...+
▼
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552
ผบ.ทบ. กับ “ยุทธศาสตร์ปราบยุง”
โดย สิริอัญญา
เรื่องที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ารัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงมากที่ สุดในขณะนี้เห็นจะไม่มีเรื่องใดเท่ากับเรื่อง “แผนตากสิน” ซึ่งกำลังเป็นข่าวฮือฮาและเนื้อหาของแผนนี้ก็บ่งชี้ว่าประหนึ่งเป็นแผนที่ การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ
คือล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วก่อตั้งระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญปัจจุบัน และการกระทำทั้งปวงย่อมเป็นความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้สัมภาษณ์สรุปเนื้อหาของแผนตากสินว่าประกอบด้วยการเคลื่อนไหว 4 ด้าน คือ
ด้านแรก เป็นการเคลื่อนไหวในต่างประเทศเพื่อทำลายความเชื่อมั่นประเทศไทย และสถาบันต่างๆ รวมทั้งกดดันนายกรัฐมนตรี
ด้านที่สอง เป็นการเคลื่อนไหวในสภาเพื่อกดดันรัฐบาลไม่ให้บริหารราชการแผ่นดินได้โดย สะดวก ทำให้นโยบายต่างๆ ไม่สามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ และทำให้ประชาชนผิดหวังในการดำเนินงานของรัฐบาล
ด้านที่สาม เป็นการเคลื่อนไหวของพลังมวลชนเพื่อต่อต้านและล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเริ่มต้นจากการขับไล่ด่าว่าทำร้ายคณะรัฐมนตรี และยกระดับไปสู่การก่อความรุนแรงและก่อจลาจลแบบเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬ
ด้านที่สี่ เป็นการเคลื่อนไหวทางวิชาการและสื่อมวลชนเพื่อให้เห็นว่าอำนาจเก่าเป็น ประชาธิปไตย อำนาจใหม่เป็นเผด็จการ โดยมุ่งเป้าหมายทำลายกองทัพ สถาบันศาล สถาบันองคมนตรี และสถาบันเบื้องสูง เพื่อให้ประชาชนปฏิเสธและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครและในจังหวัดต่างๆ แม้กระทั่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะสอดคล้องกับ เนื้อหาและรายละเอียดของแผนตากสินแทบทุกประการ
นอก จากท่าทีของโฆษกรัฐบาลดังกล่าวแล้ว ยังปรากฏท่าทีจากผู้บัญชาการทหารอากาศซึ่งได้เตือนตำรวจให้เร่งจัดการกับ ขบวนการล้มล้างการปกครองอย่างเฉียบขาด พร้อมทั้งระบุว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ติดตามเรื่องนี้มาระยะหนึ่ง และกำลังติดตามอยู่อย่างใกล้ชิด
ล่าสุดพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2552 ว่า “ขณะนี้กำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแผนการที่ต้องการล้มล้างรัฐบาล ที่ใช้ชื่อว่าแผนตากสินอยู่”
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้กล่าวเตือนว่า “ผู้ที่มีความคิดจะกระทำสิ่งใดที่มีผลกระทบต่อสถาบันหลัก ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ทั้งนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของแผนการเคลื่อนไหวควรจะยุติบทบาทเพราะเป็นการ ทำร้ายประเทศชาติและประชาชน”
ในวันเดียวกันก็ปรากฏว่าในปี 2552 นี้ กองทัพได้เพิ่มกำลังพลจากการเกณฑ์ทหารขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยข่าวระบุว่าเพื่อเป็นการเตรียมกำลังพลไว้สำหรับรองรับกับการเคลื่อนไหว ของพลังมวลชนที่มีแนวโน้มว่าจะก่อความรุนแรงถึงขั้นจลาจล เช่นเดียวกับการเผาบ้านเผาเมืองในเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬ
จาก ปรากฏการณ์และข่าวคราวความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าขณะนี้รัฐบาล และหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ตระหนักอย่างชัดเจนว่ามีขบวนการที่ต้องการล้ม ล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จริง
ซึ่งแน่นอนว่าการดำเนินงานของขบวนการดังกล่าวนั้นย่อมไม่ใช่การ ชุมนุมอย่างสันติและปราศจากอาวุธอันเป็นสิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย หากมีเป้าหมายใหญ่หลวงที่จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าแผนตากสินนั้นมีอยู่จริง โดยข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนทั้งหมด ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าขณะนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงมีรายละเอียดทั้งหมดของ แผนการดังกล่าว ตลอดจนได้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวตามแผนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วย
ทว่าที่ผ่านมานั้นรัฐบาลพยายามใช้ท่าทีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ ปรากฏในลักษณะประนีประนอมปรองดอง ไม่ว่าเรื่องหนักเบาประการใดก็ใช้ท่าทีว่าเป็นการเคลื่อนไหวในระบอบ ประชาธิปไตย
ทั้งพยายามเอาอกเอาใจจนออกนอกหน้า ไม่ว่าด้วยการแสดงท่าทีว่าจะเร่งรัดคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือการปล่อยปละละเลยให้ผู้มีส่วนได้เสียในคดี 7 ตุลาคม 2551 ทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน 21 พันธมิตรฯ ต่อไป ทั้งๆ ที่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างชัดแจ้ง
ถึงขนาดมีข่าวปรากฏว่ามีการสั่งการกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้หาทาง สอบสวนเอาแกนนำพันธมิตรฯ ไปเข้าคุกให้จงได้ จนเป็นเหตุให้นายตำรวจดังกล่าวซึ่งแม้เป็นปรปักษ์อยู่กับพันธมิตรฯ ไม่อาจยอมรับได้ เพราะรู้เห็นอยู่กับตัวว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ไม่ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตน หากผิดชอบแค่ไหนก็ควรจะว่ากันแค่นั้น ไยต้องพยายามทำสำนวนให้เข้าคุกให้จงได้เล่า?
จึงมีการถอนตัวออกจากการสอบสวนเรื่องดังกล่าว และเป็นเหตุให้กลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มไม่ไว้วางใจรัฐบาล จนเป็นเรื่องราวระหองระแหงกันอยู่ในขณะนี้
ความ จริงได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าถึงแม้จะพยายามปรองดองหรือเอาอกเอาใจอย่างไร แม้ถึงขั้นฆ่ามิตรที่เสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็ไม่มีวันได้ผล เพราะขบวนการดังกล่าวไม่มีวันหยุดยั้งหรือยุติการดำเนินการเลยแม้แต่น้อย
หากยังเคลื่อนไหวอย่างคึกคักกว้างขวางและได้ประกาศวันทำศึกแตกหัก แล้วในวันที่ 29 มีนาคม 2552 แต่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะรัฐบาลใช้วิชาตัวเบากำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนวันดังกล่าวถึง 1 สัปดาห์ ทำให้การเตรียมการไม่ทันท่วงที
ทำให้รัฐบาลไม่ต้องห่วงศึกสภาและสามารถรับศึกมวลชนแต่เพียงด้านเดียวได้อย่างถนัดมือ
แต่ ถึงกระนั้นความจริงก็ได้ยืนยันแล้วว่าการเคลื่อนขบวนรบ 4 ทิศทางดังที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงไว้นั้นกำลังถูกยกระดับอย่างเข้ม ข้น เพื่อเร่งวันแตกหักให้มาถึงโดยเร็ว
ข้อน่าสังเกตอยู่ที่ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการทหารบกที่ครั้ง นี้พุ่งตรงไปยังคนที่อยู่เบื้องหลังของแผนการเคลื่อนไหวตามแผนตากสิน และจี้ให้หยุดการเคลื่อนไหวโดยถือว่าเป็นการทำลายชาติและประชาชน นับเป็นสัญญาณใหม่ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
เพราะการจี้ไปถึง “คนที่อยู่เบื้องหลังของแผนการเคลื่อนไหว” เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีการกล่าวถึงหรือแตะต้องบุคคลดังกล่าวเลย
สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจการเคลื่อนไหวทั้งกระบวนดีว่าประชาชน จำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวตามแผนตากสินนั้น มิได้มีเป้าหมายที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกันที่เข้าร่วมหรือเกี่ยวข้องก็เพื่อประโยชน์ หรืออามิสบางประการเท่านั้น
ดังนั้นท่าทีผ่อนปรนหรือผ่อนผันต่อผู้ไม่เกี่ยวข้องจึงปรากฏตลอดมา และทำให้ “คนที่อยู่เบื้องหลังของแผนการเคลื่อนไหว” ได้ใจ คิดว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงไร้น้ำยาในการรับมือกับปัญหาแล้ว จึงยกระดับการเคลื่อนไหวไปสู่ขั้นแตกหักในเร็ววัน
อุปมาดั่งการปราบยุง ที่ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันเจรจากับยุงไม่ให้กัดกินเลือดได้โดยเด็ดขาด ก็ต้องใช้วิธีปราบ
แต่การจะปราบยุงนั้นที่ผ่านมาใช้วิธีไล่ตบไล่ตีแต่ละตัว ซึ่งไม่มีวันที่จะตบตีหรือยุงซึ่งบินอยู่ในอากาศให้หมดได้ มีแต่จะเหนื่อยเปล่า เสียเวลาเปล่า และเจ็บมือเปล่า
ดัง นั้นท่าทีล่าสุดของผู้บัญชาการทหารบกที่จี้ไปยัง “คนที่อยู่เบื้องหลังของแผนการเคลื่อนไหว” จึงเท่ากับเป็นการเพ่งเล็งไปที่บ่อกำเนิดยุง และเป็นการส่งคำเตือนที่ค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าจะด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลราบเรียบก็ตาม
“คนที่อยู่เบื้องหลังของแผนการเคลื่อนไหว” ทั้งผู้บงการใหญ่ และ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์” ที่เป็น “ศูนย์บัญชาการใหญ่” เมื่อได้ฟังคำเตือนที่นุ่มนวลราบเรียบแล้ว จะกินอิ่มนอนหลับต่อไปหรือไม่ อีกไม่นานคงรู้กัน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น