...+

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

คาถากันขโมย

คาถากันขโมย

  “ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ”
  ผีที่ไม่มีตัวตนที่ใครๆ  ว่าดุนั้น  ก็สักแต่ได้ยินเขาเล่าสืบต่อกันมา  ผมเองก็เขียนเรื่องผีเรื่องเปรตหากินมานาน  ได้หลายเงินแล้วด้วยแต่ไม่เคยเจอผีเลยสักครั้ง  ผมจึงไม่ค่อยกลัวผีเท่าไหร่

แต่ผีที่ผมพบค่อนข้างบ่อยและกลัวเอามาก  ก็คือผีที่มองเห็นได้สัมผัสได้
คนนี่แหละครับ  คนที่ทำตนเป็นดุจผีดุจเปรตคอยหลอกคอยต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนี่แหละร้ายกาจนัก
คนที่ทำตนเป็นไอ้ตีนแมวตีนหมา  คอยลักขโมยเอาทรัพย์สินของชาวบ้าน  ยามเขาเผลอหรือนอนหลับ  นี่ก็ผีเปรตอีกชนิดหนึ่ง  ที่ชาวบ้านกลัวกันนักเพราะทรัพย์สินเงินทองที่อุตส่าห์หามาได้ด้วยความยากลำบากไม่รู้ว่ามันจะถูกดเจ้าผีเปรตพวกนี้ “ยกเค้า”  เอาเมื่อไหร่
ขนาดใส่กุญแจแน่นหนาสามชั้นสี่ชั้นก่อนออกไปทำงาน  กลับมาไม่มีร่องรอยถูกงัดถูกแงะอะไรแต่ข้าวของมันหายไปได้ยังไง ทีวีเอย  เครื่องสเตอริโอเอย  เครื่องเพชรเครื่องทองเอย  ที่ไหนได้  แหวนดูเพดานมีช่องโหว่รูเบ้อเร่อ
มันงัดกระเบื้องหลังคา  เจาะเพดานลงมา  อะไรจะปานนั้น  เพื่อนผู้อาวุโสของผมคนหนึ่งบอกว่า  ก่อนจะเข้านอนหรือก่อนจะออกจากบ้านไปไหน  ให้หาผลไม้หรือเครื่องดื่มใส่ตู้เย็นไว้ให้เต็มนะ ผมถามว่าทำไมท่านบอกว่า  เอาไว้ให้ขโมยมันกิน  เผื่อมันงัดบ้านมาขนของมันหิวขึ้นมาเปิดตู้เย็นไม่มีอะไรกิน  เดี๋ยวมันยัวะขึ้นมา  มันจะไม่เอาแต่ข้าวของ  มันอาจเผาบ้านเราก็ได้ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนั้น
เพื่อนคนหนึ่ง  ถูกขโมยขึ้นบ้านมานับเป็นสิบครั้งชั่วระยะเวลาไม่ถึงห้าปี  ถามผมว่า  ทำไมบ้านคุณไม่เคยโดนเลย  ผมบอกว่า ผมมีคาถาดีขโมยจึงไม่กล้าแหย็ม  (ที่จริง..ถึงไม่มีคาถาอะไร ขโมยมันก็ไม่ขึ้นบ้านผมให้เมื่อยดอก  เพราะไม่มีอะไรให้มันขนนอกจากหนังสือ)
เพื่อนทำตาโตเขียว  ขอคาถากันขโมยจากผม  ผมก็จดให้ไปท่อง
ปรากฏว่า  ตั้งแต่นั้นมาร  บ้านเพื่อนผมยังไม่โดนอาคันตุกะยามวิกาลมาเยี่ยมเยียนอีกเลยหรือว่ามันจะ  “ขลัง”  จริงๆคาถาบทนี้มีความเป็นมาครับ  ขอเล่าประวัติเสียก่อน  แล้วค่อยบอกถาคา
ในอดีตกาลนานมาแล้ว  มีมาณพน้อยคนหนึ่ง  เดินทางไปศึกษาศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์  แกเป็นคนหัวขี้เลื่อย อาจารย์สอนให้ท่องอะไรก็ท่องไม่ได้ศิษย์คนอื่นเขามาเรียนไม่กี่ปีก็จบไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า  แต่ศิษย์คนนี้อยู่ตั้งเกือบปีแล้ว  ยังเรียนไม่จบ  อาจารย์สงสารจึงเรียกไปพบวันหนึ่ง  กล่าวว่า
“เธอมาอยู่กับฉันหลายปีแล้ว  เรียนไม่จบสักที  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  ฉันจะให้คาถาสำคัญบทหนึ่ง  ซึ่งจะช่วยให้เธอดำรงชีพได้โดยไม่ลำบาก”
ว่าแล้ว  อาจารย์ก็จดคาถาให้  กำชับว่าให้ท่องบ่นดังๆ  ทุกเวลาที่นึกขึ้นมาได้
เขาก้มกราบอาจารย์  แล้วเดินทางกลับบ้านเมืองของตน  กลับถึงบ้าน  พ่อแม่ก็จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างใหญ่โตมโหฬาร ต้อนรับลูกชายผู้เรียนสำเร็จกลับมา  คืนนั้นแขกเหรื่อที่มาในงานกินและดื่มน้ำกันเต็มคราบ  บ้างก็กลับบ้านตน  บ้างก็นอนสลบไหลอยู่ที่บ้านเจ้าภาพ
ตกดึก  มีโจรสามสี่คนพยายามขึ้นบ้าน  เพื่อจะไปขโมยของ เด็กหนุ่มหัวขี้เลื่อยนอนหลับไปพักใหญ่ตื่นขึ้นมาอีกทีเวลาตีสามตีสี่  นึกถึงคำสั่งของอาจารย์ได้จึงท่องคาถาที่อาจารย์ให้มาเสียงดัง
ขโมยซึ่งกำลังปีนกำแพงบ้านตกใจพากันโกยแน็บหนีไปโดยไม่คิดชีวิต
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนคนหนึ่งโดยตลอด
ชายผู้นี้เป็นพระราชาผู้ครองประเทศ  คืนนั้นได้ปลอมตัวไปตรวจดูสารทุกข์สุขดิบของชาวเมือง  เมื่อมาถึงบ้านบัณฑิตหนุ่มสดๆ ร้อนๆ  คนนี้  ก็พอดีเห็นเหตุการณ์นี้เข้า  รุ่งเช้าขึ้นมาจึงรับสั่งให้มหาดเล็กมาตามเด็กหนุ่มเข้าไปเฝ้า  ขอให้เขาสอนคาถาให้พระองค์บ้าง
ชายหนุ่มก็ยินดีจดคาถาถวายพระราชาไป  กราบทูลว่า  ให้ท่องคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์ทรงนึกได้
บังเอิญระยะเวลาดังกล่าว  เสนาบดีกำลังคิดก่อการขบถ  ได้วางแผนให้ช่างกัลบก  (ช่างตัดผม)  เฉือนพระศอพระราชา  ในวันที่พระองค์ทรงเครื่องใหญ่  (ตัดผม)  ซึ่งเป็นวันนั้นพอดี
ช่างกัลบกลับมีดโกนแล้วๆ  เล่าๆ  เพื่อให้แน่ใจว่า  มีดคมพอที่จะเฉือนพระศอทีเดียวขาด
ขณะรอเวลาอยู่นั้นพระราชาทรงนึกถึงคาถาขึ้นมาได้ท่องเสียงดัง
เท่านั้นแหละครับ  ช่างกัลบกทิ้งมีดโกนหมอบแทบยุคลบาทพระเจ้าแผ่นดินละล่ำละลักพระองค์ทรงไหวทันทรงกระทืบพระบาทสำทับ  เค้นเอาความลับจากเขาทั้งหมด  ทรงรับสั่งให้จับเสนาบดีเนรเทศออกจากพระนครในทันใด
นับว่า  ทรงกำจัดเสี้ยนหนามได้ทัน  เพราะคาถาบทนี้แท้ๆ
พระองค์รำลึกถึงบุญคุณของบัณฑิตหนุ่มที่ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ได้  จึงทรงสถาปนาให้เขาดำรงตำแหน่งเสนาบดีสืบแทนคนก่อน
โบราณาจารย์จึงนำเอาคาถาบทนั้นมาเป็นคาถากันขโมย  สอนกันว่า  ก่อนจะเข้าหรือออกจากบ้านไปไหน  ให้ว่าคาถานี้  แล้วเป่ารูกุญแจจะป้องกันขโมยขึ้นบ้านได้ชะงัดนักแล
คาถามีว่า  “ฆะเฏสิ  ฆะเฏสิ  กิงกะระณา  ฆะเฏสิ  อะหังปิตัง  ชานามิ  ชานามิ”
ลองนำไปใช้ดู  นั้นๆ  ท่องได้ง่าย  สบายมากหรือจะเขียนยันต์แปะไว้หน้าประตูก็ยิ่งจะขลังยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น