...+

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หากยังเห็นผิด ก็หาทางออกไม่ได้ สับสนไปหมด

หากยังเห็นผิด ก็หาทางออกไม่ได้ สับสนไปหมด
โดย ดร.ป.เพชรอริยะ


หากท่านทั้งหลายอ่าน
สภาพการณ์ที่แท้จริงของเมืองไทยไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ก็ไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขการเมืองไทยให้ลุล่วงไปได้
จะกลายเป็นการโกหกประชาชนอย่างซ้ำซาก รวมทั้งการเสียทรัพย์ เสียพลังงาน
เสี่ยงภัย เสียเวลา และที่ร้ายกาจที่สุดจะนำไปสู่ความหายนะ
เพราะความเห็นผิดว่าเป็นประชาธิปไตย ดังทัศนคติของตัวแทนผู้ปกครอง

ข่าวเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่หอประชุมศรีบูรพา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มธ. ปาฐกถานำเรื่อง
"พัฒนาการของรัฐชาติกับความขัดแย้งภายในของชาวสยาม" ใจความย่อได้แนะนำ
"ให้เปิดพื้นที่การเมืองภาคประชาชนให้มากขึ้นกว่าเดิม
และหยุดใช้ความขัดแย้งมาเป็นเครื่องมือในการรวมศูนย์อำนาจ"

ผู้เขียนมองจากสภาพความเป็นจริง
สภาวะของการเมืองไทยที่มันดำรงอยู่จริงๆ มันไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
แต่สภาพความเป็นจริงมันเป็นเผด็จการโดยเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ ผู้ปกครองก็รู้
แต่กลบเกลื่อนไว้ ด้วยองค์ความรู้ไม่พอที่จะคิดแก้ไข
แท้จริงแนวคิดของอาจารย์เสกสรรค์ ก็แสดงชัดอยู่แล้วว่า
การเปิดพื้นที่การเมืองภาคประชาชนให้มากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง
และประชาชนตกเป็นแนวร่วม มันเป็นปัญหาของระบอบเผด็จการรูปแบบใดแบบหนึ่ง
ส่วนในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ก็ไม่ต้องมาพูดกันแบบนี้แล้ว

นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า "การ รัฐประหารในปี 2549
ไม่ได้ถอยหลังชั่วคราวเพื่อก้าวสู่ประชาธิปไตยแต่อย่างใด ภายในระยะเวลา 3
ปีครึ่ง การเมืองถอยหลังแบบต่อเนื่อง กล่าวได้ว่า 70
ปีประชาธิปไตยไทยทำให้เกิดการเมืองที่ไม่สมดุล ไม่มีพลวัต
มีแต่คำถามว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ยุบสภาเมื่อไหร่
เมื่อการเมืองไม่ลงตัวจึงเป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ไทยจึงอยู่ในสภาวะวิกฤตที่ไม่สามารถแก้ได้
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรจะก้าวผ่านไปโดยไม่เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่ความรุนแรง"

แท้จริงการรัฐประหารทุกครั้ง นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
จนถึงครั้งล่าสุด รวม 14 ครั้ง ได้เปลี่ยนแปลงคณะผู้ปกครองเท่านั้นเอง
แต่โดยเนื้อหายังคงเดิม คือยังคงรักษาเผด็จการไว้เช่นเดิม
ทำไม่ถึงได้กล่างอย่างนั้น เพราะผู้ปกครองเห็นผิดเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ
คือระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ลงท้ายด้วยรัฐประหารทุกครั้งไป หากประเทศไทย
เป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อหาแท้จริงแล้ว รัฐประหารจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
อย่างเช่น อเมริกา อินเดีย ซึ่งมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งมาก
แต่ก็ไม่เคยทำรัฐประหารเลยสักครั้งเดียว
เพราะอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นของปวงชนจริงๆ
ประชาชนมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศ เค้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติ
และมีความรับผิดชอบสูงมากในการไปเลือกตัวแทนของเขา
การเลือกตั้งในประเทศอินเดีย ไม่รู้จักกับการซื้อสิทธิขายเสียง

ความเห็นของ นายจาตุรนต์ โดยเนื้อหาได้บ่งบอกชัดอยู่ในตัวแล้วว่า
ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย หากว่า นายจาตุรนต์ พูดว่า 70 ปี
ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ก็จะพูดสอดคล้องกับความเป็นจริง
แล้วก็จะได้ร่วมมือกันแก้ไข ความเป็นเอกภาพในชาติ ก็จะเกิดขึ้น

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า "10
ปีที่ผ่านมาเป็นการเมืองภายใต้ยุค "พาณิชยาธิปไตย"
เป็นประชาธิปไตยที่มุ่งกำไรสูงสุด มีพ่อค้าพาณิชย์ นักธุรกิจ
หลั่งไหลเข้าสู่วงการทางการเมือง
คนพวกนี้ส่วนหนึ่งเข้ามาแล้วยังรู้สึกตัวเป็นนักธุรกิจ
ใช้กลไกรัฐเอื้อประโยชน์ตัวเองและมุ่งกำไรสูงสุด
ทำให้การคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นจากเดิม 3-5% เป็น 20%
มีการเรียกเก็บเบี้ยบ้ายรายทาง มีค่านิยมใหม่เกิดขึ้นว่า
"โกงได้แต่ขอให้มีผลงาน"
ตรงนี้ทำให้ประชาธิปไตยไม่น่าไว้วางใจและไม่มีประสิทธิภาพ
หากไม่ระงับยับยั้งก็คงแย่"

ผู้เขียนเห็นว่า
ถ้าการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยถูกต้องอย่างแท้จริงแล้ว
ใครจะเข้ามาเป็นนักการเมืองก็ได้หมด มีเสรีภาพ
สมัครอิสระไม่ต้องสังกัดพรรค และไม่ต้องไปจดทะเบียนพรรคกับกลไกรัฐใดๆ
เข้าสู่การเมืองเพื่อสร้างสรรค์ ให้ประโยชน์กับประเทศชาติ
แต่การที่เราได้เห็นนักการเมืองทุกพรรค เข้ามาโกงกิน
ฉ้อราษฎร์บังหลวงชนิดปล้นแผ่นดิน ดังที่เป็นมาและกำลังเป็นอยู่นี้
แท้จริงเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ สาระที่ นายบัญญัติ พูดมานั้น
ได้สะท้อนให้เห็นสภาพของการปกครองแบบเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่
ดุจปลวกกินบ้าน หากว่าท่านพูดความจริงก็จะพูดว่า
เผด็จการไม่น่าไว้วางใจและไม่มีประสิทธิภาพ หากไม่ยับยั้งก็คงแย่
ทุกฝ่ายก็จะได้ร่วมมือกันแก้ไข สร้างสรรค์การเมืองใหม่
สู่การเมืองการปกครองโดยธรรม

ศ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กล่าวว่า "การคอร์รัปชันถือว่าเป็นตัวหนึ่งที่ทำลายประชาธิปไตย
แต่ตัวการสำคัญที่ทำลายการเมืองอย่างแท้จริง คือ การรัฐประหาร
การแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการใช้รัฐประหารนั้นถือเป็นข้ออ้างเท่านั้น"

ศ.ผาสุก ท่านจะไม่ชำนาญเรื่องการเมือง
ดังที่ท่านได้แสดงความเห็นมานั้นท่านเข้าใจผิดแท้จริง
ระบอบประชาธิปไตยปรามปรามหรือทำลายคอร์รัปชัน
ดังเช่นในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายเพราะด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง
การคอร์รัปชัน เป็นผลของระบอบเผด็จการ
และรัฐประหารเกิดจากสภาพการเมืองที่แท้จริงเป็นเผด็จการ
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ไม่อยากเห็นการคอร์รัปชัน ก็ต้องปฏิเสธ
ระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ไม่อยากเห็นการทำรัฐประหาร
เราก็ต้องร่วมมือกันล้มเลิกระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ
หรือโดยกฎหมายลงให้ได้

ในอดีตสภาพที่แท้จริงของประเทศไทยยังไม่เป็นระบอบประชาธิปไตย
การทำรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
เป็นเพียงเปลี่ยนคณะผู้ปกครองและรูปแบบการปกครองเท่านั้น
การที่เรามีรัฐธรรมนูญ (กฎหมาย) ก็ดี เรามีรูปการปกครองคือระบบรัฐสภาก็ดี
มีการเลือกตั้ง มีการสรรหา มีสภาผู้แทนราษฎร มีวุฒิสภา
และเรามีรัฐบาลก็ดี เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ
รูปแบบการปกครองเท่านั้น อย่าไปหลงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
เหตุการณ์ในอดีต คณะผู้ปกครองอยู่ๆ ก็บัญญัติ คำว่า "ระบอบประชาธิปไตย"
ขึ้นมาลอยๆ เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1
บททั่วไป ในมาตรา 2

มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เกิดขึ้นด้วยอำนาจรัฐในยุคจอมเผด็จการโดย
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี

เป็น จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ โมเมสุดๆ เห็นผิดที่สุด
ร้ายกาจที่สุด เป็นเล่ห์กลเผด็จการเพื่อครอบงำ
สร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการในยุคนั้น
และต่อมาก็ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 พ. ศ. 2511 ใน มาตรา 2
ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาต่างก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรม ฉบับ พ.ศ. 2517,
2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลา
เบาปัญญา เป็นทายาทอสูร โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว
สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้นยาวนานถึง 77 ปีแล้ว

ความเห็นผิดดังกล่าว คือการสร้างรัฐธรรมนูญ
เพื่อที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย ไม่มีประเทศไหนในโลกเขาทำกัน
การสร้างระบอบประชาธิปไตยด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ร้อยครั้งพันฉบับ
ก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นมาในประเทศ
ดังนั้นปัญญาชนทั้งหลายนำไปตรองดูเถิด แล้วก็อย่างแดกดัน อย่าโกรธ
อย่าพาลกัน อย่าทำร้ายกัน ขอให้สู้กันด้วยสันติ ด้วยปัญญาจริงๆ
ขอให้มีความตั้งใจกันจริงๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของชาติร่วมกัน

ท่านทั้งหลายโปรดเข้าใจว่าสรรพสิ่งย่อมมี เนื้อหากับรูปแบบ
เนื้อหาต้องมาก่อนรูปแบบเสมอไป ความเห็นย่อมมาก่อนความคิด
ความคิดย่อมมาก่อนการพูดและการกระทำ เช่น เราคิดวางแผนสร้างเครื่องบิน
สร้างตึก ฯลฯ เมื่อทำเสร็จแล้วรูปแบบจึงมาทีหลัง ก็เช่นเดียวกัน
การสร้างระบอบฯ หรือหลักการปกครอง
ก็คือการนำเนื้อหาสาระสำคัญจากความเป็นมาของชาติจากลักษณะพิเศษของชาติ
อันเป็นแก่นแท้ของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และธรรม
ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกัน เช่น หลักเสรีภาพบริบูรณ์
หลักความเสมอภาค หลักภราดรภาพ หลักเอกภาพ หลักดุลยภาพ หลักนิติธรรม
เป็นต้น อันเป็นเหตุให้เกิดความยุติธรรมต่อปวงชนในชาติ

การสถาปนาระบอบ คือการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมขึ้นมาก่อน
สำหรับประเทศไทยแล้วมีเพียง
พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ เท่านั้น

ผู้เขียนเห็นว่า ความเห็นผิดของคณะผู้ปกครอง
และระบอบการเมืองปัจจุบัน
เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่
ที่จะดำเนินการสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7
ที่พระองค์ทรงวางแผนการสถาปนาการปกครองโดยธรรม ค้างคาไว้

ดังนี้แล้ว พวกเราพสกนิกรทั้งหลาย ผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ช่วยกันส่งเสียงเรียกร้อง ผลักดันด้วยปัญญาอย่างสันติ
"ทรงพระเจริญ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม" "ทรงพระเจริญ
สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม" "ทรงพระเจริญ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม"
เปล่งเสียงก้องทั่วทั้งแผ่นดิน การเปลี่ยนไปสู่การเมืองใหม่โดยธรรม
ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างสันติสู่การสร้างสรรค์ชาติอย่างยิ่งใหญ่ต่อไป
นำไปตรองดูด้วยปัญญาเถิด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073410

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น