...+

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2550

ม็อบ “ต้องระบุในรัฐธรรมนูญว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ”

ดูเหมือนจะเป็นม็อบ กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาแรง จุดกระแสติดเร็ว และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพอสมควร เมื่อเห็นพระ เณรมาเดินขบวนเรียกร้องให้ระบุในรัฐธรรมนูญว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆมา ไม่เคยบัญญัติไว้ บัญญัติไว้แล้ว จะทำให้การนับถือพุทธศาสนาดีขึ้นหรือไม่

ปัญหาศีลธรรมเสื่อมลง ขึ้นอยู่กับการบัญญัติเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญจริงหรือ

ฝ่ายสนับสนุนให้เหตุผลว่า ถ้าระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายต่างๆ ก็จะต้องเอื้อให้สอดคล้องกับหลักที่บัญญัติไว้ คือ สอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนา

ต่างฝ่ายต่างให้เหตุผลที่สามารถหักล้างกันได้ทั้งสองฝ่าย ความจริงเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนมาก และเป็นเรื่องที่ระดับชาวบ้านเข้าใจได้ง่าย เพราะพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของหลายๆคน รับรู้และเข้าใจได้ง่ายกว่า จำนวน ส.ส. , ที่มาของนายกรัฐมนตรีเสียอีก


กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องในประเด็นนี้ เป็นกลุ่มที่บริสุทธิ์ แต่การเมืองไทยในยุคนี้ ไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก เพียงแค่มีคนที่เข้ามาเป็นแนวร่วม และสร้างความชอบธรรม สร้างประเด็น สร้างสถานการณ์ให้เข้าทางและเกิดผลประโยชน์กับฝ่ายของตน การชุมนุมเรียกร้องที่บริสุทธิ์ก็จะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปทันที

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจริงๆ นะครับ

4 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมต้องบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็ศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
    ผู้เขียน:พุทธสาวก

    ทำไมต้องบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็ศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ ประกาศชาวพุทธทั้งหลายโปรดทราบทั้งฝ่ายพระมหานิกายและพระธรรมยุต พระวัดบ้าน พระวัดป่า ตลอดถึงญาติโยม พ่อค้า ประชาชน
    ข้าราชการ นิสิต นักศึกษาที่เป็นชาวพุทธ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะนี้ สสร. กำลังร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการถกเถียงกันว่าจะให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่
    ถ้าชาวพุทธต่างคนต่างปล่อยวาง ถือว่าไม่ใช่ธุระ ไม่ใช่หน้าที่ พระก็ปล่อยวาง โยมก็ปล่อยวาง เจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องทุกคนก็นิ่งเฉย
    ศาสนาพุทธคงเสื่อมลงและหมดลงไปในไม่ช้าเพราะภัยอันตรายจากผู้ไม่หวังดี ตั้งใจบิดเบือนคอยทำลายศาสนาพุทธ ประเทศไทยเราถือได้ว่า
    เป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา เป็นแบบอย่างที่ดี ต่อการประพฤติปฏิบัติ เราชาวพุทธขอเรียกร้องสิทธิให้ สสร.โปรด
    บัญญัติกฏหมายรัฐธรรมนูญดังนี้ ๑. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
    ๒. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ภก เหตุผลที่ต้องระบุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
    ๑. ชาวไทยไม่น้อยกว่า๙๐% เป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำใจของคน ส่วนใหญ่ในชาติ
    ประเทศไทยจึงสมควรให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ
    ๒. จำเป็นต้องระบุให้เป็นศาสนาประจำชาติ ถ้าไม่มีการระบุในครั้งนี้จะเป็นการมองที่แคบและสั้นเกินไป
    เนื่องจากการส่งเสริมสนับสนุนจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในอนาคต หากเกรงกลัวจะถูกมองว่าไม่เป็นธรรมต่อศาสนาอื่นๆ
    และไม่สร้างความสมานฉันท์นั้น เป็นความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง เพราะประเทศไทยให้เสรีภาพบริบูรณ์ เคารพสิทธิ ของประชาชน
    ทุกคนในการเลือกนับถือศาสนาตามที่ตนเชื่อและศรัทธา
    ๓. ถ้าไม่ใส่ใจในการที่จะระบุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว พุทธศาสนิกชน บุคลากรในพระพุทธศาสนา พระ เณร
    ศาสนสถานในประเทศไทยจำนวนมาก รวมทั้งทรัพย์สินของวัด ที่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฏหมาย มิฉะนั้นในอนาคตศาสนาพุทธ
    จะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับการดูแลและส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐอย่างเหมาะสม
    ๔. เราได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา จากพระธรรมคำสั่งสอน เราพูดเสมอว่า พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่เคารพสูงสุด
    ดังนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเรา ทั้งพระ ทั้งฆราวาสที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ในขณะนี้ได้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
    เพื่อประกาศใช้ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในการสนับสนุนให้มีการระบุ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแม่บท
    กฏหมายให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง เกื้อกูลแก่การรักษาพระพุทธศาสนา หากพุทธบริษัท (ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา) ไม่ช่วยกันรักษา
    พุทธศาสนาแล้ว จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใคร
    ๕. การละเลยที่จะไม่บัญญัติ เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ เหมือนกับการถอด
    วิชาพระพุทธศาสนาออกจากบทเรียนพบปัญหามากมายเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะลูกหลานของเราขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาพุทธ
    ๖. ตั้งข้อสังเกตว่าในบางพื้นที่ของประเทศไทยเรา ที่มีประชาชนนับถือศาสนาพุทธจำนวนน้อย มักมีปัญหาทางสังคม มีการฆ่ากันรายวัน บางประเทศ
    เช่น อิรัก , อิหร่าน, อิสราอิล, ตารีบัน มีสงครามศาสนา สงครามกลางเมือง มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะไม่มีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ สำหรับคนรุ่นใหม่บางคนที่ไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา หลงใหลในวัตถุเงินทองเป็นที่ตั้งเป็นที่ยึดถือ มีความเห็นว่าไม่ต้องเอาศาสนาพุทธ
    เป็นศาสนาประจำชาติก็ได้ เพราะเราก็ทำความดีอยู่แล้ว ขอชี้แจงทำความเข้าใจให้ทราบว่า ประเทศหนึ่งๆจะต้องประกอบด้วยประชาชน ผู้ใหญ่บ้านกำนัน
    นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร จำเป็นต้องมีกฏกติกา, กฎหมาย และรัฐธรรมนูญที่ชัดเจน มิฉะนั้นประเทศ
    ก็จะล่มสลาย ถ้าคิดว่าทุกสิ่งมันอยู่ที่ใจ มันจะเป็นประเทศชาติ เป็นศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปได้ยังไร ถึงเป็นได้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเราเข้าใจไม่ถูกต้องสมบูรณ์
    ก็จะเกิดความเสียหายแก่บุตรหลานของเราในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน บรรพบุรุษของเราปกป้องประเทศชาติ บำรุงรักษาพระพุทธศาสนามามากกว่าพันปี
    ในครั้งนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะช่วยกันรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่คงสภาพ คู่ชาติไทยตลอดกาลสืบไป
    ขอให้พวกเราชาวพุทธทั้งหลายช่วยกันจับตามอง ให้สังเกตว่ามีนักการเมืองคนใดทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศที่นับถือพุทธศาสนา แต่ไม่สนับสนุน
    ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาตินั้น ให้ถือว่าเป็นคนใช้ไม่ได้ ไม่มีคุณธรรม ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ให้ถือว่าเป็นตัวเสนียดจัญไร ถือว่าเป็นคนทำลายสถาบันชาติ
    ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ลงสมัครการเมือง เพื่อหวังความร่ำรวย หวังลาภยศสรรเสริญเพียงอย่างเดียว ขอให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย โปรดอย่าได้หลงกลเลือก
    คนเหล่านี้มาเป็นตัวแทนของเราอีกต่อไป
    ถึงเวลาแล้วที่ชาวพุทธทุกท่านต้องเตรียมพร้อมรวมพลังกันใช้สิทธิเรียกร้องขอให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเพราะเราคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ
    มากกว่า ๕๐ ล้านคนที่นับถือพระพุทธศาสนา พระภิกษุ สามเณร ไม่น้อยกว่า ๓๐๐,๐๐๐ รูป ตลอดจนมีวัด และสำนักสงฆ์ไม่ต่ำกว่า ๓๐,๐๐๐ แห่ง
    ขอให้ชาวพุทธทุกๆท่านร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อสนับสนุนให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

    จากชาวพุทธผู้ประสานงานให้ชาวพุทธทั่วไปรับทราบ
    วันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐
    ******************************************* ข้อดีของการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
    ๑. ได้ยืนยันความจริงทางประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีมายาวนาน
    ๒. ได้รักษาสถาบันทั้งสามอย่างเท่าเทียมกันโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
    ๓. ได้ให้ความสำคัญกับศรัทธาของประชาชนคนในชาติที่มั่นคงอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
    ๔. ได้แสดงออกซึ่งการยอมรับความจริงแบบประชาธิปไตยว่าเสียงของคนส่วนมากยอมรับ สถาบันชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ เท่าเทียมกัน
    ๕. ได้ยืนยันความเป็นคนไทยที่นิยมอิสระ เสรีภาพ โดยมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางสร้างความสามัคคี
    ๖. ได้สร้างและยอมรับความสอดคล้องกับมติของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาและประเทศไทย
    ๗. ได้ส่งเสริมความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชนคนในชาติ
    ๘. ได้ยืนยันภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา ที่คนทุกคนในประเทศนี้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาที่ตนศรัทธาได้โดยไม่ขัด แย้งกัน
    ๙. ได้แสดงออกซึ่งความที่พระพุทธศาสนาเป็นนวัตกรรมทางความคิดของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าที่อยู่คู่กับคนไทย ชาติไทย พระมหากษัตริย์ไทย ในสุวรรณภูมินี้มานานมากกว่าสองพันปี
    ๑๐. ได้ยกย่องพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกราชวงศ์ตั้งแต่ เริ่มต้นเผ่าไทยมาถึงปัจจุบัน และประชาชนคนไทยปัจจุบันเกินกว่า ๙๔ % ยอม
    รับนับถือ เพราะมั่นใจว่าพระพุทธศาสนามีคุณูปการต่อชนชาติไทย
    ๑๑. ได้ส่งเสริมสนับสนุนมติชาวโลกที่ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาของโลก
    ๑๒. ได้หลักประกันทางกฎหมายว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยโดยถูกต้องชอบ ธรรมและชอบด้วยกฎหมายบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
    ๑๓. ได้เครื่องมือปลูกจิตสำนึกร่วมกันของคนในชาติที่จะร่วมใจกันยกย่องสถาบันสูงสุดเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
    ๑๔. ได้เครื่องมือส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติธรรมนำสู่หลักแห่งประชาธิปไตยที่ ยึดความถูกต้อง ชอบธรรม มีภราดรภาพ มิตรภาพตามหลักธรรมคำสั่งสอนที่มีมาในพระพุทธศาสนา
    ๑๕. ได้หลักในการอบรมสั่งสอนลูกหลานไทยได้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนมีศาสนาประจำ ชาติ ที่จะต้องตระหนักในการนำศาสนาสู่การปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
    ๑๖. ได้หลักการกลางในการสร้างความสามัคคีระหว่างคน ในชาติ เพราะเมื่อพระพุทธศาสนาแข็งแกร่ง คนในชาติซึ่งนับถือศาสนาต่างกันก็จะอยู่อย่างสงบสุขทั่วถึงกัน
    เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่พุทธศาสนิกชนจะไปรังแกคนที่นับถือศาสนาอื่นจากที่ ตนนับถือ ไม่เคยมีมาในอดีต ยังไม่มีในปัจจุบัน และ จักไม่มีในอนาคต ที่พุทธศาสนิกชนจะไปรังแก
    รบราฆ่าฟัน ขับไล่ไสส่งศาสนิกอื่น มีแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่ถูกรังแกถูกทำลายมาตลอดทุกยุคที่ผ่านมา
    ๑๗. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ จะเป็นกุญแจสำคัญให้พระพุทธศาสนายิ่งมั่นคงขึ้น คือเป็นประเด็นให้ได้ออกกฎหมายคุ้มครอง ส่งเสริมให้เหมาะสมได้ในโอกาสต่อไป
    ๑๘. ประชาชนคนไทยในยุคต่อไปจะได้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า ชาติ พระพุทธ- ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันสำคัญของชนชาติไทยที่จะต้องเทิดทูนไว้เหนือความขัดแย้งใด ๆและเหนือชีวิต
    ๑๙. การมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ มิได้หมายความว่า คนไทยที่นับถือศาสนาอื่นจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ เช่นเดียวกับการบัญญัติว่าที่นี่ประเทศไทย
    แต่คนจากประเทศไหน ๆ ก็สามารถมาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปกติสุข ภายใต้กฎหมายไทยที่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอยู่แล้ว
    ๒๐. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ จะได้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องที่สุดในบริบทสังคมไทย จะไม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากความชอบ ความชัง ความหลง ความกลัว
    คือจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ปราศจากอคติหรือความลำเอียงทั้งสี่ประการ เป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่คนไทยเกินกว่า ๙๐ % ยอมรับแน่นอน ************************************
    ตอบข้อข้องใจของพวก "ปล่อยวางและไม่ยึดมั่นถือมั่น"
    ขอทำความเข้าใจกับบรรดาพวกไม่ยึดมั่นถือมั่นนิดหนึ่งนะครับ อันที่จริงพระพุทธศาสนาของพวกเรานั้น
    ไม่ได้สอนให้เราโง่ขนาดนั้น เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นท่านหมายถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจให้รู้จักปล่อยวางทางจิตใจ
    ไม่ใช่ ปล่อยวางภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เป็นพระวินัยหรือกฏหมายของพระจะต้องยึดถือไว้เป็นหลักใน
    การปฏิบัติไม่ใช่ปล่อยวาง ถ้าคุณบอกพระว่าพระไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แล้วพระท่านไม่ยอมถือศีลเลยสัก
    ข้อโดยอ้างว่าท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น ผมบอกให้คุณไปกราบพระพวกนั้นคุณจะไปใหม ? ตัวคุณเองถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น
    คุณลองเดินแก้ผ้าในตลาดดูหน่อยไหม หรือว่าตามสี่แยกก็ได้ ถ้าตำรวจมาถามคุณค่อยบอกเขาว่าคุณไม่ยึดมั่นถือมั่น
    เรื่องความไม่ยึดมั่นเป็นคุณธรรมของผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่รู้จริงก็ไม่ต้องเอาความโง่มาประจานเขา
    เรื่องการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้นเป็นความสำคัญยิ่งของพวกเราชาวพุทธ
    ให้พากันเสียสละเวลาช่วยกันสนับสนุนให้ สสร . บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี2550ให้ได้
    บรรพบุรุษในอดีตต่างพากันเสียเลือดเสียเนื้อในการรักษาแผ่นดินใว้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เราอนุชนรุ่นหลังทำไม
    จะเสียสละสนับสนุนเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่คนแล้ว แผ่นดินผืนนี้พระเจ้าตากสินมหาราชได้ถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว
    ไม่ควรจะลืมบุญคุณแผ่นดิน สำนึกพระคุณแผ่นดินช่วยกันสนับสนุนให้สสร.บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
    ส่วนพระที่ท่านออกไปเป็นตัวแทนชาวพุทธในการเรียกร้องให้ สสร. บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น
    ต้องขออนุโมนาบุญกุศลกับท่านด้วยเพราะท่านได้ทำในสิ่งที่ประเสริฐแล้ว เป็นตัวอย่างที่ดีของชาวพุทธที่แสดงออกถึงการเสียสละ
    ความอดทนต่อแสงแดด ความร้อน ความดูถูกดูแคลน ความตั้งใจจริงในการดำรงอยู่ซึ่งพระพุทธศาสนา ขอท่านเหล่านั้นจงมีกำลังใจในการต่อสู้

    ตอบลบ
  2. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ (2)

    โดย ป.เพชรอริยะ 1 พฤษภาคม 2550 00:59 น.



    .
    ถกเถียงกันในหมู่ชาวพุทธกันเอง ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรบัญญัติ...ฝ่ายนี้ยึดมั่นถือมั่นมานาน 75 ปี กับอีกฝ่ายเห็นสมควรบัญญัติเพื่อประโยชน์แห่งชาติก็ได้ติติงมาแล้ว 75 ปี ที่ถูกควรจะเป็นเช่นใด

    ถ้าเรานำปัญหานี้ไปทูลถาม พระพุทธเจ้า ในกัจจานโคตตสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 16/42) พระกัจจานโคตต์ มีความสงสัยเรื่องสัมมาทิฏฐิ จึงได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้า และได้ถามว่า สัมมาทิฏฐิ มีเหตุอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้า ทรงตอบว่า ดูกร กัจจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่างคือ ความมี (บัญญัติ) กับ ความไม่มี (ไม่บัญญัติ)

    ถ้าบุคคลเห็นความเกิดของโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่า ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี และเมื่อบุคคลเห็นความดับของโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว ความมีในโลกย่อมไม่มี เพราะบุคคลส่วนมากยังพัวพันด้วยอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น และอนุสัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา จึงมองไม่เห็น ไม่สงสัยว่าทุกข์นั่นแหละเกิดขึ้น ทุกข์นั่นแหละดับไป พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ

    อีกประเด็นหนึ่งชนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ (สัตสตทิฏฐิ) และ สิ่งทั้งปวงไม่มี (อุจเฉททิฏฐิ) อันเป็นความเห็นความเข้าใจสุดโต่งทั้งสองด้าน พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงสอนทางสายกลาง ไม่เข้าไปสุดโต่งทั้งสองข้าง จึงทรงชี้แจงว่า “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการอย่างนี้

    และเพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จึงเกิดขึ้นได้อย่างนี้

    จะเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าจะไม่แสดงว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ หรือสิ่งทั้งปวงไม่มี แต่ให้มีปัญญารู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นหรือดับไปด้วยเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยภายนอกพระพุทธองค์ทรงเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา และเหตุปัจจัยภายในใจพระพุทธองค์ทรงเรียกว่ากฎปฏิจจสมุปบาท (เหตุปัจจัย ดุจดังฟันเฟืองเครื่องจักรหมุนสัมพันธ์เกี่ยวพันกัน)

    การพิจารณาด้วย กฎอิทัปปัจจยตา หรือกฎแห่งกรรม เป็นกฎของความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ และผล เป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง แต่ให้พิจารณาไปตามกระแสแห่งธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยของเหตุและผล เราจะนำท่านมาร่วมกันพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง เช่น

    พระพุทธเจ้า เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดพระธรรมคำสอน (สัจธรรม) พระธรรมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดพระสงฆ์ และเป็นปัจจัยให้เกิดพุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)

    อีกนัยหนึ่งฝ่ายเกิดทุกข์ สมุทัย (อวิชชา ตัณหา อุปมาทาน) เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ (ประเทศไทยตกอยู่ในกระแสแห่งทุกข์ เสี่ยงภัย และเสียเวลามายาวนานร่วม 75 ปีแล้ว แล้วจะยุติลงเมื่อใด)

    อีกนัยหนึ่งฝ่ายดับทุกข์ มรรคมีองค์ 8 เป็นเหตุปัจจัยนำไปสู่การดับทุกข์ (นิโรธ)

    ขยายความมรรคมีองค์ 8 เมื่อมีสัมมาทิฐิ คือมีความเห็นถูก เป็นเหตุปัจจัยให้คิดถูก คิดถูกเป็นเหตุปัจจัยให้พูดถูก พูดถูก เป็นเหตุปัจจัยให้ทำถูก ทำถูกเป็นเหตุปัจจัยให้ทำอาชีพถูก (หน้าที่) อาชีพถูกเป็นเหตุปัจจัยให้มีความเพียรถูก มีความเพียรถูกเป็นเหตุปัจจัยให้มีสติระลึกรู้ถูก สติระลึกรู้ถูกเป็นเหตุปัจจัยให้มีสมาธิถูก และเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัมมาญาณ และสมมาวิมุตติ ในที่สุด

    อีกนัยหนึ่ง ต่างก็ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาเป็นเหตุปัจจัยของประเทศไทยและประชาชนชาวไทยมายาวนานร่วม 2,000 กว่าปีแล้ว และ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวของโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติและจะเป็นเหตุปัจจัยให้ผู้ศึกษาปฏิบัติได้รู้แจ้งเข้าถึงกฎธรรมชาติ

    แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนา เป็นองค์ประกอบของรัฐที่แท้จริงมายาวนาน อุปมาดุจดังจิต มโน วิญญาณ ปัญญาของประเทศไทย สมดังอุทานธรรมที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั่นเอง ดังนั้นการปฏิเสธพระพุทธศาสนา ก็คือการบั่นทอนทำลายองค์ประกอบแห่งรัฐ นั่นเอง

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้า มั่นคงสถาพร มายาวนานทั้งนี้ก็เพราะพระมหากษัตริย์และรัฐบาลเป็นคนเดียวกัน

    แต่เมื่อมีคณะรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 พระพุทธศาสนาถูกละเลย สภาพของประเทศไทยและประ
    ชาชนชาวไทยตกต่ำอย่างน่าใจหาย ล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งนี้เพราะคณะผู้ปกครองไทยสืบทอดแนวคิดตะวันตกมาใช้กับประเทศไทยอย่างกดข่มให้รับอย่างจำยอม ทั้งๆ ที่เป็นเหตุแห่งความผิดพลาด เป็นตัวอย่างมาแล้วอย่างซ้ำซาก เป็น วงจรโคตรอุบาทว์ อย่างไม่น่าให้อภัย ผู้ปกครองชุดนี้ก็ยังทำเยี่ยงเดิม และเมื่อผู้แทนชาวพุทธท้วงติงแนะนำ ทำเหตุปัจจัยให้ถูกต้อง พวกเขาก็กลับให้ร้ายผู้แทนชาวพุทธต่างๆ นานา แต่ชาวพุทธให้อภัยเสมอสำหรับผู้หลงผิด

    เราจะร่วมกันต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อกลับมาสู่ความถูกต้องโดยธรรมดังเดิม ตามลักษณะพิเศษของประเทศไทย และการเมืองการปกครองในยุคสมัยใหม่ และจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อปวงชนไทยและชาวโลก

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยมี หลักการปกครองโดยธรรม เป็นธรรมาธิปไตย 9 ลักษณะ (หลักที่ 1)

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยธรรม (หลักที่ 2) สมดังพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” มายาวนานถึงกว่า 60 ปี แต่ผู้ปกครองทุกชุดไม่เคยฉุกคิด คิดทำตาม

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยมี อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (หลักที่ 3) ประชาชนไทยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทย ประชาชนไทย มีเสรีภาพบริบูรณ์สูงสุด (หลักที่ 4) โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศชาติและปวงชนไทย มีความเสมอภาคทางโอกาส (หลักที่5) อย่างทั่วหน้ากันไม่ว่าจะต่างด้วยเชื่อชาติ ศาสนาใดๆ ก็ตาม

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ปวงชนไทยมี ภราดรภาพ (หลักที่ 6)

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ปวงชนไทยมี เอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม (หลักที่ 7) ตามแนวทางพระบรมราโชวาท

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศชาติและปวงชนไทย มีระบอบการเมือง การปกครองในลักษณะ ดุลยภาพ (หลักที่ 8) ให้มีความมั่นคง ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนอย่างรอบด้าน เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ เฉกเช่นระบบสุริยะจักรวาล

    พระพุทธศาสนา เป็นเหตุปัจจัยให้ปวงชนไทยมี หลักนิติธรรม (หลักที่ 9) ได้รับความเป็นธรรม อย่างเสมอหน้ากัน โดยไม่ถูกบิดเบือน

    ดังกล่าวนี้จะเป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยมีหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบโดยธรรม เป็นสัญญาประชาคม โดยไม่หลอกลวงประชาชน และประชาชนทุกคนสามารถพิสูจน์ได้

    จะเห็นว่าทางที่ถูกต้องตามกระแสธรรม หรือกฎอิทัปปัจจยตา ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ท่านพอที่จะตัดสินใจได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับรัฐธรรมนูญ สิ่งไหนเป็นปัจจัยเหตุ และสิ่งไหนเป็นปัจจัยผล

    ถ้าท่านเข้าใจและเห็นว่า หลักการปกครองเป็นปัจจัยเหตุ ส่วนรัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) เป็นปัจจัยผล แสดงว่าท่านผู้อ่านมีปัญญาที่แหลมคมและมีปัญญามากกว่าผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วทุกฉบับ นี่แหละคือภารกิจและหน้าที่อันสำคัญยิ่งของผู้เขียน

    ดังกล่าวนี้ เมื่อบัญญัติคำว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักการปกครองโดยธรรม หลักการปกครองโดยธรรมจะเป็นเหตุปัจจัยให้รัฐธรรมนูญถูกต้องโดยธรรม รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องโดยธรรมจะเป็นเหตุปัจจัยให้การเมือง การปกครอง ระบบเศรษฐกิจ (แบบพอเพียง) สังคม วัฒนธรรม เป็นไปตามกระแสธรรมแห่งความก้าวหน้าอย่างรอบด้าน

    ในอีกปัจจัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องจะเป็นเหตุปัจจัยให้การเมืองไทย รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล รวมทั้งส่วนต่างๆ ที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดขับเคลื่อนไปด้วยความเจริญก้าวหน้า มั่นคงตามกระแสธรรม หรืออิทัปปัจจยตา ฝ่ายเจริญก้าวหน้า ก็เป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าอย่างมั่นคง และเป็นตัวอย่างที่ดีแห่งสัมมาทิฐิ ให้กับมนุษยชาติ

    75 ปีไม่ได้บัญญัติให้รัฐไทยนับถือพระพุทธศาสนา จะพบว่าปลาไม่อาจจะต้านทานน้ำเน่าได้ฉันใด คุณธรรมอันยิ่งใหญ่จากสถาบันพระศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ และคุณธรรมแห่งสาธุชนทั้งหลาย ก็ไม่อาจจะต้านทานรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐินั้นได้ ฉันนั้น ยิ่งสอนยิ่งให้แต่กลับล้มเหลว ผลเป็นประกันใดก็แจ้งชัด ประจักษ์แก่สาธุชนทั้งหลายอยู่แล้วว่าประเทศชาติและปวงชนไทยตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัย เสียเวลา ถดถอยล้าหลัง เป็นสังคมอนาธิปไตย เป็นมิคสัญญี กลียุค เกินที่จะกล่าวแล้ว ย้ำๆๆ ช่วยกันจัดพิมพ์ ถ่ายเอกสารเผยแผ่ เผยแพร่กันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราจะต้องร่วมกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง ร่วมด้วยช่วยกันเชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยชีวิต ผู้แทนชาวพุทธขอฝากเรื่องนี้ไว้กับ คณะ คมช. รัฐบาล สมช. และคณะ ส.ส.ร. พิจารณาอย่างแยบยลด้วยเถิด และขออนุโมทนาแก่ท่านทั้งหลายที่มีใจเป็นสัมมาทิฐิ เป็นพลังสำคัญยิ่งของชาติให้มั่นคงโดยทั่วกันทุกคนทุกท่านเทอญ




    " ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย "
    ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
    โดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)



    ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ชาวพุทธควรได้ปัญญา มองดูความคิดจิตใจคน ที่จะส่งผลอนาคตต่อไป
    สภาพอย่างที่ว่ามา ที่อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ว่าต่างผิวต่างเผ่าต่างศาสนานี้ เราพูดได้เลยว่ามีได้เฉพาะเมื่อชาวพุทธมีจำนวนมากครอบคลุมเกือบ หมดทั้งประเทศ แต่ถ้าเมื่อไรมีชาวพุทธน้อยลงก็จะเริ่มเกิดปัญหา

    อย่างเมืองไทยนี้ พูดได้เลยว่า ถ้าเมื่อไรคนพุทธเหลือ ๙๐% ก็จะเริ่มเดือดร้อน ปัญหาต้องเกิดขึ้น ตอนนี้เหลือ ๙๔% กว่าๆ ก็มีเค้าว่าจะเริ่มร้อนแล้ว

    ย้อนไปแค่ช่วง ๔-๕ ปีก่อนนี้ ปัญหาก็เริ่มตั้งเค้าขึ้นแล้ว เช่นมีพระองค์หนึ่งมาจากนราธิวาส และได้เล่าเรื่องความเป็นไปในจังหวัดของท่าน ด้วยความเป็นห่วงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหนอ สมัยท่านเป็นเด็ก จะเป็นเด็กพุทธหรือเด็กมุสลิม ก็เรียนหนังสือด้วยกัน โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เล็ก ตอนเป็นเด็กจะถือศาสนาไหนๆ ก็ไม่รู้จักแบ่งแยก เพราะฉะนั้นก็เป็นเพื่อนกันสนิทเรื่อยมา พอโตแล้วอยู่ด้วยกัน ก็พูดคุยกันดี มีบรรยากาศที่สบาย

    ทีนี้ต่อมาตอนหลัง เขาแยกให้เด็กเรียนกันคนละโรงเรียน เมื่อแยกกันตั้งแต่เด็ก ก็เริ่มมีปัญหา กลายเป็นคนละพวกแล้ว โน่นพุทธ นั่นมุสลิม ท่านจึงวิตกกังวลว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ปัญหาก็ได้เริ่มมีขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างในบางท้องที่ของเมืองใต้นั้น พระไปบิณฑบาตในบางถิ่นมีคนมุสลิมมาก เดี๋ยวนี้ถูกเด็กวัยรุ่นโห่เอาแล้ว บางแห่งไปมีการถ่มน้ำลาย อันนี้เป็นเรื่องที่แสดงว่าสถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเรื่องในทางที่ไม่ดี และนับว่าเป็นภัยชนิดหนึ่งเหมือนกัน

    ที่เป็นอย่างนี้ เราพูดได้ว่า ชาวศาสนาอื่นไม่ได้คิด ไม่ได้มองอย่างชาวพุทธ จะยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเมื่อไม่กี่เดื อนมาแล้ว คือเรื่องกรณีทาลีบัน

    พวกทาลีบันซึ่งเข้าปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ได้ใช้ปืนใหญ่และใช้ลูกระเบิดทำลายพระพุทธรูปที่มีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติของโลก

    ในทางประวัติศาสตร์ อาฟกานิสถานเคยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง อยู่แถว ๆ อาณาจักรกุษาณของพระเจ้ากนิษกะ ที่พามิยานมีพระพุทธรูปใหญ่สูง ๕๓ เมตร และ ๓๕ เมตร ซึ่งแกะสลักอยู่ที่ภูเขาเมื่อราว พ.ศ. ๘๐๐ มาถึงตอนนี้ ทั้ง ๒ องค์ ก็ถูกผู้ปกครองชาวมุสลิม พวกทาลีบันทำลายลงไป

    ความจริงในประวัติศาสตร์เขาเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง แต่สมัยก่อนยังไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างนี้ เขาทำลายได้แค่เอาฆ้อนเหล็กไปต่อยไปทุบ

    อย่างในอินเดีย ชาวพุทธไปนมัสการสังเวชนียสถาน ก็จะเห็นพระพุทธรูปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะในที่ๆ เปิดเผยเห็นได้ง่าย พระพุทธรูปจะถูกทำลายแบบว่า ถ้าเป็นศิลาใหญ่หน่อย ก็ต่อยที่พระนาสิกคือจมูก ให้เสียโฉม เพราะแข็งแรงและมีมากมาย เขาทำลายไม่ไหว

    สมัยก่อนไม่มีอุปกรณ์ใหญ่โตที่จะทำลาย ก็ทำได้แค่นั้น คือทำลายที่พระนาสิก เป็นอย่างนี้ทั่วไปหมด แต่เวลานี้เขามีเครื่องมือทำลายที่ร้ายแรง มีระเบิด มีปืนใหญ่ จึงทำลายได้หมดสิ้น

    เมื่อเกิดกรณีทาลีบันขึ้นมา ก็ต้องดูว่าชาวพุทธก็ตาม ชาวโลก และโดยเฉพาะชาวมุสลิมก็ตาม จะมีความรู้สึกแสดงออกอย่างไร ซึ่งจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ในการที่จะมองสถานการณ์ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มต่อไปในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

    เราไม่ใช่มองด้วยอารมณ์โกรธเกลียด แต่เราควรพิจารณาในแง่ว่า คนที่มีแนวความคิดอย่างนี้ ที่เขาทำอย่างนี้ได้นั้น จิตใจเขาเป็นอย่างไร เขานึกคิดต่อผู้อื่นอย่างไร ไม่ใช่มองแค่สถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ต้องมองไปในอนาคตว่า เมื่อเขายังมีความคิด มีความเชื่อ และมีสภาพจิตใจอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ

    เท่าที่ดูแล้ว ชาวพุทธก็มีบ้างที่ตื่นตัว แต่ว่าน้อย แล้วในฝ่ายชาวมุสลิม เราก็ได้ยินว่ามีชาวมุสลิมที่แสดงความไม่เห็นด้วย อย่างอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เขียนลงในหนังสือพิมพ์แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ใช่คำแถลงหรือแสดงมติที่ออกจากองค์กรใหญ่ของชาวมุสลิม ซึ่งควรจะแสดงให้เห็นท่าทีที่ชัดเจน

    แต่ชาวมุสลิมบางคนก็พูดในทางตรงข้าม ซึ่งอาตมาจะอ่านให้ฟังเป็นตัวอย่าง ข้อเขียนนี้เขาส่งไปลงในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ (ฉบับที่ได้รับมาเป็นถ่ายเอกสาร จะต้องค้นดูอีกทีว่าวันที่เท่าไร) เขาเขียนหัวข้อเรื่องว่า “เวรกรรมของทาลีบัน” เนื่องจากเป็นข้อเขียนยาว จึงจะอ่านเฉพาะบางส่วน

    เรื่องการทำลายพระพุทธรูปของพวกทาลีบันที่ผ่านมานั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องของศาสนิกชนอื่น ที่ไปทำลายศาสนสถานของชาวพุทธ ซึ่งพระพุทธรูปเป็นที่เคารพสักการะสำหรับศาสนาของเขา

    ชาวมุสลิมคนนี้เขียนต่อไปว่า

    สิ่งที่เขาทำอาจเป็นสิทธิของเขา ที่ไม่มีใครไปว่าเขาได้ เราก็มีสิทธิ์แค่ออกความเห็นและวิจารณ์ เขาจะฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเขาทำในบ้านของเขา ถ้ามุสลิมไทยมีรูปเจว็ดในบ้านเราก็ต้องกำจัด ท่านวันนอร์ของเราก็เปลี่ยนแปลงห้องรัฐมนตรี โดยการยกพระพุทธรูปออกไป และอดีตรัฐมนตรีว่าการฯ ต่างประเทศ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็ยกพระพุทธรูปออกจากห้องทำงานเหมือนกัน การที่จะให้อิสลามเป็นสากลไม่ได้หมายความว่าจะยืดหยุ่นได้ทุกๆ เรื่อง อิสลามเป็นศาสนาที่สร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลาย บางครั้งการทำลายอาจเป็นสาเหตุจากการสร้างสรรค์ ศาสดามูฮัมหมัดก็เคยทำสิ่งเดียวกัน บรรดาเทวรูปต่างๆ ที่อยู่ในเมกกะถูกทำลาย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้สังคมรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว

    นี้คือท่าทีที่เป็นตัวอย่าง เขามองประเทศอาฟกานิสถาน เป็นบ้านเฉพาะของชาวมุสลิมเท่านั้น ถ้าอย่างนี้ก็ลำบาก หมายความว่า คนถือศาสนาอื่น ทั้ง ๆ ที่เกิดที่นั่น ก็ไม่มีบ้าน ไม่มีสิทธิ อย่างนี้ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว

    นอกจากนั้น คำว่า “สากล” ที่ชาวมุสลิมท่านนี้เขียน ก็เห็นได้ว่า มิใช่หมายถึงการทำให้คนทั้งหลายทั่วไปทั้งหมดเข้าใจ ศาสนาอิสลามถูกต้องแล้วเห็นชอบยอมรับทั่วกัน อย่างที่เราเข้าใจ แต่หมายถึงการที่จะต้องให้ทุกคนและทุกอย่างเป็นไปตามที่ศาสนาอิ สลามกำหนด ไม่ว่าใครจะพอใจหรือยอมรับหรือไม่

    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องมองด้วยความรู้ความเข้าใจและไ ม่ประมาทว่า ถ้าคนมีสภาพจิตใจและความคิดอย่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในระยะยาว

    คนไทยชอบยกย่องนับถืออเมริกา แต่น้อยคนนักหนา จะรู้จักอเมริกาสักหน่อย
    ขอเล่าไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างประเทศมาเลเซียเมื่อประมาณ ๑๕ ปีมาแล้ว วันหนึ่งมีคนมาเลเซียมาที่วัด เขาเข้ามาหาและบ่นวิตกกังวลว่า ตอนนี้ประเทศมาเลเซียประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ เป็น State Religion แล้ว ก็เริ่มจะมีปัญหาเรื่องการศึกษาเล่าเรียน มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องหลักสูตรอะไรต่างๆ

    เขาถามแสดงความสงสัยและไม่พอใจขึ้นมาเองว่า ทำไมพวกนี้ถือโอกาสเอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้ง ๆ ที่คนมุสลิมในมาเลเซียมีแค่ ๔๙ % เท่านั้น รัฐบาลกลับประกาศว่า มี ๕๑ % ให้ถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ ที่จริงมุสลิมมีแค่ ๔๙ % แต่รัฐบาลบอกว่ามี ๕๑ % แล้วอ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก และประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ

    (ในด้านตำรา ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๔๕ สถิติของ MS Encarta Encyclopedia 2002 ว่ามาเลเซียมีศาสนิกมุสลิม ๕๓% พุทธ ๑๙% คริสต์ ๑๑% ฮินดู ๘% และอื่นๆ ๙%)

    เราก็มาคิดว่า ที่จริงนั้นไม่สำคัญหรอก จะเป็น ๔๙% หรือ ๕๑% ถึงจะ ๕๑% หรือแม้แต่ ๖๐% ว่าเกินครึ่ง เป็นส่วนมาก แล้วแค่นี้เอาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็แปลกแล้ว ทำไมเขาถืออย่างนั้นได้ จุดที่ควรมองอยู่ที่ว่า ความคิดจิตใจของเขาเป็นอย่างไร จะเห็นว่าคนในประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ที่ยกมานี้มีความคิดไปคนละแบบ

    แม้แต่ประเทศที่ยกย่องกันว่าพัฒนาสูงเยี่ยม เช่นประเทศอเมริกา ที่บอกว่าเขาเป็นประเทศที่มีเสรีภาพทางศาสนา ถึงกับแยกรัฐกับศาสนา ถ้าเราสังเกตก็จะเห็นว่า เขาแยกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือแบบรักพี่เสียดายน้อง

    ยกตัวอย่างเช่น เวลาประธานาธิบดีอเมริกาเข้ารับตำแหน่ง มีพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง หรือ Inaugural ทั้ง ๆ ที่ประเทศอเมริกามีชาวคริสต์อยู่ราว ๆ ๘๕% เป็นโปรเตสแตนต์ ๖๐% เป็นคาทอลิก ๒๐ กว่าเปอร์เซนต์ แต่เวลาทำพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต้องสาบานตัวก ับคัมภีร์ไบเบิล ต้องเอามือทาบบนคัมภีร์ไบเบิล แล้วกล่าวลงท้ายว่า So help me God.

    แม้แต่พิธีสาบานธง (Pledge of Allegiance to the Flag) ซึ่งเป็นการแสดงความภักดีต่อชาติอเมริกัน เขาก็มีกฎหมายออกมา ซึ่งรัฐสภากำหนดคำสำหรับปฏิญาณตนไว้ ตอนหนึ่งว่า One nation under God คือ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งเดียวภายใต้พระผู้เป็นเจ้า

    ถ้าถามว่าประเทศอเมริกามีศาสนาประจำชาติไหม ตามหลักฐานนี้ก็บอกได้เลยว่ามี หรือเขาถือศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ตอบได้เลยว่าถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ แม้เขาจะบอกว่าในรัฐธรรมนูญเขาให้รัฐกับศาสนาแยกกัน ก็เป็นเรื่องมีเบื้องหลัง คือ เขาต้องแยกรัฐกับศาสนาเพราะเรื่องความขัดแย้งของคาทอลิกกับโปรเ ตสแตนต์ และเพราะโปรเตสแตนต์ที่มีหลายนิกายทะเลาะกัน จะเอาอันไหนเป็นใหญ่ไม่ได้

    (ที่จริงในตัวรัฐธรรมนูญแท้ๆ ก็ไม่มีคำที่บอกว่าแยกรัฐกับศาสนา ที่บอกว่า separation of/between church and state นั้น ที่จริงเป็นการแปลความหมายของ Jefferson)

    การที่อเมริกาประกาศให้มีเสรีภาพทางศาสนา และบอกว่า แยกรัฐกับศาสนานั้น อย่าไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องศาสนาทั้งหลาย ความจริงเป็นเรื่องระหว่างคริสต์กันเอง คือ คาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง โปรเตสแตนต์ที่ต่างนิกายกันเป็นร้อยๆ นิกายลงกันไม่ได้นั่นต่างหาก ปัญหาเขาอยู่ที่นั่น คือเขามีนิกายมากมาย แล้วเขาตกลงกันไม่ได้ เลยทะเลาะกัน

    อนึ่ง ด้วยเหตุที่ว่าแม้เพียงระหว่างศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกาย เขายังทะเลาะรุนแรงขนาดนั้น จึงเป็นธรรมดาว่ากับศาสนาอื่น เขาย่อมยอมรับไม่ได้ ดังนั้นพวกยิวในอเมริกายุคก่อนนั้นจึงถูกกำจัดรุนแรงด้วย

    หลายคนหลงไปตามเรื่องราวของอเมริกันที่มองกันไม่ชัด แล้วเข้าใจผิดว่า การแยกรัฐกับศาสนา และการมีเสรีภาพทางศาสนา เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งที่จริงไม่ใช่

    ยิ่งกว่านั้น ยังมักเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า การแยกรัฐกับศาสนาแบบอเมริกันนี้ เป็นความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันเป็นความติดตันของอารยธรรมต่างหาก (ถ้าไม่ถึงกับจะเรียกว่าเป็นความอับจนของอารยธรรมปัจจุบัน)

    การแยกรัฐกับศาสนาของอเมริกันนี้ อย่างดีก็เป็นก้าวหนึ่งในอารยธรรมของเขาที่เดินหน้าไปหน่อย ด้วยวิธีตัดปัญหา คือเมื่อคนยังใจแคบกันนัก ยอมรับความจริงกันไม่ได้ และจะแก้ไขจิตใจคนก็ไม่ได้ ก็ตัดปัญหาเสียเลย ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เพราะในเรื่องนี้จิตใจคนยังพัฒนาไม่พอ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะต้องเกิดเรื่อง ก็เลยเอาแค่สร้างกำแพงขวางกั้น (อย่างที่ Jefferson ว่า) ปล่อยปัญหาไว้อย่างนั้น ไม่จัดการมัน (เหมือนกับบอกว่า ดูภูมิหลังพวกฉันสิ ฉันทำได้แค่นี้แหละ)

    แต่ก็ปรากฏว่ากำแพงที่เขาก่อไว้นี้ ก็ก่อปัญหาแก่อเมริกาเองยังไม่จบ(ตัวแท้ของปัญหาอยู่ในใจของคน ซึ่งกฎหมายแก้ไม่ได้)

    พูดสั้นๆ ว่า การปฏิบัติของอเมริกันในเรื่องนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่บ่งชี้ทั้งความติดตันของอารยธรรมมนุษย์ ที่ต้องแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีแยกตัวออกมาไม่ยุ่งเกี่ยว และทั้งแสดงถึงปัญหาพื้นฐานคือการที่มนุษย์ทั่วไปมีจิตใจที่ยัง ไม่พัฒนาเพียงพอ

    อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการที่จะพัฒนาจิตใจมนุษย์ทั่วโลกหรือส่วนใหญ่ให้ก ว้างขวาง เป็นจิตใจที่เสรีจริงถึงขั้นที่อยู่กับเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตาพร ้อมกับแสวงสัจธรรมด้วยปัญญาได้อย่างเต็มที่นั้น เป็นก้าวใหญ่ที่ยังไปถึงได้ยาก แต่นี่คือสิ่งท้าทายการพัฒนาอารยธรรมที่แท้จริง

    นอกจากนี้ ที่พูดมาทั้งหมดนั้น มิใช่มุ่งหมายจะให้ชาวพุทธมาอ้างมาเถียงกับประเทศอื่นๆ ว่าที่โน่นที่นั่นเขายังอย่างนั้นอย่างนี้

    แต่มุ่งให้รู้เท่าทันสถานการณ์ตามเป็นจริงว่ามนุษย์หรือชาวโลกย ังเป็นกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งเราควรจะก้าวให้พ้นเลยต่อไป เพราะศักยภาพของชาวพุทธมีมากกว่านั้น เราสามารถสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้แก่โลกได้ ตรงนี้สิเป็นงานที่เราควรจะคิดกันอย่างจริงจัง

    แต่ทั้งนี้ก็ต้องปฏิบัติตามหลักที่พูดแล้วว่า ใจดีอยู่กับเขาโดยมีเมตตา แต่ก็ต้องปฏิบัติจัดการด้วยปัญญา และอยู่ด้วยความไม่ประมาท

    แม้แต่ freedom of religion และ separation of church and state คนไทยอ่านแล้วก็ไม่ได้เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายเหมือนอย่า งที่ผู้สร้างกฎหมายของอเมริกาเข้าใจ เพราะต่างก็คิดไปตามภูมิหลังของตัว (เรื่องนี้ต้องมีเวลาว่ากันอีก)

    หันกลับมาเรื่องเฉพาะหน้าก่อน บางทีเราไม่รู้ภูมิหลัง ไปเห็นแต่เพียงตัวหนังสือว่า อเมริกามีเสรีภาพทางศาสนา ให้ศาสนากับรัฐไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นมาอย่างไร แล้วจะเอาวิธีนี้มาใช้กับประเทศไทย โดยไม่เข้าใจภูมิหลัง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติก็ไม่เกิดขึ้น กลายเป็นว่า เอาสิ่งที่เป็นโทษมายัดเยียดใส่ประเทศของตัวเอง

    นายกรัฐมนตรีไทย เวลาเข้ารับตำแหน่ง ถ้าจะเอาอย่างอเมริกา น่าจะมีพิธีทางพระพุทธศาสนาบ้าง อย่างอื่นเอาอย่างอเมริกา แต่อย่างนี้ไม่เอา

    ตามประเพณีของเรา ในพิธีบรมราชาภิเษก มีการประกาศราชธรรมต่างๆ คือ หลักการปกครองแผ่นดินตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ และขัตติยพละ เมื่อเรามาเป็นประชาธิปไตย เราไม่ได้นำวัฒนธรรมประเพณีนี้มาสืบต่อ ทำไมเราจึงละเลยเสีย เป็นเรื่องที่ควรจะต้องพิจารณา

    อาจจะพูดเชิงล้อหน่อยว่า นี่เป็นตัวอย่างระดับชาติของการที่คนไทยเวลานี้ จะเอาอย่างอเมริกาก็ทำไม่ได้ จะรักษาความเป็นไทยก็เอาไว้ไม่อยู่*

    กลมกลืนกันมา กลมกลืนกันไป ฝ่ายที่ไม่รู้ตัว ก็จะหัวหายไปเอง
    อีกเรื่องหนึ่งที่ได้พูดไว้แต่ต้น คือได้บอกว่า เมื่อปี ๒๕๒๕ มีเรื่องตื่นเต้นกันใหญ่ ชาวพุทธลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวกันพักหนึ่ง แล้วก็เงียบ ๆ ไป คือกรณีที่เรียกว่า Vatican Council II หรือการประชุมมหาสมัชชาวาติกัน ครั้งที่ ๒ เรื่องนี้ไปอย่างไรมาอย่างไร จะเล่าให้ฟังเสียด้วย

    ย้อนหลังไปเกือบ ๒๐ ปีแล้ว ตอนนั้นชาวพุทธบางท่านได้ไปเจอเอกสารของคริสต์จากองค์กรที่เรีย กว่า Secretariat for Non-Christians คือสำนักเลขาธิการเพื่อ(ปฏิบัติต่อ)คนที่มิใช่ชาวคริสต์ เป็นเอกสารลับ เขาบอกว่าเป็น confidential ซึ่งเขาใช้สำหรับสื่อกันระหว่างพวกบิชอพคาทอลิกที่ทำงานอยู่ในป ระเทศต่างๆ ทั่วโลก

    ในเอกสารนี้ก็ไปพบนโยบายใหม่ของคาทอลิกที่จะปฏิบัติต่อศาสนาอื่ น ๆ ซึ่งทำให้รู้ว่าเวลานี้ทางคาทอลิกได้เปลี่ยนนโยบาย

    ขอทำความเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ ทางชาวคริสต์คาทอลิก โดยเฉพาะบาทหลวง เวลาเผยแผ่ศาสนาจะใช้วิธีพูดจารุนแรง คือใช้วิธีด่าว่าโจมตี อย่างสมัยก่อน ถ้าเป็นญาติโยมที่อายุมาก ๆ จะได้ยิน เช่นที่สนามหลวง จะมีพวกนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ขึ้นไปยืนบนแท่น แล้วก็โจมตีพระพุทธศาสนาด่าว่าต่าง ๆ ต่อมาภาพนี้หายไป แล้วมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่เข้ามาเป็นมิตร

    ทีนี้ชาวพุทธก็ไปพบเอกสารลับนี้ขึ้น อันสืบเนื่องมาจาก Vatican Council ครั้งที่ ๒ ซึ่งเขาประชุมกันในปี ๑๙๖๒-๑๙๖๕ ตรงกับ พ.ศ.๒๕๐๕–๒๕๐๘ แต่เรามาเจอหลังจากนั้นตั้งนาน จึงรู้ว่าเขาเปลี่ยนนโยบาย โดยตัวเองก็แปลกใจว่าชาวคริสต์บาทหลวงทำไมเข้ามาสัมพันธ์กับชาว พุทธอย่างดี จนกระทั่ง แม้แต่ที่กรมการศาสนาก็ถึงกับตั้งเป็นหน่วยงานเรียกว่า “ศูนย์ศาสน-สัมพันธ์”

    คำว่าศาสนสัมพันธ์นี้แปลจากภาษาอังกฤษที่ทางคาทอลิก ใช้ว่า dialog (สะกดแบบอังกฤษเป็น dialogue) ซึ่งปกติแปลกันว่าเสวนา หรืออะไรทำนองนี้ แต่ในกรณีนี้เขาแปลว่าศาสนสัมพันธ์

    ที่กรมการศาสนาตั้งหน่วยนี้ขึ้น ก็เพื่อให้ทางคริสต์และทางพุทธ อะไรต่างๆ ได้มาประสานและมีความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    เมื่อเราไปเจอเอกสารลับนี้ จึงเข้าใจได้ว่าเขาเปลี่ยนนโยบายในการเผยแผ่ศาสนาเนื่องจากเหตุ ผลที่ว่า ในโลกปัจจุบันนี้การที่จะมาใช้วิธีโจมตีด่าว่ามันไม่ได้ผลแล้ว

    อย่างในเมืองไทยเอง บาทหลวงเขาก็รู้อยู่แก่ใจ ถึงกับพูดว่า ในเมืองไทยนี้ศาสนาคริสต์เข้ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหา ราชราวสามร้อยปีแล้ว มาถึงปัจจุบันนี้มีคนไปเป็นคริสต์อยู่แค่แสนกว่า เวลาที่ผ่านไปยาวนานหลายร้อยปี และทุนมากมายมหาศาลที่ใช้ไปนี้ เมื่อเอามาเทียบกับผลที่ได้ ต้องถือว่าไม่ได้ผลเลย เพราะฉะนั้นการที่จะใช้วิธีอย่างเก่านี่ เลิกได้แล้ว จึงเปลี่ยนแปลง

    ที่หน่วยกลางคือวาติกันเอง มีการเปลี่ยนนโยบายตามผลการประชุมใหญ่ครั้งนี้ โดยให้ใช้วิธี dialog ให้มีการวิสาสะกัน ให้ใช้วิธีที่เรียกว่า assimilation เรียกว่าการกลมกลืน

    นโยบายกลมกลืนก็มีตัวอย่างให้ดูในเอกสารนั้น ซึ่งพอดีเขาพูดถึงวิธีปฏิบัติในประเทศไทยด้วย ในเอกสารที่เป็น bulletin นั้นมีบอกหมด แม้กระทั่งรายงานว่า ประเทศไทยเวลานี้ มีสถานการณ์เป็นอย่างไร เช่น องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกมีสถานะอย่างไร พุทธสมาคมเป็นอย่างไร ทำงานได้ผลหรือไม่ พระสงฆ์เป็นอย่างไร ชาวไทยเป็นอย่างไร เขาควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ผลดี

    ในเอกสารที่ว่านี้สรุปก็คือ เขาบอกวิธีปฏิบัติ ว่าจะต้องใช้วิธีกลมกลืนทุกด้าน (ไม่ใช่แค่กลมเกลียว แต่เป็นกลมกลืน) เริ่มตั้งแต่ในแง่คำสอนทางศาสนา ก็ให้คนที่เก่งของคริสต์ไปเรียนหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไป แล้วให้เอามาใช้ในคริสต์ศาสนา ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ก็นำไปใช้

    ตอนนั้นปรากฏว่ามีการนำพิธีกรรมแบบพุทธไปใช้เพิ่มขึ้นๆ ซึ่งคงจะเป็นการทดลองตามวิธีกลมกลืนแบบนี้ ซึ่งหลายพิธีกรรมเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ดังที่ปรากฏว่าปัจจุบันนี้ชาวคริสต์ มีการทอดผ้าป่า ส่วนทอดกฐินมีหรือไม่ คงต้องถามญาติโยมที่รู้ดูอีกที

    ตอนหนึ่งถึงกับพยายามใช้วิธีบวชแบบพุทธเลย คล้าย ๆ มีการขานนาคและมีคู่สวด มีอะไรต่างๆ คือ เขาพยายามลองดูว่าอันไหนได้ผล ก็ทำต่อ อันไหนไม่ได้ผลก็เลิกไป แต่ทอดผ้าป่ายังทำอยู่ นี้เป็นตัวอย่าง

    นอกจากนั้นเขายังนำเอาแบบแผนเรื่องการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมไปใช้ โดยออกแบบให้มาเป็นคล้าย ๆ แบบไทย และเป็นแบบพุทธ พร้อมทั้งนำโต๊ะหมู่บูชาเข้าไปใช้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ทราบว่านำเอาโต๊ะหมู่แบบของในวัดพระพุทธศาสนาไปใช ้ในโบสถ์คริสต์ โดยเอาไปตั้งไม้กางเขนแทนพระพุทธรูป บางทีบางแห่งเอาพระพุทธรูปไปตั้งข้าง ๆ ด้วย

    อันนี้เป็นเรื่องของวิธีการกลมกลืน ซึ่งเขาได้ปฏิบัติกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งชาวพุทธไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะไม่ได้สังเกตหรือมัวเพลินประมาท อาจจะมองไปในแง่ดีว่าเขามาเป็นมิตรกับเรา

    บาทหลวงคริสต์ เอานิพพานเป็นอัตตา เพื่อให้พระพุทธศาสนากลายเป็นคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า
    นอกจากในภาคปฏิบัติแล้ว เราก็เจอในแง่คำสอน มีเอกสารของสถาบันคริสต์ออกมาพูดถึงนโยบายเกี่ยวกับคำสอน เขาวางวิธีการนำเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาไปอธิบายแบบคริสต์ เขาบอกว่า เขาใช้แนวการอธิบายคริสต์ศาสนาแก่ชาวพุทธ โดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพุทธศาสนา อันนี้เขาตั้งไว้เป็นหลักในเอกสารประจำของเขา แล้วพยายามทำตามวิธีการนั้น

    มีบาทหลวงหลายท่านพยายามทำอย่างนี้ เป็นการใช้นโยบายที่จะทำพุทธกับคริสต์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวก ันอย่างที่บอกเมื่อกี้ คือใช้วิธีกลมกลืน แต่ที่จริงไม่ใช่แค่กลมกลืนหรอก เป็นการครอบเลย

    การครอบก็คือ เอาพุทธเข้าไปไว้ข้างใน แล้วเอาคริสต์เป็นใหญ่ คลุมทั้งหมด

    การเอาคริสต์เป็นใหญ่ก็คือ ให้พระพุทธเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เพราะฉะนั้นในเอกสารของคริสต์ตอนนั้นจึงมีการแต่งเรื่องออกมาชั ดเจนเลย บอกว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นประกาศกที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมา เพื่อมาเตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู เพราะว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในสมัยก่อนพระเยซูประมาณ ๕๐๐ ปี คือ ๕๔๓ ปี (แต่ที่จริงไม่ใช่แค่ ๕๔๓ ปีหรอก เรานับพุทธศักราชจากพุทธปรินิพพาน ต้องบวกเข้าไปอีก ๘๐ ปี เป็น ๖๐๐ กว่าปี)

    บาทหลวงคริสต์เขาให้ถือว่า พระพุทธเจ้านี้ พระผู้เป็นเจ้าส่งมาเพื่อเตรียมรับพระเยซู เรียกว่าให้เตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู และมีการนำเอาธรรมะของพุทธศาสนาไปอธิบายให้เข้ากับคริสต์ ให้เป็นว่าที่พระพุทธเจ้าสอนนี้เป็นเรื่องของพระเจ้าสั่งมาให้ส อน ดังที่จะอ่านให้ฟังเป็นตัวอย่าง

    บาทหลวงมนัส จวบสมัย เขียนไว้ในวารสาร แสงธรรมปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๒๔ หน้า ๑๐๒-๑๐๔ บอกว่า

    ปฐมเหตุของสรรพสิ่งคือพระเจ้า พระผู้สร้าง พระองค์ คือองค์สยมภู เป็นผู้สร้างสากลจักรวาล และทรงตั้งกฎปฏิจจ-สมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก พระผู้เป็นเจ้าตั้งกฎปฏิจจสมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก ปฏิจจสมุปบาทคือแผนการของพระเจ้า ที่มีต่อโลกและมนุษย์ พระเจ้าทรงไขแสดงให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาตีแผ่

    นี่คือวิธีที่ว่ากลมกลืน โดยรวบรัดให้เป็นว่า ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้นี้ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าไขแสดงให้ ถ้าใช้ศัพท์ฝรั่งก็คือ Revelation คือ God ของเขา ไขแสดงให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาตีแผ่

    หลักอื่นก็ทำนองเดียวกัน อย่างเรื่องไตรลักษณ์ บาทหลวงจะอธิบายนำเป็นแนวทางว่า ชาวคริสต์หรือบาทหลวงผู้เผยแผ่จะนำเอาธรรมะของพุทธไปใช้ได้อย่า งไร เขาอธิบายว่า อนิจจังในคัมภีร์ไบเบิลก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ ทุกขังก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ อนัตตาก็สอนไว้ว่าอย่างนี้

    อาตมาอ่านแล้วตอนนั้นก็ไปค้นดูว่า คัมภีร์ไบเบิลมีสอนอย่างนี้จริงหรือเปล่า ไปดูแล้ว ไม่เห็นน่าจะแปลอย่างนั้นเลย ไม่รู้เขาแปลได้อย่างไร ตรงนี้แปลเป็นอนิจจัง ตรงนั้นแปลเป็นทุกขัง เขาแปลไปจนได้ ทั้งที่เนื้อความและถ้อยคำไปกันไม่ได้เลย

    อนัตตาเขาบอกว่าคริสต์ก็มี เสร็จแล้วเขาก็พูดไป ๆ สรุปได้ความว่า ในพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนไปได้ถึงแค่อนัตตา คือสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ จบแค่นั้นแล้ว ต้องอาศัยรอพระเยซูมาสอนอัตตาอีกทีหนึ่ง คือพระเยซูนี้มาทำให้จบ ต้องไปสู่อัตตาของพระเยซูอีกที

    อาตมาจะอ่านให้ฟังสักตอนหนึ่ง อันนี้มาจากหนังสือสัปดาห์สาร นิตยสารรายสัปดาห์ พิมพ์โดยโบสถ์นักบุญยอแซฟ อ.บ้านโป่ง ราชบุรี เขียนว่า

    พระเจ้าทรงใช้พระธรรมสร้างทุกสิ่ง พระธรรมนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์แท้ (หมายถึงพระธรรมมาเกิดเป็นพระเยซู) พระธรรม องค์นิจจัง สุข อัตตา มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อมนุษย์จะได้รับสภาพ นิจจัง สุข อัตตา จากพระธรรม พระธรรมเป็นบุตรองค์เดียวจากพระเจ้า มนุษย์ที่รับสภาพนิจจัง สุข อัตตา เมื่อคริสตชนถึงแก่ความตาย อนัตตาก็สูญสิ้นไปเหลือแต่อัตตาในโลกุตตระ ซึ่งเป็นนิจจังและสุขอย่างสมบูรณ์

    นี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเขาได้เอานโยบายมาปฏิบัติจริงอย่างนี ้ คือเอาธรรมะในพุทธศาสนานี้ มาอธิบายใหม่ให้เป็นของคริสต์ศาสนา แต่มีนโยบายไว้ชัดว่าต้องให้คริสต์สูงกว่า คือ เอาพุทธไปอยู่ในนั้นอีกทีหนึ่ง เรียกว่าเป็นวิธีครอบ

    ที่พูดมานี้เป็นเรื่องที่ว่าควรจะรู้ อาตมาคิดว่าชาวพุทธไม่เคยรู้ ทั้งๆ ที่เป็นเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวกันครั้งใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ คือ ๑๙ ปีมาแล้ว แล้วก็เงียบหายไป ไม่ได้มีการเอาจริงเอาจังอะไร กลายเป็นเรื่องตูมตามหรือไฟไหม้ฟาง แล้วก็จบไป

    ถึงได้บอกว่า มาถึงเวลานี้แทบจะสายเกินไปหรือเปล่า ที่เราจะมาตื่นตัวกัน เพราะว่าเวลานี้อะไรต่ออะไรมันไปไกลมากแล้ว

    บางส่วนจาก http://203.150.123.17/html/450215.htm

    ธงชาติไทยมี 3 สี สีแดงหมายถึงชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า ธงชาติไทยควรมี 4 สี สีที่4 หมายถึงรัฐธรรมนูญ ควรมีธงจตุรงค์แทนธงไตรรงค์ ( ปาฐกถาธรรมทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2527 หัวข้อ “ เรามีสิ่งชักนำให้ศาสนาคุ้มครองชาติ:โชคดีที่มีมหากษัตริย์ทำหน้าที่ชักนำ ” ) ปัจจุบันอำนาจบริหารประเทศ อยู่ที่รัฐบาลภายใต้กฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุด โดยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของไทยที่ผ่านมา ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงส่งเสริมสนับสนุน เน้นคุณค่าและความสำคัญของพุทธศาสนามาตลอดทุกพระองค์ โดยทรงผนวชด้วย แต่ก็มิได้กีดกันการนับถือศาสนาอื่นของประชาชนแต่อย่างใด แม้จะมีศาสนาอื่นมาชวนให้เข้ารีต ก็มิได้ทรงเปลี่ยนพระราชหฤทัย ยังทรงศรัทธาและยึดมั่นในพระพุทธศาสนาเสมอมาทำให้ประเทศอยู่ร่มเย็นเป็นปึกแผ่นมาจนถึงรุ่นเรา แต่ที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.2540 ที่ว่ากันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดนั้น ในมาตรา 38 มาตรา 73 และมาตรา 106 มีการใช้ศัพท์ในศาสนาของเขา เพื่อเปิดช่องให้ออกกฎหมายลูก ( พ.ร.บ. 3 ฉบับ ) มาให้รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนศาสนาของเขาทุกด้าน รวมถึงเงินอุดหนุนด้วย ซึ่งพุทธศาสนาไม่เคยได้สิทธิเช่นนั้นเลย ชาวไทยพุทธโดยมากไม่รู้ผลที่จะตามมาจาก พ.ร.บ. 3 ฉบับดังกล่าวนั้น การที่ระบุในรัฐธรรมนูญว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะรวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากของชาติไทย เพราะ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุ จะอิงกับพุทธศาสนาโดยมาก อีกทั้งคนไทยโดยมากนับถือพุทธศาสนา
    ตอนนี้ปัญหาความไม่สงบเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นๆ หากไม่ตัดไฟแต่ต้นลม อนาคตแย่แน่ๆ เขาพยายามส่งคนของเขาเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเป็นผู้รักษาการตามพ.ร.บ.ดังกล่าวข้างต้น เราไม่ได้กีดกันศาสนาอื่นแค่ไม่ต้องการให้อนาคตของพุทธศาสนาในไทย ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนในอินเดีย การระบุว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาอื่นจะด้อยสิทธิกว่า
    เพียงเป็นการให้ความสำคัญแก่พุทธศาสนาที่มีคู่ชาติและพระมหากษัตริย์มาช้านาน และรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมไทยที่อิงกับพุทธศาสนานั่นเอง

    ตอบลบ
  3. ‘พระพุทธศาสนากับความสมานฉันท์แห่งชาติ’

    พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)






    ในการสัมมนาครั้งนี้ ท่านพุทธศาสตรบัณฑิตทั้งหลายได้มาประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ของการปฏิบัติศาสนกิจในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาและจะได้พินิจพิจารณาถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่ส่งพวกเราออกไปปฏิบัติศาสนกิจเพื่อพัฒนาสังคม

    ประโยชน์ของศาสตร์ต่างๆ ต่อสังคม

    ศาสตร์ทั้งหลายต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคมถึงจะอยู่รอดมาได้ มนุษย์คิดค้นศาสตร์ต่าง ๆขึ้นมาก็เพื่อช่วยพัฒนามนุษย์และพัฒนาสังคม ศาสตร์สาขาใดไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจทำหน้าที่พัฒนามนุษย์และพัฒนาสังคม ศาสตร์สาขานั้นก็จะสูญพันธุ์ไปเอง

    พุทธศาสตร์ซึ่งเราได้ศึกษามาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนี้ก็เช่นเดียวกัน นั่นคือเมื่อพิสูจน์ได้ว่ายังมีประโยชน์ต่อชาวโลก คนก็คงยังศึกษากันต่อไป

    มหาวิทยาลัยมหาจุฬากรณราชวิทยาลัยนี้รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาให้เป็นสถานศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง ในที่นี้ คำว่า “พระไตรปิฎก” หมายถึงพุทธธรรมหรือพุทธศาสตร์ คำว่า “วิชาชั้นสูง” หมายถึง ศาสตร์สมัยใหม่สาขาต่าง ๆ ที่เราเรียนกันในมหาวิทยาลัย

    ผู้เป็นพุทธศาสตรบัณฑิตต้องมีความรู้ลึกซึ้งในพระธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาและสามารถประยุกต์เข้ากับศาสตร์สาขาต่าง ๆ

    เมื่อพุทธศาสตรบัณฑิตมีความเป็นเลิศทางวิชาการทางด้านพุทธศาสนาบวกกับความเชี่ยวชาญในศาสตร์สาขาต่าง ๆ แล้วเราทำอะไรกันต่อไปหลังจากเรียนจบและได้รับปริญญา ศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่ศึกษามานั้นเราใช้ให้เป็นประโยชน์แค่ไหน นี้ก็คือสิ่งที่น่าจะได้กำหนดพินิจพิจารณา

    เมื่อเรียนจบศาสตร์สาขาต่าง ๆ แล้ว ท่านก็ต้องนำความรู้ไปใช้ทำประโยชน์ คำถามก็คือใช้ทำประโยชน์อะไร ?

    เมื่อหมอชีวกโกมารภัจเรียนวิชาแพทยศาสตร์ที่ตักกสิลาได้ 7 ปีก็มีการสอบไล่ อาจารย์ของหมอชีวกได้ให้ข้อสอบ 1 ข้อแก่ลูกศิษย์ที่เข้าสอบว่า ในรัศมีประมาณ 1 โยชน์โดยรอบนี้ให้แต่ละคนไปเสาะหาดูว่าพืชชนิดใดใช้ทำยาไม่ได้ จากนั้นอาจารย์จะมาประเมินผลจากการไปแสวงหาพืชชนิดที่ใช้ทำยาไม่ได้ ว่าคนไหนควรจะจบหรือไม่

    ลูกศิษย์ทั้งหลายไปเก็บพืชชนิดที่ใช้ทำยาไม่ได้มาคนละกำสองกำแล้วนำเสนออาจารย์ อาจารย์ได้แต่พยักหน้า แต่หมอชีวกกลับมามือเปล่า

    อาจารย์ถามว่า “ไหนล่ะพืชที่ใช้ทำยาไม่ได้”

    หมอชีวกตอบว่า “ผมไปพิจารณาโดยทั่วแล้ว ไม่มีพืชชนิดใดที่ใช้ทำยาไม่ได้ พืชทุกชนิดเราใช้ทำยาได้หมด”

    ปรากฏว่า ในบรรดานักศึกษาแพทย์รุ่นนั้นมีหมอชีวกสอบผ่านเพียงคนเดียว ทั้งนี้เพราะหมอชีวกเห็นว่าพืชทุกอย่างใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ใช้เป็นประโยชน์อะไร ? เป็นประโยชน์ตามศาสตร์สาขาที่หมอชีวกเรียนจบคือนำไปปรุงยา

    ผมขอถามท่านทั้งหลายว่าเมื่อเรียนจบพุทธศาสตร์แล้ว ท่านสามารถนำความรู้ทุกอย่างไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ?

    ผมตอบแทนท่านทั้งหลายว่าความรู้ทุกอย่างใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งหมดในการเทศน์การสอนและการปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรที่ใช้เป็นประโยชน์ในการเทศน์การสอนและการปฏิบัติธรรมไม่ได้

    เหมือนกับสำนวนนิยายกำลังภายในที่ว่า “กระบี่อยู่ที่ใจ” นั่นคือไม่มีอะไรที่ยอดฝีมือจะใช้เป็นกระบี่ไม่ได้ เขาไปที่ไหนไม่ต้องพกพากระบี่ เมื่อถูกศัตรูจู่โจม เขาจะหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาแล้วแผ่กำลังภายในไปที่กิ่งไม้ทำให้กิ่งไม้แข็งเหมือนกระบี่ใช้สู้รบได้

    เมื่อท่านเรียนจบหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต ความรู้ทุกอย่างเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมได้ทั้งหมด เรื่องที่ดีเราก็นำเอามาสอนได้ เรื่องไม่ดีเราก็นำเอามาสอนได้ ดังที่ขงจื้อกล่าวว่า

    “เมื่อข้าพเจ้าพบเห็นคนสองคนเดินสวนทางมา
    คนหนึ่งเป็นคนดี อีกคนหนึ่งเป็นคนเลว
    คนสองคนเป็นครูของข้าพเจ้าได้เท่าๆกัน
    พบเห็นคนดีเดินสวนทางมา ข้าพเจ้าพยายามเอาอย่างเขา
    พบเห็นคนเลวเดินสวนทางมา ข้าพเจ้าพยายามไม่เอาอย่างเขา”

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันเป็นอุปกรณ์สอนธรรมะได้หมด ถ้าเรารู้ลึกซึ้งถึงแก่นของพระพุทธศาสนา ก็ไม่มีอะไรที่เป็นปราการขวางกั้นไม่ให้เรานำเหตุการณ์เหล่านั้น ไปประยุกต์สอนธรรมะ เมื่อประยุกต์สอนได้อย่างนี้ วิชาธรรมะก็จะเป็นประโยชน์เช่นเดียวกับวิชาการแพทย์ของหมอชีวก

    มีภาษิตสอนใจว่า“มีเงินให้เขากู้ มีความรู้อยู่ในตำรา ไม่มีประโยชน์เมื่อต้องรีบใช้”

    เมื่อหมอชีวกเดินทางกลับจากตักกสิลาไปยังเมืองราชคฤห์บ้านเกิดของเขานั้น อาจารย์ที่ตักกสิลาให้เสบียงติดตัวไปเพียงเล็กน้อยเพราะท่านต้องการให้หมอชีวกทดลองใช้ความรู้วิชาการแพทย์ปฏิบัติงานด้านการรักษาคนไข้ ถ้าชีวกรักษาคนไข้สำเร็จก็จะได้อาหารและที่พักในระหว่างทาง ถ้าเขารักษาไม่สำเร็จ เขาก็จะอดตาย ปรากฏว่านอกจากหมอชีวกจะไม่อดตายแล้ว เขายังมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะเขาประสบความสำเร็จในการรักษาคนไข้ในระหว่างทาง

    อาจารย์ที่ตักกสิลาคนนี้ได้ส่งหมอชีวกไปทดลองปฏิบัติงานระหว่างเดินทางกลับบ้าน เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ส่งพวกท่านไปไปทดลองปฏิบัติศาสนกิจเป็นเวลา 1 ปีก่อนรับปริญญา

    การที่พวกท่านสามารถอยู่รอดปลอดภัยจนมาเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ได้แสดงว่าสอบผ่านการทดลองปฏิบัติงานเช่นเดียวกับหมอชีวก จึงขอแสดงความยินดีในเบื้องต้นไว้ตรงนี้ ต่อนี้ไปก็ขอให้ทุกท่านจงเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระบวรพุทธศาสนาโดยได้เป็นพระครูเป็นเจ้าคุณกันทุกรูป

    บัณฑิตทางพระพุทธศาสนา

    การทดลองปฏิบัติศาสนกิจ 1 ปีถือว่าพวกท่านได้ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์สมกับที่เป็นบัณฑิตทางพระพุทธศาสนา

    ชาวโลกวัดความเป็นบัณฑิตกันที่ระดับความรู้ นั่นคือ ผู้เรียนจบระดับปริญญาตรี เขาเรียกว่าเป็นบัณฑิต ผู้เรียนจบระดับปริญญาโทเป็นมหาบัณฑิต ผู้เรียนจบระดับปริญญาเอกเป็นดุษฎีบัณฑิต

    แต่พระพุทธศาสนาวัดความเป็นบัณฑิตกันที่การรู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก อตฺถาถิสมยา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจจติ

    “ผู้มีปัญญาท่านเรียกว่าเป็นบัณฑิต เพราะรู้จักถือเอาประโยชน์ 2 ประการ
    คือประโยชน์ปัจจุบันเฉพาะหน้าและประโยชน์ระยะยาวในอนาคต”

    ท่านทั้งหลายมีความรู้ระดับปริญญาตรีแล้วจัดว่าเป็นบัณฑิตในทางโลก แต่อาจจะยังไม่เป็นบัณฑิตในทางธรรมถ้าท่านยังไม่สามารถจะเค้นเอาความรู้นั้นออกมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เมื่อท่านเป็นพุทธศาสตรบัณฑิตแล้ว ท่านต้องกลั่นเอาความรู้ที่เรียนมาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและศาสตร์สาขาต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม

    ผมจึงขอถามท่านทั้งหลายว่าท่านสามารถใช้ความรู้ด้านพระพุทธศาสนาซึ่งอยู่ในใจของท่านให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้มากน้อยเพียงใด ถ้าความรู้ที่ท่านได้ศึกษามานั้นไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและสังคม การศึกษาระดับปริญญาตรีที่ท่านจบมานี้ก็ไม่ทำให้ท่านเป็นบัณฑิตในทางพระพุทธศาสนา ท่านเพียงแต่ได้ปริญญาบัตรมา 1 ใบ ดังที่วิทยากร เชียงกูล เขียนบทกลอนนี้เมื่อ พ.ศ. 2511 ไว้ว่า

    ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
    ฉันจึง มาหา ความหมาย
    ฉันหวัง เก็บอะไรไปมากมาย
    สุดท้าย ให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

    เพียงกระดาษแผ่นเดียวคือปริญญาบัตรไม่ช่วยทำให้คนเป็นบัณฑิตในทางธรรม ถ้าเขามีความรู้อยู่แต่ในตำราโดยไม่นำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคม พุทธศาสตรบัณฑิตที่คิดทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองสังคมต่างหากจึงจะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงในทางพระพุทธศาสนา

    ผมขอตั้งคำถามต่อท่านทั้งหลายว่า ท่านคิดจะทำอะไรหลังจากเรียนจบได้รับปริญญาบัตรเป็นพุทธศาสตรบัณฑิตเต็มตัวแล้ว

    หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้แสดงความยินดีแก่ตนเองด้วยการเสวยวิมุตติสุขอยู่บริเวณต้นโพธิ จากนั้นพระองค์ได้ถามตนเองว่า หลังจากเสร็จกิจแห่งโพธิญาณแล้ว เราจะทำอะไรต่อไป คำตอบก็ปรากฏขึ้นว่า เราจะนำธรรมที่เราตรัสรู้นี้ไปประกาศเปิดเผยทำให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก

    ดังนั้น หลังจากตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกโปรดสัตว์โลกตลอดเวลา 45 ปีโดยไม่เคยผ่อนพัก พระพุทธองค์จึงเป็นพระบรมศาสดา การที่พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยเผยแผ่พระพุทธศาสนาประกาศธรรมนั้นแหละเป็นการแสดงให้เห็นว่า ความรู้ที่เราค้นพบนั้นจะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้จักคิดถึงคนอื่น คิดถึงสังคม คิดถึงชาวโลก

    ต่อคำถามที่ว่าเราเรียนรับปริญญาทำไม คำตอบก็คือเราเรียนเพื่อทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคม เราต้องคิดว่าจะนำเอาพุทธศาสตร์ที่เรามีความรู้ความเชี่ยวชาญนี้ไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง คือทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

    ประโยชน์ตนเรียกว่าอัตตัตถะ ประโยชน์ผู้อื่นรียกว่าปรัตถะ ส่วนประโยชน์ทั้งสองฝ่ายหรือประโยชน์ส่วนรวมเรียกว่าอุภยัตถะ

    ท่านทั้งหลายต้องคิดว่าท่านจะนำความรู้ไปทำประโยชน์อะไรจึงจะสมศักดิ์ศรีที่เป็นพุทธศาสตรบัณฑิต ท่านจะทำประโยชน์ที่ไหนไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือต้องทำประโยชน์ให้สมกับที่เรามีความรู้ระดับปริญญา

    พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม

    อาจจะมีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า พระสงฆ์จำเป็นต้องทำประโยชน์เพื่อสังคมด้วยหรือ ในเมื่อคำว่าบรรพชาแปลว่าเว้นทั่วคือสละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เมื่อท่านสละโลกแล้วทำไมต้องมาวนเวียนอยู่ในโลก พระสงฆ์เป็นอนาคาริกแปลว่าผู้ไม่มีเรือนคือไม่มีครอบครัว แม้แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ห้ามไม่ให้พระสงฆ์ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 106 บัญญัติว่า

    “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ

    วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
    เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
    ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
    อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง”
    เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาได้จัดประเภทพระภิกษุสามเณรไว้ในกลุ่มเดียวกับคนวิกลจริต คือเป็นผู้ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วยกัน

    เมื่อพระสงฆ์ไทยไม่มีสิทธิพื้นฐานที่สำคัญอย่างนี้แล้วจะให้ท่านมีหน้าที่ช่วยเหลือสังคมได้อย่างไร

    หน้าที่ของพระสงฆ์เรียกว่าธุระมี 2 อย่าง คือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ

    การศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาจัดเป็นคันถธุระ การปฏิบัติกัมมัฏฐานจัดเป็นวิปัสสนาธุระ ท่านพุทธศาสตรบัณฑิตได้ทำธุระคือหน้าที่ทั้งสองประการแล้ว นั่นคือท่านทำคันถธุระด้วยการเรียนคัมภีร์พระไตรปิฎกและทำวิปัสสนาธุระด้วยการเข้าปฏิบัติกัมมัฏฐาน ธุระหรือหน้าที่ของพระสงฆ์มีเพียง 2 อย่างเท่านั้น ไม่มีข้อกำหนดใดระบุว่าพระสงฆ์ต้องมีสังคหธุระคือหน้าที่สงเคราะห์ชาวโลก

    เพราะฉะนั้น ชาวพุทธบางประเทศส่งเสริมให้พระสงฆ์เรียนคันถธุระอย่างลึกซึ้งจนเกือบจะไม่มีช่วงเวลาทำงานเพื่อสังคม ดังพระภิกษุชาวพม่าชื่อวิจิตรสาราภิวังสะ สะยาดอ สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ครบทั้ง 3 ปิฎก ถึงขนาดที่กินเนสบุ้คบันทึกไว้เมื่อปี 2528 ว่าเป็นพระสงฆ์มหัศจรรย์ในเรื่องความจำของมนุษย์ (Human memory) พระวิจิตรสาราภิวังสะมีความจำเป็นเลิศ เพราะท่านสามารถท่องจำพระไตรปิฎก 16,000 หน้าจนจบบริบูรณ์ ท่องเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากมาก ในด้านความสามารถจดจำของมนุษย์ที่โลกวิทยาศาสตร์ยอมรับ

    กรณีของพระวิจิตรสาราภิวังสะ สะยาดอ เป็นหลักฐานที่แสดงว่ามนุษย์มีศักยภาพในทางสุตมยปัญญา คือสามารถท่องจำข้อมูลมากมายมหาศาลจากพระไตรปิฎก 45 เล่มโดยไม่ตกหล่น ไม่มีมนุษย์คนใดสมัยปัจจุบันที่จะจำอะไรได้มากมายเท่ากับพระวิจิตรสาราภิวังสะ กินเนสบุ้คจึงบันทึกไว้เป็นการประกาศเกียรติคุณให้ปรากฏสืบไป นี้คือสุดยอดแห่งคันถธุระ

    สุดยอดแห่งวิปัสสนาธุระมีหลายรูป แต่มีประเพณีแปลกมากที่สืบทอดกันมานับพันปีที่วัดเอนเรียวกุจิ ในประเทศญี่ปุ่น วัดเอนเรียวกุจิ สังกัดนิกายเทนไดซึ่งเป็นนิกายแรกสุดของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น นิกายอื่นแยกไปจากนิกายเทนไดนี้เป็นส่วนมาก

    วัดเอนเรียวกุจิมีพื้นที่ 3,500 ไร่ ตั้งยู่บนภูเขาทั้งลูก ผมได้พบกับเจ้าอาวาสชื่อท่านเอนามิ ท่านนำชมวัดของท่านซึ่งแบ่งเป็นส่วนคามวาสีที่เรียนคันถธุระและส่วนอรัญญวาสีที่ปฏิบัติกัมมัฏฐาน

    ส่วนที่เป็นอรัญญวาสีมีการฝึกเข้มหลายอย่าง เช่น เดินธุดงค์ ท่านผู้ก่อตั้งเทนไดชื่อท่านไซโจ ได้กำหนดให้ลูกศิษย์ต้องเดินธุดงค์ในป่าอย่างน้อยวันละ 30 กิโลเมตรเป็น 100 วันติดต่อกันจึงจะจบหลักสูตร

    นอกจากนี้ ท่านไซโจยังสั่งว่า ในหอบูรพาจารย์ให้จุดตะเกียงบูชาพระโดยระวังมิให้ไฟดับจนกว่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์มาโปรด ศิษย์สำนักนี้เชื่อฟังอาจารย์ดีมาก ศิษย์ทุกรุ่นได้เติมน้ำมันตะเกียงจนไฟไม่เคยดับเลยติดต่อกันมากว่า 1,200 ปี

    การปฏิบัติเคร่งครัดสุดยอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ให้พระสงฆ์จำศีลภาวนาสวดมนต์นั่งกัมมัฏฐานอยู่ในสำนักบนยอดเขาโดยห้ามลงจากเขาติดต่อกันเป็นเวลา 12 ปี ประเพณีนี้ได้สืบทอดกันมาตลอดเวลา 1,200 ปีไม่เคยขาดสาย

    ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ที่อธิษฐานอยู่บนเขาเป็นเวลา 12 ปีเพียง 1 ท่านเจ้าอาวาสพาผมเข้าไปภายในสำนักเพื่อพบพระรูปนั้น พอผมก็เข้าไปด้านใน ก็พบว่าภายในบริเวณนี้ห้ามมีขยะแม้แต่ชิ้นเดียว ใบไม้ตกก็ต้องเก็บ ไม่มีเวลาว่าง

    ผมได้พบกับพระรูปที่กำลังบำเพ็ญพรต 12 ปี ท่านไม่เคยลงจากเขาเลย ท่านอยู่มาแล้ว 12 ปีและขอยู่ต่ออีก 12 ปี ในรอบที่ 2 ท่านอยู่มาได้ 6 ปี รวมเวลาแล้วพระรูปนี้อยู่บนเขานี้ติดต่อกันมา 18 ปี ไม่เคยลงจากเขาเลย ปัจจุบันท่านมีอายุได้ 46 ปี

    สิ่งที่สังเกตเห็นคือ ผิวของท่านขาวจนซีดเพราะความที่ท่านอยู่ในร่มตลอดเวลา ดวงตาของท่านสดใสไร้ความกังวลเหมือนดวงตาของเด็ก เพราะท่านไม่เคยได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ไม่เคยดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ท่านไม่รู้หรอกว่ามีปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทย ท่านไม่เครียด ไม่กังวล ๆ สวดมนต์และนั่งกัมมัฏฐานเป็นหลัก ท่านอยู่บนเขามา 18 ปี แบบที่เรียกว่าไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ขณะที่ปฏิบัติเข้มอยู่บนยอดเขา พระสงฆ์รูปนี้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะรับรู้ปัญหาสังคม

    พระพุทธศาสนานิกายเซนของญี่ปุ่นเห็นว่าการบำเพ็ญสมาธิที่เรียกว่าฌานหรือเซนจะต้องเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เพราะฉะนั้น เซนสอนให้พยายามนำเอากัมมัฏฐานมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราจึงได้ยินเรื่องการจัดดอกไม้แบบเซน พิธีชงชาแบบเซน แม้แต่นักมวยปล้ำซูโม่ ก็นำเอากัมมัฏฐานแบบเซนไปใช้ในการแข่งขันมวยปล้ำ ดังนิทานเซนต่อไปนี้

    นักมวยปล้ำซูโม่คนหนึ่งมีรูปร่างใหญ่โตแต่ใจปลาซิว เขาทำท่าจะชนะในการแข่งขัน แต่ตอนท้ายยกก็ถอดใจยอมแพ้ทุกที นักมวยคนนี้ไปหาอาจารย์เซนให้ช่วยสอนฝึกสมาธิให้ชนะมวยปล้ำ อาจารย์ถามว่า “คุณชื่ออะไร”

    เขาตอบว่า “ผมชื่อสึนามิ ที่แปลว่า คลื่นยักษ์”

    อาจารย์แนะนำว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณนั่งหลับตาหันหน้าเข้าข้างฝา จินตนาการให้เห็นตัวเองเป็นลูกคลื่นยักษ์ซัดฝาผนัง นั่งให้นานที่สุดแล้วมารายงานผล”

    นายสึนามินั่งหลับตาจินตนาการว่าตัวเองเป็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าซัดฝาผนังตั้งแต่หัวค่ำจนเที่ยงคืนแล้วก็ลุกขึ้นมาเคาะประตูรายงานอาจารย์ว่า “คลื่นซัดกุฏิในวัดพังหมดแล้ว”

    ที่จริงไม่มีคลื่นยักษ์ แต่เขามองเห็นตัวเองเป็นคลื่นยักษ์ในนิมิตซัดจนวัดพังหมด

    อาจารย์จึงสอนว่า “ต่อไปนี้ เวลาขึ้นเวทีมวยปล้ำเมื่อไหร่ ให้คุณคิดว่าตัวเองเป็นคลื่นยักษ์ซัดคู่ต่อสู้ลัมกลิ้งไปเลย”

    นายสึนามิทำตามคำแนะนำของอาจารย์ ไม่มีใครทานพลังคลื่นยักษ์ของเขาได้ เขาได้เป็นแชมป์ซูโม่ของญี่ปุ่น

    นี้คือตัวอย่างของการประยุกต์ใช้สมาธิในชีวิตประจำวัน กัมมัฏฐานของเซนเป็นกัมมัฏฐานเพื่อ แก้ปัญหาสังคม เซนเป็นตัวอย่างของพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม

    พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

    พระพุทธศาสนาแบบวิชาการ (Exoteric or Intellectual Buddhism) เน้นคันถธุระ เรียนแต่ตำราอย่างเดียว แปลหรือท่องพระไตรปิฎก บางครั้งก็หนีสังคมเหมือนอยู่บนหอคอยงาช้าง Exoteric Buddhism แปลว่า พุทธศาสนาตามคัมภีร์หรือ Intellectual Buddhism พุทธศาสนาแบบปัญญาชน เรียนจบอยู่แค่นี้ ไม่ได้คิดห่วงใยสังคม ห่วงแต่วิชาการ ไม่คิดจะไปปฏิบัติศาสนกิจ
    พระพุทธศาสนาแบบประสบการณ์ลึกลับ (Esoteric Buddhism) เน้นวิปัสสนาธุระ ปฏิบัติกัมมัฏฐานตามลำพังเพื่อเข้าถึงรหัสยะคือประสบการณ์ลึกลับเฉพาะตนชนิดที่สื่อให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ ดังคำกลอนที่ว่า “เข้าฌานนานตั้งเดือนไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา ถือศีลกินวาตาเป็นผาสุกทุกคืนวัน”
    พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Engaged Buddhism) เน้นสิ่งที่ผมเรียกว่า สังคหธุระ คือบริการสังคม มีหน้าที่สงเคราะห์ชาวบ้านด้วยสังคหวัตถุ 4 เป็นพระพุทธศาสนาที่ห่วงใยประชาชน
    พระพุทธศาสนาแบบที่ 3 ไม่อยู่บนหอคอยงาช้างเหมือนแบบที่ 1 และไม่เข้าถ้ำหลับตาภาวนา ปลีกตัวหนีสังคมเหมือนแบบที่ 2 แต่เป็นการผสมสังคหธุระให้กับกลมกลืนเข้ากับคันถธุระหรือวิปัสสนาธุระ เช่นเดียวกับการที่พระสิทธัตถะออกผนวช 6 ปีแรกเก็บตัวแบบประเภทที่ 1 และที่ 2 เมื่อตรัสรู้แล้วจึงออกเทศนาสั่งสอนตลอดเวลา 45 พรรษา ช่วงนี้ผมเรียกว่าเป็นพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Engaged Buddhism) ที่เน้นสังคหธุระคือการพัฒนาสังคม

    พระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่ได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากภาครัฐและเอกชนมาจนทุกวันนี้ ก็เพราะพระสงฆ์ไทยในอดีตและปัจจุบันได้ทำสังคหธุระคือออกเผยแผ่เทศนาสั่งสอนสงเคราะห์อนุเคราะห์ประชาชน

    ประโยชน์จะรักษาพระพุทธศาสนา

    ถ้าพระสงฆ์ไทยเอาแต่เก็บตัวเรียนคัมภีร์แบบประเภทที่ 1 หรือปลีกวิเวกหลับตาภาวนาแบบประเภทที่ 2 โดยไม่สนใจการเผยแผ่เทศนาสั่งสอนสงเคราะห์ชาวบ้าน วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อภัยมาถึงพระพุทธศาสนาก็จะไม่มีใครออกมาปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาเพราะประชาชนมองไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาในประเทศไทยอาจจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับมหาวิทยาลัยนาลันทาในประเทศอินเดีย

    มหาวิทยาลัยนาลันทายุคสุดท้ายเน้นหนักไปในการศึกษาแบบไม่ห่วงใยสังคม เน้นการสวดมนต์ภาวนาแบบมันตรยานที่ส่งเสริมไสยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบเหมือนอยู่บนหอคอยงาช้าง มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ที่เก็บจากภาษีของชาวบ้านตามพระราชโองการ คนนอกกำแพงมหาวิทยาลัยไม่ค่อยชอบมหาวิทยาลัยนาลันทา เพราะมหาวิทยาลัยนาลันทาเอาแต่เก็บภาษีโดยไม่บริการวิชาการแก่สังคม

    บันทึกฝ่ายทิเบตจารึกไว้ว่า เมื่อกองทัพมุสลิมบุกปล้นสะดมและเผามหาวิทยาลัยนาลันทาจากไปแล้ว ห้องสมุดบางส่วนยังไม่ถูกไฟไหม้ ชาวบ้านข้างวัดนั่นแหละพากันมาปล้นสะดมและเผามหาวิทยาลัยนาลันทาซ้ำอีกรอบ ห้องสมุดถูกไฟไหม้หมดในรอบนี้

    เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะอยู่รอดในสังคมไทยต่อไปไม่ใช่ด้วยการเก็บตัวเรียนแต่ตำราอยู่บนหอคอยงาช้าง แต่ด้วยการออกไปเทศนาสั่งสอนและทำประโยชน์แก่ชาวบ้าน ประโยชน์จะรักษามหาวิทยาลัยเอง

    ในทำนองเดียวกัน ถ้าต้องการให้พระพุทธศาสนาอยู่คู่สังคมไทยต่อไป พระสงฆ์ต้องทำสังคหธุระด้วยการออกเผยแผ่เทศนาสั่งสอนสงเคราะห์ชาวบ้าน ประโยชน์จะรักษาพระพุทธศาสนาเอง

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระสงฆ์สงเคราะห์ชาวบ้านด้วยธรรมทานคือการเผยแผ่ธรรม ส่วนชาวบ้านก็อุปภัมภ์บำรุงพระสงฆ์ด้วยอามิสทานคือการถวายจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์และชาวบ้านต่างพึ่งอาศัยซึ่งกันและกันแบบอัญญมัญญปัจจัย

    ถ้าเมื่อใดพระสงฆ์ไม่ทำประโยชน์ ชาวบ้านเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่มีประโยชน์ เมื่อเกิดภัยพระพุทธศาสนาขึ้นมา ชาวบ้านก็ถือว่าธุระไม่ใช่ ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าออกมาปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา

    ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสายคันถธุระหรือวิปัสสนาธุระก็ตาม ท่านต้องแสดงว่าท่านสามารถบำเพ็ญประโยชน์ได้ตลอดเวลา ประโยชน์นี้แหละจะรักษาพระศาสนาของเรา ถ้าหากว่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเรียนและสอนกันอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจชาวบ้าน วันหนึ่งอาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยนาลันทาก็เป็นได้

    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาราชวิทยาลัยจะอยู่รอดปลอดภัยด้วยการทำประโยชน์ต่อสังคม คือเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อสังคม (Engaged University) เมื่อเราทำประโยชน์ต่อสังคมแล้ว ชาวบ้านเห็นว่าเรามีคุณค่ามีประโยชน์ พวกเขาก็ออกมาช่วยมหาวิทยาลัยทั้งในยามมีภัยและยามสงบ

    มหาวิทยาลัยที่ส่วนกลางใช้งบสร้างสำนักงานใหญ่ที่วังน้อยไปแล้วเกือบสองพันล้านบาท ตอนแรกมหาวิทยาลัยมีที่ดิน 84 ไร่ เดี๋ยวนี้ เราซื้อเพิ่มรวมแล้วเกือบ 250 ไร่ มีอาคารเรียนจุผู้เรียนได้ 10,000 เป็นอย่างน้อย ปีนี้จะเริ่มสร้างหอประชุมใหญ่จุคนได้ 3,000 คน จะเป็นหอประชุมพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุด เราจะเริ่มสร้างตั้งแต่ฤดูร้อนนี้

    นอกจากนี้มหาวิทยาลัยกำลังสร้างอุโบสถกลางน้ำในสระ 16 ไร่ พระสงฆ์สามารถลงอุโบสถพร้อมกันได้ 4,000 รูป โดยหลวงพ่อปัญญานันทะเป็นเจ้าภาพหลักในการสร้างถวายมหาวิทยาลัยหลวงพ่ออายุ 96 ปีแล้ว ท่านประกาศว่าถ้าอุโบสถไม่เสร็จ จะไม่มรณภาพ

    รัฐบาลและประชาชนช่วยกันสร้างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่วังน้อยเพราะมหาวิทยาลัยได้ทำประโยชน์ต่อคณะสงฆ์ และสังคมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน การบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยที่ทำไปนั้นได้นำคนกลับมาช่วยสร้างมหาวิทยาลัย รวมทั้งโครงการนิสิตปฏิบัติศาสนกิจนี้ก็มีส่วนช่วยสร้างเกียรติคุณให้กับมหาวิทยาลัย การที่พวกท่านใช้เวลา 1 ปีออกไปปฏิบัติศาสนกิจรุ่นแล้วรุ่นเล่าเปรียบเหมือนกองทัพธรรมที่นอกจากจะเผยแพร่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย แล้วยังแสดงให้ชาวไทยเห็นว่าพระสงฆ์ยังห่วงใยสังคม พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงเป็นพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม

    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยต้องการเน้นให้คนไทยเห็นว่าพระพุทธศาสนามีไว้เพื่อประโยชน์สุขของสังคม มหาวิทยาลัยถือว่าการบริการสังคมเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและปฏิบัติธรรม พระสงฆ์ฝ่ายคันถธุระอย่างพวกเราต้องเรียนไปด้วยทำประโยชน์ต่อสังคมไปด้วย ขณะที่เรียนเราก็ต้องออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการเทศนาสั่งสอนและพัฒนาสังคม

    การที่พระสงฆ์ต้องทำสังคหธุระคือหน้าที่เผยแผ่พระธรรมเพื่อการบริการสังคมนี้มีที่มาจากพุทธพจน์ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงส่งพระสาวกรุ่นแรก 60 รูปไปประกาศพระศาสนาว่า “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก”

    ท่านพุทธศาสตรบัณฑิตต้องปฏิบัติตามพุทโธวาทนี้ บัดนี้ท่านทั้งหลายเป็นพุทธศาสตรบัณฑิตแล้ว เมื่อได้รับปริญญาแล้วอย่ามาเสวยวิมุตติสุขนานเกินไป ควรคิดทำประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ให้เป็นพุทธศาสตรบัณฑิตที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ท่านต้องทำสังคหธุระคือสงเคราะห์ประชาชนอย่างไม่มีวันจบสิ้น เหมือนกับการพระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมจนนาทีสุดท้ายในชีวิตของพระองค์

    พุทธจริยา 3 ประการบอกเราว่าพระพุทธเจ้าทรงทำงานเพื่อสังคมตลอดเวลา ดังนี้

    พุทธัตถจริยา ทรงทำประโยชน์แก่ชาวพุทธ
    ญาตัตถจริยา ทรงทำประโยชน์แก่พระญาติของพระองค์
    โลกัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ทุกคนไม่เลือกว่าเขานับถือศาสนาอะไร
    พุทธศาสตรบัณฑิตต้องยึดกรอบพุทธจริยา 3 นี้ในการปฏิบัติศาสนกิจ นั่นคือ

    ออกไปทำประโยชน์แก่ชาวพุทธ (พุทธัตถจริยา)
    ออกไปทำประโยชน์แก่วงศาคณาญาติ (ญาตัตถจริยา)
    ออกไปทำประโยชน์แก่คนไทยที่ต่างศาสนาและคนต่างชาติต่างศาสนา (โลกัตถจริยา)
    นี้คือจริยาแห่งชาวพุทธเพื่อสังคม

    การทำงานคือการปฏิบัติธรรม

    พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ประกาศตนเป็นทาสรับใช้พระพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวแก่ชาวโลก จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี 2549 ทั้งนี้เพราะท่านพุทธทาสเป็นผู้มีผลงานโดดเด่นด้านวัฒนธรรม ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ และสร้างสันติภาพ

    ท่านพุทธทาสศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ที่สวนโมกข์อันไกลโพ้น ถ้าท่านเอาแต่ปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังโดยไม่สนใจเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการสอนธรรมแก้ปัญหาสังคม ถึงวันนี้คงไม่มีใครรู้จักท่านพุทธทาสและสวนโมกข์ก็จะไม่มีประโยชน์อันใดแก่สังคม การที่ยูเนสโกประกาศยกย่องว่า ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกเพราะท่านพุทธทาสบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชาวโลก โดยไม่เลือกชื้อชาติและศาสนาตลอดชีวิตของท่านตามปณิธาน 3 ประการที่ท่านตั งไว้ คือ

    มุ่งส่งเสริมให้ศาสนิกของแต่ละศาสนาเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน
    มุ่งสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
    ดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาจากวัตถุนิยม
    หลังจากปฏิบัติธรรมพอคุ้มครองตัวเองได้แล้ว ท่านพุทธทาสก็เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการสอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น ท่านได้ตั้งโรงมหรสพทางวิญญาณด้วยการใช้วิธีการสมัยใหม่สอนธรรมะ ท่านชอบเน้นย้ำว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม นั่นคือการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและปฏิบัติธรรม ดังที่ท่านพุทธทาสประพันธ์ไว้ว่า

    จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง
    ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น
    กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน
    ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที

    พระสงฆ์ฝ่ายมหายานชาวเวียตนาม ชื่อว่า ติช นัท ฮัน ได้ยึดหลักการเดียวกันกับท่านพุทธทาสที่กล่าวว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ท่านติช นัท ฮันเป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานที่สำนักแห่งหนึ่งระหว่างสงครามเวียตนาม เครื่องบินมาทิ้งระเบิดมาลงในหมู่บ้านใกล้สำนักทุกวัน ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

    ท่านติช นัท ฮัน ปรึกษากับบรรดาลูกศิษย์ที่นั่งกัมมัฏฐานว่าเราจะหลับตาภาวนาต่อไปหรือจะออกไปช่วยคนที่โดนระเบิด บางคนกล่าวว่าเราไม่ควรเสียสมาธิด้วยการออกไปช่วยคน การนั่งกัมมัฏฐานต้องปลีกวิเวกเป็นสำคัญ แต่ในที่สุดที่ประชุมได้ลงมติว่า การปฏิบัติกัมมัฏฐานไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกระท่อมแคบ ๆ เราสามารถออกไปช่วยคนเจ็บไปพลางเจริญสติไปพลางก็ได้ มีสติกำหนดลมหายใจตลอดเวลา เมื่อยกศพหามศพ เราก็เจริญมรณสติได้ เมื่อมีมติดังนั้น โยคีทั้งหลายจึงพากันออกไปช่วยผู้ประสบเคราะห์กรรมจากระเบิดในระหว่างสงครามเวียตนาม โดยถือเอาการช่วยคนอื่นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรมและการปฏิบัติธรรมไม่ได้ทำให้เราตัดขาดจากโลกภายนอก จากประสบการณ์นี้ ท่านติช นัท ฮันได้พัฒนาวิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานในชีวิตประจำวันโดยเขียนไว้ในหนังสือของท่านชื่อว่า Miracle of Mindfulness ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ”

    ผมถามท่านพุทธศาสตรบัณฑิตทั้งหลายว่าตลอดเวลา 1 ปีที่ท่านออกไปปฏิบัติศาสนกิจนั้น พวกท่านสามารถกำหนดสติตามทันการทำงานตลอดเวลาหรือไม่ กัมมัฏฐานที่ท่านเคยฝึกปฏิบัติอยู่ในขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยท่านนำปฏิบัติเพื่อคุ้มครองตัวเองด้วยหรือไม่

    ขณะที่พระสงฆ์ทำงานเพื่อสังคม ท่านต้องอาศัยกัมมัฏฐานประคองจิตรักษาใจตนเอง ไม่ให้จมไปกับปัญหาชาวย้าน ตามหลักการที่ว่า “ลีเน จิตฺตมฺหิ ปคฺคาโห เมื่อใจตก ให้ยกใจ อุทฺธตสฺมึ วินิคฺคโห เมื่อใจลอยลม ให้ข่มใจ” ถ้าพระสงฆ์ไม่มีกัมมัฏฐานรักษาใจ ท่านก็จะไม่ต่างจากนักสังคมสงเคราะห์ทั่วไป

    ในการช่วยคนตกน้ำ เราไม่จำเป็นต้องโดดลงไปในน้ำเสมอไป เพราะถ้าโดดลงไป เราอาจถูกรัดจนจมน้ำตายไปทั้งคู่ก็ได้ ทางที่ดี เราควรปักหลักอยู่ริมตลิ่งแล้วยื่นกิ่งไม้ให้คนตกน้ำใช้จับพยุงตัวเองขึ้นมาก็ได้

    ในขณะที่พระสงฆ์ทำงานเพื่อสังคม ท่านไม่จำเป็นต้องจมไปกับปัญหาชาวบ้าน อย่าเป็นเหมือนจิตแพทย์บางคนที่ช่วยคนไข้โรคจิตมากเกินไปจนเพี้ยนตามคนไข้ พระสงฆ์บางรูปก็เพี้ยนไปตามปัญหาชาวบ้าน พอชาวบ้านทะเลาะกัน แทนที่พระสงฆ์จะเป็นกรรมการห้ามทัพ กลับกลายเป็นทัพหนุนยุให้ชาวบ้านตีกัน เจ้าอาวาสกับรองเจ้าอาวาสถือหางกันคนละก๊ก พระสงฆ์เลยขัดกันเอง เพราะท่านไม่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาเหมือนดอกบัวที่ลอยพ้นน้ำ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    ปุณฺฑรีกํ ยถา อุคฺคํ โตเยน นุปลิปฺปติ
    นุปลิปปามิ โลเกน ตสฺมา พุทฺโธสฺมิ พราหฺมณ

    “ดอกบัวพ้นน้ำ ไม่เปียกน้ำ ฉันใด
    เราพ้นโลก ไม่แปดเปื้อนโลก ฉันนั้น
    เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นพุทธะ”

    ดังคำประพันธ์ที่ว่า “หนึ่งในหทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร”

    คำว่า “พุทธะ” หมายถึง ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน

    ชาวพุทธเป็นผู้ตื่นด้วยสติ รู้ด้วยปัญญา และเบิกบานด้วยวิมุตติ

    ที่ว่าชาวพุทธเป็นผู้ตื่นด้วยสติ คือ สติต้องมาก่อน สติ โลกสฺมิ ชาคโร สติเป็นเครื่องตื่นในโลกที่ว่าเป็นผู้รู้ด้วยปัญญาก็เพราะสติมา ปัญญาเกิด สติเตลิดมักเกิดปัญหา

    ที่ว่าเบิกบานด้วยวิมุตติก็คือหลุดพ้นด้วยปัญญา ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่มีปัญญาอบรมดีแล้วย่อมหลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะ เปรียบเหมือนดอกบัวพ้นน้ำ

    พระสงฆ์กับการเมือง

    พระสงฆ์ต้องเป็นผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ท่านต้องนำสังคมโดยไม่จมไปกับปัญหาชาวบ้าน เมื่อชาวบ้านแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายเพราะปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ พระสงฆ์ต้องพยายามประสานคนที่แตกแยกให้ปรองดองกัน ไม่ใช่ซ้ำเติมตอกลิ่มให้คนแตกแยกกันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์ไทยจึงไม่ลงไปเล่นการเมือง เราลอยตัวอยู่พ้นการเมืองดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำเป็นตัวอย่างไว้ในมหาปรินิพพานสูตร

    ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไม่นาน พระเจ้าอชาตศัตรูกษัตริย์แห่งแคว้นมคธทรงประสงค์จะเสด็จกรีธาทัพไปตีแคว้นวัชชี แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้ชัยชนะ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงส่งวัสสการพราหมณ์ให้ไปเลียบเคียงถามพระพุทธเจ้าว่าควรจะยกทัพไปตีแคว้นวัชชีหรือไม่ เมื่อวัสสการพราหมณ์ทูลถามปัญหานี้ พระพุทธเจ้าไม่ตอบโดยตรง

    ถ้าพระพุทธเจ้าตอบว่า ควรจะยกทัพไปตีแคว้นวัชชี ชาววัชชีก็ย่อมไม่พอใจ ถ้าพระพุทธเจ้าตอบว่า ไม่ควรจะยกทัพไปตีแคว้นวัชชี พระเจ้าอชาตศัตรูก็จะไม่พอพระทัย

    ขณะที่วัสสการพราหมณ์ทูลถามปัญหาอยู่นั้น พระอานนท์กำลังถวายงานพัดอยู่ พระพุทธเจ้าทรงหันไปถามพระอานนท์ว่า ชาววัชชียังถือปฏิบัติตามวัชชีธรรม 7 ประการที่พระพุทธองค์เคยสอนพวกขาไว้หรือไม่ ในบรรดาวัชชีธรรมเหล่านั้น ข้อสำคัญก็คือให้หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ พร้อมกันประชุม พร้อมกันเลิกประชุม พร้อมกันทำกิจที่พึงทำ

    พระอานนท์กราบทูว่า ชาววัชชียังถือปฏิบัติตามวัชชีธรรมอยู่

    พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ตราบเท่าที่ชาววัชชียังถือปฏิบัติตามวัชชีธรรมอยู่ก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ไม่มีความเสื่อมเลย

    ตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงสนทนากับพระอานนท์นั้น วัสสการพราหมณ์ฟังอยู่ด้วย แม้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตอบคำถามเขาโดยตรงวัสสการพราหมณ์ซึ่งเป็นคนฉลาดได้จับประเด็นนำไปเล่าถวายพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงสดับแล้วก็ตรัสกับวัสสการพราหมณว่ายังไม่ใช่เวลาที่จะตีแคว้นวัชชีทั้งนี้เพราะชาววัชชียังสามัคคีกันดีอยู่

    พระพุทธเจ้าทรงแก้วิกฤติทางการเมืองระหว่างมคธกับวัชชีได้โดยไม่ต้องเล่นการเมือง

    พระสงฆ์ไทยยึดถือพุทธประเพณีนี้เป็นแบบอย่างจึงไม่เล่นการเมืองแม้ว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังลุกเป็นไฟ ขณะเดียวกันผู้นำศาสนาอื่นในประเทศไทยก็กำลังเล่นการเมืองกันอย่างออกหน้าออกตา ทางออกที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ไทยควรเป็นอย่างไร

    เมื่อชาวพุทธศรีลังกาเผชิญภัยคุกคามจากพวกกบฏฮินดูทมิฬ พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งของศรีลังกาไม่รีรอที่จะโดดลงไปเล่นการเมือง ปัจจุบันในศรีลังกา มีพรรคการเมืองซึ่งมีพระสงฆ์เป็นหัวหน้าพรรค พรรคนี้ส่งพระสงฆ์ลงสมัครเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาได้พระสงฆ์เป็น ส.ส. 9 รูป และเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

    ความจริงพระสงฆ์ศรีลังกามีสิทธิลงสมัครเลือกตั้งมานานแล้ว แต่ไม่เคยมีพระสงฆ์ได้รับเลือกตั้งมากเท่าครั้งนี้ เมื่อความขัดแย้งระหว่างทมิฬซึ่งเป็นฮินดูกับชาวพุทธสิงหลยืดเยื้อมานาน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทางพระสงฆ์ศรีลังกาบางกลุ่มชักทนไม่ได้จึงลงสมัครรับเลือกตั้งกันแล้วก็ได้รับเลือกตั้งมาพอสมควร กลายเป็นคะแนนเสียงสนับสนุนพรรครัฐบาล

    เป็นที่น่าสังเกตว่าพอพระสงฆ์ศรีลังกาลงไปอภิปรายสนับสนุนรัฐบาลอยู่ในสภา ส.ส.ฝ่ายค้านก็ไม่เกรงใจพากันอภิปรายโจมตีพระสงฆ์อย่างตรงไปตรงมา เท่ากับพระสงฆ์ลงไปเปื้อนโคลนทางการเมืองด้วย ที่สำคัญคือพระสงฆ์ศรีลังกาในวัดเดียวกันเริ่มแตกออกเป็นเป็นฝักเป็นฝ่าย เช่นเจ้าอาวาสเข้ากับฝ่ายรัฐบาล แต่รองเจ้าอาวาสเข้ากับฝ่ายค้าน

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงในศรีลังกาก็คือ ฝ่ายชาวพุทธหัวรุนแรงเริ่มไม่อยากจะเจรจาสมานฉันท์ รัฐบาลฟังเสียงกลุ่มนี้แล้วก็ปราบปรามฝ่ายกบฏฮินดูทมิฬอย่างรุนแรง เมื่อถูกปราบรุนแรง ฝ่ายกบฏฮินดูทมิฬ ก็ใช้มาตรการตอบโต้รุนแรงมากยิ่งขึ้น คนบาดเจ็บล้มตายกันมากทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเตือนสติใครได้ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นกลางพอที่จะสร้างความสมานฉันท์

    ศรีลังกาเป็นประเทศแรกที่ชาวพุทธประสบความสำเร็จในการผลักดันให้รัฐบาลตั้งกระทรวงพระพุทธศาสนา แต่วันนี้กระทรวงพระพุทธศาสนาถูกยุบไปเรียบร้อยแล้ว สาเหตุก็คือว่า เมื่อตั้งกระทรวงพระพุทธศาสนาแล้ว รัฐบาลศรีลังกาต้องยอมตั้งกระทรวงศาสนาคริสต์ กระทรวงศาสนาอิสลาม ทุกกระทรวงต่างได้งบประมาณเท่ากัน เรื่องงบประมาณเท่ากันนี้ชาวพุทธยอมไม่ได้จึงเรียกร้องให้ยุบกระทรวงศาสนาทุกศาสนาแล้วตั้งกระทรวงศาสนาขึ้นมาแทนโดยรวมทุกศาสนามาไว้ในกระทรวงเดียวกัน นัยว่า เพื่อประโยชน์ในการควบคุมงบประมาณของศาสนาอื่น

    ตอนนี้ลองหันไปดูเวียตนามบ้าง ผมพาคณะมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยไปเวียตนามเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อลงนามความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาของเวียตนามกับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผมได้พบเห็นอนุสาวรีย์ที่สี่แยกแห่งหนึ่งสร้างบูชาพระสงฆ์ชื่อว่าติช กวาง ดึ๊ก พระสงฆ์รูปนี้เผาตัวตายเมื่อ พ.ศ. 2506 ผมถามพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งว่า ทำไมท่านติช กวาง ดึ๊กต้องเผาตัวตาย บังเอิญผมถามถูกคน พระรูปที่ถูกผมถามเคยเป็นโฆษกแถลงข่าวในวันที่ท่านติช กวาง ดึ๊กเผาตัวตาย พระอดีตโฆษกรูปนี้ปัจจุบันมีอายุกว่า 80 ปีแล้ว ท่านเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

    ในปี 2506 ก่อนเวียตนามใต้เป็นคอมมิวนิสต์ เกิดวิกฤติศาสนาในเวียตนามใต้ ตอนนั้น โง ดินเดียมเป็นประธาธิบดี เขาเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ที่เคร่งครัดมาก พยายามยกย่องศาสนาคริสต์ให้เป็นศาสนาอันดับหนึ่ง ทั้งที่พระพุทธศาสนามีคนนับถือมากกว่า ประธานาธิบดีสั่งห้ามชาวพุทธประดับธงฉัพพรรณรังสีในวันวิสาขบูชา ชาวพุทธทนไม่ได้ลุกฮือประท้วงเป็นหมื่นเป็นแสนคน ประธานาธิบดีสั่งสักวาดล้างชาวพุทธ ให้รื้อวัดและจับชาวพุทธขังคุก แม้ชาวพุทธจะประท้วงอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง ชาวพุทธยิ่งถูกจับติดคุกและถูกสังหารมากขึ้น ชาวพุทธออกเดินขบวนมากเท่าไรเขาก็ไม่ฟังและยิ่งจะสลายม็อบด้วยวีธีที่รุนแรงยิ่งขึ้น

    เมื่อเห็นสถานการณ์เผชิญหน้ารุนแรงยิ่งขึ้น ท่านติช กวาง ดึ๊กซึ่งตอนนั้นอายุ 76 ปีเป็นนักเทศน์ชั้นแนวหน้าของเวียตนามได้ตัดสินใจสละชีวิตของตนเองเพียงหนึ่งคนรักษาชีวิตของคนจำนวนมากและเพื่อทำให้โลกหันมาสนใจยุติความขัดแย้งในเวีตนาม ชาวพุทธจะได้ไม่ถูกฆ่าตายเป็นผักเป็นปลา

    เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า ท่านติช กวาง ดึ๊กเห็นว่าจำเป็นต้องสละชีวิตของตนเองท่านเขียนจดหมายขออนุญาตเผาตัวตายยื่นต่อมหาเถรสมาคมเวียตนาม ในครั้งที่ 1 มหาเถรสมาคมไม่อนุญาต ท่านติช กวาง ดึ๊กยื่นหนังสือเป็นครั้งที่ 2 ในครั้งนี้ มหาเถรสมาคมเห็นว่า บ้านเมืองวิกฤติมากแล้ว คนจะฆ่ากันตายเลือดท่วมท้องช้างแน่ เพราะว่าทางรัฐบาลจะฆ่าชาวพุทธ ชาวพุทธก็จะตอบโต้จนจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อท่านติช กวาง ดึ๊กเห็นว่าการที่ท่านเสียสละชีวิตตนเองจะทำให้เรื่องยุติได้ มหาเถรสมาคมก็อนุญาตให้ท่านเผาตัวตาย

    ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่า พอถึงวันเผาตัวตาย ชาวพุทธเดินมาเป็นขบวนใหญ่มีพระสงฆ์อยู่รอบนอก ตรงกลางขบวนมีรถเก๋งคันหนึ่งแล่นช้าๆไปตามถนน พอถึงสี่แยก ขบวนหยุดลง ภิกษุและภิกษุณีเริ่มสวดมนต์ สักพักหนึ่งประตูรถเก๋งก็ถูกเปิดออก มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินช้า ๆ ลงมาจากรถ คือท่านติช กวาง ดึ๊ก

    เสียงสวดมนต์เริ่มสลับกับเสียงร้องไห้ ทุกคนในที่นั้นรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ผู้สื่อข่าวไม่รู้ ผู้สื่อข่าวนึกว่าเป็นการเดินขบวนธรรมดาก็ไปยืนดูตามปกติ ท่านติช กวาง ดึ๊กเดินไปถึงกลางสี่แยก และนั่งขัดสมาธิ จากนั้นผู้ช่วยสองคนหิ้วถังน้ำมันมาคนละถังแล้วราดน้ำมันลงไปบนตัวของท่าน ตอนนี้ไม่มีใครสวดมนต์ มีแต่เสียงร่ำไห้ บรรยากาศวังเวงมาก

    พอผู้ช่วยสองคนราดน้ำมันเสร็จแล้ว ท่านติช กวาง ดึ๊กได้ล้วงมือลงไปในกระเป๋าอังสะหยิบถุงพลาสติกออกมา ภายในถุงเป็นกล่องไม้ขีด ท่านคิดรอบคอบมากที่ใช้ถุงพลาสติกกันกล่องไม้ขีดไม่ให้เปียกน้ำมัน ท่านดึงกล่องไม้ขีดออกจากถุงพลาสติกแล้วหยิบก้านไม้ขีดค่อยๆ บรรจงจุด ลูกไฟลุกพรึบขึ้นท่วมตัวท่านทันทีทันใด

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไม่น่าเชื่อว่าเนื้อมนุษย์จะเป็นเชื้อไฟได้เร็วขนาดนั้น เพียงชั่วอึดใจเดียวเดียวท่านติช กวาง ดึ๊กดำเป็นตอตะโก น่าประหลาดที่ว่าท่านนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกเลย ไม่มีเสียงร้องสักแอะเดียว ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นจนไฟไหม้มอดลง ผมถามว่าท่านทำได้อย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่าท่านนั่งกัมมัฏฐานล่วงหน้ามา 5 วันแล้ว เมื่อท่านติช กวาง ดึ๊กเผาตัวตายแล้ว ประชาชนพากันแห่ศพท่านมาตั้งที่วัดซาเลยตั้งแสดงไว้ที่นั่น ต่อมาได้ทำพิธีเผาศพอย่างเป็นทางการ ในปัจจุบันเขาเก็บหัวใจของท่านไว้ที่ธนาคาร ชาวพุทธได้สร้างอนุสาวรีย์ให้ท่านที่สี่แยก และถือว่าพระสงฆ์รูปนี้เป็นพระโพธิสัตว์แบบมหายาน

    ผมถามว่าการที่พระสงฆ์ฆ่าตัวตายไม่ขัดกับหลักการของมหายานหรือ พระสงฆ์ผู้ให้สัมภาษณ์ตอบว่า ในสัทธัมปุณฑริกสูตรของมหายาน มีเรื่องที่พระโพธิสัตว์ทำอัตตบริจาคคือเสียสละชีวิต เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและบูชาพระรัตนตรัย ดังนั้น พระโพธิสัตว์มหายานสามารถทำสิ่งที่อาจจะดูแปลกสำหรับเถรวาท คือ สามารถเสียสละตัวเองเพื่อรักษาพระพุทธศาสนาและบูชาพระรัตนตรัย

    ผมถามต่อว่าเมื่อท่านติช กวาง ดึ๊กเผาตัวตายแล้ว ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าว่าการเผาตัวตายครั้งนั้นเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทางการสหรัฐฯซึ่งเคยวางตัวเป็นกลางได้ให้ความสนใจต่อข่าวที่พระสงฆ์เผาตัวตาย ในที่สุดสหรัฐฯก็โค่นรัฐบาลโง ดิน เดียม โดยอาศัยมือซีไอเอก่อการปฏิวัติ เมื่อสิ้นรัฐบาลโง ดิน เดียม พระพุทธศาสนาได้กลับมาเป็นศาสนาอันดับหนึ่งในเวียตนามจนทุกวันนี้

    ควรบันทึกไว้ว่า เมื่อปี 2549 รัฐบาลเวียตนามได้อนุญาตให้ชาวพุทธประดับธงฉัพพรรณรังสีในวันวิสาขบูชา เหตุก็น่าจะเนื่องมาจากการที่ชาวพุทธเวียตนามได้มาร่วมฉลองวันวิสาขบูชาโลกที่ประเทศไทยซึ่งมีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นแม่งาน กระแสวิสาขบูชาวันสำคัญสากลของโลกก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีสำหรับชาวพุทธในเวียตนาม

    ควรตระหนักว่า กรณีเผาตัวตายของท่านติช กวาง ดึ๊กเป็นเรื่องมหายานที่ขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนาเถรวาท พระพุทธเจ้าทรงห้ามมิให้พระสงฆ์ฆ่าตัวตายและทรงปรับอาบัติพระสงฆ์ที่สอนยุยงให้คนฆ่าตัวตาย

    ชาวพุทธต้องป้องกันตนเองและปกป้องพระพุทธศาสนา

    สิ่งที่พระสงฆ์ไทยจะต้องคิดให้มากก็คือว่า เราจะทำอย่างไรเมื่อพระพุทธศาสนาถูกรุกรานและชาวพุทธถูกรังแกโดยศาสนิกของศาสนาอื่น ชาวพุทธมีสิทธิป้องกันตนเองและปกป้องพระพุทธศาสนาได้แค่ไหนเพียงไร

    เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงส่งทหารไทยไปร่วมรบในยุโรป พระสงฆ์ในขณะนั้นเองได้เทศน์สนับสนุนการป้องกันตนเองของชาวพุทธโดยอ้างพระบาลีว่า จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิต เพื่อรักษาธรรม

    เราจะเห็นได้ว่าพระสงฆ์ไทยในอดีตได้ให้คำแนะนำทางการเมืองแก่ชาวบ้าน ท่านพูดถึงว่าชาวพุทธไทยจะป้องกันตัวเองได้แค่ไหนเพียงไร พระสงฆ์ในสมัยโบราณอ้างคำสอนเรื่องการเสียสละทั้งทรัพย์อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม แต่ไม่มีการสอนสุดโต่งให้สละชีวิตบูชาพระรัตนตรัยเหมือนพระสงฆ์เวียตนาม

    พระสงฆ์ไทยในปัจจุบันจะต้องตอบคำถามของชาวพุทธที่ว่าว่าควรจะทำอย่างไรเมื่อพระพุทธศาสนาถูกรุกรานและชาวพุทธถูกรังแกโดยศาสนิกของศาสนาอื่น ชาวพุทธป้องกันตัวเองได้แค่ไหนเพียงไร

    ยอร์จ วอชิงตัน ประธาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ พูดถึงการป้องกันตนเองไว้ว่า “To be prepared for war is one of the most effectual means of preserving peace การเตรียมตัวเพื่อสงครามเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งในการรักษาสันติภาพ”

    สันติภาพกับสงครามมันไม่น่าจะไปด้วยกัน คำของยอร์จ วอชิงตัน ชวนให้นึกถึงพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ที่ว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จักอาจสู้ริปูสลาย”

    ข้อความนี้หมายความว่าการเตรียมพร้อมรบจะทำให้เกิดความสงบขึ้นมาได้ บางครั้งใครที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องการเตรียมพร้อมรบนี้มักจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นพวกส่งเสริมปาณาติบาต ทั้งที่การเตรียมพร้อมรบเช่นการสะสมอาวุธอาจช่วยป้องกันไม่ให้ถูกข้าศึกโจมตีก็เป็นได้ เพราะเมื่อข้าศึกเห็นว่าเราเข้มแข็ง เขาก็ไม่กล้ามารุกราน เช่นเดียวกับหมู่บ้านใดมีตำรวจอารักขาเป็นอย่างดี โจรก็ไม่กล้าเข้าปล้นหมู่บ้านนั้น โจรจะเข้าปล้นเฉพาะหมู่บ้านที่ไม่มีการอารักขา เมื่อชาวพุทธไม่ได้รับการอารักขาที่ดีจากทางราชการ พวกเขาก็ถูกฆ่ารายวันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปล่อยให้ชาวพุทธถูกฆ่าตายทุกวันก็น่าจะมีส่วนทำปาณาติบาตไปด้วย

    ปาณาติบาตหรือการฆ่า หมายถึงว่า ฆ่าเองก็ดี ให้คนอื่นฆ่าก็ดี เป็นปาณาติบาต คำว่า “ให้คนอื่นฆ่า” ยังหมายถึงการปล่อยให้คนถูกฆ่าตาย เช่น เรารู้ว่ามีหลุมขวากอยู่ข้างหน้าแล้วยังทำลูกศรชี้ทางให้คนเดินไปตกหลุมขวากนั้น เหมือนกับการที่ลูกศิษย์วัดซื้อปูเป็นๆมาแล้วต้มน้ำร้อน เอาไม้พาดปากหม้อสองอัน ให้ปูเดินข้าม ปูเดินไม่ดีตกลงไปตายก็ช่วยไม่ได้ บอกว่าปูเซ่อเอง ปูตัวไหนเดินเก่งผ่านไปได้ก็จับมาตั้งต้นใหม่ให้เดินอีกรอบหนึ่ง

    เรารู้ว่าสถานการณ์ดุเดือดเลือดพล่านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วยังนิ่งดูดายปล่อยให้ชาวพุทธถูกฆ่าตายรายวัน ตำรวจทหารไม่ยอมเพิ่มมาตรการป้องกันให้รัดกุมกลับปล่อยให้ครูบ้างพระสงฆ์บ้างถูกสังหาร เมื่อตนเองมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประชาชนกลับละเลยหน้าที่ปล่อยให้คนไม่มีอาวุธถูกฆ่าตายอยู่เรื่อยไป มันก็เหมือนก็การปล่อยให้ปูเดินไปตกหม้อน้ำร้อนตายนั่นแหละ ต่างกันตรงที่ว่าชีวิตคนน่าจะมีค่ามากกว่าชีวิตปูเท่านั้น

    รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการป้องกันที่เพียงพอต่อชาวพุทธในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 73 บัญญัติไวว่า

    “รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ส่งเสริมความเข้าใจอันดี และความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต”

    แม้รัฐธรรมจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ภาระหน้าที่นี้ของรัฐก็ยังคงอยู่ หรือจะต้องให้ชาวพุทธรวมตัวกันเรียกร้องให้ใส่คำว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปเสียก่อน แล้วพระพุทธศาสนาจึงจะได้รับการคุ้มครองจากรัฐ

    ในอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีคนนอกรีตปลอมบวชกันมาก คณะสงฆ์สมัยนั้นได้ขอพระเจ้าอโศก ให้ทรงใช้พระราชอำนาจจับคนปลอมบวชไล่สึกไปเป็นจำนวนมาก พระพุทธศาสนาจึงกลับมาเจริญรุ่งเรือง ในสมัยปัจจุบัน คณะสงฆ์ก็ต้องการอำนาจรัฐมาปกป้องคุ้มครองศาสนวัตถุและศาสนบุคคลไม่ให้ถูกทำลายโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    การปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนานับว่าสอดคล้องกับวัชชีธรรมข้อที่ 7 ที่ว่า “จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย” ในที่นี้หมายถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป

    รัฐต้องจัดการคุ้มครองป้องกันอันชอบธรรม แก่ชาวพุทธในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการจัดส่งกองกำลังตำรวจทหารไทย ที่พอเพียงลงไปเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพ การเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่รักษาสันติภาพต้องทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันไม่ได้หมายความว่าเราส่งเสริมการเข่นฆ่า การที่ตำรวจทหารถืออาวุธในมือไม่ได้หมายความว่าต้องใช้อาวุธฆ่ากันเสมอไป เราต้องมองเรื่องนี้แบบวิภัชชวาท คือมองหลายมุม อย่ามองมุมเดียวแบบเอกังสวาท ทุกวันนี้คนไทยชอบมองมุมเดียวจึงต้องทะเลาะกัน ทั้งที่พระพุทธศาสนาสอนให้มองหลายมุมแบบวิภัชชวาท

    มีคนถามพระพุทธเจ้าว่าการอยู่ปฏิบัติธรรมในป่าดีหรือไม่ดี ถ้ามองมุมเดียวก็ฟันธงไปเลยว่าดีหรือไม่ดี ถ้ามองแบบวิภัชชวาท พระพุทธเจ้าทรงให้แยกตอบตามเงื่อนไขว่า คนไหนอยู่ป่าแล้วจิตสงบ ตนนี้อยู่ป่าแล้วดี คนไหนอยู่ป่าแล้วฟุ้งซ่าน เป็นโรคจิตโรคประสาท เขาอยู่ป่าแล้วไม่ดี นี่คือการมองโลกแบบวิภัชชวาท

    อีกตัวอย่างหนึ่งของวิภัชชวาทหรือการมองหลายมุมก็คือเรื่องดาบสองคม เราใช้มีดดาบไว้ฆ่ากันก็ได้ เอาไว้ตัดฟืนก็ได้ ใช้ขุดดินก็ได้ ถ้าใช้ตัดฟืนดาบก็เป็นคุณ ถ้าใช้ประหัตประหารเข่นฆ่า ดาบก็เป็นโทษ การใช้ดาบป้องกันตนเองยังไม่ผิดศีลตราบเท่าที่ยังไม่มีการฆ่ากัน

    สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างชนะ

    มีคำถามว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนมีอาวุธในมือจะช่วยรักษาสันติภาพ การมีกองกำลังตำรวจทหารไทยอย่างพอเพียงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะช่วยรักษาสันติภาพได้จริงหรือ ขอตอบคำถามนี้ด้วยนิทานเปรียบเทียบต่อไปนี้

    คืนหนึ่ง เจ้าของบ้านตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงดังกุกกักอยู่ภายในบ้านชั้นล่าง เขาสันนิษฐานว่ามีขโมยขึ้นบ้าน เขาเดินลงจากห้องนอนชั้นบนเพื่อตรวจดูสถานการณ์ และเพื่อความไม่ประมาทเขาถือปืนติดมือลงลงไปด้วย เขาพบว่าห้องโถงชั้นล่างเปิดไฟสว่าง เขาเห็นโจรกำลังค้นหาของมีค่า เจ้าของบ้านเล็งปืนไปที่โจร ขณะเดียวกันโจรก็เล็งปืนมาที่เจ้าของบ้าน ในสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้อยู่ 4 ประการดังนี้

    เจ้าของบ้านยิงโจรก่อน โจรตาย เป็นความสัมพันธ์แบบ Win-Lose (เราชนะ- เขาแพ้) เทียบได้กับอัตตาธิปไตย คือเราเป็นใหญ่
    โจรยิงก่อน เจ้าของบ้านตาย เป็นความสัมพันธ์แบบ Lose-Win (เราแพ้-เขาชนะ) เทียบได้กับโลกาธิปไตย คือคนอื่นเป็นใหญ่
    เจ้าของบ้านมองโจร โจรมองเจ้าของบ้าน ต่างฝ่ายต่างถอย เจ้าของบ้านปล่อยโจรหนีไป ไม่มีใครยิงใคร ในกรณีนี้จึงไม่มีใครตาย เป็นความสัมพันธ์แบบ Win-Win (เราชนะ-เขาชนะ) เทียบได้กับธรรมาธิปไตย คือธรรมเป็นใหญ่
    เจ้าของบ้านและโจรยิงสวนกันแล้วถูกปืนตายทั้งคู่ เป็นความสัมพันธ์แบบ Lose-Lose (เราแพ้-เขาแพ้) เทียบได้กับอนาธิปไตย คือทุกฝ่ายแพ้
    ถามว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุด ตอบว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือทางเลือก 3 นั่นคือ เจ้าของบ้านและโจรต่างคำนวณว่าถ้าเกิดยิงสวนกันก็อาจตายทั้งคู่ ทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ก็คือต่างฝ่ายต่างถอยฉาก เราไม่ต้องยิงเขาและเขาก็ไม่ต้องยิงเรา นั่นคือธรรมาธิปไตย win-win situation สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างชนะ

    ถ้าในขณะนั้นเจ้าของบ้านไม่มีปืนในมือ เขาก็อาจถูกโจรยิงตาย เพราะไม่มีการป้องกันตัวเอง ในกรณีนี้ปืนไม่ได้มีไว้ยิงโจร แต่มีไว้สำหรับรักษาสันติภาพ เพราะฉะนั้น การจัดให้มีกองกำลังตำรวจทหารอย่างพอเพียงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ใช่เพื่อสร้างความรุนแรงเสมอไป กองกำลังตำรวจทหารอาจมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเข่นฆ่า ซึ่งเทียบได้กับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ

    สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างชนะ (win-win situation) เกิดจากการรู้จักถอยเพื่อแสวงจุดร่วมแต่สงวนจุดต่าง ให้ยอมแพ้ศึกแต่ชนะสงคราม ไม่ใช่ชนะศึกแต่แพ้สงคราม

    คำว่าชนะศึกแต่แพ้สงคราม หมายถึงว่า เราชนะในเรื่องเล็กแต่แพ้ในเรื่องใหญ่ เช่น สามีภรรยาต่างคนต่างเถียงเพื่อเอาชนะกันตลอด ในที่สุด ครอบครัวแตกสลาย นี่เรียกว่าชนะศึกแต่แพ้สงคราม

    ตรงกันข้าม คำว่าแพ้ศึกแต่ชนะสงคราม หมายถึงว่า เรายอมแพ้ในเรื่องเล็กเพื่อเอาชนะในเรื่องใหญ่ เช่น สามีหรือภรรยายอมลงให้อีกฝ่ายหนึ่ง เขายอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตครอบครัว นี่เรียกว่าแพ้ศึกแต่ชนะสงคราม

    ที่ว่าแพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ไม่ใช่หมายความว่าพระต้องแพ้ตลอดศก คำว่าแพ้เป็นพระหมายถึงว่า เรายอมแพ้ให้ใคร เราเป็นพระในใจของคนคนนั้น เราใจดีเหมือนพระ เขาจะนึกถึงความดีของเรา แต่ถ้าเราเอาชนะคะคานใครตลอดเวลา เราก็เป็นมารคือผู้ขัดขวางคนคนนั้นไม่ให้เขาได้ดังใจ การจะคบกันให้ยืดยาวจะต้องหัดแพ้เป็นพระ ดังที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสสะ)นิพนธ์ไว้ว่า

    โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก ฝากให้คิด
    ทางชีวิตจะรุ่งโรจน์ โสตถิผล
    ต้องรู้โง่ รู้ฉลาด ปราดเปรื่องตน
    โง่สิบหน ดีกว่าเบ่ง เก่งเดี๋ยวเดียว

    พุทธธรรมเพื่อความสมานฉันท์

    สิ่งที่จะมีส่วนช่วยสร้างสันติภาพในสังคมไทยก็คือสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างชนะ (win-win situation) เกิดจากการรู้จักถอยคือให้ยอมแพ้ศึกแต่ชนะสงคราม ไม่ใช่ชนะศึกแต่แพ้สงคราม ถ้าต่างฝ่ายต่างชนะก็เป็นธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างแพ้ซึ่งเป็นอนาธิปไตย พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันที่พระราชทานเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีข้อความตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับอนาธิปไตยที่ต่างฝ่ายต่างแพ้ ดังต่อไปนี้

    “เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง”

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ทรงแนะนำให้คนไทยปฏิบัติตามธรรมเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ดังนี้

    “ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน

    ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ

    ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน

    ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามนำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิด จิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกัน”

    พุทธธรรมในพระราชดำรัสนี้เรียกว่าสาราณียธรรม(ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน)ซึ่งมีที่มาในพระไตรปิฎก

    ประการแรก ที่ว่า “คิด พูด ทำด้วยเมตตา” มาจากสาราณียธรรม 3 ข้อ คือ เมตตากายกรรม (ทำด้วยเมตตา) เมตตาวจีกรรม (พูดด้วยเมตตา) และเมตตามโนกรรม (คิดด้วยเมตตา)

    ประการที่สอง ที่ว่า “การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน” ตรงกับสาราณียธรรมข้อสาธารณโภคี (แบ่งปันให้เท่าเทียมกัน)

    ประการที่สาม การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบกติกาโดยเท่าเทียมกัน ตรงกับสาราณียธรรมข้อสีลสามัญญตา (มีศีลเสมอกัน)

    ประการที่สี่ การที่ต่างคนต่างพยายามปรับความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้องลงรอยเดียวกัน ตรงกับสาราณียธรรมข้อทิฎฐิสามัญญตา (มีความเห็นลงรอยเดียวกัน)

    สารณียธรรมในทางปฏิบัติเริ่มต้น ด้วยทิฏฐิสามัญญตาคือปรับความคิดเห็นให้เป็นลงรอยแบบเดียวกันว่าเราทั้งผองเป็นพี่น้องกัน มีพ่อหลวงคือพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวกัน แม้จะต่างศาสนากันแต่ก็เป็นคนไทยด้วยกัน เมื่อปรับความคิดเห็นได้อย่างนี้แล้วเราก็จะเกิดความรู้รักสามัคคี คิดพูดทำต่อกันด้วยเมตตา เกื้อกูลแบ่งปันกันและกัน ปฏิบัติต่อกันตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันด้วยสีลสามัญญตา และปรับความคิดเห็นให้มีเหตุผลลงรอยเดียวกันมากยิ่งขึ้นด้วยทิฏฐิสามัญญตา

    พระสงฆ์ต้องช่วยกันประกาศเผยแผ่สาราณียธรรมตามนัยแห่งพระราชดำรัสนี้อย่างเต็มสติกำลัง เมื่อคนไทยปฏิบัติตามสาราณียธรรมในพระราชดำรัสนี้แล้ว ก็จะเกิดสันติภาพที่ยั่งยืนในสังคมไทยโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อสันติภาพเกิดขึ้นแล้ว ความร่ำรวยและความรุ่งโรจน์ก็จะตามมา ดังมีเรื่องเล่าว่า

    ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังปรุงอาหารเย็นรอสามีกลับมาทานที่บ้าน เธอมองไปนอกหน้าต่างเห็นชายชราสามคนนั่งผิงไฟอยู่ใต้สะพานลอย จึงบอกลูกชายให้ไปเชิญชายชราทั้งสามคนมาทานซุปร้อนในบ้านก่อน

    ลูกชายวิ่งหายไปสักครู่หนึ่งแล้ว กลับมารายงานคุณแม่ว่า “คุณลุงบอกว่าไม่เคยเข้าบ้านพร้อมกันทั้งสามคน พวกเขาตั้งกติกาว่าจะเข้าบ้านได้ครั้งละหนึ่งคน คุณแม่จะให้เชิญคนไหนครับ”

    แม่บอกลูกชายให้ไปถามชื่อลุงแต่ละคนเพื่อประกอบการตัดสินใจ

    ลูกชายไปถามชื่อแล้วกลับมารายงานว่า “คนแรกชื่อนายสันติ คนที่สองชื่อนายร่ำรวย คนที่สามชื่อนายรุ่งโรจน์ แม่จะให้ผมเชิญคนไหนเข้าบ้าน”

    แม่สั่งลูกชายให้ไปเชิญนายสันติเข้าบ้าน ลูกชายก็ไปเชิญนายสันติ ปรากฏว่านายสันติเข้าบ้านมาพร้อมด้วยนายร่ำรวยและนายรุ่งโรจน์เดินตามหลังมาด้วย

    แม่อดสงสัยไม่ได้จึงถามว่า “ตอนแรกลุงบอกว่าจะเข้าบ้านได้เพียงคนเดียว ตอนนี้ทำไมมาพร้อมกันสามคน”

    ลุงทั้งสามช่วยกันอธิบายว่า “คุณนายครับ นั่นขึ้นอยู่ว่าคุณนายเชิญใครเข้าบ้าน ถ้าเชิญนายร่ำรวยเข้าบ้าน คุณนายจะได้นายร่ำรวยเพียงคนเดียว เพราะบ้านใด ร่ำรวย บ้านนั้นมักตีกันและแย่งสมบัติกัน ถ้าคุณนายเชิญนายรุ่งโรจน์เข้าบ้านก็จะได้นายรุ่งโรจน์คนเดียว บ้านใดมีคนดังเยอะจะแย่งกันเด่น แข่งกันเป็นหัวหน้า บ้านนั้นยากที่จะสงบและร่ำรวย แต่วันนี้คุณนายเชิญนายสันติเข้าบ้านจึงได้ครบทุกอย่าง ที่ใดมีสันติคือความสงบ ที่นั่นก็มีความร่ำรวยและความเจริญรุ่งเรือง”

    ที่ใดมีความสงบสันติ ที่นั่นมีความร่ำรวยและความรุ่งโรจน์ ถ้าประเทศไทยไม่มีสันติภาพเพราะมีเสียงระเบิดดังขึ้นบ่อยครั้ง หุ้นก็จะตกระนาว เศรษฐกิจจะเสียหายหลายพันล้านบาท นักลงทุนต่างชาติจะพากันย้ายถิ่นฐานการลงทุน ความร่ำรวยก็จะอันตรธานไปพร้อมกับชื่อเสียงอันดีที่เคยมีว่าไทยนี้รักสงบ

    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณความดีที่ทุกท่านได้บำเพ็ญมาในการปฏิบัติศาสนกิจจงมารวมกันเป็นตบะเดชะพลวปัจจัยอำนวยอวยพรให้ทุกท่าน มีความรุ่งเรืองเจริญงอกงามไพบูลย์ในร่มธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้รักสามัคคี มีสันติภาพในใจ และทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้อย่างกลมเกลียวประสานกันก่อให้เกิดพลังและความสำเร็จมหาศาล ปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบด้วยธรรมก็ขอให้ความปรารถนานั้นๆ จงพลันสำเร็จสมความปรารถนาทุกประการ ตลอดกาลนาน เทอญ

    (ปาฐกถาแสดงแก่พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจภาคเหนือ วิทยาเขตแพร่)



    องค์กรชาวพุทธจัดเสวนาและแถลงข่าวความคืบหน้าการรณรงค์ให้บัญญัติพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญ 7 พ.ค.นี้
    เวลา 13.00 น.

    กำหนดการแถลงข่าวและเสวนา
    เรื่อง “ประเด็นร้อน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ”
    สมควรบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่

    วันจันทร์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ เวลา ๑๓.๓๐ น.ณ ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์
    ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ


    วันจันทร์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
    เวลา ๑๒.๓๐ น. - ลงทะเบียน
    เวลา ๑๓.๓๐ น. - พระธรรมสุธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย นำเจริญพระพุทธมนต์ กล่าวสัมโมทนียกถา
    เปิดแถลงข่าวและการเสวนา
    -พระธรรมกิตติเมธี ที่ปรึกษาองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทยกล่าวนำการแถลงข่าว
    -แถลงข่าว โดย องค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย

    เวลา๑๔.๐๐ น.- เสวนาเรื่อง “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐
    หรือไม่ โดย...ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย
    ๑.พระเทพวิสุทธิกวี รองประธานอำนวยการองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย (ฝ่ายบรรพชิต)
    ๒.พลเอก ธงชัย เกื้อสกุล รองประธานอำนวยการองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย (ฝ่ายบรรพชิต)
    ๓.ศาสตราจารย์ จรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม
    ๔.คุณมนตรี เพชรขุ้ม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)

    ดำเนินการเสวนาโดย.. คุณบุษรา เรืองแสง ผู้ดำเนินรายการกระจกเงาข่าวดัง

    เวลา ๑๖.๐๐ น. - ตอบปัญหา และรับฟังข้อคิดเห็นผู้เข้าร่วมเสวนา

    เวลา ๑๗.๐๐ น. - ปิดการเสวนา


    หมายเหตุ :
    ๑. พิธีกร : ผศ.เสถียร วิพรมหา, ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ คุณวิโรจน์ พูลสุข, นายอิทธิพล
    แก้วพิลา
    ๒.กำหนดการนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม



    พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันคู่ชาติไทย

    นับแต่ประเทศไทยได้มีประวัติศาสตร์ที่มีต่อเนื่องชัดเจนเป็นของตนเอง ชนชาติไทยก็นับถือพระพุทธศาสนาสืบต่อกันมาโดยตลอด กิจการและเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ มากมายในบ้านเมืองเป็นเรื่องราวของพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับวัดวาอาราม หรือมิฉะนั้นก็ผสมผสานกับคติทางพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์ของชาติไทยเป็นประวัติศาสตร์ของชนชาติที่นับถือพระพุทธศาสนา จนมีคำขวัญที่ถือกันมาถึงยุคปัจจุบันว่า ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นความหมายที่แสดงโดยสีทั้งสามของธงไตรรงค์ซึ่งเป็นธงชาติของไทย และเป็นเครื่องยืนยันถึงการได้ถือว่า ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ทั้งสามนั้น เป็นสถาบันหลักของประเทศที่ดำรงอยู่คู่เคียงกันโดยเฉพาะศาสนานั้นย่อมหมาย ถึง พระพุทธศาสนา

    ดังหลักฐานจากบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงออกแบบธงไตรรงค์ ได้กำหนดไว้ให้สีธงแต่ละสี เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันทั้งสามว่า๑

    ขอร่ำรำพรรณบรรยาย
    ความคิดเครื่องหมาย
    แห่งสีทั้งสามงามถนัด
    ขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสคิ์
    หมายพระไตรรัตน์
    และธรรมคุ้มจิตไทย
    แดงคือโลหิตเราไซร้
    ซึ่งยอมสละได้
    เพื่อรักษะชาติศาสนา
    น้ำเงินคือสีโสภา
    อันจอมราชา
    ธ โปรดเป็นของส่วนองค์
    จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์
    จึ่งเป็นสีธง
    ที่รักแห่งเราชาติไทย
    ทหารอวตารนำไป
    ยงยุทธ์วิชัยวิชิตก็ชูเกียรติสยาม ฯ


    จากกลอนที่พระองค์แต่งว่าขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสคิ์หมายพระไตรรัตน์ และธรรมคุ้มจิตไทย สถาบันศาสนานี้จึงเป็นพุทธศาสนา การถือว่า พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันคู่บ้านคู่เมืองนี้ ได้เป็นมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์ทรงสร้างวัดและชักชวนชาวสุโขทัยให้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก เมื่อพระภิกษุสงฆ์มีจำนวนมากขึ้น ชาวเมืองก็ร่วมใจกันสร้างวัดถวายเพื่อให้เป็นที่พำนักอาศัยของพระภิกษุสงฆ ์ ชาวเมืองสุโขทัยล้วนเป็นคนใจบุญ เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดในคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้ชาวเมืองสุโขทัยอยู่ในกรอบขนบธรรมเนียมของบ้านเมือง ปกครองง่าย มีเหตุมีผล การสร้างวัดในสมัยสุโขทัยนอกจากจะเป็นที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์แล้ว ยังเป็นที่ประชุมนัดหมายของชาวบ้านในกิจการต่าง ๆ อีกด้วย เช่น การตัดสินคดีความของชาวบ้านที่มีกรณีพิพาทกัน พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเชื่อมั่นในหลักพุทธธรรมและทรงปฏิบัติคล้อยตามควา มต้องการของคนส่วนมาก เมื่อถึงฤดูการ เซ่น ไหว้ บวงสรวง เป็นต้น พระองค์ก็ทรงปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อผลทางจิตใจ ซึ่งทำให้การปกครองสมัยพระองค์ราบรื่นด้วยดี มีระเบียบเรียบร้อย มีความสมัครสมานสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เกิดเอกภาพ จนทำให้ประชาราษฏร์เรียกพระองค์ว่า “พ่อ” นอกจากนี้พระองค์ยังได้สร้างแท่นหินไว้เป็นที่ประทับนั่งและนำไปไว้ในท่าม กลางดงตาลมีชื่อว่า “พระแท่นมนังคศิลา” ในวันธรรมสวนะก็จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาเทศนาสั่งสอนประชาชน เป็นการให้ประชาชนได้ซาบซึ้งในรสพระพุทธธรรมตั้งตนอยู่ในสัมมาปฏิบัติ ส่วนวันใดที่มิใช่เป็นวันธรรมสวนะ พระองค์จะทรงออกว่าราชการอบรมพลเมืองด้วยพระองค์เอง ทำให้ประชาชนได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์เหมือนพ่อกับลูกฉะนั้น เราจึงมักจะพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า... “คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อเข้าพรรษาทุกคน …”

    และนอกจากนี้แล้วจะเห็นได้จากหลักฐานที่สำคัญยิ่งคือพระราชดำรัสขององ ค์พระมหากษัตริย์ไทยในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งจะขออัญเชิญมาพอสังเขป คือในคราวที่คณะฑูตพิเศษของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศษเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลสมเด็ จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา แจ้งการที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสอัญเชิญพระองค์ให้เข้ารีตเป็นคาทอลิก พระองค์ได้มีพระราชกระแสรับสั่งตอนหนึ่งว่า“พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จะให้เราเข้ารีตดังนั้นหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะในราชวงค์ของเราก็นับถือพระพุทธศาสนามาช้านานแล้ว จะให้เราเปลี่ยนศาสนาอย่างนี้เป็นการยากอยู่ และถ้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสร้างดินจะต้องการให้คนทั่วโลกได้นับถือศาสนา อันเดียวกันแล้ว พระเจ้ามิจัดการให้เป็นเช่นนั้นเสียแล้วหรือ”

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ13 พฤษภาคม 2550 เวลา 11:51

    ขอบคุณที่ร่วมให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ

    ตอบลบ