++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ปราบทุจริตในวงราชการ : งานที่ ป.ป.ช.ต้องรีบทำ

โดย สามารถ มังสัง    
เมื่อบุคคลทั่วไปกระทำผิดกฎหมาย และมีผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้นแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ต ำรวจ และถ้าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งความ ก็จะเรียกตัวผู้ต้องหากระทำผิดมาทำการสอบสวน เพื่อเป็นหลักฐานก่อนที่จะส่งต่อให้พนักงานอัยการพิจารณาฟ้องร้องต่อศาลในกร ณีที่มีหลักฐานพอฟ้อง และสั่งไม่ฟ้อง หากพบว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะส่งฟ้องได้
      
        แต่ถ้าผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำ เมื่อมีผู้แจ้งความดำเนินคดีก็จะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.พิจารณาสอบสวนหาหลักฐาน ข้อเท็จจริง รวมไปถึงประเด็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดของข้าราชการ และหากพบว่ามีความผิดก็จะลงโทษทางวินัย ซึ่งมีโทษหนักเบาแตกต่างกันไปตามประเภทของความผิด มีตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน ให้ออก และไล่ออก
      
        ในกรณีที่มีโทษถึงขั้นให้ออกและไล่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทษขั้นไล่ออกเนื่องจากผิดวินัยอย่างร้ายแรง และจะต้องมีการส่งฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดีลงโทษทางอาญาต่อไปตามประเภทของข้ารา ชการ ถ้าเป็นข้าราชการการเมืองก็จะส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทา งการเมือง ถ้าเป็นข้าราชการพลเรือนก็ส่งฟ้องศาลสถิตยุติธรรมเหมือนกับบุคคลทั่วไป จะแตกต่างกันระหว่างบุคคลทั่วไปกับข้าราชการพลเรือนก็คือ ขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรมที่บุคคลทั่วไปเริ่มที่ตำรวจ แต่ข้าราชการประจำรวมถึงข้าราชการการเมืองเริ่มที่ ป.ป.ช.
      
        ไม่ว่าจะเริ่มกระบวนการยุติธรรมที่ตำรวจหรือเริ่มที่ ป.ป.ช.ผลสุดท้ายถ้าไม่มีความผิดก็จะพ้นผิดด้วยคำสั่งของศาล ในทางกลับกัน ถ้ามีความผิดก็จะต้องได้รับโทษตามคำสั่งของศาลเช่นเดียวกัน
      
        ด้วยเหตุนี้ สถาบันศาลจึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ทั้งในฐานะโจทก์และจำเลย กล่าวคือ ถ้าโจทก์ได้รับความเป็นธรรมด้วยการชนะคดี ก็แปลว่าจำเลยได้รับโทษในฐานะผู้แพ้คดี
      
        ในทางกลับกัน ถ้าโจทก์แพ้คดีจำเลยก็ได้รับความเป็นธรรมในฐานะผู้ชนะคดี ส่วนการแพ้หรือชนะคดีของโจทก์และจำเลย ในความเป็นจริงจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องนั้นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและความยุ ติธรรมของตุลาการเป็นหลัก มิได้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้มีอยู่บ้างที่มีผู้ได้รับโทษทั้งๆ ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากพยานหลักฐานแน่นหนาจนทำให้น่าเชื่อได้ว่า กระทำผิด ในทางกลับกันผู้กระทำผิดไม่ได้รับโทษ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอให้เชื่อได้ว่ากระทำผิด
      
        จากนัยดังกล่าวข้างต้น กระบวนการยุติธรรมจะเป็นที่พึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงไปตรงมา และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนได้ก็จะต้องมี 2 องค์ประกอบหลัก คือ
      
       1. ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการสอบสวนเบื้องต้ น อันได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ป.ป.ช.อันเป็นบันไดขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรม
      
       2. ความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการ และคุณธรรมกำกับการใช้วิชาการของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมใ นทุกภาคส่วน เริ่มตั้งแต่ขั้นสอบสวนไปจนถึงขั้นพิพากษาตัดสินคดีความ
      
        ถ้าองค์ประกอบทั้ง 2 ประการดังกล่าวครบถ้วนสมบูรณ์ เชื่อได้ว่าผู้คนในสังคมจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน
      
        แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้และเวลานี้กระบวนการยุติธรรมของประเทศถือได้ว่าดีขึ้น เมื่อเปรียบกับในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตที่เพิ่งจะผ่านมา 4-5 ปีมานี้ ทั้งนี้น่าจะด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
      
       1. ประชาชนได้ให้ความสนใจ และเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมขับเคลื่อนได้รวดเร็วข ึ้น และมีความกล้าพอที่จะทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา โดยปราศจากอำนาจแฝงเร้นเข้าแทรกแซง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจแฝงเร้นจากการเมือง
      
       2. ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายการเมืองที่ทำหน้าที่บริหาร คือรัฐบาลได้เอาจริงเอาจังกับการใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ ายในสังคม จึงทำให้การดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทำงาน ได้ง่ายขึ้น
      
        จากเหตุปัจจัย 2 ประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าผลงานในด้านการใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาสังคม ไม่ว่าจะเป็นการทำคนผิดให้ได้รับโทษ และทำให้คนถูกแต่ถูกข้อหาว่ากระทำผิดได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระมีมากขึ้น
      
        ในจำนวนผู้กระทำผิดแล้วได้รับโทษที่เห็นได้ชัดเจน และปรากฏเป็นรูปธรรมคือ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล หนึ่งในจำนวนกรรมการที่พิจารณาแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ พร้อมมีความผิดวินัยร้ายแรง
      
        เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าท่านผู้อ่านได้ติดตามข่าวนี้มาตลอด ก็พอจะมองเห็นความถูกต้องและเป็นธรรมอันเกิดจากกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น ภายใต้ความรับผิดชอบของ ป.ป.ช.ได้อย่างชัดเจน เพราะการแต่งตั้งในครั้งนั้นได้มีผู้ฟ้องร้องต่อศาลปกครอง และศาลปกครองได้วินิจฉัยว่าไม่ถูกต้องมีผลให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งมีอันต้อง รับผล และผู้ได้รับการแต่งตั้งมีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไป
      
        แต่ปรากฏว่าทางด้านปลัดกระทรวงการคลังมิได้ดำเนินการใดๆ คงปล่อยให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งต่อไป จึงเท่ากับว่าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง
      
        ด้วยเหตุนี้ การชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ก็เท่ากับยืนยันความผิดโดยการปฏิบัติ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบให้ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยมีข้าราชการใหญ่น้อยทั้งหลายยึดมา และจดจำไว้เป็นตัวอย่างและท่องให้ขึ้นใจว่าอย่าทำหรืองดเว้นการกระทำที่จะก่ อให้เกิดความผิดในทำนองนี้ ไม่ว่าจะด้วยหวังผลตอบแทนหรือจะด้วยไม่หวังผลตอบแทน แต่อาศัยความดื้อรั้นอันเป็นนิสัยพื้นฐานของแต่ละบุคคล เพราะผลที่ได้รับจะเหมือนกันคือตนเองและครอบครัวเดือดร้อน

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000006157

1 ความคิดเห็น: