต

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093025

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น