...+

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไม่มีคำว่าสายเกินไป สำหรับการเป็นในสิ่งที่ตั้งใจ

วันเปิดเรียนวันแรกอาจารย์แนะนำตัวเอง แล้วให้เราหันไปทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่นในห้องที่เรายังไม่รู้จัก

ผมลุกขึ้นยืน เพื่อมองหาคนที่จะเข้าไปทำความรู้จัก แล้วรู้สึกว่ามีมือมาแตะไหล่ผม

ผมหันไปมองและพบหญิงชราหน้าเหี่ยวย่นมองผมอยู่ พร้อมส่งรอยยิ้มที่เปล่งแสงโชติช่วงสว่างไสว

เธอพูดว่า "สวัสดี พ่อหนุ่ม ฉันชื่อ โรส ฉันอายุ 87 ปี ขอกอดเธอซักทีได้มั้ย"

ผมหัวเราะแล้วตอบอย่างเต็มเสียงว่า "ได้แน่นอนเลยครับ" โรสกอดผมอย่างเต็มแรง

ผมหยอกเธอว่า "ทำไมถึงมาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในตอนที่อายุยังน้อยนิดและไร้เดียงสาอย่างนี้ล่ะครับ"

เธอตอบแกมตลกกลับมาว่า "ฉันมาที่นี่เพื่อหวังหาสามีรวย แต่งงาน และมีลูกสักสองสามคน..."

ผมพูดถามกลับไปว่า "ผมถามจริงๆ ครับ" เพราะอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอมาเรียนหนังสือเมื่ออายุปูนนี้แล้ว

เธอตอบว่า "ฉันฝันมาตลอดชีวิตว่าจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ แล้วตอนนี้ฉันก็มาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนี่แล้ว" หลังเลิกเรียนเราเดินไปโรงอาหารแล้วซื้อมิลค์เชคมาแบ่งกันทาน เรากลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว

ตลอดเวลาสามเดือนต่อมา หลังเลิกเรียนเราจะคุยกันจ้อไม่หยุดปาก ผมจะรู้สึกอึ้งและทึ่งกับ "เครื่องจักรย้อนเวลา" คนนี้ทุกครั้งที่เธอเล่าแบ่งปันปัญญาและประสบการณ์ชีวิตให้ผมฟัง

ตลอดปีการศึกษา คุณยายโรสกลายเป็นคนดังในมหาวิทยาลัย และเธอมีเพื่อนอย่างง่ายดายในทุกที่ที่เธอไป คุณยายมักแต่งตัวดีๆ และรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่นักศึกษาคนอื่นๆ ให้ความสนใจ เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่า

ในตอนปลายภาค เราเชิญเธอให้มากล่าวปฐกถาที่งานเลี้ยงชมรมฟุตบอลของเรา ผมจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เธอสอนเราในวันนั้นเลย

วันนั้น พอเรากล่าวแนะนำเธอ เธอก็เดินไปที่แท่นพูดปฐกถา พอจะเริ่มพูดเธอก็ทำกระดาษโพยเล็กๆหลายใบตกพื้น เธอหงุดหงิดและออกจะเขินเล็กน้อย ชะโงกหน้าเข้าหาไมโครโฟนและพูดติดตลกเรียบๆว่า "ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่มือไม้สั่นไปหน่อย แม้ว่าฉันจะไม่ดื่มเบียร์แล้ว....แต่ก็ยังโดนวิสกี้เล่นงานซะงอมเลย ฉันคงเรียงกระดาษโพยกลับเข้าที่ไม่ได้แน่ งั้นก็ขอพูดสดเรื่องที่ฉันรู้ก็แล้วกันนะ

ระหว่างที่เราหัวเราะ เธอก็กระแอมไอแล้วเริ่มต้นพูดว่า
"คนเราไม่ได้เลิกเล่นสนุกเพราะเราแก่ตัวหรอก แต่เราแก่ตัวเพราะเราเลิกเล่นสนุกต่างหาก มีความลับเพียงไม่กี่ข้อที่คนเราจะคงความหนุ่มสาว มีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ได้ คือ:

เราต้องหัวเราะและหาอารมณ์ขันทุกวัน

เราต้องมีความฝัน ถ้าเราสูญเสียความฝัน เราก็ตาย ทุกวันนี้มีคนมากมายที่เดินไปมาเหมือนคนที่ตายไปแล้ว โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวซะด้วย มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการมีอายุมากขึ้น กับการเจริญเติบโตขึ้น ถ้าเธออายุ 19 และได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย เมื่อหนึ่งปีผ่านไป เธอก็จะมีอายุ 20 ปีอยู่ดี ถ้าฉันอายุ 87 แล้วก็อยู่ไปวันๆ เป็นเวลาหนึ่งปี ฉันก็จะมีอายุมากขึ้นหนึ่งปีเหมือนกัน ใครๆก็มีอายุมากขึ้นได้เหมือนๆกันทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้พรสวรรค์หรือความสามารถอะไรเลยก็ทำได้ ประเด็นสำคัญคือคนเราต้องอายุมากขึ้นพร้อมกับเติบโตขึ้น โดยต้องแสวงหาโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง จงเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องมารู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำ คนเฒ่าคนแก่มักไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปในอดีต แต่มักจะเสียใจกับเรื่องที่ไม่ได้ลงมือทำต่างหาก คนแก่ที่กลัวตายก็คือคนที่ยังมีความเสียใจนี้อยู่นั่นเอง"

เธอจบปฐกถาโดยร้องเพลงที่ชื่อ "The Rose" อย่างกล้าหาญ และท้าทายให้พวกเราศึกษาเนื้อเพลงและใช้ชีวิตตามเนื้อเพลงนั้นทุกๆวัน
ในที่สุดคุณยายโรสก็เรียนจบ และหลังจากรับปริญญาได้หนึ่งอาทิตย์ คุณยายโรสก็จากเราไปอย่างสงบในขณะที่นอนหลับสนิท

นักศึกษากว่าสองพันคนเข้าร่วมพิธีศพของเธอเพื่อคารวะผู้หญิงที่สุดวิเศษคนนี้ ที่ได้สอนเราโดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า "ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะเป็นในทุกอย่างที่เราสามารถจะเป็นได้"

(เรียบเรียงไทย: หัชพันธ์ จาก Learning Petals)

ที่มา : http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=45985

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น