...+

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

เหยื่ออุบัติเหตุจราจร ห่วงโซ่โศกนาฏกรรมสากล

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ     22 ธันวาคม 2551 18:03 น.
‘เหยื่อ’ ไม่ว่าจะถูกกระทำจากเหตุปัจจัยใดล้วนตกอยู่ใต้ความรุนแรงเชิงกายภาพ โครงสร้าง และวัฒนธรรมทั้งสิ้น อาจเพียง 1 หรือทั้ง 3 มิติพร้อมๆ กัน ดังเหยื่ออุบัติเหตุและสงครามที่นอกจากถูกความรุนแรงทั้ง 3 ระดับกระทำเหมือนกันพร้อมกันแล้ว ช่วงวัยเหยื่อยังเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาวกำลังหลักทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศชา ติเหมือนกันอีกด้วย
      
        ทุกๆ ปีกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุท้องถนน ทุกๆ วันกว่า 3,400 คนพลัดพรากจากคนรักและหลายหมื่นคนพิการตลอดชีวิต และเกือบทุกวันจะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงไม่มุมใดก็มุมหนึ่งในโลกกลายเป็นข่าวพ าดหัว หากกระนั้นอุบัติเหตุทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรงทั้งหมดไม่ได้ถูกรายงานเนื่อง จากกลายเป็นเหตุการณ์ปกติไปเสียแล้ว ทั้งๆ ความสูญเสียเหล่านั้นล่มสลายชีวิตเหยื่อ ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย และชุมชนจนยากจะประเมิน
      
        ในท่วงทำนองสนองตอบความเศร้าโศก สหราชอาณาจักรได้ตั้ง ‘The Day of Remembrance for Road Traffic Victims’ ขึ้นในปี 1993 ดำเนินงานโดยองค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความตระหนักถึงเห ยื่ออุบัติเหตุจราจร และเป็นพลังสนับสนุนให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นห้วงสถานการณ์เลวร้ายไปได้ ต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม 2005 องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือนพฤศจิกายนเป็น ‘World Day of Remembrance for Road Traffic Victims’ หรือชื่อไทยว่า ‘วันเหยื่อโลก’ ขึ้นเพื่อกระตุกให้สาธารณชนสนใจปัญหาอุบัติเหตุจราจร ผลกระทบและความสูญเสียที่ตามมา ตลอดจนมาตรการป้องกัน
      
        ว ันเหยื่อโลกจึงเปิดโอกาสให้สังคมและรัฐบาลตระหนักถึงความรับผิดชอบสร้างถนนป ลอดภัยมากขึ้น (Road safer) เพราะเบื้องหลังตัวเลขสถิติอุบัติเหตุแต่ละแง่มุมนั้นคือเรื่องราวร้าวรานขอ งพ่อแม่ ลูกสาวลูกชาย พี่น้อง หลานย่ายาย เพื่อนร่วมงานร่วมชั้นเรียน ที่ชีวิตต้องแตกสลายฉับพลัน
      
        กว่า 13,000 รายตาย บาดเจ็บพิการยากประมาณตัวเลขทางการ และมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละ 232,855 ล้านบาทจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยตามสถิติกรมทางหลวงนั้นใช่เกี่ยวกับการขับ รถเร็วเกินอัตรากำหนด ตัดหน้ากระชั้นชิด และแซงผิดกฎหมาย อันเป็น 3 สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุจราจรโดยการรวบรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติร ะหว่างปี 2545-2549 เท่านั้น ทว่ายังเกี่ยวกับความผิดพลาดของผู้ใช้ถนน ความบกพร่องของรถ ถนนและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนขาดการสืบค้นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ (Accident investigation) ทั้งทางวิศวกรรมจราจรและสังคมวัฒนธรรม
      
       ด้วยหากยิ่งสืบสาวยิ่งค้นพบ ‘ห่วงโซ่โศกนาฏกรรม’ โดยเฉพาะด้านสังคมวัฒนธรรมที่ฉายชัดผ่านฉากชีวิตเหยื่อทั้งพลัดพรากและยังอย ู่ ยิ่งช่วงเทศกาลงานต่างๆ ด้วยแล้วความสูญเสียจะมหาศาล ดังอุบัติเหตุเกือบ 4,500 ครั้ง เสียชีวิต 401 คน และบาดเจ็บราว 5,000 คนในช่วงปีใหม่ 2551 นั้นเกิดจากเมาแล้วขับมากถึงร้อยละ 40.80 เพราะเหล้าทำให้ผู้ดื่มแล้วขับเสี่ยงเสียชีวิตและบาดเจ็บมากกว่าผู้ไม่ดื่มเ กือบ 10 เท่า และ 7 เท่าตามลำดับ
      
       เทศกาลความสุขสันต์จึงเคลือบเสียงร่ำไห้ของญาติผู้ใหญ่ข้างหลังเรื่อ ยมา เพราะผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 19 ปีถึงร้อยละ 29.22 และวัยแรงงานร้อยละ 57.88 โดยรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะนำความตายสูงสุดร้อยละ 84.57 หรือสูงกว่า 750 เท่าเมื่อเทียบกับโดยสารรถประจำทาง
      
        เหยื่อในหนังสือ ‘เหยื่อเมาแล้วขับ’ โดยมูลนิธิเมาไม่ขับ เช่น เด็กชายอดิศักดิ์ ขาวบู่ ขวบวัยเพิ่งหัดเดินก็ต้องมาพิการพร้อมกับสูญเสียพ่อแม่ขณะนั่งรถมอเตอร์ไซค์ ติดไฟแดงแล้วถูกรถโดยสารประจำทางสายราชบุรี-กาญจนบุรีพุ่งชนโดยโชเฟอร์เมามา ยเมื่อปี 2547 ปีเดียวกันกับนางสาวศุนิสา บุญเลิศ นักศึกษาเฟรชชี่ที่ต้องพิการตั้งแต่หน้าอกถึงปลายเท้า และเสียเพื่อนใหม่จากการเมาแล้วขับโดยอาจารย์หนุ่มวัยเบญจเพสที่ชนแล้วหนี จึงมีชะตากรรมละม้ายกับเหยื่ออุบัติเหตุจราจรในหนังสือ ‘Faces behind the figures: Voices of road traffic crash victims and their families’ โดย World Health Organization (WHO) และ Association for Safe International Road Travel (ASIRT) อย่าง Mathilde และ Elisa Jurgensen เด็กหญิงชาวฝรั่งเศสวัย 7 และ 4 ขวบ ที่ต้องลาโลกไปโดยเงื้อมมือมัจจุราชเมาแล้วขับระหว่างทั้งคู่ไปเยี่ยมยายในป ี 1980 และ Grace Mbuli Kithiki หญิงสาวชาวเคนยาที่ต้องพิการจากรถบรรทุกที่เป็นยานพาหนะเดียวจะนำเธอไปถึงจุ ดหมายพลิกคว่ำในปี 2006
      
        นอกเหนือจากเหล้าที่เปลี่ยนผู้ใช้รถธรรมดากลายเป็นเหยื่อควบคู่ฆาตกรแล้ว ระบบขนส่งสาธารณะด้อยประสิทธิภาพและไม่เพียงพอยังเป็นปัจจัยหลักทำให้ประชาช นตกเป็นเหยื่อเหมือนกรณีหญิงสาวชาวเคนยาที่ไม่มีโอกาสใช้เข็มขัดนิรภัยเพราะ ไร้รถโดยสารเข้าถึงพื้นที่แถบนั้น และเด็กแว้น-สก๊อยของไทยที่เริ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ของขวัญของแม่ หลังคำนวณแล้วว่าลูกจะสะดวกสบายและจ่ายน้อยกว่าพึ่งระบบขนส่งสาธารณะยามไปโร งเรียนดังผลวิจัยเชิงซีรี่ส์ของ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข
      
        มิพักจะเอ่ยว่าเด็กชายขอบของระบบขนส่งสาธารณะเหล่านี้นอกจากจะตกเป็นเหยื่อ (Victim) ความรุนแรงทางกายภาพจากการประสบอุบัติเหตุเองแล้ว ยังถูกความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมและโครงสร้างผลักไสให้กลายเป็นผู้กระทำ (Victimize) ก่ออาชญากรรม เสพยาเสพติด และเซ็กฉาบฉวยด้วยหลังครอบครองรถมอเตอร์ไซค์เร็วแรงเฉี่ยวโฉบ
      
       เ รื่องราวสูญเสียคนรักหรือเสี้ยววินาทีประสบอุบัติเหตุจากปากคำเหยื่อในหนังส ือทั้ง 2 เล่มถึงถูกถ่ายทอดผ่านภาษาต่างกันไทยกับอังกฤษ แต่ก็มีจุดหมายท้ายสุดร่วมกันคือสร้างความตระหนักว่าชีวิตจริงๆ หลังอุบัติเหตุทารุณหฤโหดยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิตย่ำแย่ ครอบครัวล่มสลาย ทุนรอนรักษาหดหาย สภาพจิตใจยากฟื้นฟู จนถึงอับอายไม่กล้าเข้าสังคมเนื่องเพราะพิการ
      
       แนวทางแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรโดยใช้ ‘จำนวนเหยื่อ’ ที่น้อยลงเป็นหลักไมล์ในความสำเร็จอย่างมาตรการ 7 วันระวังอันตรายที่กำหนดให้ยอดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลต้องลดลงจากปีก่อนหน้านั ้นถึงจะยังจำเป็นอยู่ แต่ไม่ใช่แนวทางยั่งยืนแน่นอนถ้ายังไม่เปลี่ยนกระบวนทัศน์แบบ ‘ขนรถมากกว่าขนคน’ ที่ครอบสังคมไทยมาช้านาน เท่าๆ รื้อถอนความรุนแรงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมอ่อนแอเอื้ออำนวย เช่น ดื่มแล้วขับ ขอกันหลังถูกจับ ให้ท้ายลูกแข่งรถบนถนนสาธารณะเสียก่อน
      
       มากกว่านั้น ต้องผสานความเร้าอารมณ์เข้ากับความรู้เพื่อคลี่คลายวิกฤตนี้ โดยสร้างความรู้แก่สาธารณชนว่าอุบัติเหตุจราจรเป็นเรื่องใกล้ตัวและเกิดขึ้น ได้ทุกเมื่อนั้นไม่ใช่เรื่องเวรกรรม แต่เกิดจากความประมาทคึกคะนองและไม่รับผิดชอบทั้งต่อชีวิตตนเองและผู้อื่น
      
       เมื่อเหยื่ออุบัติเหตุจราจรทั้งก่อนและหลังไม่ว่ามุมใดในโลกก็มีนัยส ำคัญของการถูกกระทำรุนแรงเหมือนกัน การปลด ‘ห่วงโซ่โศกนาฏกรรมสากล’ ที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับ 5 ในปี 2549 และคร่าเยาวชนทั่วโลกอายุ 5-29 ปี เป็นอันดับ 2 และสูงอันดับ 3 ในกลุ่มอายุ 30-44 ปี รวมถึงทอดทิ้งให้บาดเจ็บและพิการกว่า 50 ล้านคนในแต่ละปีนั้นอย่างน้อยๆ น่าจะวางแผนเตรียมการตาม ‘World Day of Remembrance for Road Traffic Victims: A guide for organizers’ ที่ WHO, RoadPeace และ European Federation of Road Traffic Victim พัฒนาเป็นแนวทางแก่เหยื่อ ครอบครัว เพื่อนพ้อง องค์กรสถาบันรัฐและเอกชน ตลอดจนภาคประชาสังคมใช้วางแผนจัดงานวันเหยื่อโลกเพื่อรำลึกถึงผู้สูญเสียผ่า น 8 ขั้นตอน ตั้งแต่ตั้งกลุ่มทำงาน พัฒนาวัตถุประสงค์และข้อความสื่อสารหลัก ขยายหุ้นส่วน จนถึงขั้นประเมินกระบวนการ โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนจากภาคการเมืองขั้นตอนที่ 3 ในคู่มือนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญสุดสำหรับสังคมไทยที่นโยบายสาธารณะดีๆ จะอยู่หรือไปขึ้นกับนักการเมือง
      
       เ หนืออื่นใด ตราบใดแว่นเวรกรรมยังถูกนำมาใช้อธิบายเหยื่ออุบัติเหตุจราจร ตราบนั้นคุณภาพชีวิตคนไทยจักคงเลวร้ายต่อไปด้วยไม่มีวันปลดห่วงโซ่นาฏกรรมพั นธนาการนี้ได้
      
       คอลัมน์เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000150266

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น