...+

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ธรรมะ สิ่งที่สูงกว่าเงิน ว.วชิรเมธี

ธรรมะ สิ่งที่สูงกว่าเงิน ว.วชิรเมธี

ธรรมะท่านว่าเงินทองเป็นสิ่งนอกกายเมื่อตายไปไม่สามารถนำติดตัวไปได้ แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องธุรกิจเขาก็มีคำกล่าวของเขาคือ เงินคือพระเจ้า ดูเหมือนว่าเรื่องธรรมะกับเรื่องธุรกิจเงินทองจะสวนทางกันซะแล้ว แต่แท้จริงธรรมะสามารถดำเนินควบคู่ไปกับเงินทองได้ ธรรมะสามารถดำเนินไปพร้อมทุกการกระทำทุกความคิด เมื่อดำเนินชีวิตไปพร้อมกับธรรมะย่อมเจอกับแสงสว่างไม่ช้าก็เร็ว

ปุจฉา:
สิ่งที่สูงกว่าเงิน
ตอนนี้มีหลานสาวกับหลานชาย กำลังอยู่ในวัยรุ่นพอดี ก่อนหน้านี้เค้าทั้งคู่เรียนหนังสือแย่มากค่ะ หลานสาวเอาแต่ติดเล่นเกม เล่นกับเพื่อน ส่วนหลานชาย คนนี้เรียนไม่เก่ง แต่เอาดีด้านกีฬา เราก็ไม่ค่อยจะห่วง แต่หลานสาวเนี่ย ใช้หลายวิธีแล้วค่ะ ทั้งดุ ทั้งว่า คอนจ้ำจี้จ้ำไชตลอด แต่ก็ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งเลยคิดอุบายบอกเค้าว่า ถ้าเขาเรียนได้เกรดดี คือ ถึงระดับเฉลี่ย 3.00 ขึ้นไป ก็จะให้เงินเป็นรางวัล มาตอนนี้เขาทำได้จริง ดีใจมากค่ะ แต่กำลังสับสนว่าเราสอนเค้าถูกวิธีหรือป่าว พระอาจารย์เห็นว่าอย่างไรค่ะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ


วิสัชนา:
อยากจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งในสมัยพุทธกาลให้อ่าน เมื่ออ่านแล้วคุณโยมคงจะตอบด้วยตัวเองได้ว่า วิธีการที่ใช้อยู่เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ กล่าวกันว่า ในยุคที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ “อนาถปิณฑิกเศรษฐี” มหาเศรษฐีคนนี้ เป็นคนใจบุญมาก เป็นคนที่สร้างวัดเชตวันถวายพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าก็ประทับที่วัดนี้มากเป็นพิเศษกว่าวัดใดๆ ตัวของมหาเศรษฐีเอง เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์มาก ถวายความอุปถัมภ์แก่พระพุทธองค์ แก่คณะสงฆ์อย่างมากมายจนยากจะหาใครมาทัดเทียม แต่ละวันท่านมักจะไปวัดถึงสามครั้ง ด้วยความที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับคณะสงฆ์อย่างนี้เอง ท่านเศรษฐีจึงได้ “ดวงตาเห็นธรรม” สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ตัวของท่านเศรษฐีกลายเป็นพระอริยบุคคลผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพาน ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญที่ได้ถวายความอุปถัมภ์บำรุงแก่พระพุทธองค์อย่างใกล้ชิดดังกล่าวมาแล้ว มองเผินๆ ก็ดูเหมือนว่า คนในตระกูลของท่านทั้งหมดก็คงจะได้อานิสงส์เป็นผู้ใกล้ธรรมะไปโดยปริยาย

แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นทั้งหมด เพราะยังมีลูกชายของเศรษฐีอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกคนเล็ก ทำตัวเป็นลูกไม้ไกลต้น พ่อไปทางธรรม แต่ลูกไปทางโลกอย่างชนิดตรงกันข้าม ไม่ว่าท่านเศรษฐีจะพยายามอย่างไรให้ลูกสนใจธรรมะ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ วันหนึ่งท่านเศรษฐีจึงมานั่งคิดกุศโลบายได้ว่า เราเป็นคนมีเงิน ก็น่าจะใช้เงินนี่แหละในการกรุยทางให้ลูกเข้ามาสู่เส้นทางธรรม ครั้นคิดแล้ว ท่านจึงเรียกลูกคนเล็กมาสั่งให้ไปวัด ถ้าลูกไปวัด พ่อจะให้รางวัลเป็นเงินอย่างงาม เจ้าลูกชาย รู้ว่าถ้าไปวัด จะได้เงิน จึงรีบปฏิบัติตาม เขาหายไปหนึ่งวันเต็ม ก็กลับมาบ้าน พ่อถามว่า วันนี้พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องอะไร ลูกชายตอบว่าไม่รู้ เมื่อพ่อซักว่าทำไมไม่รู้ เขาตอบว่า ในคำสั่งไม่เห็นบอกว่าต้องไปฟังธรรม พ่อบอกแค่ว่าไปวัด เขาก็ไปวัดก็เท่านั้นเอง พ่อจึงได้บทสรุปว่า เป็นความผิดพลาดของตัวเองที่สั่งไม่รัดกุม วันต่อมาท่านเศรษฐีจึงเรียกลูกมาสั่งใหม่ว่า คราวนี้ให้ไปวัดและขอให้ฟังธรรมด้วย ถ้าทำได้ ก็จะได้เงินอย่างงามทีเดียว ลูกชายเศรษฐีเห็นเงินมากขึ้นก็ตาโต รีบรับคำ เขารีบไปวัดฟังธรรม แล้วก็กลับมาในตอนเย็น ท่านเศรษฐีถามว่าพระพุทธเจ้าเทศน์อะไร ลูกตอบจำไม่ได้ เมื่อถามว่า ทำไม เจ้าลูกชายก็ตอบว่า จำไม่ได้ เพราะพ่อบอกแค่ว่าให้ไปฟังธรรม ไม่เห็นบอกว่าต้อง “จำ” ด้วยนี่นา ท่านเศรษฐีจึงคิดขึ้นมาได้ว่า คำสั่งของตัวเองไม่รัดกุม จึงสั่งใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า วันรุ่งขึ้นถ้าลูกไปฟังธรรม และ “จำ” ได้ด้วยว่า พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องอะไร คราวนี้จะเพิ่มเงินหลายร้อยเหรียญทองทีเดียว คราวนี้เจ้าลูกชายเห็นเงินก้อนโต ยิ่งดีอกดีใจใหญ่ วันรุ่งขึ้นตั้งอกตั้งใจไปวัด

คราวนี้เขาไปนั่งใกล้ๆ พระพุทธองค์ตั้งใจฟังธรรมและจดจำเต็มที่ ระหว่างฟังธรรมและตั้งใจจำนั่นเอง ลูกชายก็เกิดอาการ “หยั่งรู้” ในธรรมที่ทรงแสดงจนได้ “ดวงตาเห็นธรรม” สำเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ เมื่อเขากลับมาถึงบ้านในเย็นวันนั้น พ่อเอ่ยขึ้นว่า วันรุ่งขึ้นจะนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยที่บ้าน และจะมอบเงินต่อหน้าพระพุทธเจ้าทีเดียว พระพุทธองค์จะได้พลอยโมทนา พลันที่พ่อพูดเช่นนั้น เจ้าลูกชายก็หน้าแดงด้วยความขวยอาย โพล่งออกมาว่า “พ่ออย่าแจ้งเรื่องที่ลูกไปฟังธรรมเพราะเห็นแก่เงินเป็นอันขาดเชียวนะ ถ้าพระพุทธองค์รู้เข้า ลูกอายแย่เลย” ทันทีที่ลูกชายพูดเช่นนี้ พ่อก็รู้ทันทีว่าลูกชายตัวเองไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว นาทีนั้นพ่อจึงยิ้มออก เพราะรู้แล้วว่า ลูกชายได้ค้นพบสิ่งที่ “สูงกว่าเงิน” คือ ความเป็นพระอริยบุคคลเรียบร้อยแล้ว

จากเรื่องที่เล่ามา คุณก็คงเห็นแล้วว่า วิธีการของคุณนั้นไม่ใช่วิธีการใหม่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามเป็นวิธีการที่เคยมีคนทำมาแล้ว และได้ผลอย่างดีเยี่ยมอีกต่างหาก ปัญหาของคุณมีแต่เพียงว่า ต้องคอยดูแลลูกอย่างใกล้ชิด และบอกเขาด้วยว่า เงินเป็นแค่ “รางวัล” เท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายของการศึกษา เมื่อลูกมีปัญญามากๆ แล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เขาก็จะรู้เองว่า มีสิ่งที่สูงค่ากว่าเงิน นั่นคือ ปัญญา ความดีงาม และคุณภาพชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น