...+

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

‘เสพสมบ่มิสม’ ของพวก 2 ไม่เอา

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ    
ติดตามข่าวสารบนหน้าหนังสือพิมพ์ยามนี้ ได้ยินคำถามที่บรรดาสื่อมวลชนผู้ทรงเกียรติไล่ถามรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลว่า จะดำเนินคดีอย่างไรกับพันธมิตรฯ หรือรัฐบาลแทนคุณตบโบนัสพันธมิตรฯ ตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี แล้วเศร้าใจ
      
       คำถามเหล่านั้นทำให้ดูเหมือนว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังปล่อยปละละเลยคดีพันธมิตรฯ ทั้งที่จริงแล้วคดีต่างๆ ของพันธมิตรฯ ตำรวจกำลังดำเนินการอย่างเร่งรีบ ไม่ว่าคดีบุกรุกทำเนียบรัฐบาล หรือสนามบินทั้งสองแห่ง คดีต่างๆ ของพันธมิตรฯ เดินไปเร็วมาก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปกล่าวหาว่าคดีล่าช้าได้เลย
      
       แต่คดีที่พันธมิตรฯ เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับไม่มีคำถามจากสื่อผู้ทรงเกียรติเลย คดีที่เอเอสทีวีและเครือผู้จัดการถูกกระทำต่างหาก ที่ไม่มีคำถามจากองค์กรสื่อเลย
      
       ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ องค์กรสื่อที่ตั้งขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นองค์กรสื่อกำมะลอทั้งนั้น ไม่มีอำนาจอะไร มีไว้กินเลี้ยงวันนักข่าว รับเชิญไปต่างประเทศในหมู่คนที่เป็นกรรมการ ประเด็นนี้รอให้มีคนเถียงมาก่อนว่าไม่จริง แล้วจะจำแนกให้ฟัง
      
       ซ้ำร้ายกว่านั้น หากย้อนไปในยุคที่พรรคพลังประชาชนมีอำนาจ ก็ไม่เคยเห็นสื่อไปเร่งจี้ไล่ถามรัฐบาลพรรคพลังประชาชนเลยว่า ทำไมไม่เร่งดำเนินคดีกับแกนนำ นปช.ที่พาพวกไปล้อมทำลายบ้านพักของประธานองคมนตรี และมีการทำลายข้าวของของทางราชการจำนวนมาก
      
       นักข่าวเอเอสทีวีพยายามตั้งคำถามจากนายตำรวจที่รับผิดชอบว่า คดียิงเอ็ม 79 ใส่พันธมิตรฯ เอเอสทีวีไปถึงไหน คำตอบจากจงรัก จุฑานนท์ คือ ยังมืดมน เหตุผลที่ตามมาคือ เหตุมันเกิดในตอนกลางคืน เข้าไปถึงที่เกิดเหตุยาก
      
       น่าตลกนะครับ ถ้าข้ออ้างแค่ว่า เหตุเกิดตอนกลางคืน เข้าไปถึงที่เกิดเหตุยากมันเป็นเหตุผลที่ตำรวจใช้เป็นข้ออ้างที่จะสาวให้ถึง ตัวผู้กระทำผิด เพราะคดียิงเอ็ม 79 ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่สำคัญเหตุผลของคดีไม่ว่าเกิดกลางวันหรือกลางคืน ไม่มีใครเขาอ้างกัน นอกจากตำรวจไทยยุคนี้เท่านั้น
      
       ส่วนการเข้าถึงที่เกิดเหตุยากนั้นก็เป็นเหตุผลที่ตลกสิ้นดี เพราะที่เกิดเหตุนั้นเป็นปลายเหตุ ประเด็นคือว่า ตำรวจปล่อยให้มีคนเอาอาวุธสงครามประเภทนี้เข้ามายิงกันกลางเมืองได้อย่างไร แถมเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยังปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
      
       เรื่องแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีคำถามจากสื่อมวลชนเท่านั้น บรรดานักวิชาการผู้เรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงก็ไม่เคยตั้งคำถามถึงเร ื่องนี้เลย (ทั้งนี้ผมหมายถึงพวกนักวิชาการที่แสร้งทำเป็นกลาง แต่ชอบเตะตัดขาพันธมิตรฯ และหันบั้นท้ายให้ระบอบทักษิณเสพสม)
      
       นี่ยังไม่รวมถึงที่พวกเราถูกไล่ตีทำร้ายตั้งแต่นัดชุมนุมวันแรกเมื่อ 25 พฤษภาคม 2551 รวมทั้งกรณีที่กลุ่มคนรักทักษิณไล่ตีพันธมิตรฯ จนตายและปางตายในอีกหลายจังหวัด
      
       สังเกตดูนะครับว่า บรรดานักวิชาการและสื่อมวลชนที่มักออกตัวว่า เป็นพวก 2 ไม่เอา ซึ่งพวกเขาอธิบายว่า ไม่เอาทั้งทักษิณและพันธมิตรฯ นั้น เกือบร้อยทั้งร้อย ด่าพันธมิตรฯ ให้ท้ายระบอบทักษิณแทบทั้งสิ้น พวกเขาจึงไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจที่พันธมิตรฯ ถูกใช้ความรุนแรง แต่มักจะพูดวิจารณ์พันธมิตรฯ ที่ลุกขึ้นมาป้องกันตัวเองเพราะไม่อาจพึ่งพิงอำนาจรัฐซึ่งขาดหลักนิติธรรมได ้
      
       ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน อ้างว่า หากเรายังแก้ปัญหาความเชื่อมั่นที่สูญเสียไปจากการยึดสนามบินนี้ไม่ได้ ย่อมไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสนี้ได้อย่างแน่นอน และนอกจากจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้แล้ว ยังมีปัญหาของการยอมรับนับถือของประเทศเราในสังคมการเมืองระหว่างประเทศว่าไ ทยเราเป็นนิติรัฐ (Legal State) และปกครองด้วยนิติธรรม (Rule of Law) ที่บุคคลต่างเสมอภาคกันในเบื้องหน้าของกฎหมาย (equal before the law) และให้ความสำคัญต่อกฎหมายมากกว่าตัวบุคคลมากน้อยเพียงใด
      
       แต่เขากลับไม่ตั้งคำถาม ว่า ถ้าเราไม่สามารถหาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ทั้งๆ ที่เกิดเหตุการณ์ยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามใส่คนที่ชุมนุมทางการเมืองจนมีคนตาย และเจ็บจำนวนมาก เราจะบอกว่า ประเทศเราในสังคมการเมืองระหว่างประเทศว่าไทยเราเป็นนิติรัฐ (Legal State) และปกครองด้วยนิติธรรม (Rule of Law) ที่บุคคลต่างเสมอภาคกันในเบื้องหน้าของกฎหมาย (equal before the law) และให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายมากกว่าบุคคลได้อย่างไร
      
       ใช่หรือไม่ว่า ผู้ชุมนุมทางการเมืองถูกทำร้ายเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่กลับไม่เห็นคุณค่าความเป็นคน เพราะไม่เคยถูกตั้งคำถามจากนักวิชาการและสื่อสายพันธุ์ 2 ไม่เอาเหล่านี้เลย พวกเขาได้แต่พูดถึงคุณค่าของเงิน ว่า การยึดสนามบินทำให้ประเทศชาติสูญเสียทางเศรษฐกิจ
      
       พวกเขาบางคนให้ท้ายกระทั่งเอ่ยวจีว่า การยึดสนามบินเลวร้ายกว่าระบอบทักษิณ
      
       คนตายนับสิบคนและคนเจ็บหลายร้อยคน ถูกกระทำเพียงเพราะความกระตือรือร้นทางการเมือง และเชื่อว่า การขับไล่นักการเมืองที่ชั่วช้าให้ออกไปได้นั้น พวกเขาต้องออกมาปักหลักชุมนุมแม้จะยืดเยื้อหรือยาวนานเพียงใดก็ตาม
      
       นักวิชาการเหล่านั้น ไม่พูดถึงชีวิตคนเจ็บและคนตายเหล่านี้เลย เพียงเพราะพวกเขามีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกับตัวเอง
      
       ผมจึงขำแทบตายที่มีการอ้างหลักนิติรัฐ นิติธรรมมาเป็นตัวกระตุ้นเพื่อเอาผิดที่พันธมิตรฯ ยึดสนามบิน (ทั้งๆ ที่คดีเดินไปอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว) แต่กลับไม่ตั้งคำถามที่พวกเสื้อแดงไปปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการทำลายเครื่องมือของนิติรัฐ และกระบวนการนิติธรรมทางตรง และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก (การประท้วงปิดสนามบินในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ ง)
      
       ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ตั้งตำแหน่งทางการเมืองเพื่อแทนคุณพันธมิตรฯ หรือให้โบนัสพันธมิตรฯ ก็เป็นเรื่องตลกสิ้นดี เพราะข้อเท็จจริงก็คือ ทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและปชป.ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเ ชิง ต่างก็มีท่าทีที่จะพยายามรักษาระยะห่างแก่กันและกันอย่างชัดเจน ต่างกับ นปก.และพรรคพลังประชาชน(เพื่อไทย)
      
       อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชนซึ่งก่อนหน้านี้พยายามอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องกับ นปช.เลย แต่พอเป็นรัฐบาลแล้วได้ตั้งสมาชิกที่เป็นแกนนำของ นปช.เกือบทุกคนมารับตำแหน่งทางการเมือง อย่าว่า แต่ไอ้ตู่ จตุพร ไอ้ณัฐวุฒิ หรือเจ๊เพ็ญเลย กระทั่งขวัญชัย ไพรพนา ยังได้เป็นข้าราชการการเมืองมีตำแหน่งเงินเดือนโก้หรูทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้นทำไมถึงไม่ได้ยินคำถามแบบเดียวกับที่ตั้งคำถามต่อรัฐบาลพรรคประชาธิป ัตย์เลย
      
       ความเห็นที่บรรดาสื่อและนักวิชาการที่อ้างว่า 2 ไม่เอา แต่ให้ท้ายระบอบทักษิณและเกลียดชังพันธมิตรฯ นำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการอธิบายความเพื่อทิ่มแทงพันธมิตรฯ นั้นจึงเป็นการสร้างตรรกะอันอลเวงขึ้น เพราะรับไม่ได้กับบทสรุปของการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ เหมือนพวกอารมณ์ค้าง เสพสมบ่มิสม
      
       และเป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนของปลอมในบ้านเราซึ่งเป็นเพียงอาจมของสังคมออกมาเรื่อยๆ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000004746

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น